การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
8337
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2554/12/21
 
รหัสในเว็บไซต์ fa10521 รหัสสำเนา 20025
คำถามอย่างย่อ
กรุณาแจกแจงความสำคัญของฮะดีษกิซาอ์
คำถาม
กรุณาแจกแจงความสำคัญของฮะดีษกิซาอ์
คำตอบโดยสังเขป
ฮะดีษกิซาอ์ที่ปรากฏในตำราฮะดีษและหนังสือมะฟาตีฮุลญินานของเชคอับบาสกุมี มีความสำคัญเป็นพิเศษในแง่อิมามัตและอิศมัต(ภาวะไร้บาป)
ตำแหน่งอิมามและวิลายะฮ์ของอะฮ์ลุลบัยต์ได้รับการพิสูจน์จากเบาะแสในฮะดีษบทนี้ เนื่องจากกริยาและวาจาของท่านนบี(..)บ่งบอกว่าตำแหน่งดังกล่าวว่าเป็นสิทธิอันชอบธรรมของอะฮ์ลุลบัยต์เท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นการเรียกอะฮ์ลุลบัยต์มานั่งใต้ผ้าคลุมในสถานที่ๆมีเพียงบุคคลเหล่านี้เท่านั้น อีกทั้งยังมีการกล่าวถึงอิมามอลีในฐานะผู้สืบทอดอีกด้วย และจบท้ายด้วยประโยคที่แสดงถึงความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างนบี(..)กับอะฮ์ลุลบัยต์ของท่าน
ส่วนภาวะปลอดบาปของบุคคลเหล่านี้ก็ได้รับการพิสูจน์แล้วด้วยสำนวนที่ว่า وَ اَذْهِبْ عَنْهُمُ الرِّجْسَ وَ طَهِّرْهُمْ تَطْهیراً สรุปคือ ฮะดีษนี้มีความสำคัญในสองแง่มุม นั่นคือประเด็นอิมามัตและอิศมัต
คำตอบเชิงรายละเอียด

มีรายงานมากมายที่กล่าวถึงฮะดีษกิซาอ์โดยสังเขป[1] ทุกบทรายงานตรงกันว่า ท่านนบี(..) ได้เรียกอิมามอลี ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ อิมามฮะซันและอิมามฮุเซน(.) มาอยู่ใต้ผ้าคลุมร่วมกับท่าน แล้วกล่าวว่า
โอ้อัลลอฮ์ บุคคลเหล่านี้คือคนในครอบครัวของข้าพระองค์ ขอทรงขจัดมลทินให้ห่างจากพวกเขาทันใดนั้นเอง โองการนี้ก็ประทานแก่ท่าน إِنَّما یُرِیدُ اللَّهُ لِیُذْهِبَ عَنْکُمُ الرِّجْسَ نازل گردید

ฮากิม ฮัสกานี ผู้รู้ที่มีชื่อเสียงฝ่ายอะฮ์ลิสซุนนะฮ์ได้รายงานฮะดีษนี้ไว้ในหนังสือ ชะวาฮิดุตตันซี้ล[2] และซัยยิด บิน ฏอวู้ส[3]ก็ได้รายงานฮะดีษดังกล่าวจากสายรายงานที่หลากหลาย
แต่สิ่งที่เราจะกล่าวถึง  ที่นี้ก็คือฮะดีษกิซาอ์ที่ปรากฏในหนังสือมะฟาตีฮุลญินานของเชคอับบาส กุมี
รายงานชิ้นนี้มีความสำคัญในสองแง่มุมเป็นพิเศษ

