การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
16224
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2550/12/10
 
รหัสในเว็บไซต์ fa1895 รหัสสำเนา 28159
หมวดหมู่ ปรัชญาอิสลาม
คำถามอย่างย่อ
ความต่างกิจกรรมของวิญญาณขณะนอนหลับ และสลบคืออะไร?
คำถาม
มีความแตกต่างอย่างไร ระหว่างกิจกรรมต่างๆ ของจิตวิญญาณ ขณะนอนหลับและสลบ แล้วทำไมความฝันขณะนอนหลับจึงอยู่ในความทรงจำ แต่ขณะสลบมิได้เป็นเข่นนั้น?
คำตอบโดยสังเขป

รูปแบบการปฏิสัมพันธ์ระหว่างร่างกายกับจิตวิญญาณขณะตื่นนอน กับการปฏิสัมพันธ์ขณะนอนหลับนั้นมีความแตกต่างกัน ด้วยเหตุนี้ ตามคำสอนของอิสลามจึงได้เรียกการนอนหลับว่า เป็นพี่น้องของความตาย

วิทยาศาสตร์แม้ว่าจะไม่มีข้อมูลการปฏิสัมพันธ์ระหว่างจิตวิญญาณกับร่างกายขณะนอนหลับ แต่สามารถค้นพบการเปลี่ยนแปลงและปฏิกิริยาบางอย่างทางร่างกายขณะนอนหลับได้ บนพื้นฐานของการค้นคว้านั้นและการทำสอบพบว่ามนุษย์มีการนอนหลับในสองระดับ ด้วยนามว่า REM และ Non REM ซึ่งทั้งสองมีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง โดยปกติแล้วการความฝันที่มักเกิดในระดับของ Non REM เกิดจากการหลับลึกซึ่งจะไม่อยู่ในความทรงจำ แต่เฉพาะการนอนหลับในระ REM เท่านั้นที่จะคงอยู่ในความทรงจำ ส่วนการสลบหมดสติเกิดจากการเบี่ยงเบนของวิญญาณ และเป็นการหลับที่ลุ่มลึกมาก ทำให้เขาไม่มีความทรงจำอันใดหลงเหลืออยู่

คำตอบเชิงรายละเอียด

ภารกิจของจิตวิญญาณเป็นหนึ่งในปัญหาที่สลับซับซ้อนที่สุด ซึ่งจนถึงปัจจุบันความรู้ของมนุษย์ยังไร้ความสามารถในการรับรู้ ด้วยเหตุนี้ ทำให้นักวิชาการมีความคิดเห็นขัดแย้งกัน ในลักษณะที่ว่า นักวิชาการบางท่านกล่าวว่า มีทัศนะเกี่ยวกับจิตวิญญาณมากเกินพันทัศนะ และยังมีประเด็นอื่นๆ อีกที่เกี่ยวข้อง[1]

อัลกุรอาน ได้เน้นถึงความไร้สามารถของมนุษย์ในการรู้จักวิญญาณ โดยกล่าวว่า »พวกเขาจะถามเจ้า เกี่ยวกับวิญญาณจงกล่าวเถิดว่า รื่องวิญญาณนั้นเป็นไปตามพระบัญชาของพระผู้อภิบาลของฉัน พวกท่านจะไม่ได้รับความรู้ใดๆ เว้นแต่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น”[2]

จากโองการและรายงาน เข้าใจได้ว่า วิญญาณ เป็นการมีอยู่ที่ต่างไปจากสังขาร เป็นอรูปห่างไกลจากวัตถุและสสาร กล่าวคือ มิได้จำกัดอยู่ในเวลาและสถานที่ ทำนองเดียวกันเป็นที่ชัดเจนว่าปฏิสัมพันธ์ของวิญญาณที่มีต่อร่างกายนั้น ทั้งในตอนตื่นและหลับ การแยกออกของวิญญาณจากร่างกาย กับความตายนั้นมีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง อัลกุรอาน กล่าวว่า “อัลลอฮฺ จะทรงปลิดชีวิตเมื่อถึงความตายและผู้ที่ยังไม่ตายโดยสมบูรณ์ขณะนอนหลับ ดังนั้น พระองค์จะปลิดชีวิตผู้ที่พระองค์กำหนดความตายแก่เขาแล้ว และจะทรงยืดชีวิตหนึ่งไปถึงวาระที่กำหนดไว้ แน่นอน ในการนี้ย่อมเป็นสัญญาสำหรับหมู่ชนผู้ใคร่ครวญ”[3]

