การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
6411
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2554/03/08
 
รหัสในเว็บไซต์ fa861 รหัสสำเนา 12545
คำถามอย่างย่อ
มนุษย์ธรรมดาทั่วไปสามารถเป็นผู้บริสุทธิ์ได้หรือไม่?
คำถาม
มนุษย์ธรรมดาทั่วไปสามารถเป็นผู้บริสุทธิ์ได้หรือไม่?
คำตอบโดยสังเขป

 คำว่าอิซมัตหมายถึ่งความสะอาดบริสุทธิ์ หรือการดำรงอยู่ในความปอดภัย หรือการเป็นอุปสรรคต่อการหลงลืมกระทำความผิดบาป ความบริสุทธิ์นั้นมีระดับชั้น ซึ่งแน่นอนว่าระดับชั้นหนึ่งนั้นสูงส่งเฉพาะพิเศษสำหรับบรรดาศาสดา (.) และบรรดาอิมามผู้เป็นตัวแทนของพระองค์ ซึ่งตำแหน่งผู้บริสุทธิ์ที่เป็นของท่านเหล่านั้น ซึ่งพิสูจน์ด้วยเหตุที่อัลกุรอานและรายงานได้ยืนยันไว้ ประกอบกับท่านเหล่านั้นได้รับการแต่งตั้งมาเพื่อชี้นำมวลมนุษย์ชาติ ในฐานะของเคาะลิฟะฮฺ ส่วนเกี่ยวกับบุคคลอื่นนั้นแม้ว่าจะพิสูจน์ได้ในระดับหนึ่งและสามารถรู้จักได้ก็ตาม แต่ก็มิได้อยู่ในระดับหรือแถวเดียวกันกับบรรดามะอฺซูมเหล่านั้น หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่าพวกเขาไม่สามารถไปถึงขั้นนั้นได้แน่นอน การพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของคนทั่วไปไม่อาจพิสูจน์ได้ด้วยเหตุผลของอัลกุรอาน รายงาน และการแต่งตั้งก็ตาม ทว่าเราสามารถรู้จักได้ว่าสัญลักษณ์ เช่น การกระทำความดี หรือจากเนียต (เจตคติ) และอีกหลายประการ ซึ่งสมารถจำแนกได้

คำตอบเชิงรายละเอียด

มนุษย์คือสรรพสิ่งที่มีอยู่ด้วยเจตคติหรือมีเจตนารมณ์เสรี ซึ่งได้ถูกสร้างขึ้นมาในลักษณะที่ว่าเขาถูกประดับประดาด้วยพลังความศรัทธา และการกระทำความดี และด้วยการหลีกเลี่ยงจากความหลงลืมในคำสั่งใช้ และคำสั่งห้ามของพระเจ้า ซึ่งสามารถไปถึงยังตำแหน่งของ เคาะลิฟะตุลลอฮฺได้ หมายถึงเขาได้พบกับความสมบูรณ์ทั้งหมดที่เหมาะสมสำหรับการเป็นมนุษย์คนหนึ่ง และบริสุทธิ์จากการหลงลืม ข้อบกพร่องทั้งทางโลกและทางธรรม มีอำนาจวิลายะฮฺตักวีนียะฮฺในหัวใจ[1]

การเลือกสรรที่ถูกต้องบนพื้นฐานความรู้และความปรารถนาที่แข็งแรงของเขา ต้องเป็นไปตามสติปัญญาและธรรมชาติของศาสนา และแน่นอน ถ้าหากความรู้และความปรารถนาของเราแข็งแรงมากเท่าใด เขาก็จะปลอดภัยจากความผิดพลาดมากเท่านั้น เนื่องจากสาเหตุของการหลงลืมนั้นเกิดจากการที่เราไม่มีความเชื่อ และไม่สนใจ ถ้าหากปัจจัยของการกำชับความดีและการห้ามปรามความชั่วมีความสำคัญต่อเขาจริง และเป็นคำย้ำเตือนต่อเขาด้วยดีเสมอมาแล้วละก็ เขาจะไม่ลืมและจะไม่ผิดพลาดอย่างเด็ดขาด และนี่ก็คือตำแหน่งที่เรียกว่า อิซมัต หรือความบริสุทธิ์นั้นเอง ซึ่งตำแหน่งนี้นั่นเองที่ได้ส่งเสริมเขาให้ขึ้นไปสู่ ตำแหน่งวิลายะฮฺและเป็นเคาะลีฟะตุลลอฮฺ ในที่สุด บรรดาศาสดาและผู้เป็นตัวแทนของพระเจ้าคือ ผู้รักษาวะฮฺยูทีซื่อสัตย์ของพระองค์ และในฐานะที่เป็นอิมามและเป็นแบบอย่างสำหรับมวลมนุษย์ชาติทั้งหลาย จำเป็นอย่างยิ่งที่ท่านเหล่านั้นต้องพัฒนาตนไปสู่ตำแหน่งดังกล่าว จนกระทั่งว่า

