การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
9656
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2554/12/19
 
รหัสในเว็บไซต์ fa8096 รหัสสำเนา 19870
หมวดหมู่ تاريخ بزرگان
คำถามอย่างย่อ
จริงหรือไม่ที่อิมามฮุเซน (อ.) สมรสกับชะฮ์รบานู?
คำถาม
จริงหรือไม่ที่อิมามฮุเซน (อ.) สมรสกับชะฮ์รบานู? กรุณาระบุหลักฐานที่สามารถอ้างอิงทางประวัติศาสตร์ได้ เช่นหนังสือ ตารีคบัลอะมีย์
คำตอบโดยสังเขป

เกี่ยวกับประเด็นการสมรสระหว่างอิมามฮุเซน (.) กับชะฮ์รบานูซึ่งเป็นเชลยศึกของกองทัพมุสลิมนั้น มีหลายทัศนะด้วยกัน เนื่องจากบางรายงานเล่าว่าหญิงคนนี้ถูกจับเป็นเชลยในสมัยการปกครองของอุมัร บ้างกล่าวว่าสมัยอุษมาน อีกทั้งยังระบุนามของท่านและบิดาของท่านไว้แตกต่างกัน ด้วยเหตุนี้ ยากที่จะฟันธงว่าภรรยาขอของอิมามฮุเซน (.) และมารดาของอิมามซัยนุลอาบิดีน(.) เป็นชาวอิหร่าน ( อีกทั้งการที่มีนามว่าชะฮ์รบานู)

คำตอบเชิงรายละเอียด

เกี่ยวกับประเด็นของการสมรสของอิมามฮุเซน (.) กับบุตรีของยัซด์เกิร์ดที่สามนั้น นักประวัติศาสตร์และนักรายงานฮะดีษมีทัศนะที่แตกต่างกันดังนี้

1.   เชคศอดู้ก (.) ได้รายงานฮะดีษเกี่ยวกับมารดาของอิมามซัยนุลอาบิดีน (.) ว่า ซะฮ์ล บินกอซิม กล่าวว่าอิมามริฏอ (.) กล่าวกับฉันที่คุรอซานว่าเรากับท่านมีความเกี่ยวดองทางสายเลือดกันฉันได้กล่าวว่าเกี่ยวดองอย่างไรหรือท่าน?” ท่านตอบว่าสมัยที่อับดุลลอฮ์ บินอามิร บินกะรีซ ยึดแคว้นคุรอซานได้ เขาได้จับกุมบุตรสาวของยัซเกิร์ด กษัตรย์ของอิหร่านได้สองนาง และได้นำตัวพวกนางมามอบแก่อุษมาน บินอัฟฟาน เขาได้สองนางให้กับอิมามฮาซัน (.) และอิมามฮุเซน (.) ทั้งสองเสียชีวิตหลังคลอดบุตร  ภรรยาของอิมามฮุเซน (.) ได้ให้กำเนิดท่านอิมามซัยนุลอาบิดีน (.) ก่อนนางจะเสียชีวิต แต่หลังจากที่นางเสียชีวิตลง อิมามซัยนุลอาบิดีน (.) ก็ได้รับการเลี้ยงดูโดยหญิงรับใช้ของอิมามฮุเซน (.) นางหนึ่ง[1]รายงานนี้ระบุว่าบุตรีของยัซด์เกิร์ดถูกส่งตัวมายังมะดีนะฮ์ในยุคของอุษมาน มิไช่ยุคของอุมัร บินคอฏฏ้อบ

เชคอับบาส กุมี กล่าวถึงรายงานดังกล่าวว่าฮะดีษบทนี้ขัดกับบทอื่น  ที่ระบุว่าบุตรีของยัซเกิร์ดถูกนำตัวมาในสมัยของอุมัร บินคอฏฏ้อบ ซึ่งฮะดีษเหล่านี้เป็นที่ยอมรับและน่าเชื่อถือมากกว่า[2]

