การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
9030
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2554/06/21
 
รหัสในเว็บไซต์ fa860 รหัสสำเนา 14617
คำถามอย่างย่อ
มีวิธีใดบ้างในการชำระบาป
คำถาม
มนุษย์สามารถชำระบาปได้หรือไม่? ด้วยวิธีใดบ้าง?
คำตอบโดยสังเขป

วิธีแสวงหาการอภัยโทษจากอัลลอฮ์มีหลายวิธีด้วยกัน อาทิเช่น
1. เตาบะฮ์ หรือการกลับตนเป็นคนดี (ตามเงื่อนไขที่กำหนด)
2. ประกอบกุศลกรรมที่ยิ่งใหญ่ อันจะสามารถลบล้างความผิดบาปได้
3. สงวนใจไม่ทำบาปใหญ่ (กะบีเราะฮ์) ซึ่งจะส่งผลให้ได้รับการผ่อนปรนบาปเล็ก
4. อดทนต่ออุปสรรคยากเข็ญในโลกนี้ รวมทั้งการชำระโทษในโลกแห่งบัรซัค และทนทรมานในการลงทัณฑ์ด่านแรกๆของปรโลก เหล่านี้จะเจียระไนผู้ศรัทธาที่เคยทำบาปให้สะอาดปราศจากมลทิน
5. ชะฟาอัต.(ดังจะกล่าวต่อไป) อย่างไรก็ดี ผู้ที่จะได้รับชะฟาอัตจะต้องสำนึกผิดและเปลี่ยนแปลงตนให้เหมาะแก่การนี้เสียก่อน
6. อภัยทานจากพระองค์. ผู้ประสงค์จะได้รับอภัยทานต้องไม่ขาดคุณสมบัติอันเหมาะสมตามเงื่อนไข อย่างกรณีผู้ศรัทธาที่เปรอะเปื้อนบาปหรือหย่อนยานเกี่ยวกับศาสนกิจบางประการ.

คำตอบเชิงรายละเอียด

หากพิจารณาโองการต่างๆในกุรอานจะพบว่า วิธีแสวงหาการอภัยโทษจากพระองค์มีหลายวิธีด้วยกัน  ที่นี้ขอนำเสนอโดยสังเขปดังต่อไปนี้
1. เตาบะฮ์หรือการกลับใจ อันจะต้องควบคู่กับความสลดใจต่อบาปที่ทำไป พร้อมกับตั้งปณิธานแน่วแน่ว่าจะไม่ย้อนทำซ้ำอีก และหมั่นชดเชยด้วยการประกอบความดี
อายะฮ์ที่กล่าวถึงประเด็นนี้มีมากมาย แต่เราขอหยิบยกมาเพียงโองการเดียว
[1]
هُوَ الَّذِی یَقْبَلُ التَّوْبَةَ عَنْ عِبادِهِ وَ یَعْفُوا عَنِ السَّیِّئاتِ” (พระองค์คือผู้รับมอบเตาบะฮ์จากปวงบ่าว และทรงประทานอภัยบาปต่างๆ)
แก่นแท้ของการเตาบะฮ์คือ การสลดใจและสำนึกผิดต่อบาป อันจะส่งผลให้เกิดปณิธานแน่วแน่ว่าจะไม่ทำบาปซ้ำอีก รวมทั้งชดเชยส่วนที่ขาดหายไปด้วยการทำความดี(ในกรณีศาสนกิจที่ทดแทนกันได้) ทั้งนี้ ประโยคอัสตัฆฟิรุลลอฮ์เปรียบเสมือนสัญลักษณ์ที่สื่อถึงความหมายดังกล่าว สรุปคือ เตาบะฮ์มีองค์ประกอบหลัก 5 ประการ 1. ละทิ้งบาป 2. สำนึกผิด 3. ตั้งมั่นว่าจะไม่ทำบาปซ้ำ 4. ทำกุศลกรรมทดแทน 5. กล่าวอิสติฆฟาร.[2]

2. กุศลกรรมพิเศษที่จะลบเลือนบาป. ดังที่พระองค์ตรัสว่าإِنَّ الْحَسَناتِ یُذْهِبْنَ السَّیِّئاتِ[3](ความดีย่อมจะลบเลือนความผิดบาป)
3. หลีกเลี่ยงการทำบาปใหญ่ อันจะทำให้บาปเล็กบาปน้อยที่มีอยู่ได้รับการอภัย ดังที่กุรอานกล่าวว่า
 
