การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
20884
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2553/10/21
 
รหัสในเว็บไซต์ fa887 รหัสสำเนา 10190
คำถามอย่างย่อ
วะฮฺยูคืออะไร ประทานลงมาแก่ศาสดาอย่างไร
คำถาม
วะฮฺยูคืออะไร ประทานลงมาแก่ศาสดาอย่างไร
คำตอบโดยสังเขป

วะฮฺยู (วิวรณ์) "ในเชิงภาษาความถึง การบ่ชี้อย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจเป็นไปได้ที่เป็นชนิดหนึ่งของคำ หรือเป็นรหัส หรืออาจเป็นเสียงอย่างเดียวปราศจากการผสม หรืออาจเป็นการบ่งชี้และสิ่งที่คล้ายคลึงกัน ความหมายและการนำไปใช้ที่แตกต่างกันของคำนี้ในพระคัมภีร์กุรอาน ทำให้เราได้พบหลายประเด็นที่สำคัญ : อันดับแรก วะฮฺยูไม่ได้เฉพาะพิเศษสำหรับมนุษย์เท่านั้น ทว่าหมายรวมถึงพืช สัตว์ และสิ่งไม่มีชีวิตอื่นด้วย .... (วะฮฺยู เมื่อสัมพันธ์ไปยังสิ่งมีชีวิตก็คือ การชี้นำอาตมันและสัญชาติญาณ หรือเรียกอีกอย่างว่าเป็นการชี้นำในเชิงตักวีนีของพระเจ้า เพื่อชี้นำพวกเขาไปยังเป้าหมายของพวกเขา) แต่ระดับชั้นที่สูงที่สุดของวะฮฺยู เฉพาะเจาะจงสำหรับบรรดาศาสดา และหมู่มวลมิตรของพระองค์เท่านั้น ซึ่งจุดประสงค์ในที่นี้หมายถึง การดลความหมายนบหัวใจของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) หรือการสนทนาของพระเจ้ากับท่านเหล่านั้น บทสรุปก็คือโดยหลักการแล้วการดลอื่นๆ ที่มีมายังมนุษย์ ถ้าพิจารณาในแง่ของรูปลักษณ์ลักษณะแล้วไม่แตกต่างกัน  แต่ในระดับชั้นนั้นมีความแตกต่างกัน ระดับชั้นที่ต่ำที่สุดเป็นระดับของสิ่งที่ไม่มีชีวิตและพืชทั้งหลาย ขณะที่ระดับสูงสุดนั้นเป็นของบรรดา ศาสดา อันดับที่สอง : กรณีที่วะฮฺยูถูกใช้ในความหมายที่แตกต่างกัน เช่น ถูกใช้ในความหมายของการบ่งชี้ การอ้างอิง, การกระซิบกระซาบ, การดลในความเข้าใจจากทางสัญชาติญาณ หรือการดลชนิดมองเห็น ซึ่งระดับชั้นที่สูงที่สุดคือ การตรัสของพระเจ้าที่มีต่อศาสดาและเราะซูลของพรองค์

คุณลักษณะของวะฮฺยูมีดังนี้ : 1) บังเกิดภายใน 2) มีครูสอนสั่ง 3) ซ่อนในจิตใจ 4) การรับรู้ผ่านแรงบันดาลใจ ขณะเดียวกันวิธีการประทานวะฮฺยูแก่บรรดาศาสดามีอยู่ 3 แบบ (แม้ตามคำกล่าวของท่านอัลลามะฮฺเฏาะบาเฏาะบาอี ทั้งสามแบบนั้นจะย้อนกลับไปสู่วิธีการเดียว นั่นก็คือการดลใจโดยปราศจากสื่อกลางจากอัลลอฮฺ) ซึ่งประกอบไปด้วย :

(1) การสนทนาของพระเจ้าโดยปราศจากสื่อ (2) การสนทนาหลังม่านปกคลุม (3) การสนทนาผ่านทูตสวรรค์หรือมลาอิกะฮฺที่ประทานลงมา ปรัชญาของการประทานวะฮฺยูและศักดิ์ศรีของมลาอิกะฮฺ สิ่งที่ย้ำเตือนให้เห็นถึงประเด็นที่ว่า การที่มลาอิกะฮฺเป็นสื่อกลางนั้นไม่ได้หมายถึงว่า มลาอิกะฮฺได้รับสิทธิ์จากพระเจ้า หลังจากนั้นได้ถ่ายทอดให้ศาสดาด้วยภาษาอันเฉพาะ  ทว่ามลาอิกะฮฺคือภาพประจักษ์แห่งสารของพระเจ้า ด้วยเหตุนี้ คำว่าสื่อกลางจึงไม่ได้หมายถึงภาษาอันเฉพาะ หรือมีข้อความศักดิ์สิทธิ์อยู่ระหว่างนั้น เพื่อว่าจะได้เกิดความผิดพลาดขณะพูด ในประการแรก จึงไม่มีสื่อกลางระว่างทั้งสอง, และประการที่สองและสาม ถ้าศาสดา (ซ็อล ฯ) ไม่ใส่ใจผ่านสื่อหรือผ้าคลุม ก็เท่ากับว่าท่านได้รับวะฮฺยูโดยปราศจากสื่อ ประเด็นสุดท้าย วะฮฺยู เป็นชนิดหนึ่งของความรู้ประจักษ์ จึงมีความแตกต่างกับความรู้ที่ได้จากการเรียนรู้ ความรู้ประจักษ์ปราศจากความผิดพลาดและไม่เป็นเท็จ ดังนั้น มนุษย์สามารถพัฒนาตัวเองขึ้นไปจนไปถึงขั้นที่ว่า มนุษย์สามารถได้รับความรู้จากพระเจ้าโดยไม่ต้องผ่านสื่อ ตรงนี้เอง ที่ส่วนใหญ่จะห่างไกลและอิสระต่อการย้อนไปหาสิ่งอื่นนอกจากพระองค์ และได้รับการคุ้มกันจากความผิดพลาด และนี่ก็คือตำแหน่งมะอฺซูมนั่นเอง

