การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
34010
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2554/06/12
 
รหัสในเว็บไซต์ fa851 รหัสสำเนา 14463
คำถามอย่างย่อ
ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
คำถาม
ผลจากการศึกษาค้นคว้าทำให้ผมเชื่อว่า ญินมีอยู่ก่อนการสร้างนบีอาดัม และเคยอ่านพบว่า ทุกกลุ่มชนย่อมมีศาสนทูตของตนเอง แต่ในเมื่อศาสนทูตทุกท่านล้วนเป็นมนุษย์ คำถามคือ จะเป็นไปได้อย่างไรที่กลุ่มญินจะดำเนินชีวิตโดยปราศจากศาสนทูต? ขอความคุ้มครองจากพระองค์หากประโยคดังกล่าวจะนำพาสู่อคติที่ว่าอัลลอฮ์ไม่ทรงเมตตาและไม่ยุติธรรมต่อฝ่ายญิน กรุณาไขข้อข้องใจของผมด้วยครับ.
คำตอบโดยสังเขป

อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญิน รวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้
ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัด แต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:
1.
เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เรา แน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนา ด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้
2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เรา ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว ก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อน และการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
3. โองการที่ว่า
"یا مَعْشَرَ الْجِنِّ وَ الْإِنْسِ أَ لَمْ یَأْتِکُمْ رُسُلٌ مِنْکُمْ یَقُصُّونَ عَلَیْکُمْ آیاتی‏ وَ یُنْذِرُونَکُمْ لِقاءَ یَوْمِکُم‏ هذا...."
โอ้เหล่ามนุษย์และญินเอ๋ย ศาสนทูตในหมู่สูเจ้ามิได้มาเพื่อเล่าขานสัญลักษณ์ของข้าและเตือนภัยให้ทราบว่าสูเจ้าจะพบกับวันนี้ดอกหรือ?” เนื้อหาโองการนี้ย่อมครอบคลุมยุคก่อนการสร้างนบีอาดัมด้วย.
4. รายงานว่า ชายคนหนึ่งถามอิมามอลีว่าอัลลอฮ์เคยแต่งตั้งศาสนทูตในหมู่ญินหรือไม่?” ท่านตอบว่าแน่นอน ศาสนทูตญินที่ชื่อยูสุฟเคยเรียกร้องเชิญชวนเหล่าญินสู่อัลลอฮ์ แต่แล้วพวกเขาได้รวมหัวกันสังหารเสีย