إِنْ تَجْتَنِبُوا کَبائِرَ ما تُنْهَوْنَ عَنْهُ نُکَفِّرْ عَنْکُمْ سَیِّئاتِکُمْ وَ نُدْخِلْکُمْ مُدْخَلاً کَریماً[4]
หากสูเจ้างดเว้นบาปใหญ่ที่เคยได้รับคำเตือนแล้ว พระองค์จะทรงปกปิดบาปอื่นๆของสูเจ้า และจะนำพาสูเจ้าเข้าสู่ฐานะอันทรงเกียรติ[5]
4. การอดทนต่อความทุกข์ยาก อันจะลดการสะสมของบาป นอกจากนี้ การลงโทษในโลกแห่งบัรซัคและด่านเบื้องต้นของปรโลกก็จะทำให้ผู้ศรัทธาสะอาดจากมลทินบาป.[6]
5. ชะฟาอัต. ความหมายทั่วไปของชะฟาอัตคือ การที่ผู้แข็งแรงกว่าเคียงข้างและให้การอุปถัมภ์ผู้ที่ด้อยกว่า การช่วยเหลือในที่นี่อาจหมายถึงการช่วยเพิ่มพูนคุณความดี หรืออาจหมายถึงการช่วยขจัดข้อบกพร่อง[7]
ส่วนชะฟาอัตในมุมมองอิสลามและโองการต่างๆในกุรอาน[8]นั้น เน้นย้ำถึงการปรับปรุงตนเองของผู้ประสงค์จะรับชะฟาอัตเป็นหลัก กล่าวคือ อันดับแรก ผู้ประสงค์จะได้รับชะฟาอัตจะต้องปรับปรุงแก้ไขตนเองให้หลุดพ้นจากสถานะที่ล่อแหลมต่อการถูกลงโทษเสียก่อน แล้วจึงสานสัมพันธ์กับผู้อำนวยชะฟาอัต เพื่อที่จะนำพาตนสู่สถานะที่เหมาะแก่การได้รับอภัยโทษจากอัลลอฮ์
ความเชื่อในเรื่องชะฟาอัตตามความหมายข้างต้น ถือเป็นแนวการอบรมศีลธรรมชั้นยอดเพื่อบำบัดเยียวยาผู้เสพบาปกรรม เนื่องจากจะส่งผลให้เกิดการตื่นตัวและฉุกคิดถึงผลแห่งกรรมมากยิ่งขึ้น[9]

ฮะดีษต่างๆมากมายให้การยืนยันเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยได้อธิบายฐานะแห่งมะฮ์มูด”(ผู้ได้รับการยกย่อง)ที่กุรอานสัญญาว่าจะมอบแด่ท่านศาสดามุฮัมมัดว่า หมายถึงฐานันดรแห่งการให้ชะฟาอัต
นอกจากนี้ โองการو لسوف یعطیک ربک فترضی (และพระผู้อภิบาลของเจ้าจะประทานแก่เจ้าจนกว่าเจ้าจะพอใจ) ยังหมายถึงการที่พระองค์จะอภัยโทษตามที่ท่านศาสดาร้องขอไว้สำหรับผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะแก่การได้รับชะฟาอัต

ด้วยเหตุนี้ ชะฟาอัตจึงเป็นความหวังอันยิ่งใหญ่สูงสุดของผู้ศรัทธาที่มีบาปติดตัว อิสลามถือว่าชะฟาอัต(ที่เป็นไปตามเงื่อนไข)นั้น เป็นหนทางที่ดีที่สุดหนทางหนึ่งสำหรับการอบรมบ่มเพาะ และสร้างแรงบันดาลใจที่จะทดแทนข้อบกพร่อง ทั้งนี้ก็เพื่อชำระตนให้สะอาดปราศจากบาป และพร้อมจะคืนสู่หนทางที่ทอดยาวสู่คุณค่าแห่งศีลธรรม.