1) พวกเขาจะได้สามารถนำเอาข่าวสารของพระเจ้าประกาศแก่ประชาชนได้อย่างถูกต้อง และสมบูรณ์ที่สุด

2) เพื่อว่าประชาชนจะได้มั่นใจในคำพูดและความประพฤติของพวกเขา

3) เพื่อว่าประชาชนจะได้นำเอาความประพฤติและจริยธรรมของพวกเขามาเป็นแบบอย่าง และอบรมสั่งสอนตัวเองและบุตรหลานให้เป็นเช่นนั้น เพื่อว่าตนจะได้ก้าวเดินไปสู่ความสมบูรณ์ในการเป็นเคาะลีฟะฮฺของพระเจ้า สามารถโน้นน้าวแนวทางอันเป็นวัตถุประสงค์ของพระเจ้ามาแนบติดตัวไว้ได้ตลอดเวลา และจนกระทั่งตนสามารถพบอัลลอฮฺได้ในที่สุด ด้วยเหตุนี้เอง ด้วยความเมตตาการุณย์ของพระเจ้า พร้อมกับเจตคติเสรีนับตั้งแต่วัยเด็กจนถึงบั้นปลายสุดท้ายของชีวิต เขาไม่เคยกระทำความผิด ไม่เคยละเมิด และไม่เคยละเว้นคำสั่งใช้และคำสั่งห้ามแต่อย่างใด จนกระทั่งว่าประชาชนได้เลื่อมใสและเชื่อถือเขาถึงขั้นสูงสุด ข้อพิสูจน์สำหรับประชาชนก็เสร็จสมบูรณ์ อีกทั้งยังได้แนะนำบุคคลอื่นให้เชื่อปฏิบัติตามเช่นนั้นอีกด้วย

ดังนั้นมนุษย์ทุกคนสามารถก้าวเดินไปบนหนทางของ อิซมัต ได้จนกระทั้งไปถึงยังตำแหน่งวิลายะฮฺและคิลาฟะฮฺ และไม่ว่าเขาจะพยายามมากเท่าใด มีความเคร่งครัดในเรื่องตักวา (ความสำรวมตนจากบาป) มากเท่าใด เขาก็จะได้รับความเมตตาการุณย์จากพระเจ้ามากท่านั้น เนื่องจาก พระองค์ทรงสัญญาว่าจงสำรวมตนต่ออัลลอฮฺเถิด แล้วพระองค์จะทรงสอนสั่งเจ้า[2] ทำนองเดียวกันอัลกุรอานกล่าวว่าส่วนบรรดาผู้ต่อสูดิ้นรนในหนทางของเรา (ด้วยความบริสุทธิ์ใจ) แน่นอน เราจะชี้แนะหนทางอันถูกต้องของเราแก่พวกเขา แท้จริง อัลลอฮฺทรงอยู่ร่วมกับผู้กระทำความดีทั้งหลาย[3] พระองค์ตรัสอีกว่าบรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย หากสูเจ้าสำรวมตนต่ออัลลอฮฺ พระองค์จะทรงให้สิ่งจำแนกแก่สูเจ้า ระหว่างความจริงและความเท็จ และจะทรงลบล้างบรรดาความผิดของสูเจ้าออกจากสูเจ้าและจะทรงอภัยโทษให้แก่สูเจ้าด้วย อัลลอฮฺ คือผู้ทรงมีบุญคุณอันใหญ่หลวง[4] อีกโองการหนึ่งกล่าวว่าผู้ใดปฏิบัติความดีไม่ว่าจะเป็นเพศชายหรือเพศหญิงก็ตาม โดยที่เขาเป็นผู้ศรัทธา ดังนั้นเราจะให้เขาดำรงชีวิตที่ดี แน่นอนเราจะตอบแทนพวกเขาซึ่งรางวัลของพวกเขา ที่ดียิ่งกว่าที่พวกเขาได้เคยกระทำไว้[5]