คำตอบเชิงรายละเอียด

วะฮฺยู (วิวรณ์) "ในเชิงภาษาความถึง การบ่ชี้อย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจเป็นไปได้ที่เป็นชนิดหนึ่งของคำ หรือเป็นรหัส หรืออาจเป็นเสียงอย่างเดียวปราศจากการผสม หรืออาจเป็นการบ่งชี้และสิ่งที่คล้ายคลึงกัน[1]

คำๆ นี้ถูกใช้ในอัลกุรอานบ่อยครั้ง แบบฟอร์มการใช้คำ ๆ นี้ มีลักษณะแตกต่างกัน แสดงให้เห็นว่าอัลกุรอานนั้นไม่ได้เฉพาะเจาะจงกับมนุษย์เท่านั้น ทวาควบคลุมถึงสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ด้วย ด้วยเหตุนี้ การสร้างรวงรังของผึ้งก็ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของวะฮฺยู ซึ่งจะเห็นว่าวะฮฺยูได้ชี้นำทางสรรพสิ่งมีชีวิตที่ตัวตนและสัญชาติญาณ เพื่อให้สรรพสิ่งนั้นไปถึงยังจุดหมาย ประเด็นนี้ย่อมเป็นหนึ่งในเหตุผลที่แสดงให้เห็นว่า โลกนั้นมีจุดหมาย มวลสรรพสิ่งทั้งหลายไปถึงยังเป้าหมายของตนได้ไม่ใช่เพราะความบังเอิญ ทว่าด้วยการชี้นำที่เป็นตักวีนีของพระเจ้า ซึ่งสิ่งนั้นก็คือการวะฮีของพระองค์ที่มีมายังสรรพสิ่งเหล่านั้น อย่างไรก็ตามวะฮีย์ของพระเจ้ามีระดับชั้นที่แตกต่างกัน วะฮีย์ที่มีมายังพืช สรรพสัตว์ และฯลฯ นั้นไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกัน ทำนองเดียวกันการชี้นำที่มีต่อสรรพสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย ไม่เหมือนกับสิ่งไม่มีชีวิต[2]

ดังนั้น วะฮฺยูระดับสูงที่สุดก็คือวะฮฺยูที่ถูกประทานแก่ท่านศาสดา ซึ่งจุดประสงค์จากสิ่งนั้นคือ การดลความหมายบนจิตใจของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) จากพระเจ้าและการสนทนาของพระเจ้ากับนบี[3] วะฮีย์นี้วางอยู่บนพื้นฐานความต้องการของมนุษย์ที่ต้องการคำชี้นำจากพระเจ้า เพื่อชี้นำไปถึงจุดหมายปลายทาซึ่งอยู่เบื้องหลังเส้นขอบฟ้าแห่งความรู้สึกและวัตถุ อีกด้านหนึ่งความต้องการในการดำรงอยู่ทางสังคม ที่ประกอบด้วยของการมีกฎหมายพระเจ้าอันเป็นที่ตอบรับ ดังนั้น วะฮฺยู ก็คือการได้รับการชี้นำจากพระเจ้านั่นเอง โดยการเชื่อมต่อของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) กับอาณาจักรเร้นลับ ท่านศาสดาคือสื่อกลางระหว่างโลกมนุษย์กับโลกเร้นลับ (ซึ่งจะอธิบายต่อไปว่ามนุษย์ผู้มีความสมบูรณ์ ก็มีสิทธิ์ได้รับความวะฮีย์บางระดับเช่นกัน)[4]

จากคำพูดของท่านนบี (ซ็อล ฯ) ก็สามารถเข้าใจได้ว่าพื้นฐานของวะฮีย์ กับการดลอย่างอย่างอื่นที่มีแก่มนุษย์ในแง่ของแก่นสารไม่แตกต่างกัน แต่ในระดับชั้นนั้นแตกต่างกันไป ตัวอย่าง เช่น ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ขณะที่กล่าวฮะดีซได้กล่าวว่า: การมองเห็นสัจธรรมเป็นส่วนหนึ่งขององค์ประกอบ 70 ส่วนของสภาวะการเป็นนบี[5] ฮะดีซบทนี้บ่งบอกให้เห็นว่า วะฮฺยู ที่ประทานแก่ศาสดามีระดับชั้นที่สูงส่งทีสุดและเปี่ยมไปด้วยความรุ่งโรจน์ ซึ่งทั้งหมดได้รับประโยชน์จากรัศมีและปัจจัยยังชีพ ดังนั้นมีความเหมาะสมอย่างยิ่งที่จะพิจารณาความหมายของวะฮฺยู ตามทีอัลกุรอานได้ใช้ [6] ในดำรัสของพระเจ้า วะฮียฺ ถูกใช้ในความหมายเหล่านี้ :