6. อภัยทานจากพระองค์[10]. สิทธิพิเศษนี้จะประทานแก่ผู้ที่เหมาะสมเท่านั้น นั่นก็คือ ผู้ศรัทธาที่อาจพลาดพลั้งทำบาปในโลกนี้ คนกลุ่มนี้หากได้รับอภัยทานจากพระองค์ก็จะพ้นโทษ และจะเข้าสมทบกับผู้ศรัทธาที่มีระดับสูงกว่าในสวรรค์ แต่หากไม่ได้รับอภัยทานก็ต้องทนทุกข์ทรมานในนรกเสียก่อน แต่ถึงอย่างไรเสีย เขาก็จะได้รับการปล่อยตัวจากนรกหลังจากชำระโทษเสร็จสิ้น.[11]
ขอเน้นย้ำว่าอภัยทานขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยของพระองค์ ซึ่งไม่ได้หมายความว่าทุกคนสามารถจะได้รับสิทธิพิเศษนี้ได้ เนื่องจากพระองค์จะทรงพิจารณาอนุมัติให้เพียงผู้ที่เคยพิสูจน์แล้วว่ามีศักยภาพพอที่จะได้รับอภัยทาน ด้วยการประกอบกุศลกรรมบางประเภทในโลกนี้

ในฐานะที่ทรงสร้างและทรงรอบรู้ทุกมิติของมนุษย์ อัลลอฮ์ทรงประทานศักยภาพแก่มนุษย์ให้สามารถชำระตนให้ปราศจากบาปได้ โดยพระองค์ทรงเชิญชวนและให้สัญญาเกี่ยวกับเรื่องนี้ ถึงขั้นที่ทรงประกาศว่าการสิ้นหวังในพระเมตตาของพระองค์นั่นแหล่ะคือบาปที่ใหญ่ที่สุด.

ยิ่งไปกว่านั้น ทรงแต่งตั้งบรรดาศาสดาเพื่อนำพามนุษย์สู่ความเมตตาอันไร้ขอบเขตของพระองค์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านศาสดามุฮัมมัดที่ได้รับฉายานามว่าศาสดาผู้เปี่ยมด้วยเมตตาธรรม

อีกประเด็นที่ไคร่ขอเน้นย้ำอีกครั้งก็คือ หากผู้ศรัทธาคนใดสามารถประคองความศรัทธาไว้จนสิ้นลมหายใจ โดยไม่เคยทำบาปใหญ่ประเภทที่สามารถสั่นคลอนฐานรากแห่งศรัทธา (อันจะส่งผลให้เคลือบแคลงในศาสนาและปฏิเสธหลักศรัทธาในบั้นปลาย)
หรืออาจกล่าวสั้นๆได้ว่าเขาสิ้นลมขณะมีศรัทธาในกรณีเช่นนี้เขาจะไม่ถูกจองจำในนรกอเวจีชั่วกัปชั่วกัลป์ ทั้งนี้เนื่องจากบาปเล็กบาปน้อยของเขาจะถูกขีดฆ่าเนื่องจากเขาไม่เคยแตะต้องบาปใหญ่ ส่วนกรณีที่มีบาปใหญ่ ก็มีโอกาสจะได้รับการอภัยด้วยการเตาบะฮ์ที่ตรงตามเงื่อนไข แต่หากเขามิได้เตาบะฮ์อย่างถูกต้อง เขาก็อาจได้รับการผ่อนปรนในกรณีที่เคยเผชิญความทุกข์ยากในโลกนี้ และได้รับโทษเบื้องต้นในอาคิเราะฮ์ อย่างไรก็ตาม หากยังไม่บริสุทธิจากรอยบาปด้วยมาตรการดังที่กล่าวมา เขาก็มีโอกาสจะรอดพ้นการถูกจองจำอันนิรันดร์ในขุมนรกด้วยหลักชะฟาอัต (ซึ่งนับเป็นกรุณาธิคุณของพระองค์ผ่านทางท่านศาสดาและวงศ์วานในฐานะสัญลักษณ์แห่งเมตตาธรรมของอัลลอฮ์)

แต่อย่างไรก็ดี ไม่ควรประมาทเลินเล่อในการทดสอบของพระองค์ พึงระมัดระวังสิ่งที่จะสั่นคลอนศรัทธาในบั้นปลายชีวิต และต้องระวังอย่าปล่อยใจให้ระเริงดุนยา กระทั่งสิ้นลมหายใจในสถานะของผู้เป็นที่กริ้วของพระองค์.[12]



[1] ซูเราะฮ์ ชูรอ, 25.

