การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
6452
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2555/05/08
คำถามอย่างย่อ
จำเป็นหรือไม่ที่มิตรภาพระหว่างบุคคลขึ้นอยู่กับความคล้ายคลึงกันทางกายภาพ อย่างเช่น อายุและส่วนสูงที่เท่ากัน ฯลฯ?
คำถาม
นักบรรยายท่านหนึ่งเคยกล่าวว่า เพื่อนสองคนนอกจากจะต้องมีความคล้ายคลึงกันทางความคิดแล้ว ยังจะต้องคล้ายคลึงกันในแง่รูปลักษณ์ภายนอกด้วย อาทิเช่นอยู่ในวัยใกล้เคียงกัน มีร่างกายที่ทัดเทียมกัน (มิไช่ว่าคนหนึ่งร่างเล็กแต่อีกคนหนึ่งร่างกายกำยำ หรือคนหนึ่งหน้าอ่อนแต่อีกคนหน้าตามีอายุ) สรุปคือควรจะเข้ากันได้ในทุกๆด้าน มิฉะนั้นสังคมจะเกิดความเข้าใจผิดได้ ถามว่าความคิดดังกล่าวถูกต้องหรือไม่?
คำตอบโดยสังเขป

สิ่งที่อิสลามใช้เป็นเกณฑ์ในการเลือกคบค้าสมาคมอันดับแรกก็คือคุณลักษณะทางจิตใจ หาไช่รูปลักษณ์ภายนอกไม่ อย่างไรก็ดี คุณลักษณะภายนอกบางประการอาจเป็นสิ่งสำคัญในบางสถานการณ์ ตัวอย่างเช่น การที่ไม่ควรคบหากับผู้ที่จะเป็นเหตุให้ถูกสังคมมองในทางที่ไม่ดี
หลักเกณฑ์ของอิสลามคือ ควรต้องมีอีหม่าน, สามารถจุนเจือเพื่อนได้ทั้งทางโลกและทางธรรม, ช่วยตักเตือนในความผิดพลาด ฯลฯ

คำตอบเชิงรายละเอียด

เพื่อนคือผู้ที่อยู่เคียงข้างยามเดียวดาย ร่วมแบ่งทุกข์ปันสุข หยิบยื่นความช่วยเหลือยามยาก เป็นที่พึ่งได้ยามเผชิญอุปสรรค และเป็นที่ปรึกษายามกังวลใจ อย่างไรก็ดี เนื่องจากเพื่อนของแต่ละบุคคลถือเป็นดัชนีชี้วัดบุคลิกและระดับคุณธรรมได้ นอกจากนี้ เพื่อนยังมีอิทธิพลต่อนิสัยใจคอของมนุษย์เราในช่วงวัยต่างๆค่อนข้างสูง การเลือกคบเพื่อนจึงมีส่วนช่วยประคองศีลธรรมสังคมและพฤติกรรมมนุษย์ได้ ดังที่ท่านอิมามอลี(อ.)กล่าวว่า “มิตรสหายเปรียบดั่งผ้าที่นำมาปะชุนสังคม ฉะนั้นจงเลือกคบบุคคลที่คล้ายคลึงกับท่านเถิด”[1]

สัมพันธภาพทางจิตใจย่อมจะนำสู่การเชื่อมโยงทางสังคมที่จับต้องได้ ในทางกลับกัน สัมพันธภาพทางสังคมก็ส่งผลต่อสภาพจิตใจได้เช่นกัน ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่นิยมการขัดเกลาจิตใจและพัฒนาบุคลิกภาพให้บรรลุซึ่งศีลธรรมจรรยาจึงต้องใช้หลักเกณฑ์ทางศาสนาเป็นมาตรฐานในการพิจารณาคบหาเพื่อน อีกทั้งยังต้องระมัดระวังอิทธิพลของเพื่อนที่มีต่อจิตใจ จึงกล่าวได้ว่า คุณสมบัติทางนิสัยใจคอคือสิ่งที่อิสลามถือเป็นมาตรฐานหลักในการเลือกคบเพื่อน หาไช่คุณสมบัติภายนอกไม่