1. พิสูจน์ตำแหน่งอิมามและวิลายะฮ์
ในเบื้องต้น ฮะดีษกิซาอ์บ่งบอกถึงประเด็นอิมามัตและวิลายะฮ์ของอะฮ์ลุลบัยต์ โดยได้จำกัดตำแหน่งนี้ไว้เฉพาะบุคคลดังกล่าว
. ความเป็นอิมามของอะฮ์ลุลบัยต์:  ท่านนบี(..)กล่าวถึงภาวะผู้นำของอิมามอลี(.)ในหลายเหตุการณ์ด้วยกัน ซึ่งฮะดีษกิซาอ์ก็ถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์เหล่านั้น ท่อนหนึ่งของฮะดีษนี้ระบุว่าท่านนบี(..)กล่าวถึงอิมามอลี(.)ว่าเป็นน้องชาย เคาะลีฟะฮ์ และผู้ถือธงชัยของท่าน[4] ท่านต้องการจะให้ผู้คนทราบถึงฐานันดรและความสำคัญของอะฮ์ลุลบัยต์ เพื่อจะได้รักษาเกียรติยศของพวกเขาภายหลังจากท่าน จึงได้รวบรวมบุคคลดังกล่าวไว้ใต้ผ้าคลุมพร้อมกับกล่าวว่า บุคคลเหล่านี้เท่านั้นที่เป็นสมาชิกครอบครัว คนพิเศษ และวงศ์วานของฉัน เนื้อพวกเขาคือเนื้อของฉัน เลือดพวกเขาคือเลือดของฉัน ผู้ใดทำให้พวกเขาเจ็บปวดเท่ากับทำให้ฉันเจ็บปวด ผู้ใดทำให้พวกเขาโศกเศร้า เท่ากับทำให้ฉันโศกเศร้า ฉันรบกับผู้ที่ก่อสงครามกับพวกเขา และสันติกับผู้ที่สานสันติกับพวกเขา จึงขอให้พระองค์ทรงประสาทพร และมอบบะเราะกัตและความรัก และความอภัยโทษแก่ข้าพระองค์และพวกเขา

. จำกัดกรอบตำแหน่งอิมามัต:  หลังจากที่อิมามฮะซัน อิมามฮุเซน  อิมามอลี ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (.) เข้าพบท่านนบี(..) ท่านได้คลุมบุคคลเหล่านี้ด้วยผ้าคลุมเยเมน และขอพรจากพระองค์ให้พวกเขาหลุดพ้นจากมลทินทั้งปวง เป็นเหตุให้อัลลอฮ์ทรงประทานโองการลงมา คำถามก็คือ พฤติกรรมดังกล่าวของท่านนบี(..) มีเหตุผลรองรับหรือไม่? หรือว่าปราศจากเหตุผลใดๆรองรับ?
แน่นอนว่าบุคคลที่ยิ่งใหญ่อย่างท่านนบี(..)ย่อมไม่กระทำสิ่งใดโดยปราศจากเหตุผลอย่างแน่นอน[5] เมื่อพิจารณาถึงประโยคก่อนและหลังโองการ إِنَّما یُرِیدُ اللَّهُ لِیُذْهِبَ... จะพบว่าท่านประสงค์จะจำแนกอะฮ์ลุลบัยต์ออกจากบุคคลทั่วไป และต้องการจะสื่อว่าโองการดังกล่าวจำกัดเฉพาะบุคคลเหล่านี้เท่านั้น เพื่อไม่ให้ผู้ใดเข้าใจผิดคิดว่าสมาชิกครอบครัวของท่านนบีทั้งหมดทุกคนเป็นอะฮ์ลุลบัยต์  ทั้งนี้ ถ้าหากท่านนบีไม่ได้จำแนกเช่นนั้น อาจทำให้บางคนเข้าใจว่าภรรยานบีและเครือญาติคนอื่นๆของท่านอยู่ในกรอบความหมายของโองการด้วย ด้วยเหตุนี้จึงมีรายงานว่า ท่านนบี(..) กล่าวย้ำถึงสามครั้งว่าโอ้ อัลลอฮ์ บุคคลเหล่านี้เท่านั้นที่เป็นอะฮ์ลุลบัยต์ของข้าพระองค์ ขอทรงขจัดมลทินจากพวกเขาเทอญ[6]
นอกจากนี้ยังมีรายงานจากตำราอะฮ์ลิสซุนนะฮ์ว่า ท่านนบี(..) แวะมาเคาะประตูบ้านของอิมามอลีและท่านหญิงฟาฏิมะฮ์(.) โดยพร่ำกล่าวว่า 