อัลกุรอาน กล่าวถึงความตายโดยใช้คำว่า “ตะวัฟฟา” หมายถึงการได้รับหลังจากนั้นได้เอาไป อีกนัยหนึ่ง วิญญาณที่อัลลอฮฺ ทรงมอบแก่มนุษย์พระองค์ได้นำกลับคืนไปอีกครั้ง ซึ่งการปลิดดวงวิญญาณนั้นแบ่งออกเป็น 2 ช่วงด้วยกันกล่าวคือ 1.ขั้นตอนที่อ่อนแอคือขณะนอนหลับ 2. ขั้นตอนที่แข็งแรงขณะเสียชีวิต

ไม่ว่าอย่างไรก็ตามทั้งสองขั้นตอนนั้นต้องใคร่ครวญเป็นพิเศษ วิญญาณที่ได้แยกออกจากร่างขณะนอนหลับ เป็นวิญญาณเช่นไร และร่องรอยของวิญญาณนั้นเป็นอย่างไร? ช่วงเวลาที่ดวงวิญญาณถูกปลิด มีสัญลักษณ์อย่างไรบ้าง เนื่องจากขณะนอนหลับนั้นมีการเปลี่ยนแปลงในตัวบุคคลไม่มากเท่าใด เพียงแค่ต่อมที่รับรู้และร่างกายของเขาจะอ่อนแอลงเท่านั้น[4]

ดังที่นักวิทยาศาสตร์และนักสรีระวิทยา ขณะที่ค้นคว้าเกี่ยวกับการนอนหลับและความฝัน ก็ได้พบว่ามนุษย์ขณะนอนหลับนั้นใกล้เคียงกับความตายมากที่สุด ซึ่งการวิจัยของพวกเขาเป็นเพียงด้านร่างกาย และการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายเท่านั้น มิใช่มิติของวิญญาณ พวกเขาได้แบ่งการนอนหลับออกเป็น 2 ช่วง ภายใต้หัวข้อว่า การนอนหลับไม่สมบูรณ์ (REM (กับการนอนหลับธรรมดา (Non REM)

ก) การนอนหลับสบาย เรียกว่า “คลื่นสั้น” (Non REM) ในช่วงนี้ สมองของคนเราจะได้รับการผักผ่อน คลื่นสมอง จะสงบและผ่อนคลาย ความเหน็ดเหนื่อยเมื้อยล้าจากการทำงานในตอนกลางจะค่อยๆ หายไปจากร่างกาย การนอนหลับสบายนี้เริ่มต้นตั้งแต่เราได้เข้าไปสู่ที่นอนแบบยาวนาน แต่ค่อยๆ เปลี่ยนไปซึ่ง 90 นาทีต่อมาความนานนั้นจะค่อยๆ ลดลงตามลำดับ

ข) การนอนหลับไม่สมบูรณ์หลับไม่สนิท หรือ(REM (การนอนหลับประเภทนี้จะเกิดการต่อต้านกันในร่างกาย เนื่องสมองคลื่นสมองจะเต้นเร็วเหมือนทำงานอยู่เสมอ มีความกังวลคล้ายคนตื่นนอน ดวงตาทั้งสองปิดอยู่ใต้เปลือกตา เมื่อตื่นขึ้นจะกรอกสายตาไปทางซ้ายและขวาขึ้นบนและลงล่าง แต่ร่างกายไม่ขยับเขยื้อนแต่อย่างใด ซึ่งในความเป็นจริงอวัยวะและกล้ามเนื้อร่างกายเหมือนเป็นอัมพาต เมื่อเราฝันไป ขณะนอนหลับไม่สนิทในช่วงที่สองในระยะ 90 นาที

การนอนหลับธรรมดาหรือหลับสนิทนั้นมีสี่ระดับด้วยกัน ในช่วงนั้นการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว สายตาจะมองไม่เห็น ซึ่งถ้าจะกล่าวโดยรวมแล้วการนอนหลับของคนเราแบ่งออกเป็น 5 ระดับด้วยกัน ซึ่งแต่ละระดับจะมีความแตกต่างกันออกไป ซึ่งคลื่นสมองในแต่ระดับเหล่านี้ ก็จะมีความแตกต่างกันออกไปด้วย ซึ่งแน่นอนว่า ในสองระดับนี้จะไม่มีความสม่ำเสมอในช่วงนอนหลับ[5]

ส่วนการนอนหลับแบบ REM เหมือนคนเป็นอัมพาต เซลล์ประสาทจะเคลื่อนไหว สมองและไขสันหลังจะถูกยับยั้ง ในช่วงเวลานั้นเองสมองของเขาจะทำงานหนัก เลือดและออกซิเจนจะถูกสูบฉีดใช้มาก[6]

