การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
60319
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2554/07/07
 
รหัสในเว็บไซต์ fa925 รหัสสำเนา 14906
คำถามอย่างย่อ
อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
คำถาม
กรุณาชี้แจงหน้าที่ทางกฏหมายที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามี และอยากทราบว่าสามีมีสิทธิเรียกร้องให้ภรรยากระทำสิ่งใดได้บ้าง?
คำตอบโดยสังเขป

ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:
1. ยอมรับภาวะผู้นำของสามี: หากเกิดปัญหาครอบครัว สามีควรได้รับสิทธิชี้ขาดในการแก้ปัญหา อย่างไรก็ดี สามีไม่ควรลุแก่อำนาจ และใช้สิทธิดังกล่าวจนกระทั่งขัดต่อศาสนาและกฏหมาย และขัดต่อความราบรื่นของชีวิตคู่
2. การยินยอมเรื่องเพศสัมพันธ์: ภรรยาจะต้องยินยอมให้สามีมีเพศสัมพันธ์ตามปกติวิสัย และตามแต่สุขภาพกายและใจจะอำนวย เว้นแต่จะมีเหตุจำเป็นต้องงด อย่างเช่น ขณะมีรอบเดือนหรือขณะป่วยไข้
3. ยินยอมสามีในเรื่องภูมิลำเนาที่อยู่อาศัย: ทั้งนี้ ไม่รวมถึงกรณีที่สามีโอนสิทธิดังกล่าวแก่ภรรยาแล้ว และไม่รวมถึงกรณีที่จะส่งผลให้ภรรยาเสื่อมเสียชื่อเสียง หรือก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตและสุขภาพของภรรยา
4. เชื่อฟังสามีในเรื่องการออกนอกบ้าน และการพาผู้อื่นเข้ามาในบ้านตามเหมาะสม: ยกเว้นกรณีที่สามีห้ามไม่ให้เดินทางไปทำฮัจย์วาญิบ หรือกรณีที่ต้องเข้ารับการรักษา หรือหากการอยู่ในบ้านเป็นเหตุให้เกิดอันตรายต่อชีวิต สุขภาพ หรือทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง.
5. เชื่อฟังสามีในเรื่องการเข้าทำงาน หรือการเลือกประเภทงาน ในกรณีที่ขัดต่อกาลเทศะ สถานภาพและความเหมาะสมของทั้งสองฝ่าย

คำตอบเชิงรายละเอียด

พระผู้เป็นเจ้าได้สร้างทั้งชายและหญิงให้มีลักษณะที่หากปราศจากเพศตรงข้าม แต่ละเพศจะไม่สามารถถือกำเนิดและดำรงชีวิตต่อไปได้ ไม่สามารถบำบัดความต้องการทางกายและจิตใจโดยลำพังอย่างสมบูรณ์ ไม่สามารถพัฒนาตนทั้งในแง่จิตวิญญาณและศาสนาไม่ว่าจะในเชิงปัจเจกหรือสังคม ประหนึ่งว่าแต่ละเพศเมื่อหลอมรวมกันแล้วจะกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่สมบูรณ์ แต่หากแยกจากกันก็จะมีความบกพร่องที่ต้องได้รับการเติมเต็ม[1]
คุณลักษณะดังกล่าวเมื่อนำมาพิจารณาถึงความแตกต่างในแง่ร่างกายและจิตใจของชายหญิง อัลลอฮ์จึงทรงกำหนดสิทธิและหน้าที่[2]ของสามีภรรยาไว้ทั้งในลักษณะรวมและเฉพาะแต่ละเพศ ทั้งนี้ก็เพื่อสนองความต้องการทั้งในโลกนี้และโลกหน้าอย่างครบถ้วนสมบูรณ์

ผู้รู้ทางศาสนาให้ความสำคัญต่อสิทธิหน้าที่ของสามีภรรยาทั้งในทางฟิกเกาะฮ์(นิติศาสตร์อิสลาม)[3] จริยธรรม[4] และกฏหมายแพ่ง[5] ทั้งนี้ก็เนื่องจากสิทธิและหน้าที่ทางจริยธรรมเปรียบเสมือนเสาหลักที่ค้ำประกันสิทธิหน้าที่ทางกฏหมายแพ่ง[6] ส่วนสิทธิหน้าที่ทางฟิกเกาะฮ์ก็มีส่วนคล้ายคลึงกับสิทธิหน้าที่ทางกฏหมาย เราจึงขอนำเสนอสิทธิและหน้าที่ทางจริยธรรมและกฏหมายอิสลามดังต่อไปนี้:

ส่วนแรก: หน้าที่ทางจริยธรรมอิสลามของภรรยา
จากเนื้อหาของฮะดีษทำให้เราสามารถจำแนกหน้าที่ของภรรยาออกเป็นสองส่วน นั่นคือ คุณค่าของการปฏิบัติหน้าที่ต่อสามี และรายละเอียดหน้าที่
. คุณค่าของการปฏิบัติหน้าที่ต่อสามี
1.ท่านนบี(ซ.ล.)กล่าวว่า“หากอนุมัติให้ศิโรราบต่อสิ่งที่มิไช่พระเจ้า ฉันจะบอกให้เหล่าภรรยาศิโรราบต่อสามี”
2. สิทธิของสามี มีมากกว่าสิทธิของผู้ใดเหนือภรรยา
3. ญิฮาดของภรรยาคือการอดทนต่อพฤติกรรมไม่ดีของสามี
4. ภรรยาไม่ควรยั่วโทสะสามี แม้ว่าสามีจะทำให้เธอไม่สบายใจ
5. ภรรยาที่ไม่ได้รับความพอใจจากสามี ศาสนกิจของเธอจะไม่ได้รับการตอบรับ
6. ภรรยาที่ไม่รู้คุณสามี จะไม่ได้รับผลบุญใดๆจากศาสนกิจ[7]

ข. รายละเอียดหน้าที่ของภรรยา
1. ภรรยาไม่ควรเผลอใจแก่ชายอื่น มิเช่นนั้นจะถือเป็นหญิงผิดประเวณีในทัศนะของพระองค์
2.
ภรรยาไม่ควรปฏิเสธกามารมณ์ของสามี และควรตอบรับหากสามีขอร่วมหลับนอนแม้บนพาหนะ ไม่ว่าช่วงวันหรือกลางคืน แต่หากไม่เป็นไปตามนี้ เธอจะถูกมวลมะลาอิกะฮ์ละอ์นัต(ประณาม)
3
. ภรรยาไม่ควรถือศีลอดสุหนัต(ภาคอาสา)หากไม่ได้รับการยินยอมจากสามี (นี่คือคำสอนเชิงสัญลักษณ์ และน่าจะหมายรวมถึงศาสนกิจสุหนัตทุกประการ)
4. ภรรยาไม่ควรนมาซให้ยาวนาน หากจะทำให้ไม่สามารถสนองความต้องการเร่งด่วนของสามีได้
5. ภรรยาไม่ควรให้ทรัพย์สินแก่ผู้ใดแม้แต่เศาะดะเกาะฮ์ หากสามีไม่ยินยอม
6. ภรรยาไม่ควรออกนอกบ้านหากสามีไม่ยินยอม มิเช่นนั้นจะถูกประณามโดยมะลาอิกะฮ์แห่งชั้นฟ้าและแผ่นดิน รวมถึงมะลาอะฮ์แห่งความเมตตาและความกริ้ว[8]
7. ภรรยาควรเสริมสวย ใช้เครื่องหอม และประดับประดาตนเพื่อสามีเท่านั้น และหากกระทำไปเพื่อชายอื่น นมาซของเธอจะไม่ได้รับการตอบรับ.[9]

ส่วนที่สอง: หน้าที่ตามบทบัญญัติอิสลาม
ประกอบด้วยหมวดหน้าที่ร่วมกันของทั้งสามีและภรรยา และหน้าที่จำเพาะสำหรับภรรยา
ก. หน้าที่ร่วมกันของสามีและภรรยา
:
1.
มีปฏิสัมพันธ์อย่างอบอุ่น: สามีและภรรยาต่างมีหน้าที่ในการแสดงอัธยาศัยไมตรีอันดีต่อกัน ไม่ว่าจะในแง่การกระทำ วาจา หรือแม้แต่สีหน้า และจะต้องหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่สร้างความร้าวฉาน นอกจากจะมีข้อยกเว้นในแง่บทบัญญัติ กฏหมาย หรือวิถีประชา
2. ถ้อยทีถ้อยอาศัย:
สามีภรรยาจะต้องร่วมมือร่วมใจกันสร้างเสริมสถาบันครอบครัวให้ก้าวหน้ามั่นคง ทั้งนี้ ความร่วมมือดังกล่าวขึ้นอยู่กับวัตรปฏิบัติในแต่ละสังคม กาลเทศะ ขนบธรรมเนียม และสถานภาพของทั้งสองฝ่าย ตัวอย่างเช่น หากธรรมเนียมสังคมกำหนดว่าภาระในบ้าน การเลี้ยงดูและให้นมบุตรเป็นหน้าที่ของภรรยา และกำหนดว่าภาระนอกบ้านเป็นหน้าที่ของสามี ทั้งสองฝ่ายก็ควรประสานงานกันตามธรรมเนียมดังกล่าว
3. การเลี้ยงดูบุตรธิดา:
สามีภรรยาจะต้องทุ่มเทเอาใจใส่ในการเลี้ยงดูบุตรธิดาตามอัตภาพ กาลเทศะ และระดับความคาดหวังในแต่ละสังคม
4. ซื่อสัตย์ต่อกัน:
สามีภรรยาจะต้องไม่มีพฤติกรรมที่ส่อไปในทางผิดประเวณีกับผู้อื่น

