การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
10886
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2550/10/27
คำถามอย่างย่อ
ท่านสุลัยมาน (อ.) หลังจากได้สูญเสียบุตรชายไป จึงได้วอนขออำนาจการปกครอง แต่ท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) กล่าว่า โอ้ อะลีหลังจากเจ้าแล้วโลกจะพบกับความหายนะ?
คำถาม
มีรายงานกล่าวว่า ท่านสุลัยมานหลังจากได้สูญเสียบุตรชายไป และเมื่อเข้าไปสู่โศกนาฏกรรมนั้น ท่านได้ดุอาอว่า? قَالَ رَبّ‏ِ اغْفِرْ لىِ وَ هَبْ لىِ مُلْكاً لَّا يَنبَغِى لِأَحَدٍ مِّن بَعْدِى إِنَّكَ أَنتَ الْوَهَّاب‏ » จากดุอาอฺของท่านจะพบว่าท่านมิได้สิ้นหวังจากโลกเลยแม้แต่น้อย
คำตอบโดยสังเขป
เหตุการณ์แห่งกัรบะลาอฺ เราได้เห็นท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) คือแบบอย่างของความอดทน และการยืนหยัด ขณะที่ท่านมีความประเสริฐและฐานันดรที่สูงส่ง เมื่อเทียบกับบรรดาศาสดาทั้งหลาย (อ.) หรือแม้แต่ศาสดาที่เป็นเจ้าบทบัญญัติก็ตาม แต่ท่านได้กล่าวขณะท่านอิมามอะลี (อ.) ชะฮาดัตว่า “โอ้ อะลีเอ๋ย หลังจากเจ้าแล้วโลกจะพบกับหายนะ”
ถ้าพิจารณาตามอัลกุรอาน โองการที่กล่าวถึงสอนให้รู้ว่า ทั้งคำพูดและความประพฤติของท่านศาสดาสุลัยมาน (อ.) เป็นความประเสริฐหนึ่ง ดังนั้น เรามีคำอธิบายอย่างไรกับคำกล่าวอย่างสิ้นหวังของท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) กรุณาหักล้างคำพูดดังกล่าวด้วยเหตุผลเชิงสติปัญญา แม้ว่าคำพูดของท่านศาสดาสุลัยมาน (อ.) จะชี้ให้เห็นถึง ฐานะภาพความยิ่งใหญ่ของท่านก็ตาม และความโปรดปรานอันอเนกอนันต์จากอัลลอฮฺ ซึ่งเมือเทียบกับสามัญชนทั่วไปแล้ว ดีกว่ามากยิ่งนัก แต่เมื่อเทียบกับฐานะภาพเฉพาะของท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) ไม่อาจเทียบเทียมกันได้ เนื่องจากโองการเหล่านี้ หนึ่ง,แสดงให้เห็นว่าท่านศาสดาสุลัยมาน ในชั่วขณะหนึ่งเกิดความลังเล แต่มิได้ละทิ้งสิ่งที่ดีกว่า และการที่ท่านได้สูญเสียบุตรชายไปนั้น ถือว่าเป็นหนึ่งในชะตากรรม สอง, บุตรชายที่ท่านได้สูญเสียไปนั้นเป็นเด็กที่ไม่สมบูรณ์ และคลอดเร็วเกินกว่ากำหนด ดังนั้น โดยปรกติการสูญเสียบุตรลักษณะนี้ จะไม่เป็นสาเหตุทำให้ผู้เป็นบิดามารดาต้องเสียใจหรือระทมทุกข์อย่างหนัก แต่ท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) ในวันอาชูรอได้กล่าวคำพูดนั้นออกมา หนึ่ง, ท่านมีสติและมีความรักในอัลลอฮฺอย่างเต็มเปี่ยมหัวใจ สอง,ท่านได้อุทิศบุตรหลานในหนทางของพระเจ้า ซึ่งเป็นบุตรที่มี่ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง มีจริยธรรม มีคำพูดที่คล้ายคลึงศาสดา (ซ็อลฯ) มากที่สุด ดังนั้น การร้องไห้เสียใจ เนื่องจากการสูญเสียบุตรทำนองนี้ ย่อมทำให้สูญเสียกำลังใจ และทำให้ผู้มีหัวใจแข็งเป็นหินเกิดการเปลี่ยนแปลงได้ หนึ่ง,เป็นธรรมชาติโดยสมบูรณ์ สอง,อธิบายถึงความสมบูรณ์ของการมีอิมาม ความกล้าหาญ จิตใจที่แข็งแรงและยืนหยัดในการต่อสู้ จิตใจเปี่ยมด้วยความรัก สาม,ประโยคที่ท่านอิมาม (อ.) กล่าวนั้นเป็นการแสดงให้เห็นถึงการเสียสละอย่างที่สุดของท่านอิมาม (อ.) ซึ่งมีค่าที่สุดที่มีอยู่ในครอบครองของท่าน ที่ท่านได้อุทิศในหนทางของพระเจ้า