ทำนองเดียวกัน บุคคลที่นอนหลับอยู่ในระดับของ การนอนหลับไม่สนิทหรือไม่สมบูรณ์ อวัยวะภายในส่วนมาก เช่น หัวใจ และระบบทางเดินหายใจ การสูบฉีดเลือด การสร้าง การหลั่ง จะมีเพิ่มมากขึ้นเล็กน้อย ฮอร์โมนในร่างการก็จะมีการสูบฉีดมากด้วย (มีความเป็นไปได้ที่จะมีปัญหากับหัวใจ) กระเพาะอาหาร และลำไส้ จะทำงานมากขึ้นด้วย[7]

การนอนหลับไม่สนิทหรือ REM นั้นจะได้เห็นสภาพแปลกๆ เช่น หัวใจจะเต้นไม่เป็นระบบในช่วงนี้ และอาจก่อให้เกิดโรคหัวใจได้ อาจเป็นไปได้ที่ว่าการก่อให้เกิดการโจมตีที่หัวใจ เกณฑ์ความตายในเวลากลางคืน ขณะนอนหลับนั้นมีความเป็นไปได้สูงกว่าตอนกลางวัน[8]

เป็นเพราะเหตุใดที่บางคนมีความทรงจำกับความฝัน

ผลจากการวิจัยพบว่าการทดลองต่างๆ หลังจากตื่นนอน ในระดับของการนอนหลับไม่สนิท เขาจะมีความทรงจำเรื่องความฝัน แต่ในระดับของการนอนหลับสนิทจะไม่มีความทรงจำด้านนี้เลย[9]

บางคนกล่าวว่า มนุษย์บางคนไม่เคยนอนหลับฝันเลย แน่นอนคำพูดเหลานี้ไม่ถูกต้อง แต่สิ่งที่ได้เกิดขึ้นคอ ส่วนมากแล้วจะลืมความฝันของตนเอง ถ้าหากบุคคลหนึ่งขณะนอนหลับ หรือไม่ได้ตื่นหลังจากนั้นโดยพลัน เขาจะไม่นอนหลับฝัน ซึ่งผู้คนส่วนใหญ่คิดว่านานหลายปีแล้วที่เขาไม่เคยนอนหลับฝันเลย เมื่อเขาไม่เคยนอนหลับไม่สนิท REM และตื่นขึ้นในช่วงนั้น จะพบว่าเรื่องราวจากความฝันต่างๆ เหมือนเป็นความจริงและสร้างความตื่นเต้นแก่เขาเป็นอย่างยิ่ง[10]

เราจะได้ประสบและรู้ถึงสาระของการนอนฝัน ขณะนอนหลับ (หรือหลังจากนั้นเล็กน้อย) เขาได้ตื่นขึ้น ถ้าเขารู้สึกตัวในช่วงนั้น และพยายามทบทวนความฝันของตนเขาก็จะสามารถจดจำความฝันได้บางส่วน และมันจะหายไปอย่างรวดเร็ว เป็นไปได้ที่ว่าเราได้นอนหลับฝันไป แต่เราไม่อาจจดจำสาระของความฝันไว้ได้นั่นเอง[11]

อย่างไรก็ตามโดยทั่วไปแล้วสามารถกล่าวได้ว่า “การนอนหลับคือ การเบี่ยงเบนวิญญาณไปจากร่างกาย ซึ่งการเบี่ยงเบนนี้บางครั้งหนักหน่วง บางครั้งก็แผ่วเบา และบางครั้งก็นาน และบางครั้งก็สั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงเวลาสลบคือ ช่วงเวลาที่วิญญาณเบี่ยงเบนไปจากร่างกาย แม้ว่าช่วงเวลานั้นจะขึ้นอยู่กับประเภทของยาสลบ และการผ่าตัดซึ่งมีความแตกต่างกัน แต่สิ่งสำคัญคือยาสลบซึ่งมีผลอย่างรุนแรงกับร่างกาย ทำให้ปฏิสัมพันธ์ของจิตวิญญาณแยกออกจากร่างกาย แม้ว่าจะมีปฏิสัมพันธ์อยู่บ้างแต่ก็น้อยและอ่อนแอมาก ซึ่งทำให้ร่างกายมีการดำเนินกิจกรรมอ่อนแอ ประหนึ่งว่าจิตวิญญาณปราศจากอุปกรณ์และร่างกาย ด้วยเหตุนี้ จนถึงช่วงเวลาหนึ่งร่างกายไร้ความสามารถอย่างสมบูรณ์ ในการเป็นเครื่องของจิตวิญญาณ ในทางตรงกันข้ามจิตวิญญาณเองก็มีปฏิสัมพันธ์กับร่างกายแบบอ่อนแอที่สุด บนพื้นฐานดังกล่าวนี้ เหตุผลของการเบี่ยงเบนจิตวิญญาณไปจากร่างกาย หรือการมีปฏิสัมพันธ์อ่อนแอระหว่างจิตวิญญาณกับร่างกาย ในขณะสลบ แม้แต่ได้มีการดำเนินการหนัก เช่น ผ่าตัดร่างกาย แต่เนื่องจากจิตวิญญาณยังมิได้ควบคุมร่างกาย ทำให้เขาไม่ต่นจากสลบ[12]