ถูกใช้ในความหมาย การดล ในความเข้าใจของสัตว์จากวิธีของสัญชาติญาณ “และพระผู้อภิบาลของเจ้า ทรงดลใจแก่ผึ้ง”[7] (หมายถึงพระองค์ทรงสอนผึ้งว่าเจ้าควรจะสร้างรวงรังและดูดน้ำหวานอย่างไร)

วะฮฺยู หมายถึงการกดลด้วยการมองเห็น :"และเราได้ดลใจแก่มารดาของมูซา”[8]

วะฮฺยู หมายถึง การกระซิบกระซาบ :แท้จริง บรรดาชัยฏอนนั้นจะกระซิบกระซาบแก่บรรดาสหายของมัน”[9]

วะฮฺยู หมายถึง การดลในแง่ของการบ่งชี้ : และเขาได้ชี้ใบ้แก่พวกของเขาว่า พวกท่านจงกล่าวสดุดีในยามเช้าและยามเย็น”[10]

และชนิดที่ดีที่สุดของวะฮฺยูคือ ในความหมายของการสนทนาของพระเจ้ากับษศาสดาและเราะซูล :"และไม่เป็นการบังควรแก่มนุษย์คนใดที่จะให้อัลลอฮฺตรัสแก่เขาเว้นแต่โดยทางวะ ฮียฺ”[11]

ส่วนคุณสมบัติของวะฮฺที่ประทานแก่บรรดาศาสดามี 3 ประเภทกล่าวคือ : 1) บังเกิดภายใน 2) มีครูสอนสั่ง 3) ซ่อนในจิตใจ 4) การรับรู้ผ่านแรงบันดาลใจ

คำอธิบาย : วัตถุประสงค์ของการบังเกิดภายใน หมายถึงบรรดาศาสดา, ไม่ได้รับวะฮฺยูโดยผ่านความรู้สึกภายนอก ทว่าได้รับโดยผ่านจากด้านใน อัลกุรอานกล่าวถึงประเด็นนี้โดยเรียกว่า จิตใจ ตรัสว่า

نزل به الروح الامین على قلبک[12]

จิตใจ ในที่นี้หมายถึง ภายใน กล่าวคือคือตัวตนและจิตวิญญาณ อีกด้านหนึ่งเนื่องจาก วะฮฺยู คือติดต่อกับโลกอื่นเรียกว่าวะฮฺยูด้านนอก ส่วนจุดประสงค์ของครู หมายถึงวะฮฺยูที่ลงแก่นบี เช่น ไม่เหมือนสัญชาตญาณของสัตว์ที่ไม่มีด้านการศึกษาและไม่ใช่ชนิดของแรงบันดาลใจชนิด (อิลฮามที่เกิดในมนุษย์หรือนักวิชาการบางคน) เพราะอิลฮาม (แรงบันดาลใจ) ของมนุษย์ก็เพียงแค่รู้สึกว่า เขาไม่รู้ทันใดนั้นมีสิ่งหนึ่งปรากฏบนจิตใจของเขา แต่ไม่มีความรู้สึกว่ากำลังได้รับสิ่งนั้นจากครู แต่บรรดาศาสดาจะมีความรู้สึกว่าพวกเขาได้พบกับครู อัลกุรอานกล่าวว่า :

علمه شدید القوى"[13] "علمّک مالم تکن تعلم"[14].

วัตถุประสงค์ ความรู้สึก กล่าวคือ เมื่อพระศาสดา (ซ็อล ฯ) ได้รับวะฮฺยู ท่านตระหนักว่า นี่คือเนื้อหาที่ได้รับจากที่อื่น เหมือนกับเรา มีความรู้สึกว่าเรากำลังเรียนอยู่กับครูผู้สอน เรามีความรู้สึกว่า เรากำลังนั่งอยู่ต่อหน้าคุณครูและฟังครูสอน จะมีความแตกต่างกันตรงที่ว่า คุณครูของท่านนบีไม่ได้อยู่ในจักรวาลนี้ ส่วนจุดประสงค์ของ การรับรู้โดยผ่านสื่อของวะฮฺยูนั้น บางครั้งวะฮฺยู ได้ถูกดลแก่นบีโดยสิ่งอื่น ไม่ได้มาโดยตรงจากพระเจ้า สิ่งนั้นบางครั้งเรียกว่า "รูฮุลอามีน" บางครั้งเรียกว่า "รูฮุลกุดส์" บางครั้งก็เป็น "ญิบรออีล" ซึ่งท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) รับรู้และรู้สึกได้กับสิ่งนั้น ขณะที่ในสัญชาติญาณส่วนบุคคลมิได้เป็นเช่นนี้ และผู้นั้นก็ไม่ได้มีความรู้สึกว่าเขามีครู ดังนั้น เมื่อวะฮฺยูเป็นที่ชัดเจนแล้ว จะขออธิบายในส่วนที่สองของคำถาม และจะขอจบด้วยการอธิบายประเด็นเหล่านี้