ในที่นี้ขอนำเสนอคุณสมบัติทางจิตใจบางประการของเพื่อนดังต่อไปนี้

1. อีหม่านคือฐานรากที่สำคัญที่สุดของมิตรภาพ สิ่งเดียวที่มั่นคงถาวรก็คือศรัทธาที่มีต่อหลักความเชื่อทางศาสนา สายสัมพันธ์ที่อิงความรักในอัลลอฮ์เป็นหลักเกณฑ์ย่อมจะไม่มีวันขาดสะบั้น ทั้งนี้ก็เพราะตั้งอยู่บนรากฐานอันแข็งแกร่ง สิ่งนี้ถือเป็นเอกลักษณ์ของอิสลามที่กำหนดว่าศรัทธาคือรากฐานของทุกสิ่งทุกอย่าง อิสลามถือว่ามิตรภาพหรือความชิงชังที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของอีหม่านชี้ให้เห็นถึงสัมพันธภาพที่เหนียวแน่นระหว่างพระเจ้าและมนุษย์

โองการกุรอานหลายบทกล่าวไว้เกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยพยายามระงับมิให้ผู้ศรัทธากระชับสายสัมพันธ์กับเหล่าผู้ปฏิเสธ ผู้ตั้งภาคี และเหล่าผู้กลับกลอก อาทิเช่นโองการที่ว่า “บรรดาผู้ศรัทธามิบังควรเลือกผู้ปฏิเสธเป็นมิตรแทนที่ผู้ศรัทธาด้วยกัน และหากผู้ใดกระทำเช่นนี้ ย่อมถือว่าไม่มีสายสัมพันธ์ใดๆกับพระองค์ (ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับอัลลอฮ์ขาดสะบั้นลง) เว้นเสียแต่ว่าจะงดพฤติกรรมดังกล่าว...”[2]

2. มิตรแท้ควรเป็นผู้ปราดเปรื่องด้วยปัญญา: ปัญญาคือศักยภาพที่ช่วยให้มนุษย์เข้าใจสิ่งต่างๆได้ และเนื่องจากปัญญาเปรียบดั่งประทีปแห่งชีวิตที่ช่วยส่องสว่างสู่ความผาสุกของมนุษย์ เป็นเหตุให้อิสลามถือว่าปัญญาคือหลักเกณฑ์ประการหนึ่งสำหรับการเลือกคบเพื่อน โดยรณรงค์ให้คบค้าสมาคมกับผู้ทรงปัญญาหรือนักวิชาการ

มีฮะดีษจากท่านอิมามอลี(อ.)กล่าวว่า “ไม่มีปัญหาใดๆหากจะคบคนฉลาดหลักแหลม เพราะแม้ว่าเธออาจจะไม่ได้ประโยชน์จากศีลธรรมของเขา แต่จงใช้ประโยชน์จากปัญญาของเขาทว่าพึงหลีกห่างมารยาทอันไม่พึงประสงค์ที่เขามี และจงคบกับผู้มีไมตรีจิตแม้ว่าเธออาจไม่ได้รับประโยชน์จากปัญญาของเขา แต่จงใช้ปัญญาของเธอเรียนรู้ไมตรีจิตจากเขา และจงออกห่างผู้ต่ำต้อยที่ไร้ความคิด”[3]

ท่าน(อ.)ยังได้กล่าวอีกว่า “การคบหาคนฉลาดจะช่วยให้วิญญาณมีชีวิตชีวา”[4]
ทว่าเพื่อนที่เบาปัญญาเปรียบดั่งยาพิษที่บ่อนทำลายสุขภาพจิตทุกเมื่อเชื่อวัน

อิมามศอดิก(อ.)กล่าวว่า “ผู้ที่ยังสานสัมพันธ์กับคนเขลาย่อมจะได้รับอิทธิพลจากพฤติกรรมเบาปัญญา อันจะทำให้เขาค่อยๆมีลักษณะนิสัยเช่นนั้น”[5]