السلام علیکم أهل البیت و رحمة الله و برکاته ، الصلاة رحمکم الله »، إنما یرید الله لیذهب عنکم الرجس أهل البیت و یطهرکم تطهیرا[7] [8]

2. พิสูจน์ภาวะปลอดบาป (อิศมัต)
อีกแง่มุมหนึ่งที่สะท้อนจากฮะดีษกิซาอ์ก็คือภาวะปลอดมลทินของอะฮ์ลุลบัยต์และบรรดาอิมาม ทั้งนี้ จากการที่ฮะดีษดังกล่าวเป็นเหตุที่โองการ إِنَّما یُرِیدُ اللَّهُ لِیُذْهِبَ عَنْکُمُ الرِّجْسَ ประทานลงมา ฉะนั้น ในเมื่อโองการดังกล่าวบ่งบอกถึงภาวะปลอดบาป ฮะดีษนี้ก็บ่งบอกในทำนองเดียวกัน
นักอรรถาธิบายบางคนจำกัดความหมายของริจส์เพียงแค่การตั้งภาคี หรือบาปใหญ่ที่น่ารังเกียจเช่น ซินา...ฯลฯ ทว่าจริงๆแล้วไม่มีเหตุผลใดรองรับการจำกัดความหมายเช่นนี้ ความหมายเชิงกว้างของ ริจส์ (เมื่อคำนึงว่ามีอลีฟลามที่ให้ความหมายเชิงกว้าง) ครอบคลุมถึงมลทินและบาปกรรมทั้งปวง เนื่องจากบาปทุกชนิดล้วนถือเป็นมลทินทั้งสิ้น ด้วยเหตุนี้กุรอานจึงใช้คำนี้กับการตั้งภาคี การดื่มสุราเมรัย การพนัน การหน้าไหว้หลังหลอก และเนื้อสัตว์ที่ผิดบทบัญญัติ[9]

อีกมุมหนึ่ง ด้วยเหตุที่พระประสงค์ทุกประการของอัลลอฮ์จะต้องบังเกิดขึ้น ฉะนั้น ประโยค إِنَّما یُرِیدُ اللَّهُ لِیُذْهِبَ عَنْکُمُ الرِّجْسَ จึงบ่งบอกถึงพระประสงค์ที่ต้องบังเกิดขึ้น โดยเฉพาะการที่มีคำว่า انّما ปรากฏอยู่ ซึ่งให้ความหมายเชิงเจาะจง ซึ่งหมายความว่าพระองค์ทรงประสงค์อย่างแน่วแน่ที่จะต้องบันดาลให้อะฮ์ลุลบัยต์หลุดพ้นจากมลทินทั้งปวง และนี่ก็คือภาวะปลอดบาปนั่นเอง

ที่น่าสนใจก็คือ พระประสงค์ในโองการนี้มิไช่พระประสงค์ประเภทเดียวกับบทบัญญัติฮะล้าลฮะรอม (พระประสงค์เชิงขะรีอัต) เนื่องจากบทบัญญัติศาสนาครอบคลุมถึงบุคคลทั่วไปมิได้เจาะจงอะฮ์ลุลบัยต์ ซึ่งย่อมขัดต่อเจตนารมณ์ที่มีการใช้คำว่า انّما
ฉะนั้น พระประสงค์อันต่อเนื่องนี้จึงหมายถึงการช่วยเหลือประเภทหนึ่งจากอัลลอฮ์ ที่ทำให้อะฮ์ลุลบัยต์สามารถรักษาภาวะปลอดบาปไว้ได้อย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันก็มิได้ขัดต่อหลักอิสรภาพของมนุษย์ในการเลือกกระทำ

อันที่จริงนัยยะของโองการดังกล่าวก็ปรากฏในบทซิยารัตญามิอะฮ์เช่นกันอัลลอฮ์ทรงปกป้องพวกท่านจากความเฉไฉ และให้พ้นจากความเสื่อมเสีย และชำระให้ปลอดจากมลทิน และผลักไสราคะให้ห่างไกลจากพวกท่าน เพื่อให้บริสุทธิหมดจด[10]
ด้วยคำอธิบายที่นำเสนอไปแล้ว คงไม่เหลือข้อกังขาใดๆเกี่ยวกับภาวะปลอดบาปของอะฮ์ลุลบัยต์อีกต่อไป[11]
ฉะนั้น จึงกระจ่างแล้วว่าฮะดีษกิซาอ์มีความสำคัญต่อการพิสูจน์หลักอิมามัตและภาวะปลอดบาปของอะฮ์ลุลบัยต์เพียงใด