2.   กุลัยนี (.) อธิบายเกี่ยวกับมารดาของอิมามซัยนุลอาบิดีน (.) ด้วยฮะดีษที่ว่าเมื่อบุตรสาวของยัซด์เกิร์ดถูกนำตัวมามอบแด่อุมัร สตรีชาวมาดีนะฮ์ต่างเบียดเสียดกันจ้องมองนาง และเมื่อนางเข้ามายังมัสยิด ใบหน้านางขาวผ่องประดุจว่าทำให้มัสยิดสว่างไสว อุมัรมองนาง นางรีบปิดใบหน้าและกล่าวว่าโอ๊ฟ บีรู้จ บอดอ โฮ้รโมซอุมัรกล่าวขึ้นว่านางได้ด่าทอฉันว่าแล้วก็จ้องเขม็ง อิมามอลี (.) กล่าวกับอุมัรว่าท่านไม่มีสิทธิจะปองร้ายนาง ท่านควรที่จะมอบสิทธิแก่นางให้สามารถเลือกชายมุสลิมด้วยตนเอง แล้วจึงหักจากบัญชีสินสงครามของชายผู้นั้นจะได้รับ อุมัรได้ให้สิทธิ์นี้แก่นาง นางได้เดินมาและเอามือวางบนศีรษะของอิมามฮุเซน (.) อิมามอาลี (.) ได้ถามนางว่าเธอชื่ออะไร?” นางตอบว่าญะฮอนชอฮ์ท่านกล่าวว่าชื่อที่เหมาะแก่เธอคือ ชะฮ์รบอนูเยะฮ์

หลังจากนั้นได้กล่าวกับอิมามฮุเซน (.) ว่าโอ้อบาอับดิลลาฮ์ หญิงคนนี้จะให้กำเนิดบุคคลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดบนหน้าแผ่นดิน และในที่สุดอิมามอาลี บินฮุเซน (.) ก็ถือกำเนิดจากนาง โดยได้รับฉายานามว่าอิบนุลคิยะเราะตัยน์” (บุตรของผู้ถูกคัดเลือกทั้งสอง) เนื่องจากบนีฮาชิมและชนชาติเปอร์เซียเป็นชนที่เลือกสรรโดยอัลลอฮ์ จากอรับและอะญัม[3]

เนื้อหาและสายรายงานของฮะดีษดังกล่าวถูกวิจารณ์โดยนักวิจัยบางส่วน เช่นการที่ฮะดิษบทนี้รายงานโดยอัมร์ บินชิมร์ซึ่งเป็นบุคคลที่ไม่น่าเชื่อถือในทัศนะของผู้เชี่ยวชาญด้านสายรายงาน[4]

ในแง่ของเนื้อหาก็อาจจะถูกวิจารณ์ได้หลายประเด็นดังนี้

-           การที่บุตรีคนหนึ่งของยัซด์เกิร์ดถูกจับเป็นเชลยนั้น ยังเป็นเรื่องที่ไม่แน่นอน

-           การที่อิมามฮุเซน (.) ได้แต่งงานกับสตรีคนหนึ่งในเวลานั้นเป็นที่เป็นที่น่าเคลือบแคลง เนื่องจากรานงานแรกระบุว่าหญิงผู้นี้ถูกจับเป็นเชลยในการพิชิตแคว้นคุรอซาน อันหมายถึงปีฮ.. 22 ในสมัยของอุษมาน
แต่รายงานที่สองระบุว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในสมัยการปกครองของอุมัร และหากเรายึดตามคำพูดนี้ ต้องทราบว่าขณะที่อิหร่านถูกยึดนั้น อิมามมีอายุระหว่าง 10-11 ปี เนื่องจากการยึดอิหร่านเกิดขึ้นในปีที่ 2 ของการปกครองของอุมัร ดังนั้นเป็นไปได้ยากที่อิมามจะสมรสในช่วงอายุดังกล่าว

-           ตำราทางประวัติศาสตร์ให้ข้อมูลแตกต่างกันในกรณีมารดาของอิมามซัยนุลอาบิดีน (.) ทั้งนี้ ยะอ์กูบี (เสียชีวิต 284 ..)[5], มุฮัมหมัด บินฮะซัน กุมีย์[6], กุลัยนี (เสียชีวิต 329 ..)[7], มุฮัมหมัด บินฮะซัน ศ็อฟฟาร กุมีย์ (เสียชีวิต 290 ..), อัลลามะฮ์มัจลิซีย์[8], เชคศอดู้ก (เสียชีวิต 381 ..)[9] และเชคมูฟีด (เสียชีวิต 413 ..)[10] เชื่อว่านางเป็นบุตรสาวของยัซด์เกิรด ถึงแม้ว่าจะมีความเห็นต่างกันในประเด็นชื่อของนางก็ตาม

