การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
7509
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2554/03/08
 
รหัสในเว็บไซต์ fa1799 รหัสสำเนา 12543
คำถามอย่างย่อ
ทำไมอิมามฮุซัยน (อ.) จึงไม่ลุกขึ้นยืนในสมัยของมุอาวิยะฮ ?
คำถาม
ทำไมอิมามฮุซัยน (อ.) จึงไม่ลุกขึ้นยืนในสมัยของมุอาวิยะฮ ?
คำตอบโดยสังเขป

สำหรับคำตอบที่ว่าเพราะเหตุใดท่านอิมามฮุซัยนฺ (.) จึงไม่ลุกขึ้นยืนต่อสู้ในสมัยมุอาวิยะฮฺนั้น สามารถกล่าวได้ว่าอาจเป็นเพราะประเด็นเหล่านี้ :

1. เป็นเพราะการให้เกียรติและเคารพในสนธิสัญญาของพี่ชายและอิมามของท่าน ท่านอิมามฮะซัน มุจญฺตะบา (.) ซึ่งท่านได้ทำสนธิสัญญาฉบับนี้กับมุอาวิยะฮฺ และมุอาวิยะฮฺเองแสร้งให้เกียรติสนธิสัญญาดังกล่าวนั้น

2. มุอาวิยะฮฺหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าด้วยเลือดกับอิมาม ฮุซัยนฺ (.) เนื่องจากเกียรติยศ ศักดิ์ศรี และชาติตระกูลของอิมามที่สูงส่งกว่า ประกอบคำทำนายของท่านนบีมุฮัมมัด (ซ็อล ) ที่ว่าราชวงศ์อุมัยยะฮฺต้องล่มสลายหลังจากชะฮาดัตของท่นอิมามฮุซัยนฺ (.) ซึ่งมุอาวิยะฮฺพยายามหลีกหนีความจริงข้อนี้ นอกจากนั้นแล้วเขายังได้สั่งเสียงให้ตนในตระกูลหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าดังกล่าวด้วย แต่ยะซีดในฐานะที่เป็นคนหยิ่งผยอง เมาสุราเป็นนิจศีล เขาจึงไม่ได้ปฏิบัติตามคำสั่งเสียของบิดาของเขา ฉะนั้น ตั้งแต่วันแรกที่ขึ้นปกครอง เขาได้ประกาศการเผชิญหน้ากับท่านอิมามฮุซัยนฺ (.) และขีดเส้นตายว่าต้องสังหารท่านอิมามให้จงได้

3. มุอาวิยะฮฺ เป็นนักการเมืองที่มีฝีมือและชาญฉลาด ดูจากภายนอกเหมือนเป็นผู้รักษาระเบียบและข้อบังคับของอิสลาม แต่ยังสามารถปกปิดความเลวร้ายภายในที่เขาได้สร้างขึ้นต่อหน้าสาธารณชนได้เป็นอย่างดี เรียกว่าเป็นคนที่มากด้วยเล่ห์เพทุบาย ขณะยะซีดในฐานะที่เป็นคนหนุ่มและขาดประสบการณ์ และดำเนินชีวิตไปในทางเสียหายมากด้วยราคะ และชอบเล่นกับลิงและสุนัข ใช้ชีวิตแบบคนโง่เขลาทั่วไป ซึ่งไม่มีผู้ใดปฏิเสธได้เลยถึงพฤติกรรมที่ชั่วร้ายของเขา ดังนั้นการนิ่งเงียบของอิมามฮุซัยนฺ (.) ต่อพฤติกรรมชั่วร้ายของเขา ถือว่าเป็นการยืนยันและสนับสนุนความชั่วของเขา และนั้นหมายถึงการทำลายรากของศาสนาอิสลามใหสิ้นไป

4. แต่อิมาม (.) ได้ลุกขึ้นต่อสู้ในสมัยของมุอาวิยะฮฺ เป็นไปได้ที่มุอาวิยะฮฺ จะทำลายขบวนการของท่านอิมามฮุซัยนฺ (.) ให้จบลงอย่างง่ายดาย ด้วยวิธีการและอำนาจที่มีอยู่ในมือขณะนั้น เขาต้องโฆษณาอย่างกว้างขวางว่าตนเป็นฝ่ายถูกต้อง แต่เราจะพบว่ายะซีดไร้ความสามารถในการทำลายเป้าหมายของอาชูรอ สิ่งที่เขาได้กระทำลงไปมันละลายหายไปหมดสิ้น