คำตอบเชิงรายละเอียด

อัลกุรอานได้ยืนยันการมีอยู่ของญิน โดยอธิบายคุณลักษณะบางประการดังนี้:
1.
เป็นสิ่งมีชีวิตที่สร้างจากไฟ ต่างจากมนุษย์ที่สร้างจากดิน.[1]
2. มีวิจารณญาณและมีความรู้ความเข้าใจ สามารถแยกแยะผิดถูกได้.[2]
3. มีหน้าที่ต้องรับผิดชอบ.[3]
4. จะต้องเข้าสู่กระบวนตัดสินพิพากษาในปรโลก.[4]
5. ในหมู่ญินมีทั้งผู้ศรัทธาและผู้ตั้งภาคี,ผู้ปฏิเสธ.[5]
6. ญินสามารถเจาะทะลวงชั้นฟ้าเพื่อดักฟังข่าวสาร แต่ถูกสกัดกั้นหลังจากท่านนบีมุฮัมมัดดำรงตำแหน่งศาสนทูต.[6]
7. ญินบางกลุ่มติดต่อกับมนุษย์เพื่อล่อลวง โดยแลกกับข่าวสารเร้นลับที่ตนมี[7]
8. ญินบางตนมีพลังมหาศาล.[8]
9. ญินสามารถทำงานอันเป็นที่ต้องการของมนุษย์ได้[9]
10. พระองค์สร้างญินบนพื้นพิภพก่อนจะสร้างมนุษย์[10]
11.
 ฐานันดรของมนุษย์เหนือกว่าญิน ด้วยเหตุนี้เองที่อัลลอฮ์บัญชาแก่อิบลีสให้ศิโรราบต่อมนุษย์ (อิบลีสคือหนึ่งในผู้ทรงอิทธิพลในหมู่ญิน)[11]
ส่วนข้อซักถามที่ว่าเหล่าญินมีศาสนทูตหรือไม่นั้น ดังที่เกริ่นข้างต้น เราคงต้องจำแนกยุคสมัยของญินออกเป็นสองยุค หนึ่ง ยุคก่อนการสร้างมนุษย์ และสอง ยุคหลังการสร้างมนุษย์.
ในยุคหลังการสร้างมนุษย์นั้น หากพิจารณาโองการกุรอานจะพบว่าญินมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามศาสนทูตที่เป็นมนุษย์ จากจุดนี้ทำให้ญินบางกลุ่มศรัทธาต่อบรรดาศาสนทูตของอัลลอฮ์ แต่บางส่วนก็ปฏิเสธและกลายเป็นกาฟิร[12]
ประเด็นของเราอยู่ที่ยุคก่อนการสร้างมนุษย์ กล่าวคือ ในยุคที่อัลลอฮ์ยังไม่สร้างมนุษย์แต่ทว่าสร้างญินแล้วนั้น พระองค์ทรงแต่งตั้งให้มีผู้สั่งสอนชี้นำเหล่าญินหรือไม่? หากคำตอบคือไช่ คำถามต่อมาก็คือ แล้วศาสนทูตของญินเป็นญินด้วยหรือไม่?
คำตอบคือ สามารถยืนยันได้ว่าก่อนการสร้างนบีอาดัมนั้น ศาสนทูตของญินล้วนเป็นญินด้วยกันทั้งสิ้น ทั้งนี้ก็เพราะ:
1.
กุรอานเผยถึงเหตุผลของการสร้างมนุษย์และญินว่าเป็นไปเพื่อการภักดีแน่แท้ข้าได้สร้างญินและมนุษย์เพื่อภักดีต่อข้า[13]มาตรฐานที่แท้จริงของการภักดีต่ออัลลอฮ์ล้วนใช้หน้าที่ทางศาสนาเป็นเครื่องชี้วัด ด้วยเหตุนี้เองที่เราเชื่อว่าเหล่าญินก็มีหน้าที่ทางศาสนาเช่นกัน[14] โดยมีโองการกุรอานยืนยันถึงข้อเท็จจริงดังกล่าว[15]
เมื่อพิจารณาเพิ่มเติมจะพบว่า เป็นไปไม่ได้ที่อัลลอฮ์ผู้เปี่ยมด้วยวิทยปัญญาจะกำหนดหน้าที่ทางศาสนาให้เหล่าญินปฏิบัติโดยไม่ทรงแต่งตั้งผู้ที่จะประกาศหน้าที่ศาสนาในหมู่ญิน สรุปคือญินจะมีหน้าที่ก็ต่อเมื่อมีศาสนทูต และหากไม่มีศาสนทูต เหล่าญินก็ย่อมไม่มีภาระหน้าที่ใดๆต้องรับผิดชอบ.
2. อัลลอฮ์เป็นผู้ทรงธรรมและเปี่ยมด้วยวิทยปัญญา และผู้มีปัญญาย่อมไม่แสดงพฤติกรรมที่น่ารังเกียจอย่างแน่นอน ดังที่ทราบกัน อัลลอฮ์เคยตรัสว่าจะทรงลงโทษญินและมนุษย์ที่ละเลยหน้าที่และข้าจะเติมนรกให้เต็มไปด้วยมนุษย์และญิน(ผู้ประพฤติชั่ว)[16]จะเป็นไปได้อย่างไรที่พระองค์จะทรงลงโทษทั้งๆที่มิได้แต่งตั้งศาสนทูตเพื่อชี้แจงศาสนาให้หมดข้อสงสัยเสียก่อน แน่นอนว่ากรณีดังกล่าวไม่อาจเกิดขึ้นได้ เนื่องจากการลงโทษฐานทำผิดวินัยทั้งที่มิได้แจ้งระเบียบวินัยให้ทราบเสียก่อนนั้น ถือเป็นการกระทำที่น่ารังเกียจ และการกระทำที่น่ารังเกียจจะไม่เกิดขึ้นในวัตรปฏิบัติของผู้มีปัญญาอย่างแน่นอน กลุ่มญินเองก็อยู่ในหลักเกณฑ์เดียวกันนี้ อัลกุรอานกล่าวว่าเราจะไม่ลงโทษ(กลุ่มชนใด)เว้นแต่จะส่งศาสนทูตมาก่อน[17]จึงสรุปได้ว่าญินก็มีศาสนทูตเช่นกัน.
3. โองการที่ว่า:
"یا مَعْشَرَ الْجِنِّ وَ الْإِنْسِ أَ لَمْ یَأْتِکُمْ رُسُلٌ مِنْکُمْ یَقُصُّونَ عَلَیْکُمْ آیاتی‏ وَ یُنْذِرُونَکُمْ لِقاءَ یَوْمِکُم‏ هذا...."
โอ้เหล่ามนุษย์และญินเอ๋ย ศาสนทูตในหมู่สูเจ้ามิได้มาเพื่อเล่าขานสัญลักษณ์ของข้าและเตือนภัยให้ทราบว่าสูเจ้าจะพบกับวันนี้ดอกหรือ?[18]
ตรรกะที่ปรากฏในโองการนี้ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าทั้งก่อนและหลังการสร้างมนุษย์ หรือแม้กระทั่งก่อนและหลังศาสนาอิสลาม เหล่าญินล้วนมีศาสนทูตมาโดยตลอด ทว่าเป็นธรรมดาที่ก่อนการสร้างมนุษย์ ศาสนทูตของญินคือญินด้วยกัน[19] อีกโองการที่ยืนยันถึงประเด็นดังกล่าวก็คือโองการที่ว่า:
"إِنَّا أَرْسَلْناکَ بِالْحَقِّ بَشیراً وَ نَذیراً وَ إِنْ مِنْ أُمَّةٍ إِلاَّ خَلا فیها نَذیرٌ"
แท้จริงเราได้ส่งเจ้ามาโดยธรรม เพื่อให้เป็นผู้แจ้งข่าวดีและเตือนภัย และไม่มีกลุ่มชนใดนอกจากจะเคยมีผู้แจ้งเตือน[20]
4. รายงานว่า มีชายชาวแคว้นชามคนหนึ่งได้ซักถามท่านอิมามอลี()ว่า: อัลลอฮ์ทรงส่งศาสนทูตสู่กลุ่มญินหรือไม่?” ท่านตอบว่าแน่นอน อัลลอฮ์ทรงแต่งตั้งศาสนทูตที่มีนามว่ายูสุฟเพื่อชี้นำกลุ่มญิน ทว่าพวกเขารวมหัวกันสังหารท่าน[21]รายงานนี้บ่งชี้อย่างชัดเจนว่ากลุ่มญินเคยมีศาสนทูตสำหรับพวกตนโดยเฉพาะ
ข้อสรุปจากเนื้อหาทั้งหมดที่นำเสนอมาทั้งหมดก็คือ เหล่าญินมีหน้าที่ทางศาสนาไม่ต่างจากมนุษย์ และเคยมีศาสนทูตในหมู่ของตนเพื่อชี้นำทางศาสนาก่อนการสร้างมนุษย์ ทว่ารายละเอียดปลีกย่อยเกี่ยวกับเรื่องนี้ยังเป็นที่คลุมเครือสำหรับเรา