3. เพื่อนแท้คือผู้ที่มอบข้อบกพร่องของเราเป็นของขวัญแก่เราเอง: อิสลามถือว่ามิตรภาพที่มีคุณค่าต้องเป็นดั่งน้ำทิพย์ชโลมชีวิตส่วนตัวและสังคมของเราได้ ฉะนั้น ผู้ที่พบเห็นข้อบกพร่องของเราแต่ไม่เตือนให้ทราบ ย่อมไม่ไช่เพื่อนแท้ เพราะจากมุมมองของฮะดีษแล้ว เพื่อนที่แท้จริงเปรียบดุจกระจกเงาที่สะท้อนข้อบกพร่องแก่เราเพื่อให้สามารถปรับปรุงแก้ไขได้เนื่องจากหวังดีและอยากเห็นเพื่อนประสบความผาสุก จึงได้แจ้งให้ทราบถึงข้อบกพร่องบางประการเพื่อจะได้แก้ไขอย่างทันท่วงที

กุรอานกล่าวว่า “ปวงบุรุษและสตรีล้วนเป็นกัลญาณมิตรกันและกัน ตักเตือนสู่ความดีและห้ามปรามกันในความชั่ว ดำรงนมาซและชำระซะกาต และภักดีต่ออัลลอฮ์และศาสนทูต ไม่ช้าพระองค์จะทรงประทานเมตตาธรรมแก่พวกเขา พระองค์ทรงยิ่งด้วยพระปรีชาและวิทยปัญญา”[6]
อิมามศอดิกกล่าวว่า “มิตรที่ดีที่สุดของฉันก็คือผู้ที่มอบคำตักเตือนเกี่ยวกับข้อบกพร่องของฉัน”[7]

4. มิตรแท้คือผู้ที่มีจิตดำริในการบรรเทาความเดือดร้อนทั้งในด้านทรัพย์สินและจิตใจเท่าที่สามารถจะกระทำได้
อิมามฮะซัน(อ.)ให้โอวาทเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ว่า
“จงเลือกคบผู้ที่เป็นดั่งเครื่องประดับยามคบหา
ผู้ที่รักษาเกียรติของเธอยามเธอที่ช่วยเหลือ
ผู้ที่ยื่นมือเข้าช่วยยามที่เธอต้องการ
ผู้ที่รับรองคำพูด(ที่ถูกต้อง)ของเธอ
ผู้ที่จะสนับสนุนเธอยามที่เธอต่อสู้กับศัตรู
ผู้ที่จะเกื้อหนุนเธอยามที่เธอกระทำความดี
ผู้ที่จะช่วยเติมเต็มให้ยามที่ชีวิตของเธอมีจุดบอด
ผู้ที่รู้คุณเธอยามที่เธอปฏิบัติดีด้วย
ผู้ที่จะหยิบยื่นเสมอเมื่อเธอขอร้อง
และผู้ที่จะเอ่ยปากช่วยเหลือเธอแม้ยามที่เธอเงียบ”[8]

เหล่านี้ถือเป็นคุณสมบัติส่วนบุคคลที่มิตรแท้ควรมี นอกจากนี้ยังควรพิจารณาคุณสมบัติทางสังคม กล่าวคือควรถือวิถีประชาเป็นหลักเกณฑ์ในการพิจารณาสานสัมพันธ์ฉันเพื่อนฝูงด้วย ซึ่งขอนำเสนอโดยสังเขปดังนี้

  1. อายุ: ควรพิจารณาสองข้อคิดต่อไปนี้
    ก. ในกรณีที่ผู้ที่เราต้องการคบเป็นเพื่อนมีอายุมากกว่า สามารถที่จะศึกษาประสบการณ์จากเขาในฐานะพี่น้องทางศาสนาหรือเพื่อนรุ่นพี่ได้ โดยควรให้เกียรติและระมัดระวังไม่แสดงพฤติกรรมที่เหมาะสมกับวัยเดียวกัน และไม่ควรแสดงอากัปกริยาอันจะทำให้ผู้คนในสังคมตำหนิได้
    ข. สิ่งที่กล่าวไปแล้วข้างต้นสามารถใช้กับเพื่อนที่มีอายุเท่ากันได้ นั่นเป็นเพราะสถานภาพทางสังคมของแต่ละบุคคลเป็นสิ่งสำคัญที่พึงให้เกียรติ
  2. ควรคำนึงถึงภูมิหลังทางสังคมของบุคคลที่ต้องการจะคบค้าสมาคมเสมอ ตัวอย่างเช่น ผู้ที่เป็นที่ยอมรับในสังคมไม่ควรคบหากับบุคคลที่มีบุคลิกภาพเชิงลบในแง่สังคม เพราะถึงแม้ว่าควรจะมีไมตรีกับผู้ที่เราจะตักเตือน แต่ก็ไม่จำเป็นเสมอไปที่จะต้องคบหาบุคคลดังกล่าวเป็นมิตรสหายใกล้ชิด
  3. ในกรณีที่บุคคลสองคนสนิทสนมแน่นแฟ้นในลักษณะที่จะทำให้สังคมติฉินนินทาได้ก็ควรระมัดระวังพฤติกรรมที่จะทำให้เกิดข้อครหาขึ้น ดังที่ท่านอิมามอลี(อ.)เคยกล่าวว่า “พึงหลีกเลี่ยงเหตุปัจจัยที่จะทำให้ผู้คนกล่าวหาได้ เพราะมิตรชั่วจะหลอกลวงเสมอ”[9]

ศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ระเบียนต่อไปนี้
คุณสมบัติของผู้ศรัทธา,คำถามที่ 2534 (ลำดับในเว็บไซต์ 2671)
ยามที่ผู้ศรัทธาพบปะกันและกัน,คำถามที่11824 (ลำดับในเว็บไซต์ 13365 )
วิธีคบหาผู้อื่น,คำถามที่8795 (ลำดับในเว็บไซต์ 8752)
ชีวิตปัจเจกและชีวิตสังคม,คำถามที่ 8351(ลำดับในเว็บไซต์ 8370)

 

 


[1] ตะมีมี อามิดี,อับดุลวาฮิด บิน มุฮัมมัด, ฆุเราะรุ้ลฮิกัม,หน้า 423,สำนักงานเผยแพร่อิสลาม,กุม,ปี1366

[2] อาลิ อิมรอน,28

[3] กุลัยนี,มุฮัมมัด บิน ยะอ์กู้บ,อัลกาฟี,เล่ม 2,หน้า 638,ดารุลกุตุบิลอิสลามียะฮ์,เตหราน,ปี1365

[4] ฆุเราะรุ้ลฮิกัม,หน้า429,ฮะดีษที่ 9771

[5] มุฮัดดิษ นูรี,มุสตัดร้อก อัลวะซาอิ้ล,เล่ม 8,หน้า 336,สถาบันอาลุลบัยต์(อ.),กุม,ฮ.ศ.1408

[6] เตาบะฮ์,71

[7] อัลกาฟี,เล่ม 2,หน้า 639

[8] มัจลิซี,มุฮัมมัด บากิร, บิฮารุลอันว้าร,เล่ม 44,หน้า 139,สถาบันอัลวะฟา,เบรุต,ฮ.ศ.1404

[9] อามิลี,เชคฮุร,วะซาอิลุชชีอะฮ์,เล่ม 12,หน้า 36,สถาบันอาลุลบัยต์(อ.),กุม,ฮ.ศ.1409

 