ด้วยเหตุนี้ คำพูดของท่านอิมาม มิใช่เป็นการแสดงให้เห็นการสิ้นหวัง หรือสิ้นหวังจากความเมตตาของพระเจ้า ทว่าเป็นการบ่งบอกให้เห็นถึงความหวัง และความศรัทธาอันสูงส่งในการดำเนินชีวิตที่ดีกว่า และมีความมั่นคงในปรโลก
 
คำตอบเชิงรายละเอียด
เกี่ยวกับสาเหตุของการประทานโองการ 34, 39 ซูเราะฮฺซ็อด[1] มีรายงานและเรื่องเล่ามากมาย ที่บันทึกไว้ในหนังสือตัฟซีร หรือประวัติศาสตร์ ซึ่งสิ่งที่น่าสนใจที่สุด เมือพิจารณาตำแหน่งความเป็นมะอฺซูมของท่านศาสดาสุลัยมาน (อ.) แล้ว[2]
ศาสดาสุลัยมาน (อ.) มีความหวังว่าจะได้บุตรที่มีความแข็งแรง กล้าหาญคนหนึ่ง เพื่อจะได้ช่วยเหลือท่านในการดูแลการปกครอง โดยเฉพาะการต่อสู้กับศัตรู, ท่านมีภรรยาหลายคนและกล่าวกับตนเองว่า : ฉันใกล้ชิดกับพวกนาง เพื่อหวังว่าจะได้มีบุตรหลายคน เพื่อให้พวกเขาช่วยเหลือฉันไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ แต่ในที่นี้ประหนึ่งว่าเขามิได้กล่าวคำว่า “อินชาอัลลอฮฺ” ประโยคที่อธิบายภารกิจของมนุษย์ที่มีต่อัลลอฮฺในทุกสภาพ และในเวลานั้นเขาจึงไม่มีบุตรเกิดกับภรรยาสักคน เว้นเสียแต่บุตรพิการคนหนึ่ง ประหนึ่งร่างที่ปราศจากวิญญาณ สุลัยมานคิดหนักและเสีนใจว่าเพราะอะไรเขาจึงได้ลืมอัลลอฮฺ ไปชั่วขณะหนึ่ง และอาศัยพลังที่มีอยู่ในตัวเอง เขาได้กลับตัวกลับใจ และกลับคืนสู่อัลลอฮฺอีกครั้ง[3]
อัลกุรอาน โองการข้างต้น หนึ่ง,เป็นการแสดงให้เห็นถึงเรื่องราวของสุลัยมานและชะตากรรมของเขา สอง,บุตรที่ท่านได้สูญเสียไปนั้นเป็นเด็กพิการโดยกำเนิด ดังนั้น การสูญเสียบุตรลักษณะนี้ แม้ว่าจะเสียใจอยู่บ้างแต่ก็จะไม่มีอิทธิพลต่อความรักแต่อย่างใด แต่สำหรับท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) ในวันอาชูรอขณะที่ท่านกล่าวคำพูดนี้ ท่านมีสติสัมปชัญญะ เป็นการอธิบายให้เห็นว่า หนึ่ง,ท่านอยู่ในสภาพของความสูงส่งในการรู้จักและความรักที่มีต่อพระเจ้า สอง,บุตรที่ท่านอิมาม (อ.) ได้อุทิศในหนทางของอัลลอฮฺ เป็นคนที่มีความละม้ายคล้ายคลึงท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อลฯ) มากที่สุด ในแง่ของบุคลิกภาพ หน้าตา และความประพฤติ และแม้แต่คำพูด เป็นบุคคลที่ได้พลีชีวิตเพื่ออิมามแห่งยุคของตน ขณะที่ท่านอะลีอักบัร มุ่งหน้าไปสู่สนามรบ กล่าว่า “ข้าฯคืออะลี บุตรของฮุซัยนฺ บุตรของอะลี บุตรของอบีฏอลิบ ข้ฯมาจากครอบครัวซึ่งตาของข้าฯคือเราะซูล (ซ็อลฯ) ข้าฯขอสาบานต่ออัลลอฮฺว่า บุตรซินา จะไม่ได้เป็นผู้ปกครองในหมู่พวกเรา ข้าฯจะส่งพวกเขาไปสู่ความอัปยศ ข้าฯจะต่อสู้กับพวกเจ้าด้วยดาบ และจะปกป้องบิดาของข้าฯ ข้าฯจะสู้รบกับพวกเจ้าเยี่ยงชายหนุ่มแห่งบนูฮาชิมและอัลละวี[4]