พระมหาคัมภีร์กุรอาน กล่าวถึงรูปลักษณ์สามแบบของการประทานวะฮฺยูลงมายังมนุษย์ :

(1) การสนทนาของพระเจ้าโดยปราศจากสื่อ หมายถึงระหว่างพระเจ้ากับพระศาสดา (ซ็อล ฯ) ไม่มีสิ่งใดเป็นสื่อกลาง หรือมีม่านกั้นแต่อย่างใด ซึ่งท่านศาสดาได้รับวะฮฺยูจากแหล่งอันงดงาม (2) การสนทนาหลังม่านปกคลุม (3) การสนทนาผ่านทูตสวรรค์หรือมลาอิกะฮฺ เป็นที่ชัดเจนว่าในสองส่วนหลังนี้ แตกต่างไปจากส่วนแรก เนื่องจากมีม่านหรือสื่อหรือระหว่างพระเจ้าและศาสดา (ซ็อล ฯ) แน่นอน ความหมายของม่านปกปิดนั้นไม่ได้หมายความว่า ผู้ได้รับวะฮฺยูนั้นไม่ได้สนทนาโดยตรงกับพระเจ้า ทว่าเป็นที่ชัดเจนว่าผู้พูดคือ พระเจ้า แต่เนื่องจากวิทยปัญญาและพระประสงค์ของพระเจ้า, ซึ่งท่านศาสดาได้หันไปสู่ม่านหรือสื่อกลางนั้น และได้รับสารของพระเจ้าจากเบื้องหลังม่านหรือจากภาษาของสื่อกลาง เป็นที่ชัดเจนว่าท่านศาสดก็ได้รับข้อความของพระเจ้าโดยตรงเช่นกัน ดังนั้น ถ้าหากท่านศาสดาหันหน้าไปสู่ม่าน, จึงได้กล่าวว่าท่านได้รับวะฮฺยูจากเบื้องหลังม่าน แต่ถ้าท่านไม่ได้หันหน้าไปยังม่านนั้น ก็เท่ากับว่าท่านได้รับวะฮฺยูโดยตรง เช่นเดียวกันการที่กล่าวว่า วะฮฺยูได้ผ่าน ญิบรออีล (อ.) นั้น ถ้าหากผู้รับไม่ใส่ใจต่อสื่อก็เท่ากับว่า ท่านได้รับวะฮฺยูโดยตรงจากพระเจ้าเชนกัน

ในความเป็นจริงแล้ว มลาอิกะฮฺวะฮฺยู ก็คือการสำแดงวะฮฺยูของพระเจ้า ไม่ได้หมายความว่าท่านได้รับรู้ข้อความหรือสารผ่านชั้นบรรยากาศ หลังจากนั้นท่านได้อธิบายโดยผ่านสื่อของท่าน ด้วยเหตุนี้ จึงกล่าวว่ามลาอิกะฮฺวะฮฺยูอะมีน หมายความว่า ท่านเป็นผู้รักษาอะมานะฮฺ ซึ่งไม่ได้เหมือนกับการรักษาอะมานะฮฺในหมู่มนุษย์ด้วยกัน กล่าวคือผู้ที่ถืออะมานะฮฺพยายามนำเอาอะมานะนั้นไปส่งคืนให้เจ้าของ ทว่าในที่นี้แม้ว่าผู้รักษาอะมานะฮฺจะบริสุทธิ์และไม่ได้ทรยศ หรืออาตมันนั้นไม่สามารถทรยศและหักหลังได้, ทว่าสิ่งนี้เมื่อกล่าวกับมลาอิกะฮฺแล้วจะมีความหมายเป็นอย่างอื่น โดยหลักการแล้วไม่ได้หมายถึงท่านเป็นผู้รับและเป็นผู้ส่งวะฮฺยู ท่านไม่ได้เป็นสื่อกลางระหว่างอัลลอฮฺกับนบี ทว่าท่านคือการสำแดงวะฮฺยูและเป็นแหล่งปรากฏวิชาการของพระเจ้า ประหนึ่งว่าลายลักษณ์อักษรของพระเจ้าได้ปรากฏบนท่าน ถ้าหากท่านศาสดาได้หันไปสู่การสำแดงนั้น ก็จะกล่าวว่า อัลลอฮฺได้สนทนากับเราะซูลโดยผ่านสือมลาอิกะฮฺ ถ้าท่านเราะซูล แม้ว่าจะมีความรู้ของพระเจ้าหรือความรู้โดยทั่วไปของพระเจ้าได้วิวัฒนาการในสิ่งนั้นก็ตาม โดยที่ท่านไม่ได้ใส่ใจในสิ่งนั้น แต่ท่านใส่ใจในแห่ล่งวะฮฺยูเท่านั้น ดังนั้น วะฮฺยูเมื่อสัมพันธ์ไปยังศาสดาถือว่าไม่มีสื่อกลาง ประหนึ่งบุคคลหนึ่งได้ดูภาพในกระจกเขามองแต่ภาพโดยที่ไม่ได้สนใจต่อกระจก[15]