ข. หน้าที่จำเพาะภรรยาตามบทบัญญัติ
1. ยินยอมต่อภาวะผู้นำของสามี: หากเกิดปัญหาขึ้นในครอบครัว สามีควรได้รับสิทธิตัดสินชี้ขาด อย่างไรก็ดี หน้าที่ดังกล่าวของสามีไม่ควรเป็นไปในลักษณะที่ขัดต่อหลักอัธยาศัยไมตรีและหลักถ้อยทีถ้อยอาศัย รวมทั้งจะต้องไม่ขัดต่อหลักศาสนาและกฏหมายแพ่ง อันเกิดจากการลุแก่อำนาจของสามี

2. ตัมกีน[10]: ภรรยาจะต้องยินยอมให้สามีมีเพศสัมพันธ์ตามปกติวิสัย และตามแต่สุขภาพกายและใจจะอำนวย เว้นแต่จะมีเหตุจำเป็นทางศาสนาหรือกฏหมายที่ต้องงด อย่างเช่น ขณะมีรอบเดือนหรือขณะป่วยไข้

3. ยินยอมสามีในเรื่องภูมิลำเนาที่อยู่อาศัย: ทั้งนี้ ไม่รวมถึงกรณีที่สามีโอนสิทธิในการตัดสินใจให้แก่ภรรยาแล้ว และไม่รวมถึงกรณีที่จะส่งผลให้ภรรยาเสื่อมเสียชื่อเสียง หรือก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตและสุขภาพของภรรยา

4. เชื่อฟังสามีในเรื่องการออกนอกบ้าน และการพาผู้อื่นเข้ามาในบ้านตามเหมาะสม: ยกเว้นกรณีที่สามีห้ามไม่ให้เดินทางไปทำฮัจย์วาญิบ หรือกรณีที่ต้องเข้ารับการรักษา หรือหากการอยู่ในบ้านเป็นเหตุให้เกิดอันตรายต่อชีวิต สุขภาพ หรือทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง.

5. เชื่อฟังสามีในเรื่องการเข้าทำงาน หรือการเลือกประเภทงาน ในกรณีที่ไม่ขัดต่อกาลเทศะ สถานภาพและความเหมาะสมทางสรีระและจิตใจของทั้งสองฝ่าย

ทั้งหมดนี้เป็นการประมวลหน้าที่ของภรรยาที่พึงปฏิบัติต่อสามีอย่างคร่าวๆ และเพื่อให้หัวข้อนี้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น จะขอนำเสนอภาระหน้าที่ๆสามีพึงปฏิบัติต่อภรรยาโดยสังเขปดังนี้

ส่วนที่สาม: หน้าที่ของสามีต่อภรรยา
หน้าที่ของสามีต่อภรรยาแบ่งออกเป็นสองประเภท หน้าที่ทางจริยธรรม และหน้าที่ทางบทบัญญัติ
ก. หน้าที่ทางจริยธรรม
: เนื้อหาของฮะดีษได้จำแนกออกเป็นสองส่วน นั่นคือ คุณค่าของการประพฤติดีต่อภรรยา และรายละเอียดหน้าที่
หนึ่ง
: คุณค่าของการประพฤติดีต่อภรรยา
1. การมอบความรักแด่ภรรยาคืออุปนิสัยของบรรดานบี[11]
2. การสารภาพรักต่อภรรยาจะไม่เลือนหายไปจากใจเธอ
3. ให้อภัยภรรยาหากแสดงเธอพฤติกรรมไม่ดี
4. ประพฤติต่อเธออย่างทะนุถนอมเอาใจใส่
5. ชายที่ประเสริฐสุดในทัศนะของพระองค์คือ สามีที่มีความประพฤติดีที่สุดต่อภรรยา
6. ชายที่เป็นที่รักที่สุด คือสามีที่ประพฤติดีต่อภรรยาบ่อยที่สุด
7. ต้องหวั่นเกรงการตัดสินของพระองค์ หากไม่ระมัดระวังสิทธิของภรรยา.

สอง: รายละเอียดหน้าที่ทางจริยธรรม
1. มองภรรยาในฐานะดอกไม้ที่ควรค่าแก่การทะนุถนอม มิไช่สาวใช้ในบ้าน ทั้งนี้ก็เพื่อคงไว้ซึ่งความสดใสสวยงามของเธอ และไม่คาดหวังจากเธอในสิ่งที่เกินเลยความสามารถ
2. ตระเตรียมปัจจัยสี่และเครื่องประดับให้เหมาะสมสำหรับเธอ โดยเฉพาะสำหรับวันอีด
3. สอบถามความเห็นของภรรยาในเรื่องที่สำคัญต่อชีวิตคู่
4. รักษาสิทธิภรรยาในแง่กิจกรรมทางเพศ

ข. ภาระหน้าที่ตามบทบัญญัติ
แบ่งออกเป็นสองส่วน หน้าที่รวมสำหรับสามีภรรยา(ซึ่งได้กล่าวไปแล้ว) และหน้าที่จำเพาะสำหรับสามี