รายงาน (ฮะดีซ) กุดซีย์กล่าวว่า บุคคลใดจากปวงบ่าวของข้า ถ้าเขามุ่งมานะอยู่กับการอิบาดะฮฺต่อข้า ข้าจะเติมเต็มความสุขในการรำลึกถึงข้าแก่เขา และเขาจะกลายเป็นผู้ที่รักข้า และข้าก็จะรักเขา ข้าจะปลดเปลื้องม่านกันสายตาระหว่างข้ากับเขาออกไป ดังนั้น เมื่อประชาชนคนอื่นตกอยู่ในวิกฤตของการหลงลืม เพิกเฉย เขาจะปลอดภัยจากสภาพนั้น (เขาจะไม่มีวันลืมเลือน) ฉะนั้น เมื่อเขาพูด คำพูดของเขาจะเหมือนคำพูดของบรรดาศาสดาทั้งหลาย พวกเขาทั้งหลายคือคุณาประโยชน์แก่ชาวโลก ข้าได้กำหนดโทษแก่ผู้กระทำความผิด แต่ยามที่ข้านึกถึงพวกเขา ข้าได้ถอดถอนการลงโทษไปจากชาวดิน เนื่องจากพวกเขา[6]

ฉะนั้น อิซมัต หรือความบริสุทธิ์ ที่มีอยู่ในบรรดาศาสดาทั้งหลายนั้น สามารถพิสูจน์ได้ด้วยโองการต่างๆ และรายงานอีกจำนวนมากมาย ประกอบกับเหตุผลทางสติปัญญาก็ยืนยันให้เห็นถึงสิ่งเหล่านั้น[7] แต่ทว่าไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะท่านเหล่านั้น เนื่องจากบุคคลใดก็ตามถ้าหากได้ขวนขวายพยายามที่จะสร้างความสำรวมตน ด้วยความรู้และความปรารถนาของตนสามารถ เขาก็สามารถไปถึงระดับดังกล่าวได้เช่นกัน

ในบรรดาศาสดาและตัวแทนของท่านนอกจากจะมีสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์อยู่ในตัวแล้ว พวกท่านยังได้รับการเลือกสรรจากพระเจ้าให้เป็นตัวแทนของพระองค์บนหน้าแผ่นดิน บางท่านได้ดำรงตำแหน่งศาสดา และบางท่านได้ตำแหน่งวิลายะฮฺ แน่นอน การแต่งตั้งของพระเจ้าย่อมเป็นเหตุผลทีชี้ชัดเจนว่า พวกเขาเหล่านั้นเป็นผู้บริสุทธิ์ปราศจากบาป และอยู่ในตำแหน่งสูงส่ง มิเช่นนั้นแล้วการที่อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเลือกพวกเขาให้เป็นผู้ชี้นำสั่งสอนคนอื่น หรือให้การอบรมฝึกฝนคนอื่นให้เป็นคนดี หรือมีหน้าที่ปกป้องศาสนาของพระองค์ ทั้งที่ตัวเองยังมีบาปและความผิดอยู่ จะเข้ากันได้อย่างไรกับตำแหน่งการเป็นตัวแทนของพระเจ้า[8] แต่หนทางในการจำแนกตำแหน่งหรือการเข้าถึงสถานภาพดังกล่าวคือ

1) ผู้บริสุทธิ์หลีกเลี่ยงจากความผิดและพฤติกรรมเลวร้าย อันเป็นสภาพการดำรงชีวิตของคนทั่วไปในสังคม เนื่องจากพวกเขาต้องเผชิญกับการกระทำความผิด เช่น การล่วงถลำเข้าไปในความชั่วร้ายต่างๆ การหลงในตำแหน่งหน้าที่ กิเลส ทรัพย์สิน และอื่นๆ