นอกจากนี้ ยังมีทัศนะอื่นที่ระบุไว้ในตำรารุ่นแรกและรุ่นหลังของพี่น้องซุนหนี่มากมายที่เล่าว่านางเป็นชาวเมืองซิซตาน หรือแคว้นสินธุ หรืออาจเป็นชาวคาบุล และมีสายรายงานมากมายไม่ได้กล่าวถึงสถานที่จองจำของนาง เพียงแต่ได้กล่าวว่านางเป็นอุมมุวะลัด” (สาวใช้ที่มีบุตร) นั้นเอง[11]

บ้างก็เชื่อว่าบิดาของนางเป็นผู้มีชื่อเสียงชาวอิหร่านที่สันนิษฐานว่าชื่อ ซุบฮาน, ซินญาน, นุชญาน หรือชีรูเยะฮ์

หากเราต้องการที่จะวิเคราะห์รายงานเหล่านี้ เราไม่สามารถที่จะพึ่งพาสายรายงานของคำบอกเล่าเหล่านี้แต่อย่างใด เนื่องจากแต่ละสายรายงานไม่มีแหล่งอ้างอิงที่น่าเชื่อถือ นอกจากนี้ หนังสือประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่ เช่นหนังสือประวัติศาสตร์ยะอ์กูบี ก็รายงานโดยไม่ได้ระบุถึงแหล่งข้อมูลเลย

ดังนั้น เราจะต้องวิเคราะห์ในแง่เนื้อหาเพียงอย่างเดียว ซึ่งในวิธีนี้เราจะประสบปัญหาต่าง  เช่น:

1.     ปัญหาหลักก็คือ รายงานเหล่านี้ไม่สอดคล้องกันในเรื่องชื่อของนางและชื่อบิดา เนื่องจากสายรายงานต่าง ๆระบุว่านางมีชื่อต่างๆดังนี้ ชะฮ์บานู, ซัลลาเคาะฮ์, ฆ็อซซาละฮ์

2.     ทัศนะที่ไม่ตรงกันเกี่ยวกับระยะเวลาที่นางได้ถูกจับเป็นเชลยก็เป็นอีกหนึ่งปัญหา ซึ่งบ้างก็เชื่อว่านางเป็นเชลยในสมัยของอุมัร และบ้างก็เชื่อว่าในสมัยอุษมาน และบางคน เช่น เชคมุฟี้ด เชื่อว่าเกิดขึ้นในสมัยของอิมามอลี (.)[12]

3.     โดยปกติแล้ว หนังสือบางเล่ม เช่น ตารีคเฏาะบะรี และอัลกามิล ของอิบนุอะษี้ร ซึ่งรายงานสงครามต่างๆระหว่างมุสลิมกับเปอร์เซียตามลำดับปี โดยได้ระบุเส้นทางการหลบหนีของยัซด์เกิร์ดที่ไปตามเมืองต่าง  ของอิหร่าน แต่กลับมิได้กล่าวถึงเหตุการณ์ที่ราชธิดาถูกจับเป็นเชลยแต่อย่างใด ทั้งๆ ที่ประเด็นนี้เป็นเรื่องที่มีความสำคัญมากกว่าเหตุการณ์ปลีกย่อยอื่นๆ ที่หนังสือดังกล่าวบันทึกไว้เสียอีก

4.     เมื่อนักประวัติศาสตร์ประพันธ์รุ่นแรกเช่น มัสอูดีกล่าวถึงบุตรธิดาของยัซด์เกิร์ด เขากล่าวเพียงราชธิดาที่มีนามว่า อัดรัก, ชอฮีน และมัรดอวันด์ ซึ่งไม่มีชื่อใดตรงกับชื่อที่มีรายงานไว้ว่าเป็นชื่อของมารดาอิมามซัยนุลอาบิดีน (.)เลย อีกทั้งไม่กล่าวถึงการถูกจับเป็นเชลยของพวกนางเลย[13]

อย่างไรก็ตาม เมื่อคำนึงถึงเบาะแสและทัศนะต่าง  เกี่ยวกับมารดาของอิมามซัยนุลอาบิดีน กอปรกับประเด็นที่ว่า นักรายงานที่มีชีวิตอยู่ก่อนศตวรรษที่สามส่วนใหญ่เชื่อว่านางเป็นสาวใช้จากแคว้นสินธุ หรือคาบูล[14] ทำให้ไม่สามารถแสดงทัศนะเชิงฟันธงเกี่ยวกับมารดาของอิมามซัยนุลอาบิดีน (.) ได้[15]