ผลจากที่กล่าวมา :

1.ปฏิสัมพันธ์ระหว่างวิญญาณกับร่างกาย มิได้มีเพียงช่วงนอนหลับ ทว่าในช่วงตื่นก็ไม่เป็นที่ชัดเจนสำหรับเรา

2.มนุษย์สามารถจดจำความฝันในช่วงการนอนหลับไม่สนิทเท่านั้น เนื่องจากการนอนหลับสนิทจะมีความทรงจำน้อยมาก ดังนั้น การจดจำความฝันในช่วงที่นอนหลับไม่สนิท และตื่นขึ้นโดยฉับพลับหลังจากฝัน

3.สาเหตุที่มนุษย์ ไม่มีความทรงจำความฝันในช่วงของการนอนหลับสนิทได้ เนื่องจากจิตวิญญาณไปเบี่ยงเบนไปจากร่างกายมากกว่าการนอนหลับไม่สนิท ด้วยเหตุนี้เอง ขณะสลบหรือหมดสติ จิตวิญญาณจะเบี่ยงเบนไปจากร่างกายมาก และเมื่อช่วงเวลาผ่านไปนานพอสมควร จิตวิญญาณจะค่อยๆ กลับมาสู่ร่างอีกครั้ง ด้วยเหตุนี้ เขาจึงไม่อาจจดจำความฝันได้

 


[1] มาะการิมชีรอซียฺ, บทเรียนหลักศรัทธาสำหรับเยาวชน หน้า 5

[2] บทอัสรออฺ 85, «وَ يَسْئَلُونَكَ عَنِ الرُّوحِ قُلِ الرُّوحُ مِنْ أَمْرِ رَبِّي وَ ما أُوتيتُمْ مِنَ الْعِلْمِ إِلاَّ قَليلا»

[3] บทซุมัร 42

[4] มิซบาฮฺ ยัซดี มุฮัมมัดตะกี พีชเนยอซฮอเยะ มุดีรียัต อิสลามี หน้า 71, 72

[5] โคดา พะนอฮียฺ มุฮัมมัด กะรีม จิตวิทยาทางสรีระวิทยา หน้า 242.

[6] คาร์ลสันนีล จิตวิทยาทางสรีระวิทยา หน้า 401.

[7] โคดา พะนอฮียฺ มุฮัมมัด กะรีม จิตวิทยาทางสรีระวิทยา หน้า 247

[8] โรเบิร์ต จิตวิทยาทางสรีระวิทยา หน้า 325

[9] โคดา พะนอฮียฺ มุฮัมมัด กะรีม จิตวิทยาทางสรีระวิทยา หน้า 253

[10] คาร์ลสันนีล จิตวิทยาทางสรีระวิทยา หน้า 403

[11] ริต้าแอล และกลุ่มนักเขียน จิตวิทยาฮายล์การ์ด หน้า 372

[12] ซีดี วิชาการพะรีชอน

 