จากประเด็นนี้ ท่านอัลลามะฮฺเฏาะบาเฏาะบาอีกล่าวว่า ทุกการประทานวะฮฺยูนั้นปราศจากสื่อกลางที่มาจากพระเจ้า[16] ด้วยเหตุนี้ ในโองการต่างๆ วะฮฺยูได้สัมพันธ์ทุกกรณีกับพระเจ้า ซึ่งการสัมพันธ์ทำนองนี้ถือว่าไม่อนุญาต เช่น อัลกุรอานกล่าวว่า:

انا اوحینا الیک کما اوحینا الى نوح والنبیین من بعده

“แท้จริงเราได้มีโองการแก่เจ้าเช่นเดียวกับที่เราได้มีโองการแก่นูฮ์ และบรรดานะบีหลังจากเขา”[17]

หมายเหตุ : วะฮฺยูไม่ได้เป็นวิชาการประเภทของการเรียนรู้ ทว่าเป็นหนึ่งในความรู้ประจักษ์ การค้นพบนี้ด้วยเหตุที่ความสัจจริงได้ปรากฏชัด ณ ผู้ทำการค้นพบ ซึ่งโดยเนื้อแท้แล้วไม่สามารถเป็นจริงหรือเท็จได้ และไม่สามารถคิดได้ว่าสิ่งนั้นจะผิดพลาดแม้เพียงเล็กน้อย เพราะเท่ากับเป็นการปฏิเสธพื้นฐานของวะฮฺยู หรือขาดหลักการแห่งความจริง ดังนั้น ด้วยการ หลักฐานทางด้านปรัชญา และระดับของโลกทัศน์และวิชาการ ประกอบกับวิวัฒนาการของมนุษย์สามารถสรุปผลได้ว่า  มนุษย์สามารถพัฒนาตัวเองขึ้นไปจนไปถึงขั้นที่ว่า มนุษย์สามารถได้รับความรู้จากพระเจ้าโดยไม่ต้องผ่านสื่อ พระเจ้าทรงสนทนากับมนุษย์ โดยไม่ต้องการคำหรืออักษรหรือพระสุระเสียงแต่อย่างใด ในระดับชั้นนี้เป็นการแสดงให้เห็นถึงการมีอยู่ที่ยิ่งใหญ่ของจิตวิญญาณ ที่ส่วนใหญ่จะห่างไกลและอิสระต่อการย้อนไปหาสิ่งอื่นนอกจากพระองค์ และได้รับการคุ้มกันจากการกระซิบกระซาบ การหลงทาง และความผิดพลาด และนี่ก็คือตำแหน่งมะอฺซูมของบรรดาศาสดานั่นเอง ซึ่งคุณลักษณะดังกล่าวนี้จะไปถึงยังประเด็นสำคัญกล่าวคือ :

1) พื่นฐานของวะฮฺยู อาจเป็นหนึ่งในระดับของความรู้

2) แก่นแท้ของวะฮฺยู คือการได้รับความรู้ประจักษ์ และในความเป็นจริงนี้ข้อผิดพลาดจึงไม่มีความหมายอันใดทั้งสิ้น

3) มนุษย์นั้นในการวิวัฒนาการและความสมบูรณ์ของตน สามารถเข้าถึงขั้นที่ว่าวะฮฺยูได้ประทานมาที่เขา และเขาได้ไปสู่ตำแหน่งของการเป็นผู้บริสุทธิ์

สามารถศึกษาเพื่มเติมได้จาก,: Hadavi Tehrani, Mehdi, ตะอัมมุลาต ดัร อิลมุอุซูลฟิกฮฺ , เล่ม 4, บทความ  : วะฮฺคือการประจักษ์เร้นลับ



[1] รอฆิบ เอซฟะฮานี, มุฟรอดาต , หน้า 515, หมวดวะฮฺยู

[2] Morteza Motahari การเก็บรวบรวมผลงานเล่มที่ 4, หน้า 410

[3] ถึง แม้ว่าการรับรู้ที่แท้จริงถึงแก่นแท้ของวะฮฺยู และขั้นตอนการลงวะฮฺยูจะเป็นภารกิจที่ง่ายดาย  แต่ก็ไม่สามารถเป็นไปได้

[4] แม้ว่า Allameh Tabatabai (RA) ได้กล่าวไว้ : วรรณกรรมทางศาสนาว่า วะฮีย์ ไม่สามารถใช้ในคำพูดอื่นได้ยกเว้นว่าคำพูดที่ดลแด่ศาสดาและเราะซูล, ตัฟซีรมีซาน,เลม 12,หน้า 423

[5]  มุรตะฎอมุเฏาะฮะรีย, มัจญ์มุอ์อาซาร เล่ม 4,หน้า 411

[6] เฏาะบาเฏาะบาอี มุฮัมมัด ฮุซัยนฺ,ตัฟซีรอัลมีซาน เล่ม 12, หน้า 423

[7] อัล-กุรอาน บทอันนะฮฺลุ 68

[8] อัล-กุรอาน บทเกาะซ็อซ 7

[9] อัล-กุรอาน บทอันอาม 121

[10] อัล-กุรอาน บทมัรยัม 11

[11] อัลกุรอาน บทชูรอ 51

[12] อัลกุรอาน บทชุอ์รอ 193 “อัรรูห์ ผู้ซื่อสัตย์ได้นำมันลงมา ยังหัวใจของเจ้า”