5. การขาดการสนับสนุนอย่างจริงใจจากประชาชน สำหรับอิมาม (.) ในสมัยของมุอาวิยะฮฺซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญ ขณะที่ในสมัยของยะซีด, จะเห็นว่ามีจดหมายนับพันฉบับจากประชาชนชาวกูฟะฮฺ ที่ส่งมาเชิญท่านอิมาม (.) และพวกเขาพร้อมให้การสนับสนุนการยืนหยัดต่อสู้ของท่านอิมาม ดังนั้น ถ้าอิมาม (.) ไม่เข้าไปในอิรักเพื่อปฏิบัติตามคำเรียกร้อง ในทัศนะของประชาชนก็จะกล่าวว่าอิมามกลัวตาย หรือท่านอิมามไม่แยแสต่อความเลวร้ายหรือการอธรรม และอาชญากรรมที่พวกอุมัยยะฮฺได้ก่อขึ้น อีกด้านหนึ่งท่านอิมามไม่ใส่ใจต่อเสียงเรียกร้องของประชาชน ซึ่งทั้งหมดเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญ ที่ไม่อาจทดแทนได้]

คำตอบเชิงรายละเอียด

สถานการของรัฐบาล สถานภาพของประชาชน และสถานะของอิมาม ฮุซัยนฺ (,) ในยุคสมัยของมุอาวิยะฮฺและสมัยของยะซีดมีความแตกต่างกันมากมาย ซึ่งประเด็นที่สำคัญที่สุดได้แก่

1. อิมามฮะซัน มุจญฺตะบา (.) ในช่วงอายุขัยและช่วงการปกครองของท่านนั้น  เมื่อท่านขอความช่วยเหลือจากประชาชนให้สงครามกับมุอาวิยะฮฺ ท่านต้องพบกับความผิดหวังอย่างรุนแรง บรรดาแม่ทัพของท่านต้องถูกซื้อตัวไปด้วยเม็ดเงินของมุอาวิยะฮฺ พวกเขาได้ปลดปล่อยตัวเองออกไป ดังนั้น เพื่อปกป้องอิสลามให้ดำรงสืบต่อไป และปกป้องชีวิตของเหล่าบรรดาสาวกที่จงรักภักดีกับท่าน และเพื่อให้ข้อพิสูจน์เสร็จสิ้นสำหรับท่าน ประชาชน และมุอาวิยะฮฺ ท่านจึงต้องทำสนธิสัญญาเพื่อความสงบสันติขึ้น ทั้งที่ไม่ใช่ความประสงค์ของท่านเลยแม้แต่น้อย แต่เป็นวิธีการเดียวที่จะช่วยปกป้องอิสลามให้ดำรงสืบต่อไปได้ บางส่วนของสนธิสัญญากล่าวว่า  :

. มุอาวิยะฮฺจะต้องยุติการทำร้ายและกลั่นแกล้งพวกชีอะฮฺ;

. ข้อตกลงทางการเงิน เช่น จะต้องคืนเงินที่ปล้นสะดมคืนให้กับพวกชีอะฮฺ พวกอันซอร และโดยเฉพาะพวกที่จงรักภักดีกับท่านอิมามอะลี (.)

. ให้มุอาวิยะฮฺเลิกสาปแช่งท่านอิมามอะลี บุตรของอบูฏอลิบ (.) ในที่สาธารณะ;

. ห้ามไม่ให้มุอาวิยะฮฺใช้ฉายานาม"อะมีรุลมุอ์มินีน"สำหรับตัวเอง;

. ห้ามไม่ให้มุอาวิยะฮฺแต่งตั้งผู้แทนการปกตรองหลังจากตน[1]

อิมามฮุซัยนฺ (.) หลังจากการเป็นชะฮีดของท่านอิมามฮะซัน (.), ท่านได้หลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับยะซี เนื่องจากให้เกียรติและเคารพสนธิสัญญาที่ท่านอิมามฮะซัน (.) ได้ทำไว้กับมุอาวิยะฮฺ[2] แต่หลังจากมุอาวิยะฮฺได้จากโลกไป ไม่จำเป็นต้องให้เกียรติและเคารพในสนธิสัญญานั้นอีกต่อไป ดังนั้น ด้วยการเป็นชะฮีดของท่านอิมามฮะซัน (.) ระยะเวลาของสัญญาก็สิ้นสุดลงด้วย

2. มุอายะฮฺเองก็พยายามหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าและการนองเลือดกับอิมามฮุซัยนฺ (.) และเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบในการรักษาการปกครองของตน จำเป็นต้องอดทนต่ออิมามทั้งสองท่าน อีกทั้งได้สั่งห้ามและกำชับคนอื่นไม่ให้เผชิญหน้ากับท่านอิมามด้วยเช่นกัน ห้ามมิให้มีการติดต่อกับท่าน ด้วยเหตุนี้ แม้แต่การเอาสัตยาบันจากอิมาม มุอาวิยะฮฺยังได้กำชับกับยะชีดไว้นักหนาว่า อย่าใช้กำลังและความรุนแรงกับอิมามฮุซัยนฺอย่างเด็ดขาด แต่ยะซีดเนื่องจากเป็นคนหนุ่ม ขาดประสบการณ์ และมีความยโสโอหัง เขาไม่ประสงค์ที่จะปฏิบัติตามคำสั่งเสียของบิดา ซึ่งนับตั้งแต่วันแรกที่ขึ้นมาปกครองเขาได้สั่งผู้ปกครองมะดีนะฮฺว่า ให้เอาสัตยาบันจากอิมามฮุซัยนฺ (.)  ให้จงได้หรือไม่ก็ให้ตัดศีรษะส่งมาให้ฉัน