การร้องไห้คือสัญลักษณ์ของความเสียใจ เนื่องจากได้สูญเสียสิ่งที่ตนรักโดยเฉพาะบุตรเช่นอะลีอักบัร ในสภาพเช่นนั้นย่อมทำให้หัวใจ แม้จะแข็งแกร่งเยี่ยงหินก็เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ หนึ่ง,เป็นเรื่องธรรมดาทั่วไป สอง,อธิบายถึงความสมบูรณ์ของการมีอิมาม ความกล้าหาญ จิตใจที่แข็งแรงและยืนหยัดในการต่อสู้ จิตใจเปี่ยมด้วยความรัก เนื่องจากอิมามคือแหล่งที่มาของความสมบูรณ์ความเป็นมนุษย์ ความเมตตา ซึ่งความรักนั้นเป็นหนึ่งในความสมบูรณ์ของมนุษย์ ดังที่ศาสดา (ซ็อลฯ) เมื่อสูญเสียบุตรสุดที่ร้กคืออิบรอฮีม ท่านได้ร้องไห้ และได้ตอบคำถามถึงสาเหตุของการร้องไห้ว่า นี่มิใช่เป็นการร้องไห้ ทว่าเป็นความเมตตาซึ่งผู้ใดไม่มีความเมตตา เขาก็จะไม่ได้รับความเมตา[5] ท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ (อ.) ก็เช่นกันท่านได้ร้องไห้ ณ หลุมศพของบิดาของท่านนบี (ซ็อลฯ) โดยรำพันจากจิตภายในว่า “โอ้ บิดาท่านได้จากไปแล้ว การจากไปของท่าน โลกแห่งความสดใสได้มืดลงสำหรับพวกเราแล้ว ความสุขที่เราได้เคยมีได้เบี่ยงเบนไปจากเรา โลกได้ดีขึ้นและสวยงามด้วยความไพโรจน์ของท่าน แต่บัดนี้วันที่สดใสได้มืดมิดลง ความแห้งแล้งของมัน เป็นการรายงานให้เห็นถึงกลางคืนที่มืดมิด[6]
 สาม, ท่านอิมามได้กล่าวประโยคนั้น ขณะนั่งอยู่เหนือศีรษะของอะลีอักบัร ที่ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลฉกรรจ์ว่า “โอ้ อะลีเอ๋ย โลกจะพบกับความหายนะหลังเจ้าจากไป” แสดงให้เห็นถึงฐานะภาพอันยิ่งใหญ่ของอะลี อักบัร ซึ่งการมีท่านสำหรับอิมามแล้วเสมือนชีวิตของอิมาม
สี่,ประโยคที่ท่านอิมาม (อ.) กล่าวนั้นเป็นการแสดงให้เห็นถึงการเสียสละอย่างที่สุดของท่านอิมาม (อ.) ซึ่งมีค่าที่สุดที่มีอยู่ในครอบครองของท่าน ที่ท่านได้อุทิศในหนทางของพระเจ้า
นอกเหนือจากที่กล่าวมา บุคคลที่มีสมบูรณ์สูงสุดในครอบครัว และบุตรของท่านล้วนเป็นความยินดี และความพึงพอใจของพระเจ้า ดังนั้น เขาจะไม่มีความหวังต่อพระเจ้าเชียวหรือ หรือว่าบุคคลที่มีบุตรที่พิการจะมีความหวังมากกว่า ในสภาพเช่นนั้นเขาจึงได้เรียกร้องต่อพระเจ้ากระนั้นหรือ แม้ว่าคำพูดของสุลัยมานจะบ่งชี้ให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่แห่งจิตวิญญาณ และความเชื่อมั่นในความเมตตาอันอเนกอนันต์ของพระเจ้า เมื่อเทียบกับสามัญชนทั่วไปแล้วถือว่าดีกว่าอย่างยิ่ง แต่เมื่อเทียบกับสถานภาพอันเฉพาะสำหรับท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) แล้วไม่อาจเปรียบเทียบกันได้แน่นอน  ด้วยเหตุนี้ คำพูดของท่านอิมาม