ส่วนที่สี่: หน้าที่จำเพาะของสามี
ก. หน้าที่ในเรื่องค่าใช้จ่าย
1. จัดหาอาหารที่เหมาะสมกับฐานะภาพของภรรยา
2.
จัดหาเครื่องแต่งกายที่เหมาะสมกับฐานะภาพของภรรยา
3. จัดหาเครื่องประดับที่เหมาะสมกับฐานะภาพของภรรยา
4. จัดหาที่อยู่อาศัยที่เหมาะสมกับฐานะภาพของภรรยา
5. จัดหาคนช่วยทำงานบ้านหากจำเป็น ตามความเหมาะสมกับฐานะภาพของภรรยา หรือในกรณีที่ภรรยาล้มป่วย
6. จัดหาหยูกยาและให้การรักษาภรรยาหากล้มป่วย[12]

ข. หน้าที่ในการร่วมหลับนอน
กฏหมายทั่วไปมิได้ชี้ชัดในจุดนี้โดยระบุไว้เพียงหลักอัธยาศัยไมตรีอันดีต่อกัน ทว่าผู้รู้ทางศาสนาได้นำเสนอประเด็นดังกล่าวไว้ดังนี้
:
1.
หลังพิธีแต่งงานแล้ว ภรรยามีสิทธิเหนือสามีในการร่วมเตียงเคียงหมอนดังนี้
หากเป็นสาวพรหมจรรย์ สามีมีหน้าที่จะต้องอยู่กับเธอไม่น้อยกว่าเจ็ดคืน แต่หากเป็นหญิงที่ผ่านการแต่งงานแล้ว สามีมีหน้าต้องอยู่กับเธอไม่น้อยกว่าสามคืน โดยหลังจากช่วงเวลาดังกล่าว หากเธอเป็นภรรยาคนเดียวของสามี ภายในสี่คืน สามีมีหน้าที่ต้องอยู่กับเธออย่างน้อยหนึ่งคืน แต่หากมีภรรยาหลายคน สามีมีหน้าที่ต้องอยู่กับภรรยาแต่ละคนไม่น้อยกว่าหนึ่งคืนต่อสี่คืน[13]

2.
หน้าที่ด้านกิจกรรมทางเพศ: สามีมีหน้าที่จะต้องประกอบกามกิจกับภรรยาไม่ต่ำกว่าหนึ่งครั้งต่อสี่เดือน ซึ่งถือเป็นสิทธิของภรรยาอย่างหนึ่ง.



[1] เอกสารประกอบการสอนวิชาสิทธิสตรีในอิสลาม,อาจารย์มิศบาฮ์ ยัซดี,ครั้งที่ 209 ,หน้า  2096.

[2] ซูเราะฮ์อัลบะเกาะเราะฮ์,233 และ, อันนิซาอ์,4 และ, อันนะฮ์ลิ,72 และ, อัรรูม,21 ตลอดจนโองการอื่นๆที่เกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่ของสามีภรรยา.

[3] บรรดาผู้รู้ศาสนาและมัรญะอ์ตั้กลีดมักนำเสนอหัวข้อสิทธิและหน้าที่ภรรยาไว้ในหมวดการแต่งงานถาวร บทการนิกะฮ์.

[4] สิ่งที่ได้นำเสนอไปเกี่ยวกับหน้าที่ต่างๆในข้อเขียนนี้ อ้างอิงจากฮะดีษของบรรดามะศูมีน(อ.)ที่รายงานในหนังสือ“ฮิลยะตุ้ลมุตตะกีน”บทที่หก,หมวดที่สี่,ที่นำเสนอเกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่ของสามีภรรยา.

[5] จำต้องทราบถึงข้อแตกต่างระหว่างหน้าที่ทางจริยธรรมกับหน้าที่ทางกฏหมายแพ่งเกี่ยวกับครอบครัวดังนี้ 1. ข้อแนะนำทางจริยธรรมตั้งอยู่บนพื้นฐานของปัญญาและศาสนา แต่กฏหมายจะต้องตราขึ้นโดยผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเท่านั้น อาทิเช่นฝ่ายนิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ และผู้เกี่ยวข้องอื่นๆ 2. ข้อแนะนำทางจริยธรรมเป็นไปเพื่อความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลกับพระเจ้า,ตนเองและผู้อื่น แต่กฏหมายนั้นตราขึ้นเพื่อกำหนดขอบเขตความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลกับคนในสังคม 3. ข้อแนะนำทางจริยธรรมมีเป้าหมายเพื่อบรรลุถึงสัมพันธภาพระหว่างบุคคลกับพระเจ้า แต่กฏหมายตราขึ้นเพื่อผลประโยชน์ส่วนรวมทางโลก และเพื่อบริหารให้ชีวิตราษฎรเป็นไปอย่างราบรื่น 4. ข้อแนะนำทางจริยธรรมเน้นเจตนาเป็นหลัก ในขณะที่กฏหมายเน้นการกระทำเป็นหลัก 5. ข้อแนะนำทางจริยธรรมบ่งบอกถึงลักษณะนิสัยเชิงบวกของบุคคลได้มากกว่าข้อบังคับทางกฏหมาย 6. ข้อแนะนำทางจริยธรรมบางประการเป็นสุหนัต(ภาคอาสา) แต่ข้อกฏหมายล้วนเป็นข้อบังคับทุกประการ 7. ข้อแนะนำทางจริยธรรมมีแรงบันดาลใจทั้งโลกนี้และโลกหน้า แต่ข้อกฏหมายขึ้นอยู่กับอำนาจทางตำรวจทหารเท่านั้น. ดู: ปรัชญาจริยธรรม และเอกสารประกอบการบรรยายวิชาสารธรรมกุรอาน,ครั้งที่ 177.