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

คำถามสุ่ม

  • สร้อยนามหมายถึงอะไร? แล้ว “อบุลกอซิม”สร้อยนามของท่านนบีนั้นได้มาอย่างไร?
    10471 تاريخ بزرگان 2555/03/04
    ตามธรรมเนียมของชาวอรับแล้ว ชื่อที่มีคำว่า “อบู”(พ่อของ...) หรือ “อุมมุ”(แม่ของ...) นำหน้านั้น เรียกกันว่า “กุนียะฮ์” (สร้อยนาม) ในทัศนะของอรับเผ่าต่างๆนั้น ธรรมเนียมการตั้งสร้อยนามถือเป็นการยกย่องบุคคล ตัวอย่างสร้อยนาม อบุลกอซิม, อบุลฮะซัน, อุมมุสะละมะฮ์, อุมมุกุลษูม ฯลฯ[1] ศาสนาอิสลามก็ให้ความสำคัญแก่สร้อยนามเช่นกัน ฆ็อซซาลีกล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ว่า “ท่านนบี(ซ.ล.)มักจะให้เกียรติเรียกเหล่าสหายด้วยสร้อยนามเพื่อเป็นการเชื่อมสัมพันธไมตรี ส่วนผู้ที่ไม่มีสร้อยนาม ท่านก็จะเลือกสร้อยนามให้เขา และจะเรียกสร้อยนามนั้น กระทั่งผู้คนก็เรียกตามท่าน แม้กระทั่งผู้ที่ไม่มีบุตรที่จะนำมาตั้งสร้อยนาม ท่านนบี(ซ.ล.)ก็จะตั้งให้เขา ยิ่งไปกว่านั้น ท่านยังตั้งสร้อยนามแก่เด็กๆด้วย อาทิเช่นเรียกว่าอบูนั้น อบูนี้ เพื่อเชื่อมสัมพันธ์กับเด็กๆ”[2] รายงานจากอิมามริฎอ(อ.)ว่า إذا كان الرجل حاضرا فكنه و إن ...
  • มีฟัตวาเกี่ยวกับอาชีพที่สองไหม? หรือว่าการมีอาชีพที่สองเท่ากับเป็นคนหลงโลก?
    7272 สิทธิและกฎหมาย 2555/01/23
    ในทัศนะอิสลามไม่มีความหมายอันใดเกี่ยวกับอาชีพหรืออาชีพที่สอง, สิ่งที่ศาสนาอิสลามหรืออัลลอฮฺ (ซบ.) ได้ประณามเอาไว้คือ, ความลุ่มหลงและจิตผูกพันอยู่กับโลกทำให้ห่างไกลจากศีลธรรมและปรโลก
  • ขณะลงซัจญฺดะฮฺ จะต้องเอาอวัยวะส่วนใดลงพื้นก่อนซัจญฺดะฮฺ?
    5871 สิทธิและกฎหมาย 2555/05/17
    การซัจญฺดะฮฺเป็นหนึ่งในวาญิบของนมาซ, ซึ่งมีองค์ประกอบและเงื่อนไขวาญิบและมุสตะฮับหลายประการ, เช่น หนึ่งในบางประการที่ถือว่าเป็นมุสตะฮับของซัจญฺดะฮฺ, กล่าวคือ ชาย ขณะลงซัจญฺดะฮฺให้เอาฝ่ามือลงก่อน, ส่วนหญิงให้เอาเข่าลงก่อน[1] [1] อิมามโคมัยนี, เตาฎีฮุลมะซาอิล (มะฮัชชี), ผู้ตรวจทานและค้นคว้า : บนีฮาชิมมี โคมัยนี, ซัยยิดมุฮัมมัด ฮุซัยน, เล่ม 1, หน้า 591, ดัฟตัรอินเตะชารอต อิสลามี, กุม, พิมพ์ครั้ง 8, ปี ฮ.ศ. 1424
  • อัลลอฮฺ ทรงอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ธรรมชาติด้วยหรือไม่?
    5777 เทววิทยาดั้งเดิม 2555/04/07
    อัลลอฮฺ คือพระผู้ทรงกำหนดกฎเกณฑ์ต่างๆ ทางธรรมชาติ อาตมันสากลของพระองค์มิได้อยู่ภายใต้อำนาจของสิ่งใดทั้งสิ้น นอกจากความต้องการของพระองค์ หรือเว้นเสียแต่ว่าความประสงค์ของพระองค์ต้องการที่จะปฏิบัติภารกิจหนึ่ง ซึ่งทรงเป็นสาเหตุของการเกิดสิ่งนั้น ขณะเดียวกันการละเมิดกฎต่างๆในโลกที่ต่ำกว่า โดยพลังอำนาจที่ดีกว่าของพระองค์ถือเป็น กฎเกณฑ์อันเฉพาะ และเป็นประกาศิตที่มีความเป็นไปได้เสมอ ซึ่งเราเรียกสิ่งนั้นว่า ปาฏิหาริย์,แน่นอน ปาฏิหาริย์มิได้จำกัดอยู่ในสมัยของบรรดาศาสดาเท่านั้น ทว่าสามารถเกิดขึ้นได้ในทุกสมัย