นอกจากจะมิได้เป็นการบ่งชี้ให้เห็นถึงการสิ้นหวังจากความเมตตาของพระเจ้าแล้ว ทว่ายังเป็นการบ่งชี้ให้เห็นถึงความหวัง และอีมานอันสูงส่ง เมื่อเทียบกับวิถีชีวิตที่ดีกว่าและมั่นคงแห่งชีวิตในปรโลก ประโยคที่ท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) กล่าวออกไปนั้น เป็นการแสดงให้เห็นถึงสถานภาพที่ไม่เอาไหนของชนในตอนนั้น ซึ่งท่านอิมาม (อ.) ได้กล่าวในประเด็นอื่นอีกถึงสาเหตุของการไม่ใส่ใจของผู้คน และความเหน็ดเหนื่อยของท่านที่มีต่อโลก ขณะเดินทางไปกัรบะลาอฺ ท่านอิมาม (อ.) กล่าวว่า “ใช่แล้ว โลกไปเปลี่ยนโฉมหน้าไปแล้ว จนจำไม่ได้คนที่ทำความดีกำลังจะสูญสิ้นไป ความดีไม่คงหลงเหลืออยู่อีกแล้ว นอกจากหยดน้ำบนภาชนะ และชีวิตที่ไร้สาระ ประหนึ่งทุ่งหญ้าที่มิได้หญ้างอกเงย นอกจากหญ้าที่นำไปสู่การเจ็บป่วย ซึ่งไม่อาจใช้ประโยชน์อันใดได้ พวกเจ้าไม่เห็นดอกหรือว่า ความจริงมิได้ถูกปฏิบัติ ขณะที่สิ่งโมฆะมิได้ถูกละเว้น ในลักษณะที่ว่าผู้ศรัทธามีสิทธิ์เสรี ต่างเรียกร้องกลับคืนสู่พระเจ้า ดังเช่นผู้ที่ลุ่มหลงโลก คำสอนของศาสนามิได้เกินเลยไปจากคำพูดที่อยู่บนปลายลิ้นของพวกเขา[7]
และอีกหลายตอนที่ท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) ได้กล่าวถึงสาเหตุของความเบื่อหน่ายและเกลียดชังชีวิตทางโลกคือ การดูหมิ่นศาสนา และการชะฮาดัตของมวลผู้ศรัทธา
ท่านอิมามซัยนุลอาบิดีน (อ.) กล่าวว่า บ้านทุกหลังที่ฉันได้เข้าไป บิดาของฉันได้กล่าวถึงการเป็นชะฮีดของ ยะฮฺยาบินซักกะรียา (อ.) ว่า “วันหนึ่งความอัปยศของโลก ณ พระผู้อภิบาลคือ ศีรษะของยะฮฺยาได้ถูกตัดขาด ในฐานะของกำนัลที่ถูกส่งไปยังสตรีชั่วช้าผิดประเวณี แห่งบนีอิสราเอล[8] ในทำนองนั้นท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) ขณะชะฮาดัตอะลี อักบัร ท่านกล่าวว่า พวกเขากล้าแสดงความถ่อยต่ออาตมันบริสุทธิ์ของพระเจ้า และเราะซูลของพระองค์ และดูหมิ่นศาสนาได้เยี่ยงนี้ได้อย่างไร[9]
 

[1] กล่าวว่า “โอ้ พระผู้อภิบาลของข้าฯ โปรดอภัยให้แก่ข้าฯ โปรดประทานอำนาจปกครองแก่ข้าฯ ซึ่งหลังจากข้าฯ แล้วจะไม่คู่ควรแก่ผู้ใดทั้งสิ้น เนื่องจากเฉพาะพระองค์เท่านั้นเป็นผู้ทรงประทานให้อย่างมากมาย ดังนั้น เราได้บันดาลให้ลมพัดแผ่วเบาสำหรับเขา โดยพัดไปตามคำสั่งของเขายังทิศทางที่เขาต้อง”
[2] ความสัมพันธ์แง่ของตัฟซีร ระหว่างสองโองการนี้เกี่ยวกับการละทิ้งสิ่งที่ดีกว่าของสุลัยมาน (อ.) และข้อท้วงติงที่มีต่อคำตอบเกี่ยวกับการขออำนาจการปกครอง โดยเฉพาะท่านสุลัยมาน (อ.) โปรดพิจารณาตัฟซีรอัลมีซานฉบับภาษาอาหรับ เล่ม 17, หน้า 204, ตัฟซีรเนะมูเนะฮฺ เล่ม 19, หน้า 281, เราะฮฺเนะมอเชะนอซียฺ, หน้า 174, อุสตาดมิซบาฮฺ ยัซดียฺ
[3] ตัฟซีรเนะมูเนะฮฺ เล่ม 19, หน้า 281
[4] บิฮารุลอันวาร เล่ม  45, หน้ 43
[5] วะซาอิลชีอะฮฺ เล่ม 2,บาบดะฟั่น , บาบ 17, หน้า 922, รายงานที่ 8.