[1] อุยูน อัคบารุร ริฏอ, ภาค 2, หน้า 128, ฮะดีษที่ 6, ตรวจตราโดยซัยยิดมะฮ์ดี ฮุซัยนี ลอญะวาร์ดี, ..1377, สำนักพิมพ์มิรซอ มุฮัมหมัด ริฏอ มุฮ์ตะดี, พิมพ์ครั้งที่ 1, (คัดมาจากซีดีญามิอุลอะฮาดีษ นู้ร)

[2] กุมี, เชคอับบาซ, มุนตะฮัลอามาล, เล่ม 2, หน้า 30, สำนักพิมพ์ฮิจรัต

[3] อุศูลกาฟี, เล่ม 1, หน้า 467, สำนักพิมพ์ออคุนดี

[4] คุลาเซาะตุลอักวาล ฟี มะริฟะตุรริญาล, บทที่ 2, หน้า 241, คำว่า อัมร์, ดู: ชะฮ์รบานู ภรรยาของอิมามฮุเซน (.)

[5] ประวัติศาสตร์ยะอ์กูบี, เล่ม 2, หน้า 303

[6] ประวัติศาสตร์กุม, หน้า 195

[7] อุศูลกาฟี, เล่ม 2, หน้า 369

[8] บิฮารุลอันว้าร, เล่ม 46, หน้า 9

[9] อุยูนุ อัคบารุร ริฏอ, เล่ม 2, หน้า 369

[10] อัลอิรชาด, หน้า 492

[11] บิฮารุลอันว้าร, เล่ม 46, หน้า 9

[12] อัลอิรชาด, หน้า 492

[13] ประวัติของอลี บินฮุเซน (.), หน้า 12

[14] ชุอูบียะฮ์, หน้า 305

[15] ดู: มารดาของอิมามซัจญาด

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • ในทางศาสนาแล้ว สามารถรับสินเชื่อจากธนาคารหรือสหกรณ์ออมทรัพย์ได้หรือไม่?
    10105 สิทธิและกฎหมาย 2554/10/27
    การขอรับสินเชื่อจากธนาคารหรือสหกรณ์หากไม่นำสู่ธุรกรรมดอกเบี้ยและปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในสัญญาอย่างครบถ้วนก็ถือว่ากระทำได้ต่อไปนี้คือข้อควรระวังเกี่ยวกับสินเชื่อโดยสังเขป1. การขอรับสินเชื่อหรือขอกู้ยืมจากธนาคารหรือสหกรณ์ต้องไม่มีการระบุเงื่อนไขว่าจะต้องฝากเงินจำนวนหนึ่งเสียก่อนอายะตุ้ลลอฮ์อัลอุซมาคอเมเนอีกล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ว่า: หากการชำระเงินแก่กองทุนเป็นไปในลักษณะที่ว่าให้กองทุนกู้ไว้เพื่อกองทุนดังกล่าวจะตอบแทนด้วยการให้เขากู้ยืมเงินในภายหลังหรือกรณีที่กองทุนจะให้กู้ยืมโดยมีเงื่อนไขว่าจะต้องนำฝากเงินจำนวนหนึ่งเสียก่อนเงื่อนไขเหล่านี้ถือเป็นดอกเบี้ยซึ่งเป็นสิ่งต้องห้ามและเป็นโมฆะทว่าการกู้ยืมทั้งสองกรณีถือว่าถูกต้อง[1]อย่างไรก็ดีการกำหนดเงื่อนไขว่าจะต้องเป็นสมาชิกหรือจะต้องมีภูมิลำเนาใกล้เคียงหรือเงื่อนไขอื่นๆที่จำกัดสิทธิในการยื่นขอกู้เงินนั้นถือว่าถูกต้องนอกจากนี้การสัญญาว่าจะให้สิทธิในการขอรับสินเชื่อเฉพาะผู้ที่จะเปิดบัญชีถือว่ากระทำได้แต่หากตั้งเงื่อนไขว่าจะมอบสินเชื่อในอนาคตเฉพาะผู้ที่เปิดบัญชีและวางเงินจำนวนหนึ่งเสียก่อนเงื่อนไขประเภทนี้เข้าข่ายผลประโยชน์เชิงนิติกรรมในการกู้ยืมซึ่งเป็นโมฆะ[2]2. จะต้องไม่ตั้งเงื่อนไขเกี่ยวกับผลตอบแทนในการให้/รับเงินกู้ของธนาคารหรือสหกรณ์ฮุก่มของการให้ธนาคารกู้ไม่แตกต่างจากการกู้จากธนาคารฉะนั้นหากมีการตั้งเงื่อนไขเกี่ยวกับผลตอบแทนในสัญญาให้กู้ย่อมถือเป็นการกำหนดดอกเบี้ยอันเป็นธุรกรรมต้องห้ามไม่ว่าจะเป็นการฝากประจำหรือกระแสรายวันก็ตามแต่ในกรณีที่เจ้าของเงินมิได้ฝากเงินด้วยเจตนาที่จะได้รับผลกำไรในลักษณะที่หากธนาคารไม่ให้ผลตอบแทนเขาก็ไม่ถือว่าตนมีสิทธิทวงหนี้จากธนาคารกรณีเช่นนี้สามารถฝากเงินในธนาคารได้[3]3. การรับสินเชื่อจากธนาคารในลักษณะการลงทุนร่วมกันหรือธุรกรรมประเภทอื่นที่ศาสนาอนุมัติถือว่าถูกต้องท่านอายะตุลลอฮ์อัลอุซมาคอเมเนอีกล่าวไว้ว่า: การรับสินเชื่อจากธนาคารในลักษณะการลงทุนร่วมกันหรือธุรกรรมประเภทอื่นที่ศาสนาอนุมัตินั้นไม่จัดอยู่ในประเภทการกู้ยืมหรือการให้ยืมและผลประกอบการที่ธนาคารได้รับก็ไม่ถือว่าเป็นดอกเบี้ยฉะนั้นจึงสามารถรับเงินจากธนาคารเพื่อซื้อเช่าหรือสร้างบ้านได้ส่วนกรณีที่เป็นการกู้ยืมและธนาคารได้ตั้งเงื่อนไขว่าต้องคืนเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยแม้การจ่ายคืนพร้อมดอกเบี้ยจะเป็นสิ่งต้องห้ามก็ตามแต่ตัวของการกู้ยืมถือว่าถูกต้องแล้วสำหรับผู้กู้ยืมและสามารถใช้เงินที่กู้มาได้[4]สรุปคือสินเชื่อที่รับจากธนาคารซึ่งต้องจ่ายคืนมากกว่าเงินต้นนั้นจะถือว่าถูกต้องตามหลักศาสนาก็ต่อเมื่อเข้าข่ายธุรกรรมประเภทใดประเภทหนึ่งที่อิสลามอนุมัติและไม่เป็นธุรกรรมดอกเบี้ยเท่านั้น[5]อนึ่งขอกล่าวทิ้งท้ายว่าหากไม่มีทางเลือกอื่นจริงๆและจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องกระทำสิ่งต้องห้าม(กู้พร้อมดอกเบี้ย) ก็ถือว่าอนุโลมท่านอายะตุลลอฮ์อัลอุซมาคอเมเนอีกล่าวไว้ว่า:
  • กฎทางชัรอียฺ และผลสะท้อนของการสาปแช่ง และการปฏิเสธความจริงแก่คนอื่น เป็นอย่างไร?
    12307 จริยธรรมปฏิบัติ 2555/05/20
    ตามหลักคำสอนของศาสนาของเรา นอกจากจะห้ามมิให้มีการสาปแช่ง หรือปฏิเสธอย่างไม่ถูกต้องต่อคนอื่นแล้ว ยังไม่อนุญาตให้กระทำเช่นนั้นอีกต่างหาก, มีรายงานจำนวนมากมายจากบรรดาอิมามผู้นำ กล่าวว่า, ถ้าหากใครก็ตาม, ได้สาปแช่งบุคคลหนึ่ง ทั้งที่บุคคลนั้นไม่สมควรได้รับการสาปแช่งแม้แต่นิดเดียว, การสาปแช่งนั้นจะย้อนกลับไปหาผู้สาปแช่ง ...
  • ท่านอิมามฮุเซนเคยจำแนกระหว่างอรับและชนชาติอื่น หรือเคยกล่าวตำหนิชนชาติอื่นหรือไม่?
    6305 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2554/10/11