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • ศาสดาท่านหนึ่งมีนามว่า อิสราเอล ใช่หรือไม่? และสิ่งที่ได้ทำให้ฮะรอมสำหรับตนเองคืออะไร?
    6378 تاريخ بزرگان 2555/05/17
    อิสราเอลคือชื่อของท่านยะอฺกูบ (อ.) ศาสดาท่านหนึ่งแห่งพระเจ้า และเนื่องจากความจำเป็นบางอย่างท่านไม่รับประทานเนื้ออูฐและนม โดยถือเป็นฮะรอมสำหรับตนเอง อัลกุรอานโองการที่ 93 บทอาลิอิมรอน อัลลอฮฺ ตรัสว่า "كُلُّ الطَّعامِ كانَ حِلاًّ لِبَنِي إِسْرائِيلَ إِلاَّ ما حَرَّمَ إِسْرائِيلُ عَلى‏ نَفْسِهِ مِنْ قَبْلِ أَنْ تُنَزَّلَ التَّوْراةُ قُلْ فَأْتُوا بِالتَّوْراةِ فَاتْلُوها إِنْ كُنْتُمْ صادِقِينَ"؛ “อาหารทุกชนิดนั้นเป็นที่อนุมัติแก่วงศ์วานอิสรออีลมาแล้ว นอกจากที่อิสรออีล [ยะอฺกูบ] ได้ทำให้เป็นที่ต้องห้ามแก่ตัวเอง ก่อนที่เตารอตจะถูกประทานลงมาเท่านั้น จงกล่าวเถิดว่า ...
  • เพราะเหตุใดฉันต้องเป็นมุสลิมด้วย? โปรดตอบคำถามของฉันด้วยเหตุผลของวิทยปัญญา
    7171 เทววิทยาใหม่ 2554/10/22
    แม้ว่าความสัตย์จริงของศาสนาต่างๆในปัจจุบันบนโลกนี้ยังคงปรากฏให้เห็นอยู่บ้างก็ตาม, แต่รูปธรรมโดยสมบูรณ์และความจริงแท้แห่งความเป็นเอกะของพระเจ้ามีเฉพาะในศาสนาอิสลามเท่านั้นหรืออีกนัยหนึ่งท่านสามารถพบสิ่งนี้เฉพาะในคำสอนของอิสลาม, เหตุผลหลักสำหรับการพิสูจน์คำกล่าวอ้างข้างต้น,คือการไม่มีหลักฐานที่เชื่อถือได้, ประกอบกับการสังคายนาและภาพความขัดแย้งกันทางสติปัญญาที่ปรากฏในคำสอนของศาสนาอื่น
  • ระหว่างการกระทำกับผลบุญที่พระองค์จะทรงตอบแทนนั้น มีความสอดคล้องกันหรือไม่?
    7026 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/10/18
    การสัญญาว่าจะมอบผลบุญให้อย่างที่กล่าวมามิได้ขัดต่อความยุติธรรมหรือหลักดุลยภาพระหว่างการกระทำกับผลบุญแต่อย่างใดเพราะหากจะนิยามความยุติธรรมว่าคือ"การวางทุกสิ่งในสถานะอันเหมาะสม"ซึ่งในที่นี้ก็คือการวางผลบุญบนการกระทำที่เหมาะสมก็ต้องเรียนว่ามีความเหมาะสมเป็นอย่างดีเนื่องจาก ก. จุดประสงค์ของฮะดีษที่อธิบายผลบุญเหล่านี้คือการเน้นย้ำถึงความสำคัญของอิบาดะฮ์ที่กล่าวถึงมิได้ต้องการจะดึงฮัจย์หรือญิฮาดลงต่ำแต่อย่างใดซ้ำยังถือว่าฮะดีษประเภทนี้กำลังยกย่องการทำฮัจย์หรือญิฮาดทางอ้อมได้อีกด้วยเนื่องจากยกให้เป็นมาตรวัดอิบาดะฮ์ประเภทอื่นๆ
  • มนุษย์สามารถเข้าถึงเรื่องจิตวิญญาณโดยปราศจากศาสนาได้หรือไม่?
    10535 จริยธรรมทฤษฎี 2555/09/08
    รูปภาพของจิตวิญญาณสมัยที่โจทย์ขานกันอยู่ในปัจจุบัน มีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงกับภาพทางจิตวิญญาณ ในความคิดของเราในฐานะมุสลิมหนึ่ง เนื่องจากความก้าวหน้าทางจิตวิญญาณของมุสลิมนั้น มีความสัมพันธ์อย่างลึกซึ้งกับคำสอนศาสนา จิตวิญญาณทางศาสนา, วางอยู่บนพื้นฐานของการปฏิบัติตามตำแนะนำสั่งสอนของศาสนา จึงจะก่อให้เกิดสถานดังกล่าว คำแนะนำและความรู้เกี่ยวกับความจริงที่พ้นญาณวิสัย