[6] บิฮารุลอันวาร เล่ม  43, หน้า 174-180
[7] ตะฮฺฟุลอุกูล, สุนทรพจน์ของท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) หน้า 427
[8] บิฮารุลอันวาร เล่ม  45, หน้า 299, ซีดีวิชาการ กันญีเนะฮฺ ริวายาต นูร, คำถามตอบต่างๆ สำหรับนักศึกษา ลำดับที่ 13 สำนักตัวแทนท่านผู้นำในมหาวิทยาลัยต่างๆ, มัรกัซฟังฮังกี, ฝ่ายให้คำปรึกษาและคำตอบ
[9] บิฮารุลอันวาร เล่ม  45, หน้า 44.
แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • คำพูดของอิมามศอดิกที่ว่า “ยี่สิบห้าอักขระแห่งวิชาการจะแพร่หลายในยุคที่อิมามมะฮ์ดีปรากฏกาย” หมายความว่าอย่างไร?
    8309 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2555/03/04
    ความเจริญรุดหน้าทางวิทยาการทั้งทางโลกและทางธรรมนั้น เป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นในยุคที่ท่านอิมามมะฮ์ดี(อ.)ปรากฏกาย วิทยาการจะรุ่งเรืองถึงขีดสุดในยุคนี้ ดังที่ปรากฏในฮะดีษที่ผู้ถามอ้างอิงไว้ข้างต้น อย่างไรก็ดี ฮะดีษทำนองนี้มิได้ระบุว่ามนุษย์ในยุคดังกล่าวจะสามารถเรียนรู้วิทยาการทั้งยี่สิบเจ็ดอักขระอย่างรวดเร็วเหมือนกันหมดทุกคน ทว่าฮะดีษของอิมามศอดิก(อ.)ข้างต้นใช้คำว่า “أخرج”[1] อันหมายถึงการที่ท่านอิมามมะฮ์ดี(อ.)จะนำอักขระที่เหลือออกมาเผยแพร่ เพื่อให้มนุษยชาติได้มีโอกาสเรียนรู้วิทยาการทั้งยี่สิบเจ็ดอักขระอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ อันเป็นการแผ่ขยายโอกาสอย่างกว้างขวาง แต่การที่ทุกคนสามารถจะเรียนรู้ได้ครบยี่สิบเจ็ดอักขระเท่าเทียมกันได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับความไฝ่รู้ของแต่ละคน ซึ่งแน่นอนว่าย่อมมีบุคคลจำนวนหนึ่งเท่านั้นที่บรรลุถึงวิทยฐานะอันสูงส่ง โดยจะเป็นผู้จัดตั้งสถานศึกษาและประสิทธิประสาทวิชาการแก่ผู้ที่สนใจสืบไป ดังที่อิมามอลี(อ.)กล่าวไว้ว่า “เสมือนว่าฉันกำลังเห็นเหล่าชีอะฮ์ของฉันกางเต๊นท์ในมัสญิดกูฟะฮ์เพื่อเป็นสถานที่สอนความรู้อันบริสุทธิจากอัลกุรอานแก่ประชาชน”[2] ข้อสรุป: แม้ว่าท่านอิมามมะฮ์ดี(อ.)จะเปิดศักราชแห่งการศึกษาวิทยาการถึงยี่สิบเจ็ดอักขระภายหลังจากที่ท่านปรากฏกาย อันกล่าวได้ว่าอาจเป็นโอกาสในการก้าวกระโดดทางวิชาการ แต่ก็มีบางคนในยุคนั้นที่ไม่สามารถจะบรรลุถึงเป้าหมายดังกล่าวได้ การจะบรรลุเป้าหมายทางวิชาการจะต้องอาศัยความพากเพียร เปรียบดั่งเป้าหมายแห่งตักวาที่ทุกคนสามารถไขว่คว้ามาได้ด้วยความบากบั่น ฉะนั้น ในเมื่อการบรรลุถึงจุดสูงสุดของตักวายังต้องอาศัยความอุตสาหะ การบรรลุถึงวิชาการทั้งยี่สิบเจ็ดอักขระก็ต้องอาศัยความพยายามและความมุมานะเช่นกัน
  • ฮะดีษนี้เศาะฮี้ห์หรือไม่? รายงานจากอิมามญะฟัร(อ.)ว่า "ก่อนท่านนบี(ซ.ล.)จะนอน ท่านจะแนบใบหน้าที่หว่างอกของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์(อ.)เสมอ" (บิฮารุลอันว้าร,เล่ม 43,หน้า 78)