[6] ข้อกฏหมายที่นำเสนอในข้อเขียนนี้อ้างอิงจากมาตรา1112 ถึง1117 กฏหมายแพ่งและกฏหมายฟ้องร้อง(ของอิหร่าน)ในหนังสือกฏหมายแพ่ง,เล่ม 4 ,หน้า 5 .เขียนโดยดร.ฮุเซน อิมามี และหนังสือกฏหมายครอบครัว,เล่ม1,โดยดร.ฮะซัน ศะฟออี และอะสะดุลลอฮ์ อิมามี.

[7] ฮิลยะตุ้ลมุตตะกีน,อ.มัจลิซี,บทที่ 6 ,หน้า 76-77.

[8] หนึ่งในข้อแตกต่างก็คือ ผู้รู้ทางศาสนาให้ความเห็นว่าภรรยามีสิทธิเรียกร้องค่าเหนื่อยในการทำงานบ้านจากสามี ในขณะที่นักกฏหมายบางคนเชื่อว่าการทำงานบ้านรวมอยู่ในหน้าที่การประสานความร่วมมืออยู่แล้ว และไม่ควรเรียกร้องค่าจ้างในการปฏิบัติหน้าที่ๆต้องกระทำ, กฏหมายครอบครัว,ศะฟออีและอิมามี,เล่ม1, หน้า162.

[9] ฮิลยะตุ้ลมุตตะกีน,บทที่ 6 ,หน้า 76-79.

[10] เพื่อศึกษาความหมายของตัมกีนในเชิงแคบและเชิงกว้าง ดู: กฏหมายแพ่ง,ดร.ฮุเซน อิมามี,หน้า 173.

[11] อุรวะตุ้ลวุษกอ,มัรฮูมฏอบาฏอบาอี ยัซดี,เล่ม 2 ,หมวดนิกาฮ์,หน้า 626.

[12] แต่ผู้รู้ทางศาสนามักจะเห็นว่าไม่ไช่หน้าที่ของสามี,กฏหมายแพ่ง,หน้า 343.

[13] ทัศนะดังกล่าวคือทัศนะที่ผู้รู้ทางศาสนาส่วนใหญ่ให้การยอมรับ แต่อีกทัศนะหนึ่งกล่าวว่า ต้องการจะสื่อเพียงแค่การไม่ตีตนออกห่างภรรยาเท่านั้น.อ้างแล้ว.หน้า 446.