[1] อัรเราะฮ์มาน, 15.

[2] โองการต่างๆในซูเราะฮ์ อัลญิน.

[3] โองการต่างๆในซูเราะฮ์ อัลญิน และ อัรเราะฮ์มาน.

[4] อัลญิน, 15.

[5] อัลญิน, 11.

[6] อัลญิน, 9.

[7] อัลญิน, 6.

[8] อันนัมลิ, 39.

[9] สะบะอ์, 12,13.

[10] อัลฮิจร์, 27.

[11] อัลกะฮ์ฟิ,50.

[12] อย่างไรก็ดี ประเด็นนี้ค่อนข้างจะชัดเจนในกรณีของท่านนบีมูซา()และท่านนบีมุฮัมมัด(..) ส่วนกรณีศาสนทูตท่านอื่นๆนั้น นักอรรถาธิบายกุรอานมีความเห็นที่แตกต่างกันออกไป.
โองการที่ชัดเจนที่สุดเกี่ยวกับเรื่องนี้คือโองการที่ 29-30 ซูเราะฮ์ อัลอะห์กอฟ:

"وَ إِذْ صَرَفْنا إِلَیْکَ نَفَراً مِنَ الْجِنِّ یَسْتَمِعُونَ الْقُرْآنَ فَلَمَّا حَضَرُوهُ قالُوا أَنْصِتُوا فَلَمَّا قُضِیَ وَلَّوْا إِلى‏ قَوْمِهِمْ مُنْذِرینَ قالُوا یا قَوْمَنا إِنَّا سَمِعْنا کِتاباً أُنْزِلَ مِنْ بَعْدِ مُوسى‏ مُصَدِّقاً لِما بَیْنَ یَدَیْهِ یَهْدی إِلَى الْحَقِّ وَ إِلى‏ طَریقٍ مُسْتَقیمٍ"