[2] ตัฟซีร เนมูเนะฮ์, เล่ม 24, หน้า 290.

[3] ฮู้ด,114 .

[4] นิซาอ์, 31.

[5] มิศบาฮ์ ยัซดี, บทเรียนอะกีดะฮ์, หน้า 477.

[6] บทเรียนอะกีดะฮ์, หน้า 481.

[7] เพื่อข้อมูลเพิ่มเติม. ดู,หมวด: นัยยะของชะฟาอัตในอิสลาม, คำถาม 350, หมวด: ชะฟาอัตและความพึงพอใจของพระองค์, คำถาม 124.

[8] ซูเราะฮ์ สะญะดะฮ์ 4, ซุมัร 44, บะเกาะเราะฮ์ 255, สะบะอ์, 23 ฯลฯ

[9] ตัฟซีร เนมูเนะฮ์, เล่ม 1, หน้า 233.

[10] ชูรอ, 25.

[11] ตัฟซีร เนมูเนะฮ์, เล่ม 26, หน้า 111.

[12] บทเรียนอะกีดะฮ์, หน้า 481 และ 482.

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • บุตรีของมุสลิม บิน อะกีลมีชื่อว่าอะไร?
    6579 تاريخ بزرگان 2554/06/22
    หลังจากได้ศึกษาหนังสือหลายเล่มเกี่ยวกับชีวประวัติของท่านมุสลิมบินอะกีลเข้าใจได้ว่าท่านมุสลิมมีบุตรี 2 คนนามว่าอาติกะฮฺและฮะมีดะฮฺซึ่งอาติกะฮฺอยู่ในเหตุการณ์กัรบะลาอฺด้วยและเธอได้ชะฮีดในวันอาชูรอขณะศัตรูได้บุกโจมตีเต็นท์ต่างๆส่วนฮะมีดะฮฺได้ถูกจับตัวเป็นเชลยพร้อมกับเชลยแห่งกัรบะลาอฺซึ่งตระกูลของมุสลิมได้สืบเชื้อสายมาจากนาง ...
  • ผู้ที่มาร่วมพิธีฝังศพท่านนบี(ซ.ล.)มีใครบ้าง?
    10411 تاريخ بزرگان 2555/03/14
    ตำราประวัติศาสตร์และฮะดีษของฝ่ายอะฮ์ลิสซุนนะฮ์เล่าเหตุการณ์ฝังศพท่านนบี(ซ.ล.)ว่า อลี บิน อบีฏอลิบ(อ.) และฟัฎล์ บิน อับบ้าส และอุซามะฮ์ บิน เซด ร่วมกันอาบน้ำมัยยิตแก่ท่านนบี บุคคลกลุ่มแรกที่ร่วมกันนมาซมัยยิตก็คือ อับบาส บิน อับดุลมุฏ็อลลิบและชาวบนีฮาชิม หลังจากนั้นเหล่ามุฮาญิรีน กลุ่มอันศ้อร และประชาชนทั่วไปก็ได้นมาซมัยยิตทีละกลุ่มตามลำดับ สามวันหลังจากนั้น ท่านอิมามอลี ฟัฎล์ และอุซามะฮ์ได้ลงไปในหลุมและช่วยกันฝังร่างของท่านนบี(ซ.ล.) หากเป็นไปตามรายงานดังกล่าวแล้ว อบูบักรและอุมัรมิได้อยู่ในพิธีฝังศพท่านนบี(ซ.ล.) แม้จะได้ร่วมนมาซมัยยิตเสมือนมุสลิมคนอื่นๆก็ตาม ...
  • รายงานฮะดีซกล่าวว่า:การสร้างความสันติระหว่างบุคคลสองคน ดีกว่านมาซและศีลอด วัตถุประสงค์คืออะไร ?
    5582 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2555/05/17
    เหมือนกับว่าการแปลฮะดีซบทนี้ มีนักแปลบางคนได้แปลไว้แล้ว ซึ่งท่านได้อ้างถึง, ความอะลุ่มอล่วยนั้นเป็นที่ยอมรับ, เนื่องจากเมื่อพิจารณาใจความภาษาอรับของฮะดีซที่ว่า "صَلَاحُ ذَاتِ الْبَيْنِ أَفْضَلُ مِنْ عَامَّةِ الصَّلَاةِ وَ الصِّيَام‏" เป็นที่ชัดเจนว่า เจตนาคำพูดของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ต้องการกล่าวว่า การสร้างความสันติระหว่างคนสองคน, ดีกว่าการนมาซและการถือศีลอดจำนวนมากมาย[1] แต่วัตถุประสงค์มิได้หมายถึง นมาซหรือศีลอดเป็นเวลาหนึ่งปี หรือนมาซและศีลอดทั้งหมด เนื่องจากคำว่า “อามะตุน” ในหลายที่ได้ถูกใช้ในความหมายว่า จำนวนมาก เช่น ประโยคที่กล่าวว่า : "عَامَّةُ رِدَائِهِ مَطْرُوحٌ بِالْأَرْض‏" หมายถึงเสื้อผ้าส่วนใหญ่ของเขาลากพื้น[2] ...