2) กระทำในสิ่งที่ยิ่งใหญ่บางครั้งอาจเหนือธรรมชาติด้วยซ้ำไป เช่น การล่วงรู้ในความรู้ เจตคติ และความคิดของคนอื่น การเยียวยารักษาอาการเจ็บป่วย การขจัดปัดเป่าสิ่งไม่ดีให้พ้นไปจากตัวคนอื่น ซึ่งภารกิจเหล่านี้คนอื่นไม่อาจกระทำได้

3) ดุอาอ์และการสาปแช่งของพวกเขาได้รับการตอบรับจากพระเจ้า

4) มีอิทธิพลกับจิตใจของคนอื่น ซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงจิตใจของคนนั้นให้เป็นคนดีได้

5) มีใจกว้างและอภัยให้สังคมเสมอ และรู้จักสถานภาพของตนเองตลอดเวลาทั้งในแง่ปัจเจกบุคคลและส่วนรวม

6) พวกเขาคือผู้อำนวยความการุณย์ของพระเจ้า ด้วยเหตุนี้ เราจึงได้เห็นความจำเริญและความโปรดปรานของพระองค์หลั่งไหลลงมาอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งการลงโทษก็ถูกถอดถอนไปจากสังคม

แน่นอน เมื่อเราพิจารณาทีท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อล ) และตัวแทนของท่านเราก็ได้ประจักษ์ชัดว่า ท่านเหล่านั้นอยู่ในตำแหน่งเหล่านี้ ซึ่งเป็นเรื่องเป็นไปได้ที่บุคคลอื่นจะเข้าถึงยังตำแหน่งดังกล่าว ในระหว่างบรรดาศาสดาด้วยก้นก็ยังมีระดับขั้นของความบริสุทธิ์ ซึ่งบรมศาสดามุฮัมมัด (ซ็อล ) ถือว่ามีตำแหน่งสูงสุด รองลงมาเป็นบรรดาอิมาม (.) ผู้เป็นตัวแทนของศาสดา และรองลงมาเป็นบรรดาศาสดาท่านอื่นๆ จนกระทั่งไปถึงประชาชนคนธรรมดา หมายถึงการดำเนินไปสู่ความเป็นผู้บริสุทธิ์ หรือคิลาฟะฮฺของอัลลอฮฺนั้น มีระดับชั้นและขั้นตอนที่ต่างกันออกไปทั้งในแนวตั้งและในแนวนอน ซึ่งทั้งหมดไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกัน แน่นอนว่าการจำแนกตำแหน่งเหล่านี้ขึ้นอยู่กับความรู้ที่พระเจ้าทรงประทานให้มา 

 

แหล่งอ้างอิง :

1.อัลกุรอานกะรีม

2.ญะวาด ออมูลี อับดุลลอฮฺ ตะฮฺรีร ตัมฮีดุล กะวาอิด สำนักพิมพ์ อัซซะฮฺรอ (.) พิมพ์ครั้งที่ 1 ปี 1372 เตหะราน

3. ญะวาด ออมูลี อับดุลลอฮฺ วิลายะฮฺในกุรอาน สำนักพิมพ์อัสรอ พิมพ์ครั้งที่ 1 ปี 1379 กุม

4.ญะวาด ออมูลี อับดุลลอฮฺ ฮิกมะฮฺ อิบาดะฮฺ สำนักพิมพ์อัสรอ พิมพ์ครั้งที่ 2 ปี 1378 กุม

5. ฮุซัยนฺ เตหะรานี มุฮัมมัด ฮุซัยนฺ เตาฮีด อิลมีวะอัยนีย์ นัชร์ อัลลามะฮฺ เฏาะบาเฏาะบาอี พิมพ์ครั้งที่ 2 ปี .. 1417 มัชฮัด

6. อายะตุลลอฮฺ ซ็อดร์ ซัยยิดมุฮัมมัดบากิร คิลาฟะฮฺ อินซาน วะ กะวาฮี พียัมบะรอน แปลโดย ญะมาล มูซาวี ปี 1359 เตหะราน

7. ฆิยอ ชะโมชะกีย์ อบุลฟัฎล์ วิลายะดัรเอรฟาน ดารุลซอดิกีน พิมพ์ครั้งที่ 1 ปี 1378 เตหะราน

8. มุเฏาะฮะรีย์ มุรตะฎอ อินซานกามิล สำนักพิมพ์ ซ็อดร์ พิมพ์ครั้งที่ 8 ปี 1372 กุม