    8512 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2554/11/24
    ฮะดีษแบ่งออกเป็นสองประเภท ก.กลุ่มฮะดีษที่มีสายรายงานที่เชื่อถือได้แข็งแรงและเศาะฮี้ห์ ขกลุ่มฮะดีษที่มีสายรายงานที่ไม่น่าเชื่อถืออ่อนแอและไม่เป็นที่รู้จัก.ฮะดีษที่ยกมานั้นหนังสือบิฮารุลอันว้ารอ้างอิงจากหนังสือมะนากิ้บของอิบนิชะฮ์รอชู้บแต่เนื่องจากไม่มีสายรายงานที่ชัดเจนจึงจัดอยู่ในกลุ่มฮะดีษที่ไม่น่าเชื่อถือแต่สมมติว่าฮะดีษดังกล่าวเศาะฮี้ห์
  • กรุณาไขเคล็ดลับวิธีบำรุงสมองทั้งในแง่รูปธรรมและนามธรรมตามที่ปรากฏในฮะดีษ
    7889 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/28
    ปัจจัยที่มีส่วนช่วยบำรุงสมองและเสริมความจำมีอยู่หลายประเภทอาทิเช่น1. ปัจจัยด้านจิตวิญญาณก. การรำลึกถึงอัลลอฮ์(ด้วยการปฏิบัติศาสนกิจโดยเฉพาะอย่างยิ่งการนมาซตรงเวลา)ข. อ่านบทดุอาที่มีผลต่อการเสริมความจำอย่างเช่นดุอาที่นบี(ซ.ล.)สอนแก่ท่านอิมามอลี(อ.)[i]سبحان من لایعتدى على اهل مملکته، سبحان من لایأخذ اهل الارض بالوان العذاب، سبحان الرؤوف الرحیم، اللهم اجعل لى فى قلبى نورا و بصرا و فهما و علما انک على کل ...
  • ท่านอิมามอะลี (อ.) ได้ให้บัยอัตแก่อบูบักรฺ อุมัร และอุสมานหรือไม่? เพราะอะไร?
    10867 เทววิทยาดั้งเดิม 2555/07/16
    ประการแรก: ท่านอิมามอะลี (อ.) และบรรดาสหายกลุ่มหนึ่งของท่าน พร้อมกับสหายของท่านศาสดา มิได้ให้บัยอัตกับท่านอบูบักรฺตั้งแต่แรก แต่ต่อมาคนกลุ่มนี้ได้ให้บัยอัต ก็เนื่องจากว่าต้องการปกปักรักษาอิสลาม และความสงบสันติในรัฐอิสลาม ประการที่สอง: ปัญหาทั้งหมดที่เกิดขึ้นนั้นไม่อาจคลี่คลายให้เสร็จสิ้นได้ด้วยคมดาบ หรือความกล้าหาญเพียงอย่างเดียว และมิได้หมายความว่าทุกที่จะสามารถใช้กำลังได้ทั้งหมด เนื่องจากมนุษย์เป็นผู้มีสติปัญญา และฉลาดหลักแหลม สามารถใช้เครื่องมืออันเฉพาะแก้ไขปัญหาได้ ประการที่สาม: ถ้าหากท่านอิมามยอมให้บัยอัตกับบางคน เพื่อปกป้องรักษาสิ่งที่มีคุณค่ามากกว่า เช่น ปกป้องศาสนาของพระเจ้า และความยากลำบากของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) นั่นมิได้หมายความว่า ท่านเกรงกลัวอำนาจของพวกเขา และต้องการรักษาชีวิตของตนให้รอดปลอดภัย หรือท่านมีอำนาจต่อรองในตำแหน่งอิมามะฮฺและการเป็นผู้นำน้อยกว่าพวกเขาแต่อย่างใด ประการที่สี่ : จากประวัติศาสตร์และคำพูดของท่านอิมามอะลี (อ.) เข้าใจได้ว่า ท่านอิมาม ได้พยายามคัดค้านและท้วงติงพวกเขาหลายต่อหลายครั้ง เกี่ยวกับสถานภาพตามความจริง ในช่วงการปกครองของพวกเขา แต่ในที่สุดท่านได้พยายามปกปักรักษาอิสลามด้วยการนิ่งเงียบ และช่วยเหลืองานรัฐอิสลามเมื่อเผชิญหน้ากับศัตรู ...