และนี่คือวิธีการของยะซีด ซึ่งทำให้ต้องเผชิญหน้ากับท่านอิมามโดยตรง เนื่องจากท่านอิมาม (.) จะไม่ยอมให้สัตยาบันกับยะซีดอย่างแน่นอน ซึ่งเราได้ประจักษ์กับสายตาแล้วว่าในแผ่นดินกัรบะลาอ์ได้เกิดอะไรขึ้น การกระทำของยะซีดนั่นเองเป็นเหตุทำให้รางวงศ์ของอุมัยยะฮฺต้องสิ้นสุดลง[3]

3. มุอาวิยะฮฺเป็นนักการเมืองที่มีฝีมือ และรู้จักรักษาภาพลักษณะต่อหน้าสาธารณะชนได้เป็นอย่างดี เขาสามารถปกปิดความไม่ดีของเขา การทุจริตภายใน และความเลวร้ายที่ก่อขึ้นต่อหน้าสาธารณชนได้เป็นอย่างดี สร้างค่าที่นิยมต่อประชาชนจนกระทั่งประชาชนยอมรับว่าเป็นมุสลิม และเป็นเคาะลิฟะฮฺของท่านศาสดา (ซ็อล ) อีกทั้งได้ส่งเสริมการภารกิจในอิสลาม แต่ยะซีดไม่ได้มีทักษะและประสบการณ์เหล่านี้ เขาก่อความเสียหาย และล่วงละเมิดทางเพศอย่างอย่างเห็นได้ชัดเจน และเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาทั้งหมดยิ่งกว่าแสงแดดในตอนกลางวัน ทั้งโดยทั่วไปและเฉพาะเจาะจง เขาได้แสดงการปฏิเสธศรัทธาและไม่ยอมรับพระเจ้า เขามีความภาคภูมิใจต่อการเป็นผู้ตั้งภาคีของเหล่าบรรพชนของเขา ที่สำคัญเขาไม่เคยให้เกียรติท่านนบี (ซ็อล ) แม้แต่น้อย ด้วยเหตุนี้ จะเห็นว่าการดำรงสภาพความสันติในสมัยของยะซีด มีความหมายเท่ากับเป็นการสนับสนุนและส่งเสริมความชั่วร้ายที่เปิดเผย ซึ่งในที่สุดแล้วยิ่งเป็นการทำให้สังคมหลงผิดมากไปกว่าเดิม[4] และการสืบสานต่อการปกครองของยะซีด เท่ากับเป็นการอำลาจากอิสลาม และทำลายบทบัญญัติทั้งหมดของอิสลาม[5]

4. ก่อนหน้านี้ได้กล่าวไปแล้วว่ามุอาวิยะฮฺเป็นเจ้าเล่ห์เพทุบาย และเขาพยายามหลีกเลียงการเผชิญหน้ากับท่านอิมามฮุซัยนฺ (.) มาโดยตลอด แต่ถ้าอิมาม (.) ได้ลุกขึ้นยืนต่อสู้กับมุอาวิยะฮฺในตอนนั้น สถานการณ์จะเอื้ออำนวยให้แก่มุอาวิยะฮฺทันที่ เนื่องจากการโฆษณาชวนเชื่อ การเผยแพร่ข้อมูลในทางที่ผิดให้กว้างขวางออกไป ด้วยอุปกรณ์เครื่องต่างๆ และอำนาจที่มีอยู่ในมือขณะนั้น ซึ่งเป็นไปได้การเคลื่อนไหวของท่านอิมามฮุซัยนฺ (.) จะไร้ผลทันที ผู้คนจะไม่กล่าวขานถึงอีกต่อไป ที่สำคัญสถานการณ์จะกลายเป็นประโยชน์แก่มุอาวิยะฮฺทันที และอุมัยยะฮฺก็จะสามารถดำรงการปกครองสืบต่อไปอีกช้านาน แต่เนืองจากความโง่เขลาและการก่อกรรมชั่วร้ายของยะซีดอย่างเปิดเผย และการอ่อนประสบการณ์ด้านการเมือง ยะซีดจึงได้คิดจัดการกับอิมาม (.) ขั้นเด็ดขาด และหลังการชะฮาดัตของท่านอิมามฮุซัยน (.) ด้วยความไร้เดียงสาและการไม่ได้มีทักษะในการทำงาน เขาจึงไม่สามารถลบประวัติศาสตร์หน้านี้ให้หมดไปได้ มิหนำซ้ำนับวันประวัติศาสตร์หน้านี้ยิ่งถูกทำให้ยิ่งใหญ่ และกลายเป็นแบบอย่างของการต่อสู้ทั้งหลายบนหน้าแผ่นดิน สร้างความชัดเจนให้ประชาชนมากยิ่งขึ้น จนในที่สุดราชวงศ์อุมัยยะฮฺได้มาสิ้นสุดลงเนื่องจากฝีมือของเขา และนี่คือความแตกต่างที่เห็นได้อย่างชัดเจนจากการปกครองของทั้งสอง ซึ่งสิ่งนี้ไม่ได้เป็นที่คลุมเครือสำหรับอิมามเลยแม้แต่นิดเดียว 