9. มุเฏาะฮะรีย์ มุรตะฎอ วะลาฮอ วะวิลายะฮฺฮอ ตัฟตัรอินติชารอต อิสลามี กุม

10. มะลิกีย์ ตับรีซีย์ ญะวาด ริซาละฮฺ ลิกออุลลอฮฺ ตุรบัต พิมพ์ครั้งที่ 2 ปี 1379 เตหะราน



[1]  เนะมอเยะฮฺฮอเยะ มะฮฺบูบโคดาชุดัน สะอาดัตวะกะมาลอินซาน กุรบ์อิลาฮี และ ...

[2]  อัลกุรอาน บทบะเกาะเราะฮฺ 282, บทตะฆอบุน 11

[3] อัลกุรอาน บทอังกะบูต 69

[4] อัลกุรอาน บทอัลฟาล 29

[5] อัลกุรอาน บทอันนะฮฺลิ 97

[6]  คัดลอกมาจาก ฮุซัยนี เตหะรานี มุฮัมมัด ฮุซัยนฺ เตาฮีดอิลมีวะอัยนี หน้า 337

[7]  มิซบาฮฺ ยัซดีย์ มุฮัมมัด ตะกีย์ เราะฮฺวะเราะเนะมอชะนอซีย์ หน้า 147,212

[8] อ้างแล้วเล่มเดิม

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

คำถามสุ่ม

  • ทั้งที่ท่านอิมามอลี (อ.) ทราบถึงเจตนาชั่วของอิบนิ มุลญัม เหตุใดท่านจึงไม่ปกป้องชีวิตตนเอง?
    6208 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/12/29
    เหตุผลที่ท่านอิมามอลีไม่แก้ไขเหตุที่จะเกิดในอนาคตก็คือ:1.ความรู้ระดับทั่วไปคือหลักเกณฑ์ในการปฏิบัติภารกิจ:เพื่อเป็นการเคารพกฏเกณฑ์ของอัลลอฮ์ท่านอิมามจึงเลือกที่จะปฏิบัติหน้าที่เสมือนบุคคลทั่วไปโดยจะไม่ปฏิบัติตามความรู้แจ้งเห็นจริงเนื่องจากว่าหากท่านจะปฏิบัติตามญาณวิเศษย่อมจะไม่สามารถเป็นแบบฉบับแก่บุคคลทั่วไปได้เพราะบุคคลทั่วไปไม่มีญาณวิเศษ2. กลไกของโลกดุนยาตั้งอยู่บนพื้นฐานของการทดสอบซึ่งหากจะปฏิบัติตามญาณวิเศษก็ย่อมจะทำให้กลไกดังกล่าวเสียหายเนื่องจากจะทำลายชีวิตประจำวันของผู้คนสรุปคือแม้ว่าอิมามอลีมีหน้าที่ต้องรักษาชีวิตเสมือนบุคคลทั่วไปแต่ทว่าประการแรก: หน้าที่ดังกล่าวอยู่ในขอบเขตความรู้ทั่วไปมิไช่ญาณวิเศษประการที่สอง: คู่กรณีของท่าน(อิบนิมุลญัม)
  • มุศฮัฟฟาฏิมะฮ์คืออะไร? ท่านนบี(ซ.ล.)และบรรดาอะฮ์ลุลบัยต์ทราบเรื่องนี้หรือไม่?
    8795 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/11/09
    มุศฮัฟฟาฏิมะฮ์เป็นชื่อหนังสือที่บันทึกโดยท่านอิมามอลี(อ.)ภายหลังนบีวะฝาตไปแล้วเนื้อหาของหนังสือเล่มนี้เป็นข้อมูลที่ญิบรออีลหรือมะลาอิกะฮ์องค์หนึ่งถ่ายทอดแก่ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ซึ่งกล่าวถึงเหตุการณ์ในอนาคตตลอดจนความเร้นลับของอาลิมุฮัมมัด(ซ.ล.) หนังสือเล่มนี้ถือเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของตำแหน่งอิมามและเป็นมรดกตกทอดระหว่างอิมามปัจจุบันอยู่ในครอบครองของท่านอิมามมะฮ์ดี(อ.)เนื่องจากหนังสือเล่มนี้เขียนขึ้นหลังท่านนบี(ซ.
  • เด็กผู้ชายที่มีอายุ 12 ปีสามารถเข้าร่วมในการนมาซญะมาอัตแถวเดียวกับผู้ชายคนอื่นๆได้หรือไม่?
    5953 สิทธิและกฎหมาย 2555/03/08