  • โองการ اخْلُفْنِی فِی قَوْمِی وَأَصْلِحْ وَلَا تَتَّبِعْ سَبِیلَ الْمُفْسِدِینَ กล่าวโดยผู้ใด และปรารภกับผู้ใด?
    6943 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/19
    โองการที่ถามมานั้น กล่าวถึงคำสั่งของท่านนบีมูซา(อ.)ที่มีแด่ท่านนบีฮารูน(อ.)ขณะกำลังจะเดินทางจากชนเผ่าของท่านไป ทั้งนี้เนื่องจากการแต่งตั้งตัวแทนจะกระทำในยามที่บุคคลกำลังจะลาจากกัน เมื่อท่านนบีมูซาได้รับบัญชาให้จาริกสู่สถานที่นัดหมายจึงแต่งตั้งท่านนบีฮารูน (ซึ่งดำรงตำแหน่งนบีอยู่แล้ว) ให้เป็นตัวแทนของท่านในหมู่ประชาชน และได้กำชับให้ฟื้นฟูดูแลประชาชน และให้หลีกห่างกลุ่มผู้นิยมความเสื่อมเสีย[1]อนึ่ง ท่านนบีฮารูน(อ.)เองก็มีฐานะเป็นนบีและปราศจากความผิดบาป อีกทั้งไม่คล้อยตามผู้นิยมความเสื่อมเสียอยู่แล้ว ท่านนบีมูซาเองก็ย่อมทราบถึงฐานันดรภาพของพี่น้องตนเองเป็นอย่างดี ฉะนั้น คำสั่งนี้จึงมิได้เป็นการห้ามมิให้นบีฮารูนทำบาป แต่ต้องการจะกำชับมิให้รับฟังทัศนะของกลุ่มผู้นิยมความเสื่อมเสีย และอย่าคล้อยตามพวกเขาจนกว่าท่านนบีมูซาจะกลับมา
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42871 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • กรุณาแจกแจงแนวความคิดของเชคฏูซีในประเด็นการเมือง
    6443 ระบบต่างๆ 2554/10/02
    ทุกยุคสมัยมักมีประเด็นปัญหาใหม่ๆให้นักวิชาการได้ขบคิดและตอบคำถามเรื่อยมาเชคฏูซีก็ถือเป็นปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ที่รับผิดชอบภารกิจนี้อย่างดีเยี่ยมแนวคิดทางการเมืองการปกครองของเชคฏูซีสรุปได้ดังนี้ท่านไม่เห็นด้วยกับการจำแนกศาสนาจากการเมืองท่านใช้ข้อพิสูจน์ทางสติปัญญาชี้ให้เห็นว่าจำเป็นจะต้องมีรัฐบาลและระบอบการปกครองตลอดจนต้องมีผู้นำสูงสุด ท่านวิเคราะห์ประเด็นการเมืองด้วยหลักแห่ง"การุณยตา"(ลุฏฟ์)ของอัลลอฮ์กล่าวคืออัลลอฮ์จะแผ่ความการุณย์ด้วยการตั้งให้มีผู้นำสำหรับมนุษย์ไม่ว่าจะเป็นนบีหรืออิมามหรือตัวแทนอิมามซึ่งภาวะผู้นำทางการเมืองคือหนึ่งในภารกิจของบุคคลเหล่านี้ในบริบททางวิชาการท่านให้ความสำคัญกับประเด็นภาวะผู้นำทางการเมืองของบรรดาฟะกีฮ์ความสำคัญของประเด็นดังกล่าวในสายตาประชาชนความเชื่อมโยงระหว่างภาวะดังกล่าวกับภาวะผู้นำของอิมามมะอ์ศูมตลอดจนอำนาจหน้าที่ของผู้ปกครองวิถีอิสลามเป็นพิเศษนอกจากนี้การที่ท่านรับเป็นอาจารย์สอนด้านเทววิทยาอิสลามในเมืองหลวงของราชวงศ์อับบาสิด
  • สร้อยนามหมายถึงอะไร? แล้ว “อบุลกอซิม”สร้อยนามของท่านนบีนั้นได้มาอย่างไร?