5. ในสมัยของมุอาวิยะฮฺ จะเห็นว่าไม่มีการเชิญชวนให้อิมาม (.) ยืนหยัดต่อสู้กับความอธรรมเลยแม้แต่น้อย ไม่มีการประกาศว่าจะสนับสนุนและให้การช่วยเหลืออิมามแต่อย่างใด เนื่องจากพฤติกรรมเจ้าเล่ห์ของมุอาวิยะฮฺ แต่หลังจากมุอาวิยะฮฺได้จากไป และการปกครองได้ตกไปถึงมือยะซีด สถานการณ์ได้เปลี่ยนไปทันที การนองเลือดมุสลิม การอธรรม และการกดขี่ต่างๆ จนกระทั่งประชาชนชาวกูฟะฮฺได้ออกมาเรียกร้อง และส่งจดหมายเชิญท่านอิมาม (.) หลายพันฉบับด้วยกัน พวกเขาได้เรียกร้องให้ท่านอิมาม (.) ไปเป็นอิมามสำหรับพวกเขา และให้ยืนหยัดต่อสู้กับพวกอุมัยยะฮฺ โดยที่พวกเขาจะเป็นผู้ให้การสนับสนุนทุกอย่างแก่ท่านอิมาม (.)

หลังจากการตายของมุอาวิยะก็ทำให้ข้อตกลงสันติภาพหมดวาระไปด้วย ประกอบกับคนก่อกรรมชั่วเฉกเช่นยะซีดได้ขึ้นปกครอง อีกด้านหนึ่งจดหมายหลายพันฉบับที่ส่งถึงท่านอิมามฮุซัยนฺ (.) เพื่อเชิญชวนให้ท่านไปเป็นอิมามสำหรับพวกเขา สิ่งเหล่านี้ได้กลายเป็นเหตุผลที่ทำให้ไม่เหลือข้ออ้างอันใดอีกต่อไป ดังนั้น ถ้าอิมาม (.) ไม่ตอบรับคำเชิญและไม่เริ่มเคลื่อนไหวไปสู่อิรักในทัศนะของประชาชนทั่วไปแล้วการกระทำเช่นนั้น เท่ากับอิมาม (.) ไม่สนใจชะตากรรมของประชาชาติอิสลาม และในที่สุดแล้วเท่ากับไม่สนใจต่ออิสลาม ไม่สนใจต่อคำเรียกร้องของผู้ถูกกดขี่ ที่เรียกร้องให้ไปต่อสู้กับผู้ก่อความเสียหาย ผู้กดขี่และทุจริต และไม่มีความไม่เป็นธรรมแม้แต่น้อย แน่นอนว่าเรืองราวต่างๆ ก็จะไม่เกิดขึ้น แต่การออกไปของท่านอิมาม (.) ตรงกับช่วงเทศกาลฮัจญฺพอดีทุกสิ่งเป็นที่เปิดเผย เหตุการณ์อาชูรอจึงเป็นที่ชัดเจนที่ว่าโศกนาฎกรรมความโหดร้ายที่วงศ์วานบนีอุมัยยะฮฺ ได้สังหารลูกหลานของท่านเราะซูล (ซ็อล ) อย่างโหดร้ายที่สุด จับบรรดาเด็กและสตรีที่ยังมีชีวิตอยู่เป็นเชลยล่ามโซ่ตรวน ความชั่วร้ายที่อุมัยยะฮฺได้กระทำไว้นั้น กลายเป็นข้อพิสูจน์และเหตุผลสมบูรณ์สำหรับผู้ที่ใฝ่หาความจริง ตลอดหน้าประวัติศาสตร์จากเวลานั้นจนถึงบัดนี้และตราบที่โลกยังอยู่ ไม่มีที่ว่างสำหรับผู้ปกครองที่ปล้นสะดมอำนาจการปกครองอีกต่อไป แม้ว่าพวกเขาพยายามที่จะปกปิดความจริง และร่องรอยทางประวัติศาสตร์มากเท่าใด ผลกระทบและร่องรอยของขบวนการณ์ หมายถึงการฟื้นฟูหลักการและศาสนาของท่านเราะซูล (ซ็อล ) ก็จะยิ่งชัดเจนและทวีความสำเร็จมากยิ่งขึ้น แน่นอน การยืนหยัดต่อสู้ของท่านอิมามฮุซัยนฺ (.) จึงกลายเป็นประทีปนำทางและเป็นนาวาที่ให้ความช่วยเหลือประชาชาติให้รอดปลอดภัย ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ของพวกเราที่จะต้องรับสาส์นต่อจากท่านหญิงซัยนับ (.) และท่านอิมามซัยนุลอาบิดีน (.) และประกาศสาส์นนี้ออกไปให้ชาวโลกทั้งหลายได้ประจักษ์ความจริง พิธีกรรมการรำลึกถึงท่านอิมามฮุซัยนฺ (.) จึงกลายเป็นการฟื้นฟูอิสลามให้ดำรงสืบต่อไป และเป็นเหตุผลสำหรับผู้ที่ใฝ่หาความจริง