[13] อัลกุรอาน บทนัจญ์มุ 5 “ผู้ทรงพลังอำนาจอันมากมาย (ญิบรีล) ได้สอนเขา”

[14] อัลกุรอาน บทนิซาอ์ 113 “และได้ทรงสอนเจ้าในสิ่งที่เจ้าไม่เคยรู้มาก่อน”

[15] Mahdi Hadavi Tehrani, มะบานีกะลามี อิจญ์ติฮาด, หน้า 76-77

[16]  อัลลามะฮฺ ฮุซัยน์เฏาะบาเฏาะบาอี, อัลมีซาน เล่ม 4 หน้า 149-150

[17] อัลกุรอาน บทนิซาอ์ 163

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • อัลลอฮฺ ทรงอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ธรรมชาติด้วยหรือไม่?
    6026 เทววิทยาดั้งเดิม 2555/04/07
    อัลลอฮฺ คือพระผู้ทรงกำหนดกฎเกณฑ์ต่างๆ ทางธรรมชาติ อาตมันสากลของพระองค์มิได้อยู่ภายใต้อำนาจของสิ่งใดทั้งสิ้น นอกจากความต้องการของพระองค์ หรือเว้นเสียแต่ว่าความประสงค์ของพระองค์ต้องการที่จะปฏิบัติภารกิจหนึ่ง ซึ่งทรงเป็นสาเหตุของการเกิดสิ่งนั้น ขณะเดียวกันการละเมิดกฎต่างๆในโลกที่ต่ำกว่า โดยพลังอำนาจที่ดีกว่าของพระองค์ถือเป็น กฎเกณฑ์อันเฉพาะ และเป็นประกาศิตที่มีความเป็นไปได้เสมอ ซึ่งเราเรียกสิ่งนั้นว่า ปาฏิหาริย์,แน่นอน ปาฏิหาริย์มิได้จำกัดอยู่ในสมัยของบรรดาศาสดาเท่านั้น ทว่าสามารถเกิดขึ้นได้ในทุกสมัย เพียงแต่ว่าปาฏิหาริย์ได้ถูกมอบแก่บุคคลที่เฉพาะเท่านั้น เป็นความถูกต้องที่ว่าความรู้มีความจำกัดและขึ้นอยู่ยุคสมัยและสภาพแวดล้อม ไม่มีความรู้ใดยอมรับหรือสนับสนุนเรื่องมายากล และเวทมนต์ แต่คำพูดที่ถูกต้องยิ่งกว่าคือ เจ้าของความรู้เหล่านั้นบางครั้ง ได้แสดงสิ่งที่เลยเถิดไปจากนิยามของความรู้หรือที่เรียกว่า มายากล เวทมนต์เป็นต้น อีกนัยหนึ่งกล่าวได้ว่า สิ่งนั้นคือการมุสาและการเบี่ยงเบนนั่นเอง ...
  • ในทัศนะของอัลกุรอาน ความแตกต่างระหว่างอิบลิซ กับชัยฏอน คืออะไร?
    17349 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/09/08
    บนพื้นฐานของอัลกุรอาน,อิบลิซเป็นหนึ่งในหมู่ญิน เนื่องจากการอิบาดะฮฺอย่างมากมาย จึงทำให้อิบลิซได้ก้าวไปอยู่ในระดับเดียวกันกับมะลาอิกะฮฺ แต่หลังจากการสร้างอาดัม, อิบลิซได้ฝ่าฝืนคำสั่งของอัลลอฮฺ ไมยอมกราบอาดัม, จึงได้ถูกขับออกจากสวรรค์เนรมิตแห่งนั้น ส่วนชัยฏอนนั้นจะใช้เรียกทุกการมีอยู่ ที่แสดงความอหังการ ยโสโอหัง ละเมิด และฝ่าฝืน ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นมนุษย์ หรือญิน หรือสรรพสัตว์ก็ตาม ขณะเดียวกันอิบลิซนั้นได้ถูกเรียกว่าชัยฏอน ก็เนื่องจากโอหังและฝ่าฝืนคำสั่งของพระเจ้า ดังนั้น ถ้าจะกล่าวแล้ว “ชัยฏอน” เป็นนามโดยทั่วไป ซึ่งครอบคลุมเหนือทั้งอิบลิซ และไม่ใช่อิบลิซ ...
  • ทั้งที่พจนารถของอิมามบากิรและอิมามศอดิกมีมากมาย เหตุใดจึงไม่มีการรวบรวมไว้ในหนังสือสักชุดหนึ่ง?
    6570 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2555/01/07
    หากจะพิจารณาถึงสังคมและยุคสมัยของท่านอิมามบากิร(อ.)และอิมามศอดิก(อ.)ก็จะเข้าใจได้ว่าเหตุใดจึงไม่มีการรวบรวมตำราดังกล่าวขึ้นอย่างไรก็ดีฮะดีษของทั้งสองท่านได้รับการรวบรวมไว้ในบันทึกที่เรียกว่า “อุศู้ลสี่ร้อยฉบับ” จากนั้นก็บันทึกในรูปของ”ตำราทั้งสี่” ต่อมาก็ได้รับการเรียบเรียงเป็นหมวดหมู่ฟิกเกาะฮ์ในหนังสือวะซาอิลุชชีอะฮ์กว่าสามสิบเล่มโดยท่านฮุรอามิลีแต่กระนั้นก็ต้องทราบว่าแม้ว่าฮะดีษของอิมามสองท่านดังกล่าวจะมีมากกว่าท่านอื่นๆก็ตามแต่หนังสือดังกล่าวก็มิได้รวบรวมเฉพาะฮะดีษของท่านทั้งสองแต่ยังรวมถึงฮะดีษของอิมามท่านอื่นๆอีกด้วย ทว่าปัจจุบันมีการเรียบเรียงหนังสือในลักษณะเจาะจงอยู่บ้างอาทิเช่นมุสนัดอิมามบากิร(อ.) และมุสนัดอิมามศอดิก(