จงระลึกถึงเมื่อครั้งที่เราได้นำพาญินกลุ่มหนึ่งเพื่อสดับฟังอัลกุรอาน เมื่อพวกเขามาถึงต่างกล่าวแก่กันและกันว่าจงเงียบ(และตั้งใจฟัง)เถิด หลังจากฟังจนจบ พวกเขากลับสู่กลุ่มชนเพื่อเตือนสำทับโดยกล่าวว่า โอ้กลุ่มชนของเรา เราได้สดับฟังคัมภีร์หนึ่งที่ประทานลงมาหลังจากมูซาซึ่งยืนยันเนื้อหาคัมภีร์เล่มก่อนๆ...” แม้ว่าในโองการนี้จะไม่เอ่ยถึงคัมภีร์อินญีล แต่นั่นก็เป็นเพราะว่าคัมภีร์เตารอตถือเป็นคัมภีร์หลักซึ่งชาวคริสต์เองก็ถือปฏิบัติตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน, ดู: ตัฟซีร เนมูเนะฮ์, เล่ม 21, หน้า 370. ในส่วนของยุคหลังอิสลาม มีเหตุการณ์ยืนยันต่อไปนี้: ท่านร่อซูลได้เดินทางจากมักกะฮ์สู่ตลาดนัดอุกกาซในแคว้นตออิฟเพื่อจะเชิญชวนผู้คนที่จับจ่ายใช้สอยให้สนใจอิสลาม ทว่าไม่มีใครใส่ใจท่าน ครั้นเมื่อท่านประสงค์จะกลับมักกะฮ์ ท่านได้หยุดพักแรมและอัญเชิญกุรอาน  สถานที่ๆเรียกว่า วาดี ญิน กระทั่งมีญินกลุ่มหนึ่งสดับฟังกุรอานและเกิดศรัทธา จึงกลับไปเชิญชวนพรรคพวกให้สนใจอิสลาม ดู: ตัฟซีรเนมูเนะฮ์, เล่ม 25, หน้า100, อธิบายโองการที่ 1,2 ซูเราะฮ์ อัลญิน.
อย่างไรก็ดี นักอรรถาธิบายกุรอานบางท่านเชื่อว่าศาสนทูตของญินคือญินด้วยกันทั้งก่อนและหลังยุคแห่งการสร้างมนุษย์ ทั้งนี้โดยอ้างถึงคำว่าศาสนทูตในหมู่สูเจ้าในโองการที่ว่า
"یا مَعْشَرَ الْجِنِّ وَ الْإِنْسِ أَ لَمْ یَأْتِکُمْ رُسُلٌ مِنْکُمْ یَقُصُّونَ عَلَیْکُمْ آیاتی‏ وَ یُنْذِرُونَکُمْ لِقاءَ یَوْمِکُم‏ هذا...."
โอ้เหล่ามนุษย์และญินเอ๋ย ศาสนทูตในหมู่สูเจ้ามิได้มาเพื่อเล่าขานสัญลักษณ์ของข้าและเตือนภัยให้ทราบว่าสูเจ้าจะพบกับวันนี้ดอกหรือ?” แต่ยอมรับว่าท่านนบีมุฮัมมัดเป็นศาสนทูตสำหรับทั้งมนุษย์และญิน ดู: ตัฟซีร รูฮุลบะยาน, เล่ม 3 หน้า 105 และ ตัฟซีร ระฮ์นะมอ, เล่ม 5, หน้า 354. แต่นักอรรถาธิบายกุรอานบางท่านปฏิเสธทัศนะข้างต้นโดยเชื่อว่า โองการในซูเราะฮ์ญินเพียงต้องการจะสื่อให้ทราบว่ากุรอานและอิสลามประทานมาเพื่อชี้นำทุกกลุ่มรวมถึงพวกญินด้วย และว่าท่านรอซู้ลได้รับการแต่งตั้งให้ชี้นำทุกหมู่เหล่า แต่ก็เป็นไปได้ที่ท่านรอซู้ลจะแต่งตั้งตัวแทนจากกลุ่มญินให้ทำหน้าที่เผยแผ่อิสลาม ฉะนั้น วลีที่ว่า มิงกุม(ในหมู่สูเจ้า) ไม่จำเป็นต้องสื่อว่ามนุษย์และญินต่างมีศาสนทูตที่แยกเป็นเอกเทศเสมอไป เนื่องจากเมื่อพิจารณาวลีดังกล่าวเทียบกับวลีที่ว่ากลุ่มหนึ่งจากพวกท่านกลุ่มหนึ่งในที่นี้เป็นไปได้ว่าอาจคัดเลือกจากเผ่าพันธ์ใดเผ่าพันธุ์หนึ่ง หรืออาจจะคัดเลือกจากทุกเผ่าพันธุ์ที่มีก็เป็นได้ ดู: ตัฟซีร เนมูเนะฮ์, เล่ม 5, หน้า 443, กล่าวคือ คำว่ามิงกุมในที่นี้ไม่อาจจะสื่อความหมายกว้างไปกว่าการที่ศาสนทูตได้รับการแต่งตั้งจากภาพรวมของทั้งญินและมนุษย์ โดยต้องการตัดประเด็นที่พระองค์อาจแต่งตั้งศาสนทูตจากทวยเทพมะลาอิกะฮ์ ทั้งนี้ก็เพราะความสะดวกโยธินในการติดต่อสื่อสารกับประชาชาติ แต่การที่จะชี้ชัดลงไปถึงการแต่งตั้งญินเป็นศาสนทูตสำหรับเหล่าญิน และแต่งตั้งมนุษย์เป็นศาสนทูตสำหรับมนุษย์นั้น โองการข้างต้นมิได้ชี้ชัดถึงนัยยะดังกล่าว ดู: ตัฟซีรอัลมีซาน, เล่ม 7, หน้า 540 และ ตัฟซีร มันฮะญุศศอดิกีน, เล่ม 3, หน้า 452.