    ฮะดีษที่อ้างอิงมานั้นเป็นฮะดีษจากอิมามศอดิก(อ.)มิไช่อิมามฮุเซน(อ.) ฮะดีษกล่าวว่า "เราสืบเชื้อสายกุเรชและเหล่าชีอะฮ์ของเราล้วนเป็นอรับแท้ส่วนผองศัตรูของเราล้วนเป็น"อะญัม"(ชนชาติอื่น) ไม่ว่าจะพิจารณาในแง่สายรายงานหรือเนื้อหาจะพบว่าฮะดีษนี้ปราศจากความน่าเชื่อถือใดๆทั้งสิ้นทั้งนี้เพราะสายรายงานของฮะดีษนี้มีนักรายงานฮะดีษที่ไม่น่าเชื่อถือ(เฎาะอี้ฟ)ปรากฏอยู่ส่วนเนื้อหาทั่วไปของฮะดีษนี้นอกจากขัดต่อสติปัญญาแล้วยังขัดต่อโองการกุรอานฮะดีษมากมายที่ถือว่าอีหม่านและตักวาเท่านั้นที่เป็นมาตรวัดคุณค่ามนุษย์หาไช่ชาติพันธุ์ไม่ทั้งนี้ท่านนบีได้ให้หลักเกณฑ์ไว้ว่า "หากฮะดีษที่รายงานจากเราขัดต่อประกาศิตของกุรอานก็จงขว้างใส่กำแพงเสีย(ไม่ต้องสนใจ)"อย่างไรก็ดีเราปฏิเสธที่จะรับฮะดีษดังกล่าวในกรณีที่ตีความตามความหมายทั่วไปเท่านั้นแต่น่าสังเกตุว่าคำว่า"อรับ"และ"อะญัม"หาได้หมายถึงชาติพันธุ์เท่านั้นแต่ในทางภาษาศาสตร์แล้วสองคำนี้สามารถสื่อถึงคุณลักษณะบางอย่างได้สองคำนี้สามารถใช้กับสมาชิกเผ่าพันธุ์เดียวกันก็ได้อาทิเช่นคำว่าอรับสามารถตีความได้ว่าหมายถึงการ"มีชาติตระกูล" และอะญัมอาจหมายถึง"คนไร้ชาติตระกูล" ในกรณีนี้สมมติว่าฮะดีษผ่านการตรวจสอบสายรายงานมาได้ก็ถือว่าไม่มีปัญหาในแง่เนื้อหาทั้งนี้ก็เพราะเรามีฮะดีษมากมายที่ยกย่องชาติพันธุ์ที่ไม่ไช่อรับเนื่องจากมีอีหม่านอะมั้ลที่ดีงามและความอดทน ...
  • ข้อความละอ์นัตในซิยารัตอาชูรอครอบคลุมถึงบุตรชายยะซีดด้วยซึ่งเป็นคนดี แล้วจะถือว่าซิยารัตนี้น่าเชื่อถือได้อย่างไร?
    7658 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2554/12/21
    ในซิยารัตอาชูรอมีการละอ์นัตกลุ่มบนีอุมัยยะฮ์ซึ่งรวมถึงบุตรชายยะซีดด้วยในขณะที่นักประวัติศาสตร์เชื่อว่าบุตรชายของยะซีดและสมาชิกบนีอุมัยยะฮ์บางคนเป็นคนดีเนื่องจากเคยทำประโยชน์บางประการซึ่งย่อมไม่สมควรจะถูกละอ์นัตเพื่อชี้แจงข้อสงสัยดังกล่าวควรทราบว่าบนีอุมัยยะฮ์ในที่นี้หมายความเฉพาะผู้ที่มีความคิดเห็นสอดคล้องกันกับพวกเขาอันหมายถึงผู้กระทำผิดผู้วางเฉยผู้ปีติยินดี ... ฯลฯต่อการแย่งชิงสิทธิอันชอบธรรมของบรรดาอิมาม(อ.) ตลอดจนการสังหารท่านเหล่านั้นและสาวกหากคำนึงถึงประโยคก่อนและหลังท่อนดังกล่าวในซิยารัตอาชูรอก็จะเข้าใจจุดประสงค์ดังกล่าวได้ไม่ยากเนื่องจากบรรยากาศของซิยารัตบทนี้เต็มไปด้วยละอ์นัตและการสาปแช่งกลุ่มบุคคลที่ยึดครองตำแหน่งคิลาฟะฮ์และพยายามจะดับรัศมีของอัลลอฮ์โดยทำทุกวิถีทางเพื่อต่อกรกับอะฮ์ลุลบัยต์รวมไปถึงกลุ่มบุคคลที่ให้การสนับสนุนและพึงพอใจในพฤติกรรมของกลุ่มแรก ฉะนั้นในทางวิชาอุศู้ลแล้วเราถือว่าการยกเว้นบุคคลที่ดีออกจากนัยยะของคำว่าบนีอุมัยยะฮ์นั้นเป็นการยกเว้นประเภท “ตะค็อศศุศ” มิไช่ “ตัคศี้ศ” หมายความว่าคำว่าบนีอุมัยยะฮ์ไม่ครอบคลุมถึงบุคคลเหล่านี้ตั้งแต่แรกแล้วจึงไม่จำเป็นต้องยกเว้นเป็นกรณีพิเศษ ...