[1] ฮะละบี,ฮะซัน บิน ยูซุฟ, นะฮ์ญุลฮักก์ วะกัชฟุศศิดก์, หน้า 228-229, สถาบันดารุลฮิจเราะฮ์,กุม,..1407 ในหนังสือมุสนัด อะห์มัด บิน ฮัมบัล ได้รายงานฮะดีษจากหลากสายรายงาน ส่วนหนังสือ อัลญัมอ์ บัยนัศ ศิฮาฮิส ซิตตะฮ์ รายงานจากท่านหญิงอุมมุสะละมะฮ์ว่า ฟาฏิมะฮ์ได้เข้าพบท่านนบี(..) ท่านกล่าวว่า เธอจงเรียกสามีและลูกชายทั้งสองคนมาด้วย ขณะที่ทั้งหมดอยู่ใต้ผ้าคลุม โองการ إِنَّما یُرِیدُ اللَّهُ لِیُذْهِبَ عَنْکُمُ الرِّجْسَ أَهْلَ الْبَیْتِ وَ یُطَهِّرَکُمْ تَطْهِیراً ก็ประทานลงมา ท่านนบีจับปลายผ้าคลุมแล้วชี้ไปที่เบื้องบนพร้อมกับกล่าวว่า คนเหล่านี้แหล่ะคืออะฮ์ลุลบัยต์ของข้าพระองค์ ท่านหญิงอุมมุสะละมะฮ์เล่าว่า ฉันได้ก้มศีรษะเพื่อจะเข้าไปอยู่ใต้ผ้าคลุมด้วย แล้วถามท่านนบีว่า ดิฉันเป็นอะฮ์ลุลบัยต์ด้วยหรือไม่คะ? ท่านตอว่า เธออยู่ในสถานะที่ดี (ทว่ามิได้อยู่ในกรอบอะฮ์ลุลบัยต์) เนื้อหาเดียวกันนี้รายงานในเศาะฮี้ห์ อบี ดาวู้ด และ มุวัฏเฏาะอ์ มาลิก, และเศาะฮี้ห์มุสลิม โดยอ้างสายรายงานที่แตกต่างกัน

[2] ฮัสกานี, ฮากิม, ชะวาฮิดุตตันซี้ล ลิกอวาอิดุตตัฟฎี้ล, เล่ม 2,หน้า 17, เตหราน,..1411

[3] ซัยยิด บินฏอวู้ส, อัฏเฏาะรออิฟ ฟี มะอ์ริฟะติล มะซาฮิบิฏ เฏาะวาอิฟ,เล่ม 1,หน้า 124, สำนักพิมพ์คัยยอม,..1400

[4] قالَ لَهُ وَعَلَیْکَ السَّلامُ یا اَخى یا وَصِیّى وَخَلیفَتى وَصاحِبَ لِواَّئى

[5] อันนัจม์, 3,4 และเขา(นบี) ไม่พูดบนพื้นฐานของกิเลส ทุกวาจานั้นมิไช่อื่นใดนอกจากวะฮีย์

[6] اللهم هؤلاء أهل بیتی و خاصتى فاذهب عنهم الرجس و طهرهم تطهیر เชคเศาะดู้ก, อะมาลี, สำนักพิมพ์อะอ์ละมี, เบรุต ..1400

[7] อะฮ์ซาบ,33

[8] ฏ็อบรอนี, อัลมุอ์ญัม อัลเอาสัฏ, เล่ม 17,หน้า 438, ฮะดีษที่ 8360

[9] ฮัจญ์,30 มาอิดะฮ์,90 เตาบะฮ์,125 อันอาม,145

[10] عصمکم اللَّه من الذلل و آمنکم من الفتن، و طهرکم من الدنس، و اذهب عنکم الرجس، و طهرکم تطهیرا