[13] อัลอิสรออ์, 15.

[14] ดู: บิฮารุลอันวาร, เล่ม 60, หน้า 311.

[15] "أُولئِکَ الَّذِینَ حَقَّ عَلَیْهِمُ الْقَوْلُ فِی أُمَمٍ قَدْ خَلَتْ مِنْ قَبْلِهِمْ مِنَ الْجِنِّ وَ الْإِنْسِ إِنَّهُمْ کانُوا خاسِرِینَ" อัลอะห์กอฟ, 18

[16] สะญะดะฮ์, 13 และ ฮูด, 119.

[17] อัลอิสรออ์, 15.

[18] อัลอันอาม, 130.

[19] ข้อคิดดังกล่าวได้จากนัยยะของคำว่าเหล่าศาสนทูตในหมู่สูเจ้าซึ่งครอบคลุมทุกยุคสมัย ยกเว้นยุคสมัยนบีมูซา() และท่านนบีมุฮัมมัด(..) โดยยุคนี้ญินไม่มีศาสนทูตที่เป็นญินด้วยกัน.

[20] อัลฟาฏิร, 29.

[21] บิฮารุลอันวาร, เล่ม 10, หน้า 76: "ل بعث الله نبیا الی الجنّ فقال نعم بعث الیهم نبیا یقال له یوسف فدعاهم الی الله فقتلوه".