  • เรื่องอุปโลกน์“เฆาะรอนี้ก”มีที่มาที่ไปอย่างไร?
    7543 การตีความ (ตัฟซีร) 2554/08/03
    เรื่องเล่า“เฆาะรอนี้ก”อุปโลกน์ขึ้นโดยผู้ไม่หวังดีซึ่งหวังจะลดทอนความน่าเชื่อถือของกุรอานและท่านนบี(ซ.ล.)ลง
  • ทำไมจึงเรียกการไว้อาลัยแด่ซัยยิดุชชูฮะดาว่า การอร่านร็อวเฎาะฮ์?
    6394 تاريخ کلام 2554/12/10
    สำนวน “ร็อวเฎาะฮ์” เกิดขึ้นเนื่องจากการนำบทต่างๆในหนังสือ “ร็อวเฎาะตุชชุฮะดา”มาอ่านโดยนักบรรยายหนังสือเล่มนี้เป็นหนึ่งในหนังสือเล่มแรกๆที่กล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในกัรบาลาซึ่งเขียนโดยมุลลาฮุเซนกาชิฟซับซะวอรี (เกิด 910 ฮ.ศ.) เป็นหนังสือภาษาฟาร์ซีหนังสือเล่มนี้ใช้อ่านในการไว้อาลัยมาเป็นเวลาช้านานแล้วดังนั้นพิธีต่างๆที่มีการไว้อาลัยจึงเรียกว่าการร็อวเฎาะฮ์ถึงปัจจุบัน
  • เข้ากันได้อย่างไร ระหว่างความดีและชั่ว กับความเป็นเอกะและความเมตตาของพระเจ้า?
    7477 เทววิทยาดั้งเดิม 2555/04/07
    1. โลกใบนี้ได้ถูกสร้างขึ้นมาในลักษณะที่ว่า สรรพสิ่งทั้งหลายที่มีอยู่ไม่อาจอยู่เป็นเอกเทศหรืออยู่ตามลำพังได้, องค์ประกอบและสัดส่วนต่างๆ บนโลกนี้ ถ้าหากพิจารณาให้รอบคอบจะพบว่าทุกสรรพสิ่ง เปรียบเสมือนโซ่ที่ร้อยเรียงติดเป็นเส้นเดียวกัน ซึ่งทั้งหมดเหล่านั้นรวมเรียกว่า ระบบการสร้างสรรค์อันสวยงาม, ด้วยเหตุนี้ ไม่สามารถกล่าวได้ว่าในโลกนี้มีพระเจ้า 2 องค์ เช่น พูดว่าน้ำและน้ำฝนมีพระเจ้าองค์หนึ่ง น้ำท่วมและแผ่นดินไหวมีพระเจ้าอีกองค์หนึ่ง, แน่นอน ถ้าหากน้ำท่วมและแผ่นดินไหวมาจากระบบหนึ่ง และน้ำฝน แสงแดด การโคจร และ ...ได้ตามอีกระบบหนึ่ง เท่ากับว่าโลกใบนี้มี 2 ระบบ เวลานั้นเราจึงสามารถกล่าวได้เช่นนี้ว่า โลกมีพระเจ้า 2 องค์ ด้วยเหตุนี้ เนื่องจากความจำกัดของโลกมีเพียงแค่ระบบเดียวที่เข้ากันและมีความสวยงาม ซึ่งทั้งหมดสามารถเจริญเติบโตไปสู่ความสมบูรณ์ของตนได้อย่างเสรี สรุปแล้วโลกใบนี้ต้องมีพระเจ้าองค์เดียว ผู้ทรงเมตตาปรานียิ่ง 2.ความเมตตาปรานีของพระเจ้า วางอยู่บนพื้นฐานแห่งวิทยปัญญาของพระองค์ ซึ่งสิ่งนี้ได้กำหนดว่ามนุษย์และสรรพสิ่งทั้งหลายต่างได้รับการชี้นำทางไปสู่การพัฒนา และความสมบูรณ์แต่ก็มิได้หมายความว่าจะเป็นไปได้ทุกหนทางในการบริการ หรือทุกหนทางที่จะก้าวเดินไป ทว่าการไปถึงยังความสมบูรณ์นั้นได้เป็นตัวกำหนดว่า มนุษย์ต้องผ่านหนทางที่ยากลำบากไปให้ได้ เขาต้องเผชิญกับความยากลำบาก และการต่อสู้ในชีวิตเพื่อก้าวไปสู่ความสมบูรณ์ อีกนัยหนึ่งศักยภาพต่างๆ ...
  • มลาอิกะฮ์สร้างมาจากรัศมีของบรรดาอิมาม และมีหน้าที่ร่ำไห้แด่อิมามฮุเซน(อ.)กระนั้นหรือ?