[11] มะการิม ชีรอซี, นาศิร, ตัฟซี้รเนมูเนะฮ์, เล่ม 17,หน้า 298, ดารุลกุตุบอัลอิสลามียะฮ์, เตหราน, พิมพ์ครั้งแรก,..1374

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

คำถามสุ่ม

  • บทบัญญัติเกี่ยวกับการให้อัลกุรอานเป็นของขวัญแก่ชาวฮินดู ขณะที่เขาต้องการที่จะศึกษาและรู้จักอัลกุรอาน และเขาต้องสัมผัสหน้าอัลกุรอานแน่นอน ?
    6682 สิทธิและกฎหมาย 2554/09/25
    ก่อนที่จะอธิบายถึงทัศนะของมัรญิอฺตักลีดเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวนี้, จำเป็นต้องพิจารณาปัญหาเหล่านี้ก่อน1. ฮินดูในความเป็นจริงก็คือผู้ปฏิเสธศรัทธา2. ในกรณีที่มั่นใจ (มิใช่เดา) ว่าเขาจะทำให้กุรอานนะญิซโดยกาเฟร
  • การโอนถ่ายพลังจากบุคคลหนึ่งไปยังอีกบุคคลหนึ่งนั้นเป็นที่ยอมรับในศาสนาอิสลามหรือไม่? ประเด็นนี้มีฮุกุมเช่นไร?
    5955 สิทธิและกฎหมาย 2555/05/19
    เรื่องนี้รวมถึงการรักษาและผลพวงที่ว่ากันว่าจะได้รับจากการรักษาดังกล่าวยังไม่อาจพิสูจน์ได้ และอาจจะเป็นไปได้ว่าผู้ที่อยู่ในวงการนี้อาจจะอุปทานไปเอง ดังนั้นบรรดามะรอญิอ์ตักลีดก็ยังไม่ได้ให้คำตอบที่ชัดเจนเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว เนื่องจากเป็นประเด็นที่ยังมีความคลุมเคลืออยู่ อย่างไรก็ตามคำตอบของบรรดามัรญิอ์ตักลีดท่านอื่นเกี่ยวกับคำถามนี้มีดังนี้ สำนักงานของท่านอายาตุลลอฮ์ อัลอุซมา มะการิม ชีรอซี ประเด็นหลักของการรักษาทางพลังเอเนรจีนั้นไม่มีปัญหาอะไร แต่หากจะต้องขึ้นอยู่กับการกระทำฮะรอมถือว่าไม่อนุญาต คำตอบของท่านอายาตุลลอฮ์ มะฮ์ดี ฮาดะวี เตหะรานี มีดังนี้ การกระทำนี้ โดยตัวของมันเองแล้วนั้นถือว่าไม่มีข้อห้ามแต่อย่างใด ยกเว้นกรณีที่กระทำด้วยปัจจัยที่เป็นฮะรอม เช่นการถูกเนื้อต้องตัวกับผู้ที่ไม่ใช่มะฮ์รอม ฯลฯ ซึ่งไม่เป็นที่อนุญาต ทว่าหากการนำเสนอประเด็นนี้เป็นพื้นฐานในการสร้างความเชื่อที่ผิด ๆ และผู้นำเสนอในประเด็นดังกล่าวจะแอบอ้างว่าตนมีพลังและความสามารถที่พิเศษเหนือมนุษย์ ซึ่งจะทำให้เกิดความเบี่ยงเบนและหันเหไปทางที่ผิดทางความคิดในสังคมนั้น ก็จะถือว่าประเด็นดังกล่าวเป็นสิ่งที่ฮะรอม หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง คำถามที่ 4864 (ลำดับในเว็บไซต์ ...
  • ระหว่าง ลาอิลาฮะอิลลาฮุวะ และ ลาอิลาฮะอิลลัลลอฮ์ มีข้อแตกต่างกันอย่างไร?
    9316 เทววิทยาดั้งเดิม 2555/03/04