    การที่ลูกหลานและเยาวชนเข้าร่วมกิจกรรมมัสยิดและร่วมนมาซญะมาอัตจะทำให้พวกเขาผูกพันกับการนมาซ ซึ่งไม่เพียงแต่ไม่เป็นที่ต้องห้าม ทว่าถือเป็นมุสตะฮับอย่างยิ่ง[1] แต่ประเด็นที่ว่า การที่เด็กที่ยังไม่สามารถแยกแยะถูกผิดได้และยังไม่บรรลุนิติภาวะจะเข้าร่วมในนมาซญะมาอัต และจะทำให้การนมาซของผู้อื่นมีปัญหาหรือไม่นั้น มีสองประเด็นดังต่อไปนี้ ผู้นมาซคนอื่นๆสามารถที่จะเชื่อมต่อกับอิมามญะมาอัตได้โดยวิธีอื่น ในกรณีนี้การนมาซญะมาอัตของผู้อื่นถือว่าไม่มีปัญหาแต่อย่างใด[2] การที่ผู้อื่นจะต้องเชื่อมต่อกับอิมามญะมาอัตโดยผ่านผู้ที่ยังไม่บรรลุนิตะภาวะเท่านั้น (เช่นมีเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะยื่นอยู่ที่แถวหน้าหลายคน ในกรณีนี้คำวินิจฉัยของอุลามามีดังนี้ “หากในระหว่างแถวที่มีการนมาซญะมาอัตมีเด็กที่สามารถแยกแยะถูกผิดได้ยืนอยู่ หากเรามิได้แน่ใจว่านมาซของเขาไม่ถูกต้อง ก็สามารถยืนแถวต่อจากเขาได้”[3] อนึ่ง กฏดังกล่าวมีไว้สำหรับกรณีที่มีเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะยืนอยู่หลายๆคนในแถวเดียวกัน แต่ถ้าหากเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะยืนอยู่ในแถวนมาซญะมาอัตหลายคน ทว่าไม่ได้ยืนอยู่ติดๆกัน โดยยืนในลักษณะกั้นกลางผู้ที่บรรลุนิติภาวะแล้วสองคน (ถึงแม้ว่าเราจะรู้ว่านมาซของพวกเขาไม่ถูกต้องก็ตาม) ก็ไม่ทำให้นมาซของผู้อื่นมีปัญหาแต่อย่างใด อ่านเพิ่มเติมได้ที่ “การจัดแถวในการนมาซญะมาอัตและฮุกุมของการเคลื่อนไหวในการนมาซ”, ...
  • การบริโภคเนื้อเต่าคือมีฮุกุมอย่างไร? ฮะลาลหรือฮะรอม?
    6547 สิทธิและกฎหมาย 2554/09/11
    การบริโภคเนื้อเต่าถือว่าเป็นฮะรอม[1]ในภาษาอาหรับเรียกเต่าว่า “ซุลฮะฟาต” และมีริวายะฮ์มากมายที่กล่าวว่าเป็นฮะรอม[2]
  • ภาพรวม, คำสอนหลักของอัลกุรอาน บทบนีอิสราเอลคืออะไร?
    8508 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/05/20
    ตามทัศนะของนักตัฟซีรที่มีชื่อเสียงส่วนใหญ่,กล่าวว่า บทบนีอิสราเอล (อิสรออฺ)[1] ถูกประทานลงที่มักกะฮฺ และถือว่า[2]เป็นหนึ่งในบทมักกียฺ โดยสรุปทั่วไปแล้ว, บทเรียนอันเป็นคำสอนหลักของอัลกุรอาน บทนบีอิสราเอล วางอยู่บนประเด็นดังต่อไปนี้ : 1.เหตุผลของนบูวัต โดยเฉพาะอย่างยิ่งปาฏิหาริย์ของอัลกุรอาน และการขึ้นมิอ์รอจญ์ของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) 2.ปัญหาเกี่ยวกับ มะอาด, การลงโทษ, ผลรางวัล, บัญชีการงาน และ .. 3.บางส่วนจากประวัติศาสตร์ อันเป็นเรื่องราวของหมู่ชนบนีอิสราเอล ซึ่งเริ่มต้นตั้งแต่บทจนกระทั่งจบบท 4.ปัญหาเรื่องความอิสระทางความคิด ความประสงค์ และเจตนารมณ์เสรี และทุกภารกิจที่เป็นการกระทำดีและไม่ดี ซึ่งทั้งหมดย้อนกลับไปสู่มนุษย์ทั้งสิ้น