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • บุตรีของมุสลิม บิน อะกีลมีชื่อว่าอะไร?
    7676 تاريخ کلام 2554/06/22
    หลังจากได้ศึกษาหนังสือหลายเล่มเกี่ยวกับชีวประวัติของท่านมุสลิมบินอะกีลเข้าใจได้ว่าท่านมุสลิมมีบุตรี 2 คนนามว่าอาติกะฮฺและฮะมีดะฮฺซึ่งอาติกะฮฺอยู่ในเหตุการณ์กัรบะลาอฺด้วยและเธอได้ชะฮีดในวันอาชูรอขณะศัตรูได้บุกโจมตีเต็นท์ต่างๆส่วนฮะมีดะฮฺได้ถูกจับตัวเป็นเชลยพร้อมกับเชลยแห่งกัรบะลาอฺซึ่งตระกูลของมุสลิมได้สืบเชื้อสายมาจากนาง ...
  • เพราะเหตุใดท่านศาสดา (ซ็อลฯ) จึงไม่ลงโทษบรรดาพวกกลับกลอกเสียตั้งแต่แรก ทั้งที่ทราบถึงแผนการ การก่อกรรมชั่วของพวกเขาเป็นอย่างดี? ขณะที่ท่านคิเฎรสังหารเด็กผู้ชายคนหนึ่ง ด้วยเหตุผลที่ว่าเมื่อโตขึ้นเขาจะก่อความเสียหาย?
    7022 เทววิทยาดั้งเดิม 2555/08/22
    ถ้าหากท่านเราะซูล (ซ็อลฯ) สังหารพวกเขาตั้งแต่วันนั้นให้หมดไป ก่อนที่แผนการของพวกเขาจะถูกปฏิบัต และวันนี้ก็จะไม่มีคำพูดว่า แล้วทำไมท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ก่อนที่จะดำเนินการไม่ประณาม หรือไม่ตักเตือนพวกเขาเสียก่อน ทำไมไม่ให้โอกาสพวกเขา บางทีพวกเขาอาจเปลี่ยนแปลงก็ได้ นอกจากนั้นแล้วท่านศาสดา (ซ็อลฯ) มีหน้าที่ปฏิบัติไปตามกฎภายนอก และท่านมิได้รับอนุญาตจากอัลลอฮฺให้ทำการเข้มงวดกับบุคคลที่เป็นผู้กลับกลอก หรือปฏิบัติกับพวกเขาโดยความเข้มงวดอย่างเปิดเผย ดั่งที่บางตอนของคำเทศนาเฆาะดีรได้กล่าวว่า »ขอสาบานต่ออัลลอฮฺว่า วัตถุประสงค์ของอัลลอฮฺ จากโองการดังกล่าวคือ เซาะฮาบะฮฺกลุ่มหนึ่ง ซึ่งท่านรู้จักทั้งนามและสถานภาพของเขา, แต่ท่านมีหน้าที่ปกปิดพวกเขาไปตามสภาพ« ...
  • มีฮะดีษระบุว่า การปัสสาวะอย่างไม่ระวังจะทำให้ถูกบีบอัดในมิติแห่งบัรซัค กรุณาอธิบายให้กระจ่างด้วยค่ะ
    7019 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2555/01/15
    ในตำราฮะดีษมีบางรายงานระบุว่าท่านนบีเคยกล่าวไว้ว่า “จงระมัดระวังในการชำระปัสสาวะเถิดเพราะการลงโทษส่วนใหญ่ในสุสานเกิดจากการปัสสาวะ”[1] ท่านอิมามศอดิกก็เคยกล่าวว่า “การลงทัณฑ์ในสุสานส่วนใหญ่มีสาเหตุเนื่องมาจากปัสสาวะ”[2]อย่างไรก็ดีต้องชี้แจงเกี่ยวกับปรัชญาของอะห์กามว่าถึงแม้ฮุกุ่มทุกประเภทจะอิงคุณและโทษในฐานะที่เป็นเหตุผลก็ตามแต่เป็นเรื่องยากที่จะสามารถแจกแจงเหตุและผลของฮุก่มแต่ละข้ออย่างละเอียดละออได้ที่สุดแล้วก็ทำได้เพียงแจกแจ้งทีละข้อซึ่งหลักเกณฑ์ที่ว่าสามารถครอบคลุมส่วนใหญ่เท่านั้นมิไช่ทั้งหมดจึงทำให้อาจจะมีข้อยกเว้นบางกรณี[3]ประเด็นการไม่ระมัดระวังนะญิสของปัสสาวะนั้นสติปัญญาของคนเราเข้าใจได้เพียงระดับที่ว่าพฤติกรรมดังกล่าวจะทำลายน้ำนมาซอันเป็นเงื่อนไขของอิบาดะฮ์อย่างเช่นการนมาซ แต่ไม่อาจจะเข้าถึงสัมพันธภาพเชิงเหตุและผลระหว่างการปัสสาวะอย่างไม่ระวังกับการถูกลงโทษในสุสานได้อย่างไรก็ตามสติปัญญายอมรับในภาพรวมว่าการกระทำของมนุษย์จะส่งผลถึงโลกนี้และโลกหน้า[1]บิฮารุลอันว้าร,เล่ม
  • อัลลอฮฺ ทรงอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ธรรมชาติด้วยหรือไม่?
    6182 เทววิทยาดั้งเดิม 2555/04/07