แหล่งอ้างอิงเพื่อการศึกษาเพิ่มเติมต่อไป :

บิลาซะรีย์, อินซาบุลอัชรอฟ, เล่ม 2

อิบนุอะซากิร ตะฮฺซีบุตตารีค ดามัสกัส, เล่ม. 2

อัลลามะฮฺ มัจญฺลิส, บิฮารุลอันวาร เล่ม. 44

อิบนุ อะซีร อัลกามิลฟิลตารีค, เล่ม 3

อัดดัยนูรี อิบนุกุตัยบะฮฺ อัลอิมามะฮฺ วัซซิยาซะฮฺ

เชคมุฟีด อัลเอรชาด

ยะอ์กูบี อิบนุวาฎิฮ์ ตารีคยะกูบี

มัสอูดดี มุรูจญฺ อัซซิฮับ

เอซฟาฮานี อบุลฟะรัจญ์ มะกอติล อัฏฏอลิบีน

อัลยาซีน มุฮัมมัด ฮะซัน อัลอิมามฮะซัน บิน อะลี (.)



[1]  อะมีน อามิลีย์ ซัยยิด มุอ์ซิน อิมามฮะซันและอิมามฮุซัยนฺ (.) หน้า 70,54

[2] อ้างแล้วเล่มเดิม หน้า 148

[3]  มุฮัดดะซีย์ ญะวาด ฟัรฮังอาชูรอ หน้า 27 38 และหน้า 428,430

[4]  นิมอเยะฮฺ ความชั่วร้ายในรัฐบาลอิสลาม คำถามที่ 103 (ไซต์ 1019)

[5]  มุฮัดดะซีย์ ญะวาด ฟัรฮังอาชูรอ หน้า 484, 482, [5]  อะมีน อามิลีย์ ซัยยิด มุอ์ซิน อิมา