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • ความต่างกิจกรรมของวิญญาณขณะนอนหลับ และสลบคืออะไร?
    16383 ปรัชญาอิสลาม 2555/09/29
    รูปแบบการปฏิสัมพันธ์ระหว่างร่างกายกับจิตวิญญาณขณะตื่นนอน กับการปฏิสัมพันธ์ขณะนอนหลับนั้นมีความแตกต่างกัน ด้วยเหตุนี้ ตามคำสอนของอิสลามจึงได้เรียกการนอนหลับว่า เป็นพี่น้องของความตาย วิทยาศาสตร์แม้ว่าจะไม่มีข้อมูลการปฏิสัมพันธ์ระหว่างจิตวิญญาณกับร่างกายขณะนอนหลับ แต่สามารถค้นพบการเปลี่ยนแปลงและปฏิกิริยาบางอย่างทางร่างกายขณะนอนหลับได้ บนพื้นฐานของการค้นคว้านั้นและการทำสอบพบว่ามนุษย์มีการนอนหลับในสองระดับ ด้วยนามว่า REM และ Non REM ซึ่งทั้งสองมีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง โดยปกติแล้วการความฝันที่มักเกิดในระดับของ Non REM เกิดจากการหลับลึกซึ่งจะไม่อยู่ในความทรงจำ แต่เฉพาะการนอนหลับในระ REM เท่านั้นที่จะคงอยู่ในความทรงจำ ส่วนการสลบหมดสติเกิดจากการเบี่ยงเบนของวิญญาณ และเป็นการหลับที่ลุ่มลึกมาก ทำให้เขาไม่มีความทรงจำอันใดหลงเหลืออยู่ ...
  • ตักวาหมายถึงอะไร?
    17805 จริยธรรมทฤษฎี 2555/01/23
    ตักว่าคือพลังหนึ่งที่หยุดยั้งจิตด้านในซึ่งการมีอยู่ของมนุษย์คือสาเหตุของการมีพลังนั้นและพลังดังกล่าวจะพิทักษ์ปกป้องมนุษย์ให้รอดพ้นจากการกระทำความผิดฝ่าฝืนต่างๆความสมบูรณ์ของตักวานอกจากจะช่วยทำให้มนุษย์ห่างไกลจากความผิดบาปและการก่ออาชญากรรมต่างๆ
  • เหตุใดจึงเรียกอิมามฮุเซนว่าษารุลลอฮ์?
    7333 จริยธรรมทฤษฎี 2554/12/11
    ษารุลลอฮ์ให้ความหมายว่าการชำระหนี้เลือดแต่ก็สามารถแปลว่าเลือดได้เช่นกันตามความหมายแรกอิมามฮุเซนได้รับฉายานามนี้เนื่องจากอัลลอฮ์จะเป็นผู้ทวงหนี้เลือดให้ท่านแต่หากษารุลลอฮ์แปลว่า"โลหิตพระเจ้า" การที่อิมามได้รับฉายานามดังกล่าวเป็นไปตามข้อชี้แจงต่อไปนี้:1. "ษ้าร"เชื่อมกับ"อัลลอฮ์"เพื่อให้ทราบว่าเป็นโลหิตอันสูงส่งเนื่องจากเป็นการเชื่อมคำในเชิงยกย่อง2.มนุษย์ที่บรรลุสู่ความสมบูรณ์ในระดับใกล้ชิดทางภาคบังคับต่างก็เป็นหัตถาพระเจ้าชิวหาพระเจ้าและโลหิตพระเจ้าหมายถึงถ้าหากพระองค์ทรงประสงค์จะทำสิ่งใดมนุษย์ผู้นี้จะเป็นดั่งพระหัตถ์หากทรงประสงค์จะตรัสเขาจะเป็นดั่งชิวหาและหากพระองค์ทรงประสงค์จะพิทักษ์ศาสนาของพระองค์ด้วยโลหิตเขาจะเป็นดั่งโลหิตพระองค์อิมามฮุเซน(อ.)เป็นดั่งโลหิตพระองค์เนื่องจากโลหิตของท่านช่วยชุบชีวิตแก่ศาสนาของพระองค์เราเชื่อว่าความหมายแรกเป็นความหมายที่เหมาะสมกว่าแต่ความหมายที่สองก็เป็นคำธิบายที่น่าสนใจเช่นกันโดยเฉพาะหากเป็นผู้ที่อยู่ในแวดวงจาริกทางจิตอาจทำให้เข้าใจได้ลึกซึ้งกว่า ...
  • อัลลอฮฺคือสาเหตุที่แท้จริงของการอธรรม และผู้อธรรมหรือ?
    11254 เทววิทยาดั้งเดิม 2555/09/29
    สำหรับคำตอบคำถามเหล่านี้ จำเป็นต้องพิจารณาประเด็นสำคัญเหล่านี้ก่อน 1.รากที่มาของการอธรรมของผู้อธรรมทั้งหลาย สามารถสรุปได้ใน 4 ประเด็นดังนี้คือ 1.ความโง่เขลา 2. การเลือกสรร 3. ความประพฤติอันเลวทราม 4. ความอ่อนแอไร้สามารถ, แต่อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงบริสุทธิ์จากสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด ไม่ความอธรรมใดๆ ในพระองค์ ด้วยเหตุนี้ สำหรับพระองค์แล้วคือ ผู้ยุติธรรม ซึ่งเป็นหน่วยเนื้อเดียวกันกับความยุติธรรม และเนื่องจากพระองค์ทรงรอบรู้ และทรงยุติธรรม ภารกิจของพระองค์จึงวางอยู่บนความยุติธรรม และวิทยปัญญาเท่านั้น 2.อัลลอฮฺ ทรงสร้างมนุษย์มาในลักษณะเดียวกัน และได้ประทานแนวทางแห่งการชี้นำทางแก่พวกเขา และทั้งหมดมีสิทธิที่จะเลือกสรรด้วยตนเอง ซึ่งมีบางกลุ่มด้วยเหตุผลนานัปการ หรือมีปัจจัยหลายอย่างเป็นแรงจูงใจให้พวกเขาเลือกหนทางหลงผิด และการอธรรม บางกลุ่มพยายามต่อสู้ชนิดขุดรากถอนโคนการอธรรม ที่แฝงเร้นอยู่ในใจของตนเอง พวกเขามุ่งไปสู่หนทางแห่งการชี้นำ และความยุติธรรม พยามประพฤติปฏิบัติแต่สิ่งที่ดี ไม่ว่าอย่างไรก็ตามรากที่มาของคำถามเหล่านี้ ล้วนมาจากความคิดที่ว่ามนุษย์ได้รับการบีบบังคับให้เป็นเช่นนั้น หรือที่เรียกว่าพรหมลิขิต ทั้งที่เหตุผลของพรหมลิขิตมิเป็นที่ยอมรับแต่อย่างใด เราเชื่อตามคำสอนของศาสนา ...
  • ท่านอับบาสอ่านกลอนปลุกใจว่าอย่างไรขณะกำลังนำน้ำมา
    8982 ชีวประวัตินักปราชญ์ 2554/12/25
    คำถามนี้ไม่มีคำตอบแบบสั้น ปรดเลือกปุ่มคำตอบที่สมบูรณ์ ...
  • ข้อแตกต่างระหว่างมะอ์นะวียัตในอิสลามและคริสตศาสนา
    6859 เทววิทยาใหม่ 2554/10/24
    คุณค่าของมะอ์นะวียัตของแต่ละศาสนาขึ้นอยู่กับคุณค่าของศาสนานั้นๆคำสอนของคริสตศาสนาบางประการขัดต่อสติปัญญาโดยที่ชาวคริสเตียนเองก็ยอมรับเช่นนั้นมะอ์นะวียัตที่ได้จากคำสอนเช่นนี้ก็ย่อมมีข้อผิดพลาดเป็นธรรมดาและนี่คือข้อแตกต่างหลักระหว่างมะอ์นะวียัตของอิสลามและคริสตศาสนากล่าวคือโดยพื้นฐานแล้วมะอ์นะวียัตของคริสต์ไม่อาจเป็นที่ยอมรับได้เมื่อพิจารณาถึงแหล่งเนื้อหาที่มีบางจุดขัดต่อสติปัญญาทำให้ไม่สามารถจะนำพาสู่ความผาสุกได้อย่างไรก็ดีสภาพมะอ์นะวียัตของตะวันตกในปัจจุบันย่ำแย่ไปกว่ามะอ์นะวียัตดั้งเดิมของคริสตศาสนาเสียอีกในขณะที่มะอ์นะวียัตของอิสลามนั้นได้รับอิทธิพลจากคำสอนจากวิวรณ์
  • ผู้มีญุนุบที่ได้ทำตะยัมมุมแทนการอาบน้ำยกหะดัสใหญ่ สามารถเข้ามัสยิดได้หรือไม่?
    6954 สิทธิและกฎหมาย 2554/08/08
    ผู้ที่มีญุนุบที่อยู่ในเงื่อนไขที่สามารถทำตะญัมมุมแทนการอาบน้ำยกหะดัสใหญ่นั้นหลังจากที่ได้ทำการตะยัมมุมแทนการอาบน้ำยกหะดัสใหญ่แล้วก็สามารถเข้าไปในมัสยิดเพื่อร่วมทำนมาซญะมาอัตหรือฟังบรรยายธรรมได้ท่านอิมามโคมัยนีได้ให้คำตอบเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวว่า: “ผลพวงทางด้านชาริอะฮ์ที่เกิดขึ้นจากการอาบน้ำยกหะดัสใหญ่จะมีในกรณีการทำการตะยัมมุมทดแทนเช่นกันนอกจากกรณีการตะยัมมุมทดแทนด้วยเหตุผลที่จะหมดเวลานมาซมัรญะอ์ท่านอื่นๆก็มีทัศนะนี้เช่นเดียวกัน
  • ความสำคัญ และปรัชญาของการจัดพิธีกรรมรำลึกถึงท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) คืออะไร?
    7696 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/12/20
    สำหรับการติดตามผลอย่างมีนัยของการให้ความสำคัญและปรัชญาของการจัดพิธีกรรมรำลึกถึงท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) จำเป็นต้องพิจารณาประเด็นสำคัญดังต่อไปนี้:1. ...
  • กาสาบานต่อท่านศาสดาและอิมามในเดือนรอมฎอนคือ สาเหตุทำให้ศีลอดเสียหรือ?