เหนือโลกวัตถุและความจริงที่วางอยู่บนพื้นฐานดังกล่าว จะพบว่ามนุษย์ในระบบของการสร้างสรรค์ มีสถานภาพพิเศษ กำลังดำเนินชีวิตไปในหนทางพิเศษ อันเป็นหนทางที่ต้องอาศัยพฤติกรรมอันเฉพาะบางอย่าง อีกนัยหนึ่ง จิตวิญญาณทางศาสนา เป็นความรู้สึกหนึ่งที่มนุษย์มีต่อข้อเท็จจริง ซึ่งจะพบว่าความรู้สึกนั้นตั้งอยู่เหนือโลกของวัตถุ ขณะเดียวกันก็วางอยู่บนข้อตกลงและเงื่อนไขอันเฉพาะ ถ้าหากพิจารณาสติปัญญาที่มีขอบเขตของจำกัด ในการรู้จักมิติต่างๆ ของการมีอยู่ของมนุษย์ การรับรู้ถึงความต้องการที่แท้จริงของเขา และในที่สุดการเลือกวิธีการต่างๆ ว่าจะดำเนินไปอย่างไร เพื่อไปให้ถึงสิ่งที่ธรรมชาติของมนุษย์ถวิลหา ดังนั้น ตรงนี้จึงไม่อาจพึงความรู้ในเชิงของเหตุผล หรือสติปัญญาได้เพียงอย่างเดียว ทว่าต้องพึ่งคำแนะนำและผู้ชี้นำทาง ซึ่งการทำความเข้าใจ และการครอบคลุมของสิ่งนั้นต้องเหนือกว่า สติปัญญา และสิ่งนั้นก็คือ วะฮฺยู ของพระเจ้า ซึ่งได้มาถึงสังคมมนุษย์โดยผ่านขบวนการของบรรดาเราะซูล ซึ่งได้แนะนำมนุษย์ให้เดินไปสู่สัจธรรมความจริงสูงสุด อัลลอฮฺ (ซบ.) ได้ประทานเราะซูลลงมาคนแล้วคนเล่า ทรงทำให้ศาสนาของพระองค์สมบูรณ์ มนุษย์มีหน้าที่ตรวจสอบโดยละเอียด ...
  • ในอายะฮ์ที่ได้กล่าวว่า "فَمَنِ اعْتَدَى بَعْدَ ذَلِکَ فَلَهُ عَذَابٌ أَلِیمٌ"، คำว่า “ฟะมะนิอ์ตะดา” หมายถึงอะไร และสาเหตุใดจึงมีการเตือนว่าจะลงโทษ?
    8737 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/18
    ข้อบังคับประการหนึ่งในพิธีฮัจญ์และอุมเราะฮ์ก็คือห้ามล่าสัตว์ในขณะที่ครองอิฮ์รอมซึ่งอายะฮ์ที่ 94-96 ซูเราะฮ์อัลมาอิดะฮ์ก็ได้กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้กล่าวคือห้ามมิให้ล่าสัตว์ทะเลทรายและสัตว์น้ำในขณะที่ยังครองอิฮ์รอมก่อนที่จะกล่าวถึงความหมายของคำว่า “ตะอัดดี” (การรุกราน) จำเป็นที่จะต้องอธิบายว่าเหตุผลหนึ่งของการห้ามล่าสัตว์ในขณะครองอิฮ์รอมก็คือการที่พิธีฮัจญ์และอุมเราะฮ์เป็นอิบาดะฮ์ที่จะแยกมนุษย์ออกจากโลกิยะและจะนำพามนุษย์สู่โลกที่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณอันสูงส่งส่วนสิ่งที่เป็นวัตถุ, การรบราฆ่าฟัน, ความอาฆาต, ความต้องการทางเพศ, ความสุขทางด้านวัตถุล้วนเป็นสิ่งที่พึงละเว้นในพิธีฮัจญ์และอุมเราะฮ์ซึ่งถือเป็นวิธีฝึกฝนที่ได้รับการอนุมัติจากพระองค์ฉะนั้นการห้ามล่าสัตว์ในขณะครองอิฮ์รอมก็อาจจะเนื่องด้วยสาเหตุเหล่านี้[1]ศาสนบัญญัติข้อนี้ได้รับการกำหนดไว้อย่างละเอียดโดยมิได้เจาะจงห้ามล่าสัตว์เพียงอย่างเดียวแต่รวมไปถึงการช่วยชี้เป้าหรือการหาเหยื่อให้ผู้ล่าก็เป็นสิ่งต้องห้ามด้วยเช่นกันดังที่ในฮะดีษได้กล่าวไว้ว่าอิมามศอดิก (อ.) กล่าวกับสหายของท่านว่า “จงอย่าถือว่าการล่าสัตว์ในขณะที่ยังครองอิฮ์รอมเป็นสิ่งอนุมัติไม่ว่าจะอยู่ในเขตฮะร็อมหรือนอกเขตฮะร็อมก็ตามและถึงแม้ว่าพวกท่านจะไม่ได้ครองอิฮ์รอมก็ไม่สามารถล่าสัตว์ได้และจงอย่าชี้เป้าแก่บุคคลที่กำลังครองอิฮ์รอมหรือผู้ที่มิได้ครองอิฮ์รอมเพื่อให้เขาล่าสัตว์และจงอย่าสนับสนุน (และสั่ง) แต่อย่างใดเพื่อที่จะได้ทำให้การล่าสัตว์นั้นๆเป็นฮะลาลเนื่องจากจะทำให้ผู้ละเมิดโดยตั้งใจต้องจ่ายกัฟฟาเราะฮ์”[2]ดังนั้น “มะนิอ์ตะดา”ในที่นี้หมายถึงบุคลลใดก็ตามที่ได้ฝ่าฝืนกฏดังกล่าว (การห้ามล่าสัตว์) ซึ่งเป็นคำสั่งของอัลลอฮ์ (ซ.