  • จุดประสงค์ของคำว่า “บุรูจญ์” ในกุรอานหมายถึงอะไร?
    11696 بروج 2555/05/20
    โดยปกติความหมายของโองการที่มีคำว่า “บุรุจญ์” นั้นหมายถึงอัลลอฮฺ ตรัสว่า : เราได้ประดับประดาท้องฟ้า – หมายถึงด้านบนเหนือขึ้นไปจากพื้นดิน – อาคารและคฤหาสน์อันเป็นสถานพำนักของดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์, เราได้ประดับให้สวยงามแก่ผู้พบเห็น และเครื่องประดับเหล่านั้นได้แก่หมู่ดวงดาวทั้งหลาย คำๆ นี้ตามความหมายเดิมหมายถึง ปราสาทและหอคอยที่แข็งแรงมั่นคง, ซึ่งอัลกุรอานก็ถูกใช้ในความหมายดังกล่าวด้วย หรือหมายถึง เครื่องประดับที่ทุกวันนี้ทั่วโลกได้นำไปประดับประดาสร้างความสวยงาม ตระการตา. ...
  • หากในท้องปลาที่ตกได้ มีปลาตัวอื่นอีกด้วย จะรับประทานได้หรือไม่?
    5282 สิทธิและกฎหมาย 2554/11/17
    มีการสอบถามคำถามทำนองนี้ไปยังสำนักงานของบรรดามัรญะอ์ตักลีดบางท่านซึ่งท่านได้ให้คำตอบดังนี้ท่านอายาตุลลอฮ์คอเมเนอี:ปลาที่ตกได้ถือว่าฮะลาลท่านอายาตุลลอฮ์ซิซตานี:อิห์ติยาฏวาญิบ(สถานะพึงระวัง) ถือว่าเป็นฮะรอมท่านอายาตุลลอฮ์ฟาฎิลลังกะรอนี:หากปลาที่ตกมาได้เป็นปลาประเภทฮาลาลก็ถือว่าเป็นอนุมัติท่านอายาตุลลอฮ์มะการิมชีรอซี:อิห์ติยาฏควรจะหลีกเลี่ยง[1]อายาตุลลอฮ์อะรอกี:อิห์ติยาฏควรจะหลีกเลี้ยงเนื่องจากเราไม่สามารถรู้ได้ว่าตอนที่มันออกมามีชีวิตหรือไม่ดังนั้นถือว่าไม่สะอาด[2]อายาตุลลอฮ์นูรีฮาเมดอนี:ถือว่าฮาลาล[3]ดังที่ได้กล่าวมาจะเห็นได้ว่าบรรดามัรญะอ์มีทัศนะที่แตกต่างกันไปเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวแต่สามารถสรุปได้โดยรวมว่าหากมีสัตว์ที่อยู่ในท้องของปลาที่จับมาได้หากสัตว์ตัวนั้นเป็นปลาหรือเป็นสัตว์น้ำชนิดที่รับประทานได้ตามหลักศาสนาโดยขณะที่เราเอาผ่าออกมาเราแน่ใจว่าสัตว์น้ำดังกล่าวยังมีชีวิตอยู่ถือว่าฮาล้าลส่วนกรณีที่ต่างไปจากนี้อาทิเช่นเมื่อได้ผ่าท้องปลาและเห็นว่าสัตว์ที่อยู่ในท้องมันตายแล้วก่อนหน้านั้นถือว่าไม่สามารถรับประทานสัตว์น้ำดังกล่าวได้ส่วนในกรณีที่สาม (ไม่รู้ว่าสัตว์น้ำในท้องปลายังมีชีวิตหรือไม่) ในกรณีนี้บรรดามัรญะอ์มีทัศนะที่แตกต่างกันไปดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นดังนั้นมุกัลลัฟแต่ละจะต้องทำตามฟัตวาของมัรญะอ์ของตน
  • ทิฐิที่ปรากฏในกุรอานมีความหมายอย่างไร? มีสาเหตุ ผลลัพธ์ และวิธีแก้อย่างไร? คนมีทิฐิมีคุณลักษณะอย่างไร?
    11272 بدبینی و بدگمانی 2555/09/20