ฮะซันและอิมามฮุซัยนฺ (.) หน้า 282, 276

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • ทั้งที่ซะกาตไม่วาญิบสำหรับท่านอะลี (อ.) แล้วเพราะเหตุใดท่านต้องบริจาคซะกาตขณะนมาซด้วย ?
    6961 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/09/25
    ท่านอิมามอะลี (อ.) ไม่เคยเป็นคนจนหรือคนอนาถาจนไม่มีจะกินแต่อย่างใดแต่ท่านเป็นคนมีความพยายามสูงและไม่เคยหยุดนิ่ง, ท่านได้รับทรัพย์สินจำนวนมากมายแต่ทรัพย์ทั้งหมดเหล่านั้นท่านได้บริจาคไปในหนทางของอัลลอฮฺ (ซบ.), โดยไม่เหลือทรัพย์ส่วนใดไว้สำหรับตนเอง,ดังที่โองการต่างๆได้กล่าวถึงการบริจาคซะกาตของท่านไว้มากมายซึ่งหนึ่งในโองการเหล่านั้นก็คือโองการที่กำลังกล่าวถึงนอกจากนั้นแล้ววัฒนธรรมของอัลกุรอานยังได้กล่าวถึงการบริจาคที่เป็นมุสตะฮับ (สมัครใจ)
  • กรุณาไขเคล็ดลับวิธีบำรุงสมองทั้งในแง่รูปธรรมและนามธรรมตามที่ปรากฏในฮะดีษ
    7360 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/28
    ปัจจัยที่มีส่วนช่วยบำรุงสมองและเสริมความจำมีอยู่หลายประเภทอาทิเช่น1. ปัจจัยด้านจิตวิญญาณก. การรำลึกถึงอัลลอฮ์(ด้วยการปฏิบัติศาสนกิจโดยเฉพาะอย่างยิ่งการนมาซตรงเวลา)ข. อ่านบทดุอาที่มีผลต่อการเสริมความจำอย่างเช่นดุอาที่นบี(ซ.ล.)สอนแก่ท่านอิมามอลี(อ.)[i]سبحان من لایعتدى على اهل مملکته، سبحان من لایأخذ اهل الارض بالوان العذاب، سبحان الرؤوف الرحیم، اللهم اجعل لى فى قلبى نورا و بصرا و فهما و علما انک على کل ...
  • ทำไมอิมามฮุซัยน (อ.) จึงไม่ลุกขึ้นยืนในสมัยของมุอาวิยะฮ ?
    7508 ชีวประวัติมะอฺซูม (อ.) 2554/03/08
    สำหรับคำตอบที่ว่าเพราะเหตุใดท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) จึงไม่ลุกขึ้นยืนต่อสู้ในสมัยมุอาวิยะฮฺนั้นสามารถกล่าวได้ว่าอาจเป็นเพราะประเด็นเหล่านี้ :1. เป็นเพราะการให้เกียรติและเคารพในสนธิสัญญาของพี่ชายและอิมามของท่าน
  • มลาอิกะฮ์สร้างมาจากรัศมีของบรรดาอิมาม และมีหน้าที่ร่ำไห้แด่อิมามฮุเซน(อ.)กระนั้นหรือ?
    8981 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/12/19
    1. ความเชื่อที่ว่ามลาอิกะฮ์สร้างขึ้นจากรัศมีนั้นได้รับการยืนยันจากฮะดีษหลายบทที่รายงานไว้ในตำราฝ่ายชีอะฮ์และซุนหนี่ตำราชีอะฮ์บางเล่มระบุถึงการสร้างสิ่งมีชีวิตต่างๆรวมถึงมลาอิกะฮ์จากรัศมีของปูชนียบุคคลอย่างท่านนบี(ซ.ล.) หรือบรรดาอิมามหรือบุคคลอื่นๆดังที่ตำราของซุนหนี่เองก็เล่าว่าเคาะลีฟะฮ์ท่านแรกและคนอื่นๆถือกำเนิดจากรัศมีของท่านนบี(ซ.ล) การที่มีฮะดีษเหล่านี้ปรากฏอยู่ในตำรับตำราของแต่ละฝ่ายมิได้หมายความว่าทุกคนจะต้องคล้อยตามฮะดีษเหล่านี้เสมอไป อย่างไรก็ดีตำราฮะดีษชีอะฮ์ได้รายงานฮะดีษชุด "ฏีนัต" ไว้ซึ่งไม่อาจจะมองข้ามได้กล่าวโดยสรุปคือหากพบว่ามุสลิมแต่ละฝ่ายอาจมีทัศนะแตกต่างกันบ้างในเรื่องการสรรสร้างของพระองค์
  • ท่านอิมามอะลี (อ.) ได้ให้บัยอัตแก่อบูบักรฺ อุมัร และอุสมานหรือไม่? เพราะอะไร?
    10155 เทววิทยาดั้งเดิม 2555/07/16
    ประการแรก: ท่านอิมามอะลี (อ.) และบรรดาสหายกลุ่มหนึ่งของท่าน พร้อมกับสหายของท่านศาสดา มิได้ให้บัยอัตกับท่านอบูบักรฺตั้งแต่แรก แต่ต่อมาคนกลุ่มนี้ได้ให้บัยอัต ก็เนื่องจากว่าต้องการปกปักรักษาอิสลาม และความสงบสันติในรัฐอิสลาม ประการที่สอง: ปัญหาทั้งหมดที่เกิดขึ้นนั้นไม่อาจคลี่คลายให้เสร็จสิ้นได้ด้วยคมดาบ หรือความกล้าหาญเพียงอย่างเดียว และมิได้หมายความว่าทุกที่จะสามารถใช้กำลังได้ทั้งหมด เนื่องจากมนุษย์เป็นผู้มีสติปัญญา และฉลาดหลักแหลม สามารถใช้เครื่องมืออันเฉพาะแก้ไขปัญหาได้ ประการที่สาม: ถ้าหากท่านอิมามยอมให้บัยอัตกับบางคน