เพียงแต่ว่าปาฏิหาริย์ได้ถูกมอบแก่บุคคลที่เฉพาะเท่านั้น เป็นความถูกต้องที่ว่าความรู้มีความจำกัดและขึ้นอยู่ยุคสมัยและสภาพแวดล้อม ไม่มีความรู้ใดยอมรับหรือสนับสนุนเรื่องมายากล และเวทมนต์ แต่คำพูดที่ถูกต้องยิ่งกว่าคือ เจ้าของความรู้เหล่านั้นบางครั้ง ได้แสดงสิ่งที่เลยเถิดไปจากนิยามของความรู้หรือที่เรียกว่า มายากล เวทมนต์เป็นต้น อีกนัยหนึ่งกล่าวได้ว่า สิ่งนั้นคือการมุสาและการเบี่ยงเบนนั่นเอง ...
  • จำเป็นต้องสวมแหวนทางมือขวาด้วยหรือ ?
    13703 สิทธิและกฎหมาย 2554/09/25
    หนึ่งในแบบฉบับของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) และอิมามผู้บริสุทธิ์คือการสวมแหวนทางนิ้วมือข้างขวาซึ่งมีรายงานกล่าวไว้ถึงประเภทของแหวนรูปทรงและแบบ. นอกจากคำอธิบายดังกล่าวที่ว่าดีกว่าให้สวมแหวนทางนิ้วมือข้างขวาแล้วบทบัญญัติทั้งหมดที่กล่าวเกี่ยวกับแหวนก็จะเน้นเรื่องการเป็นมุสตะฮับและเฉพาะผู้ชายเท่านั้นที่ห้ามสวมแหวนทอง (และเครื่องประดับทุกชนิดที่ทำจากทองคำ) ซึ่งได้ห้ามในลักษณะที่เป็นความจำเป็นด้วยเหตุนี้
  • แต่ละเมืองสามารถมีนมาซวันศุกร์ได้เพียงแห่งเดียวไช่หรือไม่?
    5592 สิทธิและกฎหมาย 2554/06/11
    ต่อข้อคำถามดังกล่าวบทบัญญัติศาสนาให้ถือระยะห่างระหว่างนมาซวันศุกร์สองแห่งเป็นเกณฑ์.บรรดามัรญะอ์ระดับสูงระบุว่า: ระยะห่างหนึ่งฟัรสัค(6กม.) ถือเป็นระยะห่างที่น้อยที่สุดระหว่างนมาซวันศุกร์สองแห่งหากมีการนมาซวันศุกร์สักแห่งแล้วไม่ควรมีนมาซวันศุกร์แห่งอื่นภายในรัศมีหนึ่งฟัรสัคอีกฉะนั้น การนมาซวันศุกร์สองแห่งที่เว้นระยะห่างหนึ่งฟัรสัคแล้วถือว่าถูกต้องทั้งสองแห่ง. อนึ่ง พิกัดที่ใช้วัดระยะห่างในที่นี้คือสถานที่จัดนมาซวันศุกร์มิได้วัดจากเขตเมือง เมืองใหญ่ที่มีรัศมีหลายฟัรสัคจึงสามารถจัดนมาซวันศุกร์ได้หลายแห่ง.[1]แต่หากเมืองใดมีการนมาซวันศุกร์สองแห่งโดยเว้นระยะห่างไม่ถึงหนึ่งฟัรสัค, ที่ใดที่เริ่มช้ากว่าให้ถือว่าเป็นโมฆะ แต่หากทั้งสองแห่งกล่าวตักบีเราะตุลเอียะฮ์รอมพร้อมกันให้ถือว่าทั้งสองเป็นโมฆะ.
  • เหตุใดจึงไม่ควรครุ่นคิดเกี่ยวกับความลึกซึ้งของการสรรสร้าง?
    6140 เทววิทยาดั้งเดิม 2555/02/19
    ประเด็นหนึ่งที่กุรอานและฮะดีษเน้นย้ำไว้เป็นพิเศษก็คือ การครุ่นคิดเกี่ยวกับการสร้างสรรพสิ่งต่างๆ[1] ทว่าควรหลีกเลี่ยงการไตร่ตรองเกี่ยวกับอาตมันของอัลลอ์ ดังฮะดีษนบี(ซ.ล.)ที่ว่า จงครุ่นคิดเกี่ยวกับสรรพสิ่งที่อัลลอฮ์สร้างเถิด แต่ในกรณีของอาตมันของพระองค์นั้น ไม่บังควรอย่างยิ่ง”[2] อีกฮะดีษหนึ่ง ท่านนบีระบุถึงสาเหตุที่ห้ามมิให้ไตร่ตรองเกี่ยวกับอาตมันของอัลลอฮ์ว่า “เนื่องจากพวกท่านไม่อาจจะเข้าถึงความยิ่งใหญ่ของพระองค์เด็ดขาด”[3] ด้วยเหตุนี้ นอกจากจะไม่มีการห้ามครุ่นคิดเกี่ยวกับการสรรสร้างของพระองค์แล้ว ...
  • เพราะเหตุใดอัลกุรอานบางโองการ มีความหมายขัดแย้งกับความบริสุทธิ์ของศาสดา