บ.) เขาจะต้องทนทุกข์ทรมานกับการลงโทษที่หนักหน่วงดังนั้นสาเหตุของการลงโทษคือการฝ่าฝืนกฏและคำสั่งของอัลลอฮ์ (ซ.บ.) นั่นเองและการลงโทษดังกล่าวหมายถึงการลงโทษด้วยไฟนรกในโลกหน้า “หรืออาจจะหมายถึงการประสบอุปสรรคในโลกนี้ด้วยก็เป็นได้”[3] ดังนั้นการดื้อแพ่งกระทำบาปครั้งแล้วครั้งเล่าจะนำมาซึ่งภยันตรายและการลงทัณฑ์อันเจ็บปวดคำถามดังกล่าวไม่มีคำตอบเชิงอธิบาย
  • เพราะอะไรต้องครองอิฮฺรอมในพิธีฮัจญฺด้วย?
    8390 ปรัชญาของศาสนา 2555/04/07
    ฮัจญฺ เป็นหนึ่งในพิธีกรรมที่มากไปด้วยรหัสยะและเครื่องหมายต่างๆ มากมาย ซึ่งมนุษย์ล้วนแต่นำพามนุษย์ไปสู่การคิดใคร่ครวญ และธรรมชาติแห่งตัวตน เป็นการดีอย่างยิ่งถ้าหากเราจะคิดใคร่ครวญถึงขั้นตอนการประกอบพิธีฮัจญฺ ชนิดก้าวต่อก้าวทั้งภายนอกและภายในของขั้นตอนการกระทำเหล่านั้น, เนื่องจากภายนอกของพิธีกรรมทีบทบัญญัติอันเฉพาะเจาะจง จำเป็นที่ผู้ปฏิบัติทุกท่านต้องใส่ใจเป็นพิเศษ แต่ถ้ามองเลยไปถึงด้านในของพิธีกรรมฮัจญฺ ถึงปรัชญาของการกระทำเหล่านี้ก็จะพบว่ามีรหัสยะและความเร้นลับต่างๆ อยู่มากมายเช่นกัน การสวมชุดอิฮฺรอม, เป็นหนึ่งในขั้นตอนการประกอบพิธีฮัจญฺ ซึ่งพิธีฮัจญฺนั้นจะเริ่มต้นด้วยการครองชุดอิฮฺรอม, ชุดที่มีความเฉพาะเจาะจงพิเศษสำหรับการปฏิบัติพิธีฮัจญฺ, ถ้าพิจารณาจากภายนอกสามารถได้บทสรุปเช่นนี้ว่า อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงมีบัญชาให้ปวงบ่าวปฏิบัติวาญิบที่ยิ่งใหญ่ประการหนึ่งของพระองค์, ซึ่งพระองค์ทรงกำหนดการสวมชุดอิฮฺรอม ให้เป็นข้อบังคับ (วาญิบ) และชุดนี้ก็จะต้องมีเงื่อนไขพิเศษอันเฉพาะตัวด้วย เช่น ต้องสะอาด, ต้องไม่ตัดเย็บ และ...[1] ความเร้นลับของการสวมชุดอิฮฺรอม 1.ชุดอิฮฺรอม, คือการทดสอบหนึ่งในภราดรภาพและความเสมอภาค เป็นตัวเตือนสำหรับความตายที่รออยู่เบื้องหน้า, เป็นเครื่องหมายหนึ่งที่บ่งบอกให้เห็นว่า มนุษย์หลุดพ้นพันธนาการแห่งการทดสอบ และการผูกพันอยู่กับโลกแล้ว, เขากำลังอยู่ ณ เบื้องพระพักตร์ของพระเจ้าผู้ทรงยิ่งใหญ่และเกรียงไกร ...
  • ความสัมพันธ์ระหว่างเครื่องยังชีพและปัจจัยได้ถูกกำหนดไว้แล้ว ฉะนั้น ความพยายามของมนุษย์คืออะไร?
    20908 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
     เครื่องยังชีพกับปัจจัยเป็น 2 ประเด็นคำว่าเครื่องยังชีพที่มนุษย์ต่างขวนขวายไปสู่กับปัจจัยที่มาสู่มนุษย์เองในรายงานกล่าวถึงปัจจัยประเภทมาหาเราเองว่าริซกีฏอลิบ
  • มนุษย์จะเป็นที่รักยิ่งของอัลลอฮฺได้อย่างไร ?