เพื่อปกป้องรักษาสิ่งที่มีคุณค่ามากกว่า เช่น ปกป้องศาสนาของพระเจ้า และความยากลำบากของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) นั่นมิได้หมายความว่า ท่านเกรงกลัวอำนาจของพวกเขา และต้องการรักษาชีวิตของตนให้รอดปลอดภัย หรือท่านมีอำนาจต่อรองในตำแหน่งอิมามะฮฺและการเป็นผู้นำน้อยกว่าพวกเขาแต่อย่างใด ประการที่สี่ : จากประวัติศาสตร์และคำพูดของท่านอิมามอะลี (อ.) เข้าใจได้ว่า ท่านอิมาม ได้พยายามคัดค้านและท้วงติงพวกเขาหลายต่อหลายครั้ง เกี่ยวกับสถานภาพตามความจริง ในช่วงการปกครองของพวกเขา แต่ในที่สุดท่านได้พยายามปกปักรักษาอิสลามด้วยการนิ่งเงียบ และช่วยเหลืองานรัฐอิสลามเมื่อเผชิญหน้ากับศัตรู ...
  • การนอนในศาสนสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เช่นบริเวณฮะร็อมมีฮุกุมอย่างไร?
    5350 สิทธิและกฎหมาย 2554/11/19
    ฮะร็อม(บริเวณสุสาน)ของบรรดาอิมามตลอดจนศาสนสถานถือเป็นสถานที่ที่มุสลิมให้เกียรติมาโดยตลอดเนื่องจากการแสดงความเคารพสถานที่เหล่านี้ถือเป็นการให้เกียรติบรรดาอิมามและบุคคลสำคัญต่างๆที่ฝังอยู่ณสุสานดังกล่าวฉะนั้นควรหลีกเลี่ยงการกระทำที่ส่อไปในทางลบหลู่ดูหมิ่นสถานที่เหล่านี้เท่าที่จะทำได้แต่ทว่าในแง่ของฟิกฮ์การนอนในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เช่นมัสยิด, ฮะร็อมฯลฯถือว่าไม่เป็นที่ต้องห้ามนอกจากคนทั่วไปจะมองว่าการนอนในสถานที่ดังกล่าวเป็นการไม่ให้เกียรติสถานที่ซึ่งในกรณีนี้เนื่องจากวิถีประชาเห็นว่าการกระทำนี้เป็นสิ่งที่ไม่บังควรก็จะถึอว่าไม่ควรกระทำไม่ว่าสถานที่เหล่านั้นจะเป็นมัสยิดหรือฮะร็อมของบรรดาอาอิมมะฮ์ฯลฯก็ตาม
  • มีภัยคุกคามใดที่อาจจะเกิดขึ้นกับสาธารณรับอิสลาม?
    5365 ระบบต่างๆ 2554/11/21
    เพื่อที่จะทราบถึงภัยคุกคามของสิ่งๆหนึ่งก่อนอื่นเราจะต้องทำความรู้จักกับมูลเหตุต่างๆที่ทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น (ปัจจัยกำเนิด) และสิ่งที่จะทำให้สิ่งนั้นดำรงอยู่ (ปัจจัยพิทักษ์) เสียก่อนเนื่องจากภัยคุกคามที่อาจจะเกิดขึ้นกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งก็คือภัยที่จะคุกคามสองปัจจัยดังกล่าวนี่เองปัจจัยกำเนิดและพิทักษ์ของสาธารณรัฐอิสลามก็คือ 1. หลักคำสอนที่สูงส่งของอิสลาม (การปฏิบัติตามคำสั่งและหลักคำสอนของอิสลาม) 2. การมีผู้นำการปฏิวัติที่รอบรู้ 3. ความเป็นปึกแผ่นของประชาชนและการเชื่อฟังผู้นำหากปัจจัยดังกล่าวถูกคุกคามสาธารณรัฐอิสลามก็จะตกอยู่ในอันตรายฉะนั้นประชาชนเจ้าหน้าที่รัฐ
  • เนื่องจากการเสริมสวยใบหน้า ดังนั้น กรณีนี้สามารถทำตะยัมมุมแทนวุฎูอฺได้หรือไม่?
    9265 สิทธิและกฎหมาย 2556/01/24
    ทัศนะบรรดามัรญิอฺ ตักลีดเห็นพร้องต้องกันว่า สิ่งที่กล่าวมาในคำถามนั้นไม่อาจนำมาเป็นข้ออ้าง เพื่อละทิ้งวุฎูอฺหรือฆุซลฺ และทำตะยัมมุมแทนได้เด็ดขาด[1] กรณีลักษณะเช่นนี้ ผู้ที่มีความสำรวมตนส่วนใหญ่จะวางแผนไว้ก่อน เพื่อไม่ให้โปรแกรมเสริมสวยมามีผลกระทบกับการปฏิบัติสิ่งวาญิบของตน ซึ่งส่วนใหญ่จะทราบเป็นอย่างดีว่าเวลาที่ใช้ในการเสริมสวยแต่ละครั้งจะไม่เกิน 6 ชม. ดังนั้น ช่วงเวลาซุฮฺรฺ เจ้าสาวสามารถทำวุฏูอฺและนะมาซในร้านเสริมสวย หลังจากนั้นค่อยเริ่มแต่งหน้าเสริมสวย จนกว่าจะถึงอะซานมัฆริบให้รักษาวุฏูอฺเอาไว้ และเมื่ออะซานมัฆริบดังขึ้น เธอสามารถทำนะมาซมัฆริบและอิชาอฺได้ทันที ดังนั้น ถ้าหากมีการจัดระเบียบเวลาให้เรียบร้อยก่อน เธอก็สามารถทำได้ตามกล่าวมาอย่างลงตัว อย่างไรก็ตามเจ้าสาวต้องรู้ว่าเครื่องสำอางที่เธอแต่งหน้าไว้นั้น ต้องสามารถล้างน้ำออกได้อย่างง่ายดาย และต้องไม่เป็นอุปสรรคกีดกั้นน้ำสำหรับการทำวุฎูอฺเพื่อนะมาซซุบฮฺในวันใหม่ [1] มะการิมชีรอซียฺ,นาซิร,อะฮฺกามบานูวอน, ...