    อัลลอฮฺ คือพระผู้ทรงกำหนดกฎเกณฑ์ต่างๆ ทางธรรมชาติ อาตมันสากลของพระองค์มิได้อยู่ภายใต้อำนาจของสิ่งใดทั้งสิ้น นอกจากความต้องการของพระองค์ หรือเว้นเสียแต่ว่าความประสงค์ของพระองค์ต้องการที่จะปฏิบัติภารกิจหนึ่ง ซึ่งทรงเป็นสาเหตุของการเกิดสิ่งนั้น ขณะเดียวกันการละเมิดกฎต่างๆในโลกที่ต่ำกว่า โดยพลังอำนาจที่ดีกว่าของพระองค์ถือเป็น กฎเกณฑ์อันเฉพาะ และเป็นประกาศิตที่มีความเป็นไปได้เสมอ ซึ่งเราเรียกสิ่งนั้นว่า ปาฏิหาริย์,แน่นอน ปาฏิหาริย์มิได้จำกัดอยู่ในสมัยของบรรดาศาสดาเท่านั้น ทว่าสามารถเกิดขึ้นได้ในทุกสมัย เพียงแต่ว่าปาฏิหาริย์ได้ถูกมอบแก่บุคคลที่เฉพาะเท่านั้น เป็นความถูกต้องที่ว่าความรู้มีความจำกัดและขึ้นอยู่ยุคสมัยและสภาพแวดล้อม ไม่มีความรู้ใดยอมรับหรือสนับสนุนเรื่องมายากล และเวทมนต์ แต่คำพูดที่ถูกต้องยิ่งกว่าคือ เจ้าของความรู้เหล่านั้นบางครั้ง ได้แสดงสิ่งที่เลยเถิดไปจากนิยามของความรู้หรือที่เรียกว่า มายากล เวทมนต์เป็นต้น อีกนัยหนึ่งกล่าวได้ว่า สิ่งนั้นคือการมุสาและการเบี่ยงเบนนั่นเอง ...
  • ภารกิจของท่านอิมามมะฮฺดียฺ (อ.) หลังจากปรากฏกายแล้วคืออะไร? แล้วเป็นไปได้ไหมที่ท่านจะถูกทำชะฮาดัตโดยน้ำมือของสตรีชราที่มีนวดเครา?
    6354 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/04/21
    ในเวลานั้นท่านอิมามมะฮฺดียฺ (อ.) จะได้รับอนุญาตจากอัลลอฮฺให้จัดตั้งทั้งด้านวัตถุปัจจัยและด้านคุณธรรมมโนธรรมเพื่อจะได้จัดตั้งรัฐบาลแห่งความยุติธรรมขึ้นมาปกครองโลกซึ่งถือว่าเป็นรัฐบาลที่ใหญ่ที่สุดบนโลกนี้ ท่านจะเป็นผู้สนับสนุนส่งเสริมเกียรติและคุณค่าของความเป็นมนุษย์พร้อมกับเรียกร้องไปสู่ความปลอดภัยชีวิตมนุษย์จะกลายเป็นชีวิตแห่งพระเจ้าในเวลานั้นท่านอิมามมะฮฺดียฺ (อ.)
  • ฮัมมาดะฮ์เป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย และมีบุคลิกอย่างไร?
    7389 تاريخ بزرگان 2555/03/08
    ตำราวิชาสายรายงานฮะดีษระบุว่ามีสตรีที่ชื่อ “ฮัมมาดะฮ์” สองคน คนหนึ่งชื่อ “ฮัมมาดะฮ์ บินติ เราะญาอ์” ส่วนอีกคนคือ “ฮัมมาดะฮ์ บินติ ฮะซัน” แต่สันนิษฐานว่าสองรายนี้คือคนๆเดียวกัน สุภาพสตรีท่านนี้เป็นสาวิกาของท่านอิมามศอดิก(อ.) ซึ่งกุลัยนีและเชคเศาะดู้กได้รายงานฮะดีษของอิมามศอดิกจากนาง[1] ท่านนะญาชีระบุว่าพี่ชายของนางชื่อซิยาด บิน อีซา อบูอุบัยดะฮ์ ฮิซาอ์ ส่วนเชคฏูซีระบุว่าพี่ชายของนางชื่อ เราะญาอ์ บิน ซิยาด จะเห็นได้ว่ามีทัศนะที่ขัดแย้งกันในเรื่องชื่อของพี่ชายและบิดาของนาง ทำให้เข้าใจได้ว่าน่าจะมีสตรีสองคนที่ชื่อฮัมมาดะฮ์ อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาถึงสำนวนของนะญาชีทำให้สามารถสันนิษฐานได้ว่าสองคนนี้แท้ที่จริงก็คือสตรีคนเดียวกัน เหตุผลที่นำมาชี้แจงก็คือ[2] อบูอุบัยดะฮ์ ฮิซาอ์ มีชื่อจริงว่า ซิยาด บิน อบีเราะญาอ์ (มิไช่แค่เราะญาอ์) ส่วนชื่อจริงของอบูเราะญาอ์คือ มุนซิร หรือซิยาด ผลที่ได้ก็คือ ...
  • อิมามมะฮ์ดีสมรสแล้วหรือยัง?
    8213 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/11/09
    แม้จะเป็นไปได้ว่าท่านอิมามมะฮ์ดี(อ.)อาจมีคู่ครองและบุตรหลาน เนื่องจากภาวะการเร้นกายมิได้จำกัดว่าจะท่านต้องงดกระทำการสมรสอันเป็นซุนนะฮ์แต่อย่างใด แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เราไม่พบเหตุผลใดๆที่ชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องนี้ สันนิษฐานว่าสาเหตุที่ประเด็นดังกล่าวไม่เป็นที่เปิดเผยนั้น อาจเป็นผลพวงมาจากความจำเป็นที่พระองค์ทรงเร้นกายท่านจากสายตาผู้คนนั่นเอง ...
  • ความสัมพันธ์ระหว่างวิญญาณกับตัวอ่อนมนุษย์เป็นไปในรูปแบบใด ทารกเจริญเติบโตก่อนวิญญาณจะสถิตได้อย่างไร?
    8884 เทววิทยาดั้งเดิม 2555/03/11