    บางฮะดีษระบุว่า ยาฮุวะ หรือ ยามันลาฮุวะ อิลลาฮุวะ คืออภิมหานามของพระองค์ (อิสมุ้ลอะอ์ซ็อม) แน่นอนว่าข้อแตกต่างระหว่างลาอิลาฮะอิลลาฮุวะ และ ลาอิลาฮะอิลลัลลอฮ์ นั้น สืบเนื่องมาจากความแตกต่างระหว่าง “ฮุวะ” และ “อัลลอฮ์”นั่นเอง “ฮุวะ”ในที่นี้สื่อถึงคุณลักษณะหนึ่งของพระองค์ซึ่งอยู่พ้นนิยามและญาณวิสัย และจะเร้นลับตลอดไป ส่วนคำว่า “อัลลอฮ์” สื่อถึงการที่พระองค์เป็นศูนย์รวมของคุณลักษณะอันไพจิตรและพ้นจากคุณลักษณะอันไม่พึงประสงค์ทั้งมวล ฉะนั้น เมื่อกล่าวว่า ลาอิลาฮะอิลลัลลอฮ์ แปลว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์ผู้ทรงดำรงไว้ซึ่งคุณสมบัติต่างๆอย่างครบถ้วน โดยมิได้จะสื่อว่าอาตมันของพระองค์จำแนกจากคุณสมบัติทั้งมวล และเมื่อกล่าวว่า พระองค์ (ฮุวะ) คืออัลลอฮ์ (ในซูเราะฮ์กุ้ลฮุวัลลอฮ์) นั่นหมายถึงว่าคุณลักษณะของพระองค์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับอาตมันของพระองค์ ...
  • การส่งยิ้มเมื่อเวลาพูดกับนามะฮฺรัม มีกฎเป็นอย่างไร?
    5610 สิทธิและกฎหมาย 2554/11/21
    การส่งยิ้มและล้อเล่นกับนามะฮฺรัมถ้าหากมีเจตนาเพื่อเพลิดเพลินไปสู่การมีเพศสัมพันธ์หรือเกรงว่าจะเกิดข้อครหานินทาหรือเกรงว่าจะนำไปสู่ความผิดแล้วละก็ถือว่าไม่อนุญาต
  • จงอธิบายทฤษฎีของพหุนิยมทางศาสนาและการตีความที่แตกต่างกันของศาสนา และระบุความแตกต่างของพวกเขา?
    17871 เทววิทยาใหม่ 2555/04/07
    1.พหุนิยมหมายถึง ความมากมายในหลายชนิด ทั้งในทางปรัชญาของศาสนา, ปรัชญาจริยธรรม, กฎหมาย และการเมืองและว่า ... ซึ่งทั้งหมดมีการใช้งานที่แตกต่างกัน ซึ่งการรับรู้ทั้งหมดเหล่านี้อย่างเป็นทางการในนามของการรู้จักในความหลากหลาย ในทางตรงกันข้ามกับความเป็นหนึ่งเดียว หรือความจำกัดในความเป็นหนึ่งเดียว พหุนิยมทางศาสนา หมายถึงการไม่ผูกขาดความถูกต้องไว้ในศาสนาใดศาสนาหนึ่งเฉพาะพิเศษ การได้รับผลประโยชน์ของทุกศาสนาจากความจริงและการช่วยเหลือให้รอด 2. พหุนิยม อาจได้รับการพิจารณาในหมู่ศาสนาต่างๆ หรือระหว่างนิกายต่างๆ ในศาสนาที่มีอยู่ก็ได้ 3. ในความคิดของเราชาวมุสลิมทั้งหลาย พหุนิยมถูกปฏิเสธก็เนื่องจากเหตุผลที่ว่า ในศาสนาอิสลามมีเหตุผลที่ชัดเจนเกี่ยวกับสาเหตุความถูกต้องของศาสนาอิสลาม ในลักษณะที่ว่าในศาสนาอื่น ๆ ไม่มีเหตุผลที่ถูกต้องพอเหมือนกับศาสนาอิสลาม นอกจากนี้ คัมภีร์แห่งฟากฟ้า (อัลกุรอาน) ยังไม่มีการบิดเบือนหรือสังคายนาใดๆ ทั้งสิ้น และความสมบูรณ์ของศาสนาอิสลามก็เท่ากับว่าได้ยกเลิกคำสอนของศาสนาอื่นไปโดยปริยาย 4. การตีความที่แตกต่างกันของศาสนา ซึ่งหนึ่งในหลักการพื้นฐานของสิ่งนั้นคือ อรรถปริวรรตศาสตร์ และอีกประการหนึ่งคือการรู้จักต่างๆ ในศาสนาและการวิจัย ...