  • การเข้าร่วมงานแต่งงานที่มีจำนวนแขกจำ ซึ่งกำหนดไว้ก่อนแล้วล่วงหนา แต่แขกที่มาไม่มีใครคุมผ้าเรียบร้อยสักคนเมื่ออยู่ต่อหน้าเจ้าบ่าว กรณีนี้กฎเกณฑ์ทางศาสนบัญญัติกล่าวไว้อย่างไร (และลักษณะงานเช่นนี้ โดยทั่วไปเจ้าบ่าวและมะฮาริมที่เข้าร่วมงานแต่ง ตลอดงานนิกาฮฺจะแยกระหว่างชายหญิง)
    4701 สิทธิและกฎหมาย 2562/06/15
    เริ่มแรกเกี่ยวกับคำถามข้างต้น ขอกล่าวถึงทัศนะของมัรญิอฺตักลีด 1.งานสมรสตามประเพณีอิสลาม คือการร่วมแสดงความสุข รื่นเริง โดยปราศจากการกระทำความผิดบาปต่าง ๆ หรือภารกิจต่าง ๆ ที่ฮะรอม และมารยาทอันไม่ดีไม่งาม ที่มิใช่วิสัยของมนุษย์[1] 2.เมื่ออยู่ต่อหน้าเจ้าบ่าว หรือนามะฮฺรัมคนอื่น จำเป็นต้องรักษาฮิญาบ อย่างเคร่งครัด ซึ่งตรงนี้ไม่แตกต่างกันระหว่างงานสมรส และงานชุมนุมอย่างอื่น[2] 3.การเข้าร่วมงานสมรส หรืองานสังสรรค์อื่นๆ ซึ่งภายในงานนั้นมิได้เอาใจใส่สิ่งเป็นวาญิบในอิสลาม (เช่น แขกที่มาอยู่รวมกันทั้งชายและหญิง มีการเต้นรำ หรือเปิดเพลงที่ฮะรอม อย่างเปิดเผย) ถือว่าฮะรอม[3] 4. ถ้างานสมรสมิได้เป็นไปในลักษณะที่ว่า เป็นงานสังสรรค์แบบไร้สาระ ฮะรอม เป็นบาป หรือการปรากฏตัวในงานเหล่านั้น มิได้เป็นการสนับสนุนการก่อความเสียหาย ซึ่งการเข้าร่วมในงานสังสรรค์เช่นนั้น โดยทั่วไปไม่ถือว่าเป็นการสนับสนุน ถือว่าไม่เป็นไร
  • แถวนมาซญะมาอะฮฺควรตั้งอย่างไร? การเคลื่อนในนมาซทำให้บาฎิลหรือไม่?
    6811 สิทธิและกฎหมาย 2554/06/21
    เกี่ยวกับคำถามของท่านในเรื่องการจัดแถวนมาซญะมาอะฮฺมีกล่าวไว้แล้วในหนังสือฟิกฮต่างๆ :1. มะอฺมูมต้องไม่ยืนล้ำหน้าอิมามญะมาอะฮฺ[1]2. มุสตะฮับถ้าหากมะอฺมูม,เป็นชายเพียงคนเดียว, ให้ยืนด้านขวามือของอิมามญะมาอะฮฺ[2], และเป็นอิฮฺติยาฏวาญิบให้ยืนถอยไปด้านหลังของอิมามญะมาอะฮฺแต่ถ้ามีมะอฺมูมหลายคนให้ยืนด้านหลังของอิมามญะมาอะฮฺ[3]ดังนั้นโดยทั่วไปของเรื่องนี้ต้องการให้แต่ละคนจากมะอฺมูมคนที่ 1 และ 2 ปฏิบัติหน้าที่ของตนส่วนคำตอบสำหรับคำถามที่ว่ามะอฺมูมคนที่สองเป็นสาเหตุทำให้มะอฺมูมคนแรกต้องเคลื่อนที่ในนมาซญะมาอะฮฺอันเป็นสาเหตุทำให้นมาซของเขาบาฏิลหรือไม่นั้น, ต้องกล่าวว่า: การกระทำใดก็ตามที่ทำให้รูปแบบของมนาซต้องสูญเสียไปถือว่านมาซบาฏิล, เช่นการกอดอกหรือการกระโดดและฯลฯ[4]มัรฮูมซัยยิดกาซิมเฎาะบาเฏาะบาอียัซดีกล่าวว่า[5]ขณะนมาซ,ถ้าได้เคลื่อนเพื่อหันให้ตรงกับกิบละฮฺ[6]ถือว่าถูกต้อง,แม้ว่าจะถอยไปสองสามก้าวหรือมากกว่านั้น, เนื่องจากการเคลื่อนเพียงเท่านี้ไม่นับว่าเป็นอากับกริยาเพิ่มในนมาซทั้งที่มิได้มีการเคลื่อนมากมายและไม่ถือเป็นการทำลายรูปลักษณ์ของนมาซหรือเคลื่อนมากไปกว่านั้นก็ยังไม่ถือว่าทำลายรูปลักณ์ของนมาซอยู่ดีด้วยเหตุนี้มีรายงานอนุญาตให้กระทำเช่นนั้นด้วย

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60074 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    57461 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42157 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    39251 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    38900 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    33960 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    27975 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    27896 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    27720 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    25733 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...