    การถืออคตินับเป็นอุปนิสัยที่น่ารังเกียจยิ่ง เราสามารถวิเคราะห์อุปนิสัยดังกล่าวจากหลายแง่มุมด้วยกัน ทั้งนี้ก็เนื่องจากมีผลร้ายหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นผลร้ายเชิงปัจเจกหรือสังคม จิตใจและร่างกาย โลกนี้และโลกหน้า อิสลามได้ตีแผ่ถึงรากเหง้าและผลเสียของการถือทิฐิ ตลอดจนนำเสนอวิธีปรับปรุงตนเองเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้อย่างถี่ถ้วน ...
  • การลงจากสวรรค์ของอาดัมหมายถึงอะไร?
    8027 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/10/22
    คำว่า “ฮุบูต” หมายถึงการลงมาด้านล่างจากที่สูง (นุซูล) ตรงกันข้ามกับคำว่า สุอูด (ขึ้นด้านบน), บางครั้งก็ใช้ในความหมายว่าหมายถึงการปรากฏในที่หนึ่งการวิพากถึงการลงมาของศาสดาอาดัม และความหมายของการลงมานั้น อันดับแรกขึ้นอยู่กับว่า สวรรค์ที่ศาสดาอาดัมอยู่ในตอนนั้นเราจะตีความกันว่าอย่างไร? สวรรค์นั้นเป็นสวรรค์บนโลกหรือว่าสวรรค์ในปรโลก? สิ่งที่แน่ชัดคือมิใช่สวรรค์อมตะนิรันดร์, ดังนั้นการลงมาของศาสดาอาดัม, จึงเป็นการลงมาในฐานะของฐานันดร, กล่าวคือวัตถุประสงค์ของอาดัมที่ลงจากสวรรค์, หมายถึงการขับออกจากสวรรค์ การกีดกันจากการใช้ชีวิตในสวรรค์ (สวรรค์บนพื้นโลก) การใช้ชีวิตบนพื้นโลก การดำเนินชีวิตไปพร้อมกับการเผชิญกับความยากลำบาก ดังที่อัลกุรอานหลายโองการได้กล่าวถึงไว้ ...
  • ถ้าหากบนผิวหนังมีจุด่างดำ หรือสีน้ำตาล สามารถผ่าตัด หรือยิงเลเซอร์ได้ไหม ถ้าสามียินยอม?
    7118 สิทธิและกฎหมาย 2555/01/23
    ทัศนะของมัรญิอฺตักลีดบางท่านเกี่ยวกับการผ่าตัดจุดด่างดำปานบนผิวหนังด้วยการยิงเลเซอร์เช่นสำนักฯพณฯ
  • ความแตกต่างระหว่างจริยธรรมกับจริยศาสตร์คืออะไร? สิ่งไหนครอบคลุมมากกว่ากัน? และการตีความเกี่ยวกับจริยศาสตร์กับจริยธรรมอันไหนครอบคลุมมากกว่า?
    19950 จริยธรรมทฤษฎี 2555/04/07
    คำว่า “อัคลาก” ในแง่ของภาษาเป็นพหูพจน์ของคำว่า “คุลก์” หมายถึง อารมณ์,ธรรมชาติ, อุปนิสัย, และความเคยชิน,ซึ่งครอบคลุมทั้งอุปนิสัยทั้งดีและไม่ดี นักวิชาการด้านจริยศาสตร์,และนักปรัชญาได้ตีความเกี่ยวกับจริยศาสตร์ไว้มากมาย. ซึ่งในหมู่การตีความทั้งหลายเหล่านั้นของนักวิชาการสามารถนำมารวมกัน และกล่าวสรุปได้ดังนี้ว่า “อัคลาก ก็คือคุณภาพทางจิตวิญญาณของมนุษย์ ซึ่งเป็นการปฏิบัติที่มีความเหมาะสม หรือพฤติกรรมอันเหมาะสมของมนุษย์ที่ปฏิบัติในชีวิตประจำวันตน” สำหรับ ศาสตร์ด้านจริยธรรมนั้น มีการตีความไว้มากมายเช่นกัน ซึ่งในคำอธิบายเหล่านั้นเป็นคำพูดของท่าน มัรฮูม นะรอกียฺ กล่าวไว้ในหนังสือ ญามิอุลสะอาดะฮฺว่า : ความรู้ (อิลม์) แห่งจริยศาสตร์หมายถึง การรู้ถึงคุณลักษณะ (ความเคยชิน) ทักษะ พฤติกรรม