    8786 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/03/08
     การมิตรกับพระเจ้าสามารถจินตนาการได้ 2 ลักษณะดังต่อไปนี้ (1) ความรักของปวงบ่าวที่ต่อพระเจ้าและการที่พระองค์เป็นที่รักยิ่งของปวงบ่าว (2) ความรักของพระเจ้าที่มีต่อปวงบ่าวและการที่บ่าวเป็นที่รักยิ่งของพระองค์แน่นอนคำถามมักเกิดขึ้นกับประเด็นที่สองเสมอแน่นอนสรรพสิ่งทั้งหลายบนโลกนี้ล้วนเป็นสิ่งถูกสร้างของพระองค์ทั้งสิ้นหรือเป็นผลที่เกิดจากงานสร้างของพระองค์ทุกสิ่งล้วนเป็นที่รักสำหรับพระองค์
  • เพราะสาเหตุใดส่วนแบ่งมรดกของสตรีจึงได้เพียงครึ่งหนึ่งของชาย?
    6071 สิทธิและกฎหมาย 2554/04/21
    จากการศึกษาเกี่ยวกับหลักนิติศาสตร์อิสลามและประวัติความเป็นมาของค่าปรับจะเห็นว่าเป็นประเด็นที่มีความจำกัดพิเศษเกี่ยวกับเรื่องของเศรษฐศาสตร์โดยเฉพาะวัตถุประสงค์ได้ถูกกำหนดขึ้นเพื่อการชดเชยสิ่งที่เสียหายไปอีกด้านหนึ่งในสังคมซึ่งอิสลามได้พยายามที่จะเติมเต็มความสมบูรณ์หรือพยายามสร้างสังคมที่มีความสมบูรณ์จึงได้กำหนดกิจกรรมหลังของสังคมด้านเศรษฐศาสตร์ให้อยู่ในความรับผิดชอบของสังคมกล่าวคืออิสลามได้มองเรื่องเศรษฐศาสตร์ภาพรวมที่อยู่ในความรับผิดชอบของฝ่ายชายทำให้ได้รับผลอย่างหนึ่งว่าผู้ชายมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบบางหน้าที่ซึ่งฝ่ายหญิงได้รับการละเว้นเอาไว้ขณะที่หน้าที่รับผิดชอบที่สำคัญที่สุดสำหรับสตรีคนหนึ่งคือการจัดระบบและระเบียบเรื่องค่าใช้จ่ายและการเป็นอยู่ของครอบครัวถ้าพิจารณาอย่างรอบคอบในบทความนี้ท่านผู้อ่านสมารถเข้าใจเหตุผลได้อย่างง่ายดายว่า
  • ขนแมวมีกฎว่าอย่างไร?
    11318 สิทธิและกฎหมาย 2554/06/22
    ถ้าหากวัตถุประสงค์ของคำถามถามว่าขนแมวในทัศนะของฟิกฮฺมีกฎว่าอย่างไร? ต้องกล่าวว่าในหมู่สัตว์ทั้งหลายเฉพาะสุนัขและสุกรที่ใช้ชีวิตบนบกนะยิส[1]ด้วยเหตุนี้แมวที่มีชีวิตและขนของมันถือว่าสะอาดแต่อุจจาระและปัสสาวะแมว[2]นะยิสซึ่งกฎข้อนี้มิได้จำกัดเฉพาะแมวเท่านั้นทว่าอุจจาระและปัสสาวะของสัตว์ทุกประเภทที่เนื้อฮะรอม (ห้ามบริโภค) และมีเลือดไหลพุ่งขณะเชือดถือว่านะยิส

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    59798 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    57153 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    41949 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    38845 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    38652 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    33787 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    27747 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    27602 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    27420 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    25467 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...