  • ท่านอิมามศอดิก(อ.)เคยมีอาจารย์ชาวอะฮ์ลิสซุนนะฮ์บ้างหรือไม่?
    6535 تاريخ کلام 2555/02/18
    หนึ่ง. ประเด็นนี้เป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง เนื่องจากบรรดามะอ์ศูมีน(อ.)ล้วนมีความรู้ครอบคลุมทุกแขนงวิชาการอยู่แล้ว[1] ซึ่งไม่จำเป็นต้องศึกษาวิชาการอย่างวิชาฮะดีษจากผู้อื่น ในทางกลับกัน ผู้นำฝ่ายอะฮ์ลิสซุนนะฮ์บางท่านเคยเป็นลูกศิษย์ลูกหาของท่านทั้งทางตรงหรือทางอ้อม อาทิเช่น อบูฮะนีฟะฮ์ และมาลิก บิน อนัส[2]
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    38414 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • จัดเลี้ยงวันเกิดเป็นฮะรอมหรือไม่?
    22979 สิทธิและกฎหมาย 2555/04/07
    การฉลองวันเกิดมิได้เป็นประเพณี (ซุนนะฮฺ) อิสลาม และคำสอนของศาสนาอิสลามก็ไม่ได้แนะนำไว้ว่า มนุษย์ต้องจัดฉลองวันเกิดของเขา แต่เราไม่ต้องการที่จะประณามการกระทำนี้ว่าเป็นประเพณีใหม่ แต่ก็ไม่อาจยอมรับการนำเข้าประเพณีอื่น ๆ อย่างสุ่มสี่สุ่มห้าได้ เนื่องจากเราเชื่อว่า ประเพณีต่างๆ จะต้องมีที่มาอันเป็นรากลึกในการรับรู้ของประชาชน แต่หลังจากการพิจารณาแล้วประเพณีเหล่านี้สามารถนำไปสู่ความสมบูรณ์และการพัฒนาได้ ซึ่งสามารถให้นิยามสำหรับประเพณีใหม่นี้ ซึ่งเป็นวันเกิดของคนๆ หนึ่งให้มีความเหมาะสมกับเขา โดยตั้งชื่อว่า เป็นวันขอบคุณและสรรเสริญพระเจ้า ซึ่งพระองค์ทรงดูและขาให้มีชีวิตอยู่นับตั้งแต่วันเกิด จนถึงบัดนั้น เช่นเดียวกันถือว่าเป็นโอกาสหนึ่งสำหรับการคิดใคร่ครวญในอายุขัยของเขาว่า เขาได้ใช้ไปในหนทางใด และส่วนอายุขัยที่เหลือเขาจะใช้มันไปอย่างไร หรือมีการปรับปรุงแก้ไขวิธีการ ขั้นตอน และแนวทางในการดำเนินชีวิตอย่างไร และจงรำลึกถึงอัลลอฮฺเสมอ วิงวอนต่อพระองค์ว่า โอ้ อัลลอฮฺ โปรดทำให้ก้าวเดินต่อไปของเรามีแต่ความดีงาม ดีกว่าอดีตที่ผ่านมา โปรดทำให้วันสุดท้ายของเราเป็นวันที่ดีที่สุด และโปรดทำให้วันต่างๆ ของเราเป็นวันพบกับพระองค์ ด้วยเหตุนี้, การจัดงานวันเกิดสำหรับตนเองหรือบุตรหลาน, ถ้างานนั้นเต็มไปด้วยความฟุ่มเฟือยสุรุ่ยสุหร่าย หรือไม่ขัดต่อชัรอียฺ, เช่น ไม่มีการขับกล่อมบรรเลงเพลงที่ฮะรอม เต้นรำ และ ...ร่วมอยู่ในงาน ถือว่าไม่เป็นไร ...
  • โปรดอธิบาย ปรัชญาของการกล่าวข้อผูกมัดนิกาห์ คืออะไร?
    8123 จริยศาสตร์ 2555/06/30