และการถูกขยายความแห่งคุณลักษณะเหล่านั้น การปฏิบัติตามคุณลักษณะที่แตกต่างกันในการช่วยเหลือให้รอดพ้น หรือการการปล่อยวางคุณลักษณะที่นำไปสู่ความหายนะ” ส่วนการครอบคลุมระหว่างจริยธรรมกับศาสตร์แห่งจริยธรรมนั้น มีคำกล่าวว่า,ความแตกต่างระหว่างทั้งสองมีอยู่เฉพาะในทฤษฎีเท่านั้นเอง ดังนั้น บนพื้นฐานดังกล่าวนี้ ถ้าหากจะกล่าวว่า สิ่งไหนมีความครอบคลุมมากกว่ากันจึงไม่มีความหมายแต่อย่างใด ...
  • เพราะเหตุใดอัลกุรอานจึงเป็นโองการ โองการ? และซูเราะฮฺใดจากซูเราะฮฺต่างๆ ที่ได้ประทานแก่นะบี (ซ็อลฯ) ในครั้งเดียว?
    14317 วิทยาการกุรอาน 2555/09/29
    อัลกุรอานถูกประทานลงมาในสองลักษณะกล่าวคือ ลงมาคราวเดียวกัน และทยอยลงมา (เป็นโองการ โองการ และเป็นซูเราะฮฺ ซูเราะฮฺ) ขณะเดียวกันได้มีเหตุผลกล่าวไว้ถึงการทยอยประทานลงมา เช่น : 1.เพื่อสร้างความมั่นคงแก่จิตใจของนะบี 2.เพื่อความต่อเนื่องของวะฮฺยู และการทยอยประทานลงมานั้นได้สร้างความอบอุ่นใจแก่ท่านนะบี (ซ็อลฯ) และบรรดามุสลิมทั้งหลาย 3.เพื่อจะได้ทิ้งช่วงในการอ่านแก่ประชาชน เป็นการง่ายดายต่อการจดจำของพวกเขา สามารถคิดใคร่ครวญได้อย่างรอบคอบ และจดจำได้สะดวกขึ้น นอกจากนั้นยังให้ความรู้และการปฏิบัติตามใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น และเนื่องจากว่ามีประเด็นเรื่องราวถูกกล่าวไว้ในอัลกุรอานมากมาย ด้วยเหตุนี้ จำเป็นต้องจัดแบ่งประเด็นเหล่านั้นให้เป็นหมวดหมู่ และหมวดหมู่เหล่านั้น ที่มีความเหมาะสมกันยังถูกจัดไว้ในหมวดเดียวกัน ซึ่งแยกไปจากหมวดอื่น ด้วยเหตุนี้เอง จึงเห็นว่าอัลกุรอานถูกจัดเป็นโองการๆ และเป็นบทแยกต่างหาก สิ่งจำเป็นต้องกล่าวถึงขอบข่าย การเริ่มต้น และสิ้นสุดของทุกโองการ ได้ถูกกระทำขึ้นตามคำสั่งของท่านนะบี (ซ็อลฯ) ซึ่งจำเป็นต้องยอมรับสิ่งนั้นโดยปริยาย แน่นอน อัลกุรอานบางบทอาจมีขนาดเล็ก ...

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    57969 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    55450 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    40696 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    37608 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    36573 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    32659 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    26855 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    26423 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    26202 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    24318 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...