  • เพราะเหตุใดชีอะฮฺจึงตั้งชื่อตนเองว่า อับดุลฮุซัยนฺ (บ่าวของฮุซัยนฺ) หรืออับดุลอะลี (บ่าวของอะลี) และอื่นๆ? ขณะที่อัลลอฮฺตรัสว่า : จงนมัสการและเป็นบ่าวเฉพาะข้าเท่านั้น
    7690 เทววิทยาดั้งเดิม 2555/07/16
    1.คำว่า “อับดฺ” ในภาษาอาหรับมีหลายความหมายด้วยกัน : หนึ่ง หมายถึงบุคคลที่ให้การเคารพ นอบน้อม และเชื่อฟังปฏิบัติตาม, สอง บ่าวหรือคนรับใช้ หรือผู้ถูกเป็นเจ้าของ 2. สถานภาพอันสูงส่งของบรรดาอิมาม (อ.) ผู้บริสุทธิ์นั้นเองที่เป็นสาเหตุทำให้บรรดาผู้เจริญรอยตาม ต้องการเปิดเผยความรักและความผูกพันที่มีต่อบรรดาท่านเหล่านั้น จึงได้ตั้งชื่อบุตรหลานว่า “อับดุลฮุซัยนฺ หรืออับดุลอะลี” หรือเรียกตามภาษาฟาร์ซีย์ว่า ฆุล่ามฮุซัยนฺ ฆุล่ามอะลี และ ...อื่นๆ 3.คนรับใช้ นั้นแน่นอนว่ามิได้หมายถึงการช่วยเหลือทางโลก หรือเฉพาะการดำรงชีพในแต่ละวันเท่านั้น, ทว่าสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าและมีค่ามากไปกว่านั้นคือ การฟื้นฟูแนวทาง แบบอย่าง และการเชื่อฟังผู้เป็นนายั่นเอง, เนื่องจากแม้ร่างกายของเขาจะไม่ได้อยู่ในโลกนี้แล้ว, แต่จิตวิญญาณของเขายังมีชีวิตและมองดูการกระทำของเราอยู่เสมอ 4.วัตถุประสงค์ของการใช้ประโยชน์คำว่า “อับดฺ” ในการตั้งชื่อตามกล่าวมา (เช่นอับดุลฮุซัยนฺ) เพียงแค่ความหมายว่าต้องการเผยให้เห็นถึงความรัก และการเตรียมพร้อมในการรับใช้เท่านั้น ถ้าเป็นเพียงเท่านี้ถือว่าเหมาะสมและอนุญาต, ...
  • สายรายงานของฮะดีษที่ท่านอิมามอลี(อ.)กล่าวแก่ชาวอรับเกี่ยวกับชาวเปอร์เซียว่า“พวกท่าน(อรับ)รบกับพวกเขา(เปอร์เซีย)เพื่อให้ยอมรับการประทานกุรอาน แต่ก่อนโลกนี้จะพินาศ พวกเขาจะรบกับพวกท่านเพื่อการตีความกุรอาน”เชื่อถือได้เพียงใด?
    7717 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2554/09/11
    ในตำราฮะดีษมีฮะดีษชุดหนึ่งที่มีนัยยะถึงการที่ท่านอิมามอลี(อ.)กล่าวกับชาวอรับเกี่ยวกับชาวเปอร์เซียว่า “พวกท่าน(อรับ)รบกับพวกเขา(เปอร์เซีย)เนื่องด้วยการประทานกุรอานแต่ก่อนโลกนี้จะพินาศพวกเขาก็จะรบกับพวกท่านเนื่องด้วยการตีความกุรอาน”สายรายงานของฮะดีษบทนี้เชื่อถือได้ ...
  • ฐานะภาพของบรรดาอิมามสูงส่งกว่าบรรดานบีจริงหรือ?
    6916 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/12/20
    ฮะดีษมากมายระบุว่าบรรดาอิมามมีความสูงส่งเหนือบรรดานบีทั้งนี้ก็เนื่องจากรัศมีทางจิตใจของบรรดาอิมามหลอมรวมกับท่านนบีมุฮัมมัด (ซ.ล.) ฉะนั้นในเมื่อท่านนบีมีศักดิ์เหนือบรรดานบีท่านอื่นๆวุฒิภาวะที่บรรดาอิมามได้รับการถ่ายทอดจากนบีมุฮัมมัด (ซ.ล.) จึงเหนือกว่านบีทุกท่าน ประเด็นที่ว่ามนุษย์มีศักดิ์ที่สูงกว่ามลาอิกะฮ์นั้นถือเป็นสิ่งที่อิสลามยอมรับฉะนั้นการที่อิมามผู้ไร้บาปจะมีศักดิ์เหนือกว่ามลาอิกะฮ์จึงไม่ไช่เรื่องที่เหนือความคาดหมายแต่อย่างใด ...
  • มีฟัตวาเกี่ยวกับอาชีพที่สองไหม? หรือว่าการมีอาชีพที่สองเท่ากับเป็นคนหลงโลก?