    ตามคำสอนของอิสลามการแต่งงานถือเป็นข้อตกลงที่ศักดิ์สิทธิ์ สำหรับการจัดตั้งครอบครัวและสิ่งที่ติดตามมาคือ, ระบบสังคม ซึ่งแน่นอนว่าย่อมมีผลสะท้อนและบทสรุปอย่างมากมาย เช่น : เพื่อตอบสนองความต้องการทางกามรมย์, ผลิตสายเลือดและรักษาเผ่าพันธุ์, สร้างความสมบูรณ์ในความเป็นมนุษย์, สร้างความสงบมั่นแก่จิตใจ, เป็นการรักษาความสะอาดบริสุทธิ์, เป็นการส่งเสริมความผูกพันให้มั่นคง และประเด็นอื่นๆ อีกมากมาย, ดังนั้น การจัดการข้อตกลงศักดิ์สิทธิ์นี้ให้สมประสงค์ได้, มีเพียงการปฏิบัติไปตามกฎเกณฑ์พื้นฐาน และเงื่อนไขอันเฉพาะที่อัลลอฮฺ ทรงกำหนดไว้เท่านั้น จึงจะเป็นไปได้. เช่น เงื่อนที่ว่านั้นได้แก่การกล่าวข้อผูกมัดนิกาห์ ด้วยคำพูดเฉพาะ (ดังกล่าวไว้ในหนังสือริซาละฮฺต่างๆ) พระผู้อภิบาลผู้ทรงเกรียงไกรในฐานะของ พระเจ้าผู้ทรงกำหนดกฎระเบียบ พระองค์คือผู้ทรงกำหนดคำพูดอันทรงเกียรติยิ่งนี้ และให้ความน่าเชื่อถือ พร้อมกับการเกิดขึ้นของคำพูดดังกล่าวในฐานะ อักดฺนิกาห์, จึงเป็นสาเหตุทำให้เกิดการเป็นสามีภรรยา ระหว่างชายกับหญิงขึ้น. การแต่งงานมิได้หมายถึง ความพอใจของสองฝ่ายเท่านั้น ทว่าเป็นความพึงพอใจและการยินยอมของทั้งสองฝ่าย อันถือว่าเป็นเงื่อนไขสำคัญยิ่งสำหรับการแต่งงาน ที่จะเกิดขึ้นพร้อมกับการอ่านอักดฺนิกาห์ปัจจุบันนี้ เพื่อให้การแต่งงานนั้นถูกต้องสมบูรณ์ตามหลักการชัรอียฺ. การแต่งงาน มิได้หมายถึงความพอใจของสองฝ่ายเท่านั้น ทว่าเป็นความพึงพอใจและยินยอมของทั้งสองฝ่าย อันถือว่าเป็นเงื่อนไขสำคัญสำหรับการแต่งงาน ...
  • ฮะดีษที่ว่า "อิมามทุกท่านมีสถานะและฐานันดรเทียบเคียงท่านนบี(ซ.ล.)"(อัลกาฟีย์,เล่ม 1,หน้า 270) เชื่อถือได้หรือไม่?
    6663 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/11/09
    แม้เหล่าผู้ปราศจากบาปทั้งสิบสี่ท่านจะบรรลุฐานันดรทางจิตวิญญาณอันสูงส่งแต่อย่างไรก็ดีท่านเราะซู้ล(ซ.ล.)คือผู้ที่มีสถานะสูงสุดและมีข้อแตกต่างบางประการที่อิมามมะอ์ศูมอื่นๆไม่มีดังที่ท่านอิมามศอดิก(อ.)กล่าวว่า "บรรดาอิมามเปรียบดั่งท่านนบี(ซ.ล.) เพียงแต่มิได้มีสถานะเป็นศาสนทูตและไม่สามารถกระทำบางกิจเฉกเช่นนบี (

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    59387 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    56839 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    41668 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    38418 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    38414 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    33447 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    27537 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    27232 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    27131 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    25203 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...