    11738 تاريخ بزرگان 2555/03/04
    ตามธรรมเนียมของชาวอรับแล้ว ชื่อที่มีคำว่า “อบู”(พ่อของ...) หรือ “อุมมุ”(แม่ของ...) นำหน้านั้น เรียกกันว่า “กุนียะฮ์” (สร้อยนาม) ในทัศนะของอรับเผ่าต่างๆนั้น ธรรมเนียมการตั้งสร้อยนามถือเป็นการยกย่องบุคคล ตัวอย่างสร้อยนาม อบุลกอซิม, อบุลฮะซัน, อุมมุสะละมะฮ์, อุมมุกุลษูม ฯลฯ[1] ศาสนาอิสลามก็ให้ความสำคัญแก่สร้อยนามเช่นกัน ฆ็อซซาลีกล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ว่า “ท่านนบี(ซ.ล.)มักจะให้เกียรติเรียกเหล่าสหายด้วยสร้อยนามเพื่อเป็นการเชื่อมสัมพันธไมตรี ส่วนผู้ที่ไม่มีสร้อยนาม ท่านก็จะเลือกสร้อยนามให้เขา และจะเรียกสร้อยนามนั้น กระทั่งผู้คนก็เรียกตามท่าน แม้กระทั่งผู้ที่ไม่มีบุตรที่จะนำมาตั้งสร้อยนาม ท่านนบี(ซ.ล.)ก็จะตั้งให้เขา ยิ่งไปกว่านั้น ท่านยังตั้งสร้อยนามแก่เด็กๆด้วย อาทิเช่นเรียกว่าอบูนั้น อบูนี้ เพื่อเชื่อมสัมพันธ์กับเด็กๆ”[2] รายงานจากอิมามริฎอ(อ.)ว่า إذا كان الرجل حاضرا فكنه و إن ...
  • ควรจะตอบคำถามเด็กๆ อย่างไร เมื่อถามเกี่ยวกับอัลลอฮฺ?
    8224 เทววิทยาดั้งเดิม 2555/06/30
    ไม่สมควรหลีกเลี่ยงคำถามต่างๆ ที่เด็กๆ ได้ถามเกี่ยวกับอัลลอฮฺ, ทว่าจำเป็นต้องตอบคำถามเหล่านั้นด้วยความถูกต้อง เข้าใจง่าย และมั่นคง,โดยอาศัยข้อพิสูจน์เรื่องความเป็นระบบระเบียบของโลก พร้อมคำอธิบายง่ายๆ ขณะเดียวกันด้วยคำอธิบายที่ง่ายนั้นต้องกล่าวถึงความโปรดปรานของพระเจ้าชนิดคำนวณนับมิได้ ซึ่งอยู่ร่ายรอบตัวเอรา นอกจากนั้นยังสามารถพิสูจน์คุณลักษณะบางประการของพระองค์ เช่น ความปรีชาญาณ, พลานุภาพ, และความเมตตาแก่เด็กๆ ...
  • เราสามารถที่จะใช้เงินคุมุสที่เกิดขึ้นจากการออมทรัพย์เพื่อการซื้อบ้านได้หรือไม่?
    6082 สิทธิและกฎหมาย 2554/08/08
    ก่อนที่จะตอบคำถามของคุณจะต้องกล่าวว่า: ตามทัศนะของท่านอายาตุลลอฮ์อุซมาคอเมเนอีเงินออมจากกำไรของผลประกอบการนั้นแม้จะเป็นการออมเพื่อใช้ชำระในชีวิตประจำวันแต่เมื่อถึงปีคุมุสแล้วจะต้องชำระคุมุสนอกจากได้มีการออมเพื่อซื้อของใช้จำเป็นในชีวิตหรือค่าใช้ชำระจำเป็น

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60770 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    58446 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42871 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    40428 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    39483 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    34630 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    28688 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    28590 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    28541 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    26458 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...