    9303 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/12/19
    1. ความเชื่อที่ว่ามลาอิกะฮ์สร้างขึ้นจากรัศมีนั้นได้รับการยืนยันจากฮะดีษหลายบทที่รายงานไว้ในตำราฝ่ายชีอะฮ์และซุนหนี่ตำราชีอะฮ์บางเล่มระบุถึงการสร้างสิ่งมีชีวิตต่างๆรวมถึงมลาอิกะฮ์จากรัศมีของปูชนียบุคคลอย่างท่านนบี(ซ.ล.) หรือบรรดาอิมามหรือบุคคลอื่นๆดังที่ตำราของซุนหนี่เองก็เล่าว่าเคาะลีฟะฮ์ท่านแรกและคนอื่นๆถือกำเนิดจากรัศมีของท่านนบี(ซ.ล) การที่มีฮะดีษเหล่านี้ปรากฏอยู่ในตำรับตำราของแต่ละฝ่ายมิได้หมายความว่าทุกคนจะต้องคล้อยตามฮะดีษเหล่านี้เสมอไป อย่างไรก็ดีตำราฮะดีษชีอะฮ์ได้รายงานฮะดีษชุด "ฏีนัต" ไว้ซึ่งไม่อาจจะมองข้ามได้กล่าวโดยสรุปคือหากพบว่ามุสลิมแต่ละฝ่ายอาจมีทัศนะแตกต่างกันบ้างในเรื่องการสรรสร้างของพระองค์
  • เพราะสาเหตุอันใด มนุษย์จึงลืมเลือนอัลลอฮฺ?
    9199 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/10/22
    การหยุแหย่ของชัยฏอนมารร้าย,เกี่ยวข้องทางโลกเท่านั้นอันเป็นความผิดที่เกิดจากความหลงลืมองค์พระผู้อภิบาลซึ่งในทางตรงกันข้ามนมาซ, กุรอาน, การใคร่ครวญในสัญลักษณ์ต่างๆของพระเจ้าการใช้ประโยชน์จากเหตุผลและข้อพิสูจน์
  • เพราะเหตุใดฉันต้องเป็นมุสลิมด้วย? โปรดตอบคำถามของฉันด้วยเหตุผลของวิทยปัญญา
    7674 เทววิทยาใหม่ 2554/10/22
    แม้ว่าความสัตย์จริงของศาสนาต่างๆในปัจจุบันบนโลกนี้ยังคงปรากฏให้เห็นอยู่บ้างก็ตาม, แต่รูปธรรมโดยสมบูรณ์และความจริงแท้แห่งความเป็นเอกะของพระเจ้ามีเฉพาะในศาสนาอิสลามเท่านั้นหรืออีกนัยหนึ่งท่านสามารถพบสิ่งนี้เฉพาะในคำสอนของอิสลาม, เหตุผลหลักสำหรับการพิสูจน์คำกล่าวอ้างข้างต้น,คือการไม่มีหลักฐานที่เชื่อถือได้, ประกอบกับการสังคายนาและภาพความขัดแย้งกันทางสติปัญญาที่ปรากฏในคำสอนของศาสนาอื่น

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60651 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    58272 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42764 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    40237 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    39379 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    34509 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    28572 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    28476 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    28426 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    26348 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...