    7748 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/04/21
    คำตอบสำหรับคำถามข้างต้นสามารถกล่าวได้ว่า1) คำว่าอิซมัตเป็นสภาพหนึ่งทางจิตวิญญาณที่เกิดขึ้นกับบุคคลที่มีความบริสุทธิ์อันเป็นสาเหตุทำให้บุคคลนั้นหันหลังให้กับบาปกรรมพฤติกรรมชั่วร้ายและความผิดต่างๆโดยสิ้นเชิงอีกทั้งสภาพดังกล่าวยังปกป้องบุคคลนั้นให้รอดพ้นจากความผิดพลาดและการหลงลืมโดยปราศจากการปฏิเสธเจตนารมณ์เสรีหรือมีการบีบบังคับให้บุคคลนั้นเป็นผู้บริสุทธิ์2. ...
  • มีดุอาอฺขจัดความเกลียดคร้านและความเฉื่อยชาบ้างไหม?
    11269 จริยธรรมปฏิบัติ 2555/05/17
    ภารกิจบางอย่างที่คำสอนศาสนาปฏิเสธไม่ยอมรับคือ ความเกลียดคร้านและความเฉื่อยชา, บรรดาอิมามมะอฺซูม (อ.) กล่าวตำหนิคุณสมบัติทั้งสองนี้ และขอความคุ้มครองจากพระเจ้าให้พ้นไปจากทั้งสอง ดังจะเห็นว่าบทดุอาอฺบางบทจากบรรดาอิมามผู้บริสุทธิ์ (อ.) ได้กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้ เช่น : 1. มุสอิดะฮฺ บุตรของ ซิดเกาะฮฺ กล่าวว่า : ฉันได้วอนขอให้ท่านอิมามซอดิก (อ.) ดุอาอฺต่ออัลลอฮฺเกี่ยวกับภารกิจการงานใหญ่ๆ ท่านอิมาม (อ.) กล่าวว่า ฉันจะสอนดุอาอฺของคุณปู่ของฉันท่านอิมามซัจญาด (อ.) แก่เธอ ซึ่งดุอาอฺของท่านอิมามซัจญาด (อ.) ได้วอนขอความคุ้มครองต่ออัลลอฮฺ เพื่อให้พ้นไปจากความความเกลียดคร้าน กล่าวว่า : : "...وَ أَعُوذُ بِكَ مِنَ ...
  • หลังจากเสียชีวิต วิญญาณมนุษย์สามารถรับรู้เรื่องราวในโลกดุนยาหรือไม่?
    14596 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/08/09
    นัยยะที่ได้จากกุรอานและฮะดีษจากบรรดามะอ์ศูมีนบ่งชี้ว่าภายหลังจากเสียชีวิตวิญญาณผู้ตายสามารถแวะเวียนมายังโลกนี้เพื่อจะรับทราบสารทุข์สุขดิบของญาติมิตรได้และหลักฐานทางศาสนาก็มิได้ปฏิเสธบทบาทของมะลาอิกะฮ์เกี่ยวกับเรื่องนี้แถมยังระบุไว้ชัดเจนอีกด้วยดังฮะดีษต่อไปนี้“แน่นอนว่าวิญญาณผู้ศรัทธาจะกลับมาเยี่ยมครอบครัวเขาจะได้เห็นสิ่งที่ดีงามแต่จะไม่ได้เห็นเรื่องที่ไม่พึงประสงค์”“อัลลอฮ์จะส่งมะลาอิกะฮ์มาพร้อมกับวิญญาณผู้ศรัแธาเพื่อชี้ให้เขาเห็นเฉพาะสิ่งที่น่ายินดี” ...

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    59395 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    56845 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    41676 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    38431 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    38422 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    33454 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    27541 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    27240 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    27137 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    25214 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...