    วิญญาณเป็นสิ่งที่พ้นญาณวิสัย ซึ่งจะสถิตหรือจุติในทารกที่อยู่ในครรภ์ และจะเจริญงอกงามทีละระดับ วิญญาณก็เป็นสิ่งถูกสร้างของพระองค์เฉกเช่นร่างกาย ส่วนการที่พระองค์ทรงตรัสว่า “เราได้เป่าวิญญาณของเราเข้าไปในเขา”นั้น เป็นการสื่อถึงความยิ่งใหญ่และความสูงส่งของวิญญาณมนุษย์ด้วยการเชื่อมคำว่าวิญญาณเข้ากับพระองค์เอง กรณีเช่นนี้ในทางภาษาอรับเรียกกันว่าการเชื่อมแบบ “ลามี” อันสื่อถึงการยกย่องให้เกียรติ ดังกรณีของการเชื่อมโยงวิหารกะอ์บะฮ์เข้ากับพระองค์เองด้วยสำนวนที่ว่า “บัยตี” หรือ บ้านของฉัน การที่ทารกระยะตัวอ่อนยังไม่มีวิญญาณนั้น มิได้ขัดต่อการมีสัญญาณชีวิตก่อนที่วิญญาณจะสถิตแต่อย่างใด เนื่องจากมนุษย์มีปราณสามระยะด้วยกัน ได้แก่ ปราณวิสัยพืช, ปราณวิสัยสัตว์, ปราณวิสัยมนุษย์ ปราณวิสัยพืชถือเป็นปราณระดับล่างสุดของมนุษย์ ซึ่งมีการบริโภคและสามารถเจริญเติบโตได้ แต่ไม่มีความรู้สึก ประสาทสัมผัสและการเคลื่อนไหวตามต้องการ เสมือนพืชที่เจริญงอกงามทว่าไร้ความรู้สึก ประสาทสัมผัสและการเคลื่อนไหวตามต้องการ และเนื่องจากทารกระยะแรกมีปราณประเภทนี้ก่อนวิญญาณจะสถิต จึงทำให้มีชีวิตและเจริญเติบโตได้ ...
  • ได้ยินว่าผู้บริจาคเศาะดะเกาะฮ์จะพ้นจากภยันตรายต่างๆ ถามว่าผู้รับเศาะดะเกาะฮ์จะประสบกับภยันตรายเหล่านั้นแทนหรือไม่?
    10994 بیشتر بدانیم 2557/02/12
    “เศาะดะเกาะฮ์” ในแง่ภาษาอรับแล้ว ถือเป็นอาการนาม ให้ความหมายว่า “การมอบให้เพื่อจะได้รับผลบุญ” และมีรากศัพท์จากคำว่า “ศิดกุน” พหูพจน์ของเศาะดะเกาะฮ์คือ “เศาะดะกอต” [1] นิยามของเศาะดะเกาะฮ์ เศาะดะเกาะฮ์หมายถึง สิ่งที่บุคคลมอบให้ผู้ขัดสน ผู้ยากไร้ เพื่ออัลลอฮ์ อันเป็นการพิสูจน์ความจริงใจในแนวทางของพระองค์[2] บทบัญญัติเกี่ยวกับเศาะดะเกาะฮ์ และผลบุญที่จะได้รับ อิสลามมีบทบัญญัติเกี่ยวกับเศาะดะเกาะฮ์สองประเภทด้วยกัน 1. เศาะดะเกาะฮ์ภาคบังคับ (วาญิบ) ซึ่งก็หมายถึง “ซะกาต” นั่นเอง ดังโองการที่กล่าวว่า خُذْ مِنْ أَمْوَالِهِمْ صَدَقَةً تُطَهِّرُهُمْ وَ تُزَکِّیهِمْ بِهَا وَ صَلِّ عَلَیْهِمْ إِنَّ صَلاَتَکَ سَکَنٌ ...
  • ฮะดีซต่างๆ ในหนังสือกาฟียฺ สามารถอธิบายความอัลกุรอานได้หรือไม่?
    8275 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2555/07/16
    นักรายงานฮะดีซผู้ยิ่งใหญ่ท่านหนึ่งคือ มุฮัมมัด บิน ยะอฺกูบ กุลัยนียฺ (รฮ.) เป็นหนึ่งในปราชญ์ผู้อาวุโสฝ่ายชีอะฮฺ และเป็นหนึ่งในนักรายงานฮะดีซที่เชื่อถือได้มากที่สุดของฝ่ายอิมามียะฮฺ ท่านอยู่ในยุคสมัยการเร้นกายระยะสั้นของท่านอิมามมะฮฺดียฺ (อ.) และยังเป็นผู้ประพันธ์หนังสือ อุซูลกาฟียฺ อันเป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดี ด้วยเหตุนี้เอง จะเห็นว่ารายงานส่วนใหญ่ในหนังสือกาฟียฺล้วนเป็นที่เชื่อถือ แต่หนังสือกาฟียฺก็เหมือนกับหนังสือฮะดีซทั่วไปที่มีรายงานอ่อนแอ และไม่น่าเชื่อถืออยู่บ้าง ตามทัศนะของชีอะฮฺและอะฮฺลุซซุนนะฮฺ มีฮะดีซที่ถูกต้องจำนวนมากมายจากท่านศาสดา (ซ็อลฯ) และอิมามผู้บริสุทธิ์ บันทึกอยู่ในหนังสือญะวามิอฺริวายะฮฺ ซึ่งฮะดีซจำนวนมากเหล่านั้นได้ตัฟซีรโองการอัลกุรอาน ซึ่งหนึ่งในฮะดีซทรงคุณค่าเหล่านั้นคือ หนังสือกาฟียฺ ...

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60318 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    57856 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42418 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    39676 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    39081 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    34164 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    28200 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    28143 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    28068 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    26022 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...