    7480 สิทธิและกฎหมาย 2555/01/23
    ในทัศนะอิสลามไม่มีความหมายอันใดเกี่ยวกับอาชีพหรืออาชีพที่สอง, สิ่งที่ศาสนาอิสลามหรืออัลลอฮฺ (ซบ.) ได้ประณามเอาไว้คือ, ความลุ่มหลงและจิตผูกพันอยู่กับโลกทำให้ห่างไกลจากศีลธรรมและปรโลก
  • การมองอย่างไรจึงจะถือว่าฮะรอมและเป็นบาป?
    8832 สิทธิและกฎหมาย 2554/11/21
    คำถามนี้ไม่มีคำตอบแบบสั้น ปรดเลือกปุ่มคำตอบที่สมบูรณ์ ...
  • ในวันอีดกุรบาน สามารถจะเชือดสัตว์กุรบานที่เขาหักได้หรือไม่?
    7484 สิทธิและกฎหมาย 2555/03/04
    หากกุรบานในที่นี้หมายถึงการเชือดกุรบานในพิธีฮัจย์ที่ต้องกระทำในวันอีดกุรบาน ณ แผ่นดินมินา อุละมาส่วนใหญ่ให้ทัศนะไว้ว่า หากสัตว์ที่จะนำมาเชือดกุรบานมีเขาแต่เดิมอยู่ ทว่าปัจจุบันไม่มี หรือหักไป สามารถนำมาเชือดกุรบานได้[1] เว้นแต่ว่าเขาภายในหักหรือถูกตัดไป ในกรณีนี้จะทำให้กุรบานไม่ถูกต้อง แต่หากเขาภายนอกหักถือว่าไม่เป็นไร[2] ส่วนการเชือดกุรบานนอกพิธีฮัจย์ที่เหนียตกระทำเพื่อผลบุญในเชิงมุสตะฮับนั้น หากจะเชือดสัตว์ที่เขาหักก็ไม่มีปัญหาใดๆ อย่างไรก็ดี เราได้สอบถามปัญหานี้จากสำนักงานของมัรญะอ์ตักลี้ดท่านต่างๆได้ความดังนี้ อายะตุลลอฮ์คอเมเนอี,ซีสตานี, มะการิมชีรอซี : ไม่มีปัญหาใดๆ อายะตุลลอฮ์ศอฟี โฆลพอยฆอนี: สามารถกระทำได้ อินชาอัลลอฮ์ ขอพระองค์ทรงตอบรับ คำถามนี้ไม่มีคำตอบเชิงรายละเอียด [1] ผู้ที่มีทัศนะเช่นนี้ได้แก่ อายะตุลลอฮ์.. ...
  • การแสวงหาความต้องการอื่น ๆ นอกจากพระเจ้า เช่นขอจากบบี (ซ็อล ฯ) และบรรดาอิมามผู้บริสุทธิ์ (อ.) เป็นชิริกหรือไม่ เพราะในความเป็นจริงผู้ตอบสนองความต้องการคือพระเจ้า
    7713 เทววิทยาดั้งเดิม 2553/12/22
    การให้ความเคารพการย้อนกลับการขอความต้องการไปยังผู้ทรงเกียรติ (พระศาสดาและบรรดาอิมาม) ถ้าหากมีเจตนาว่าพวกเขามีบทบาทต่อการเกิดผลและสามารถปลดเปลื้องความต้องการของเราได้โดยเป็นอิสระจากพระเจ้าหรือปราศจากการพึ่งพิงไปยังอาตมันสากลของพระองค์การมีเจตนารมณ์เช่นนี้ถือว่าเป็นชิริกอีกทั้งขัดแย้งกับเตาฮีดอัฟอาล (ความเป็นเอกภาพในการกระทำ) เนื่องจากพระองค์ปราศจากการพึ่งพิงไปยังสิ่งอื่นขณะที่สิ่งอื่นต้องพึ่งพิงไปยังพระองค์ขัดแย้งกับเตาฮีดรุบูบียะฮฺ(อำนาจบริหารและบริบาลเป็นของพระองค์แต่เพียงผู้เดียวส่วนบรรดาศาสดามะลักหรือปัจจัยทางธรรมชาติเป็นเพียงสื่อของพระองค์)

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60050 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    57423 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42134 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    39208 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    38875 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    33941 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    27959 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    27874 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    27689 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    25709 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...