    7299 สิทธิและกฎหมาย 2555/07/16
    การสาบาน มิใช่หนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ศีลอดเสีย แต่ถ้าได้สาบานโดยพาดพิงสิ่งโกหกไปยังอัลลอฮฺ (ซบ.) ท่านศาสดา (ซ็อลฯ) และตัวแทนของท่านโดยตั้งใจ ซึ่งสาเหตุนี้เองที่กล่าวว่า เป็นการโกหกที่พาดพิงไปยังอัลลอฮฺ ศาสดา (ซ็อลฯ) และตัวแทนของท่าน ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้ศีลอดเสีย ส่วนคำสาบานต่างๆ ที่อยู่ในบทดุอาอฺไม่ถือว่าโกหก ทว่าเป็นการเน้นย้ำและอ้อนวอนให้ตอบรับดุอาอฺที่ขอต่ออัลลอฮฺ ซึ่งไม่ได้เป็นสาเหตุทำให้ศีลอดเสียแต่อย่างใด ...
  • ปรัชญาของการมีทาสในอิสลามคืออะไร? อิสลามมีวิธีการจัดการกับสิ่งเหล่าอย่างไร?
    12116 สิทธิและกฎหมาย 2555/08/22
    ถูกต้องบทบัญญัติเกี่ยวกับ การแต่งงานกับทาส, การเป็นมะฮฺรัมกับทาส, สัญญาซื้อขาย (ข้อตกลงที่จะปล่อยทาสเป็นไท) และ ...ได้ถูกกล่าวไว้ในอัลกุรอาน, การมีทาสได้รับการยืนยันว่ามีจริงในสมัยของท่านเราะซูล (ซ็อลฯ) และต้นยุคอิสลาม แต่จำเป็นต้องกล่าวว่าอิสลามมีโปรแกรมที่ละเอียดอ่อน และมีกำหนดเวลาในการปลดปล่อยทาสให้เป็นไท ซึ่งบั้นปลายสุดท้ายของทั้งหมดเหล่านั้นคือ การได้รับอิสรภาพเป็นไททั้งสิ้น ดังนั้นการเผชิญหน้าของอิสลามกับปัญหาเหล่านี้ จำเป็นต้องกล่าวถึงประเด็นสำคัญดังต่อไปนี้: 1-อิสลามมิเคยเริ่มต้นปัญหาเรื่องทาส 2-อิสลามถือว่าปัญหาชะตากรรม และความเจ็บปวดใจของทาสในอดีตที่ผ่านมาคือ ปัญหาความล้าหลังอันยิ่งใหญ่ของสังคม 3-อิสลามได้วางโครงการที่ละเอียดอ่อน เพื่อปลดปล่อยทาสให้เป็นไท, เนื่องจากครึ่งหนึ่งของพลเมืองในสมัยก่อนเป็นทาสทั้งสิ้น, พวกเขาไม่มีอิสรเสรีในการประกอบอาชีพการงาน, ไม่มีปัจจัยสำหรับการดำเนินชีวิตต่อไป.ถ้าหากอิสลามได้มีคำสั่งต่อสาธารณชนว่าให้ทั้งหมดปล่อยทาสให้เป็นไท, ซึ่งเป็นไปได้ว่าส่วนใหญ่ของพวกเขาจะต้องสูญเสียชีวิต หรือไม่ชนส่วนใหญ่ก็จะต้องว่างงานไร้อาชีพ หิวโหย ถูกกีดกัน และพวกเขาต้องได้รับแรงกดดันจนกระทั่งเข้าทำร้ายและโจมตีในทุกที่ การประจัญบาน การนองเลือด และการทำลายกฎระเบียบของสังคมก็จะทวีความรุนแรงขึ้น ด้วยเหตุนี้เอง อิสลามได้วางแผนการไว้อย่างละเอียด เพื่อดึงดูดสังคมให้ทาสเหล่านี้ได้รับอิสรภาพ และเป็นไทไปที่ละน้อย ซึ่งแผนการดังกล่าวมีองค์ประกอบหลายประการด้วยกัน ...

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60136 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    57576 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42222 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    39377 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    38954 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    34008 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    28026 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    27971 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    27808 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    25805 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...