  • มนุษย์ธรรมดาทั่วไปสามารถเป็นผู้บริสุทธิ์ได้หรือไม่?
    6400 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2554/03/08
     คำว่า “อิซมัต” หมายถึ่งความสะอาดบริสุทธิ์หรือการดำรงอยู่ในความปอดภัยหรือการเป็นอุปสรรคต่อการหลงลืมกระทำความผิดบาปความบริสุทธิ์นั้นมีระดับชั้นซึ่งแน่นอนว่าระดับชั้นหนึ่งนั้นสูงส่งเฉพาะพิเศษสำหรับบรรดาศาสดา ...
  • อิสลามมีทัศนะเกี่ยวกับการอ่านเร็วบางไหม? โปรดให้ความเห็นด้วยว่า อิสลามเห็นด้วยกับการอ่านเร็วไหมในประเด็นใด?
    20488 2555/05/17
    การอ่านเร็ว หรือการอ่านช้าขึ้นอยู่กับบุคคลที่ค้นคว้า ส่วนคำสอนศาสนานั้นมิได้ระบุถึงประเด็นเหล่านี้ แต่สิ่งที่กล่าวถึงเกี่ยวกับการอัลกุรอานคือ จงอ่านด้วยท่องทำนองอย่างชัดเจน ดังที่กล่าวว่า : "وَ رتّلِ القُرآنَ تَرتیلاً" และจงอ่านอัล-กุรอานเป็นจังหวะอย่างตั้งใจ[1] ท่านอิมาม (อ.) กล่าวอธิบายว่า จงอย่ารีบเร่งอ่านอัลกุรอานเหมือนกับบทกลอน และจงอย่าทิ้งช่วงกระจัดกระจายเหมือนก้อนกรวด[2] เช่นเดียวกันรายงานกล่าวว่า ท่านอิมามริฎอ (อ.) จะอ่านอัลกุรอานจบทุกๆ สามวัน ท่านกล่าวว่า ถ้าหากฉันต้องการอ่านให้จบน้อยกว่า 3 วัน ก็สามารถทำได้ แต่เมื่ออ่านโองการเหล่านั้น ฉันจะคิดและใคร่ครวญเกี่ยวกับโองการเหล่านั้นว่า โองการเหล่านั้นกล่าวถึงเรื่องอะไร และถูกประทานลงมาเกี่ยวกับเรื่องอะไร ในเวลาใด, ด้วยเหตุนี้ ฉันจะอ่านอัลกุรอานจบหนึ่งรอบในทุก 3 ...
  • เป็นไปได้หรือไม่ที่สังคมคนบาปจะรอดพ้นหรือได้รับการชลออะซาบเนื่องจากมีคนดีอาศัยอยู่ไม่กี่คน?
    5970 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/18
    กุรอานและฮะดีษสอนว่า มีปัจจัยบางประการที่ช่วยชลอหรือขจัดปัดเป่าอะซาบให้พ้นจากสังคม ในที่นี้ขอหยิบยกมานำเสนอบางประการดังต่อไปนี้:หนึ่ง. การที่สังคมยังมีท่านนบี หรือผู้ขออภัยโทษอาศัยอยู่:  وَماکانَاللَّهُلِیُعَذِّبَهُمْ
  • เคยได้ยินฮะดีษที่ว่าท่านนบี(ซ.ล.)ได้บั่นศีรษะชัยฏอนไปแล้ว, ฮะดีษนี้เชื่อถือได้เพียงใด? แล้วการล่อลวงของชัยฏอนจะตีความอย่างไร?
    9372 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/21
    ฮะดีษที่ดังกล่าวมีอยู่จริงในขุมตำราฮะดีษของเรา อย่างไรก็ดี ฮะดีษดังกล่าวมีจุดประสงค์เพื่ออธิบายเกี่ยวกับ“เยามิล วักติล มะอ์ลูม”(วันเวลาที่กำหนดไว้)ดังคำบอกเล่าของกุรอาน อิบลีสถูกเนรเทศออกไปจาก ณ พระองค์ แต่มันได้ขอให้ทรงประวิงเวลา อัลลอฮ์ตัดสินคาดโทษอิบลีสจนถึง“เยามิล วักติล มะอ์ลูม” ฮะดีษที่ถามมาต้องการจะเฉลยปริศนาเกี่ยวกับวันเวลาดังกล่าว โดยเชื่อว่าจะเกิดขึ้นในยุคแห่งร็อจอะฮ์(ยุคต่อจากกาลสมัยของอิมามมะฮ์ดี ที่บรรดาอิมามในอดีตจะหวลกลับมาบริหารรัฐอิสลามโลก) หาไช่วันสิ้นโลกหรือวันกิยามะฮ์ไม่.
  • เป็นไปได้หรือไม่ที่จะรู้จักบุคคลสำคัญในสวรรค์และนรก?
    6224 เทววิทยาดั้งเดิม 2555/03/07
    มีหลายโองการในกุรอานที่กล่าวถึงบทสนทนาระหว่างชาวสวรรค์และชาวนรก ซึ่งทำให้พอจะทราบคร่าวๆได้ว่าชาวสวรรค์สามารถที่จะรับรู้สภาพและชะตากรรมของบุคคลต่างๆในนรกได้ นอกจากนี้ เหล่าบุรุษชาวอะอ์ร้อฟรู้จักสีหน้าของชาวสวรรค์และชาวนรกเป็นอย่างดี มีฮะดีษมากมายที่ระบุว่าเหล่าบุรุษแห่งอะอ์ร้อฟนั้น ตามนัยยะเชิงแคบก็คือบรรดาอิมามมะอ์ศูม(อ.) ส่วนนัยยะเชิงกว้างก็หมายถึงบรรดามนุษย์ที่ได้รับการเลือกสรร ซึ่งจะอยู่ในลำดับถัดจากบรรดาอิมาม โดยบุคคลเหล่านี้อยู่เหนือชาวสวรรค์และชาวนรกทั้งมวล เราขอนำเสนอความหมายของโองการเหล่านี้ดังต่อไปนี้ 1. โองการที่ 50-57 ซูเราะฮ์ อัศศ้อฟฟ้าต “ในสรวงสวรรค์ ผู้คนต่างหันหน้าเข้าหากันแล้วถามไถ่กันและกัน โดยหนึ่งในนั้นเอ่ยขึ้นว่า แท้จริงฉันมีสหายคนหนึ่งที่ถามฉันว่า เธอเชื่อได้อย่างไรที่ว่าหลังจากที่เราตายและกลายเป็นธุลีดินแล้ว จะถูกนำไปพิพากษา (ชาวสวรรค์กล่าวว่า) ท่านรับรู้สภาพปัจจุบันของเขาหรือไม่? เมื่อนั้นก็ได้ทราบว่าเขาอยู่ ณ ใจกลางไฟนรก (ชาวสวรรค์)กล่าวแก่เขาว่า ขอสาบานต่อพระองค์ เจ้าเกือบจะทำให้ฉันหลงทางแล้ว หากปราศจากซึ่งพระเมตตาของพระองค์ ฉันคงจะอยู่(ในไฟนรก)เช่นกัน”[1] 2. โองการที่ 50-57 ซูเราะฮ์ มุดดัษษิร “ทุกคนย่อมค้ำประกันความประพฤติของตนเอง นอกจากสหายแห่งทิศขวาซึ่งจะถามไถ่กันในสรวงสวรรค์ ...

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    59368 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    56820 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    41644 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    38394 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    38388 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    33427 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    27522 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    27214 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    27111 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    25181 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...