การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
28200
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2553/12/22
 
รหัสในเว็บไซต์ fa857 รหัสสำเนา 11566
คำถามอย่างย่อ
ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
คำถาม
ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
คำตอบโดยสังเขป

เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกัน

แหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้ เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้ กราบสุญูดอาดัม แต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบ

บางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่า เนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้น อิบลิส ต้องมาจากมวลมะลาอะกะฮฺแน่นอน

คำตอบ : การยกเว้นอิบลิสซาตานไว้ในหมู่มลาอิกะฮฺ ไม่ได้แสดงให้เห็นว่าชัยฎอนเป็นพวกเดียวกันกับมลาอิกะฮฺ แต่ในที่สุดโน้มนำไปสู่เหตุผลว่า อิบลิสซาตาน (เป็นผู้นมัสการพระเจ้านานหลายปี) อยู่ในหมู่มลาอิกะฮฺในระดับต้นๆ  แต่ต่อมาเพราะความหยิ่งยโสและความดื้อรั้นและไม่เชื่อฟังพระเจ้าเขา,จะถูกขับออกจากสวนสวรรค์

คำยืนยันบนคำกล่าวอ้างดังกล่าวคือ

1. อัลลอฮฺ (ซบ.) ตรัสไว้ในบทอัลกะฮฺฟิว่าชัยฏอน (ซาตาน) มาจากญิน

2. พระเจ้าทรงขจัดบาปและความผิดออกไปจากมลาอิกะฮฺโดยทั่วไป ดังนั้น มลาอิกะจึงเป็นสิ่งมีชีวิตที่บริสุทธิ์ และไม่เคยทำบาป, ไม่เคยปองร้าย, ไม่เคยหลงตัวเอง, ไม่เคยหยิ่งยโสและ ...ฯลฯ

3. อัลกุรอานบางโองการกล่าวถึง บรรพบุรุษของชัยฏอน ซึ่งประเด็นดังกล่าวชี้ให้เห็นว่า ชัยฏอน นั้นมีความเหมาะสมและมาจากหมู่มวลของญินแน่นอน ในขณะที่มลาอิกะเป็นสิ่งมีชีวิตประเภทจิตวิญญาณ (ภาวะนามธรรม) จึงไม่มีปัญหาด้านการกินการดื่มแต่อย่างใด

4.  อัลลอฮฺ (ซบ.) ตรัสไว้ในบางโองการว่า ทรงมอบให้บรรดามลาอิกะฮ์เป็นเราะซูลของพระองค์ เราะซูล หมายถึง ผู้ที่ถูกส่งมาจากพระเจ้า และผู้ที่เป็นเราะซูลของพระองค์นั้นจะไม่กระทำความผิดอย่างแน่นอน ดังนั้น ชัยฏอนได้กระทำบาปอันยิ่งใหญ่ขนาดนั้น แล้วจะเป็นมลาอิกะฮฺได้อย่างไร

นอกเหนือจากนี้ ความเห็นพร้องกันของบรรดานักปราชญ์ส่วนใหญ่ ตลอดจนรายงานที่เชื่อได้จากบรรดาอิมามผู้บริสุทธิ์ (.) ที่มาถึงมือเราแสดงให้เห็นว่า : ซาตานไม่ได้มาจากหมู่มวลมลาอิกะฮฺ และเป็นที่เรารู้กันดีว่าความหน้าเชื่อถือ (ตะวาตุร) เป็นหนึ่งในสื่อที่สำคัญที่สุดสำหรับการค้นหาความถูกต้องของรายงาน

คำตอบเชิงรายละเอียด

องค์รวมและสาเหตุหลักของคำถามนี้ อยู่ที่เรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (.) เมื่อพระเจ้าทรงประสงค์ที่จะทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมา มลาอิกะฮฺได้ทูลถามพระองค์ด้วยความเคารพและความสุภาพที่สุดว่า : พวกเราเคารพและถวายสดุดีต่อพระองค์ยังจะไม่เพียงพออีกหรือ แน่นอน พระองค์จะทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมาเพื่อการใด ครั้นเมือพระองค์สาธยายความลึกลับของการสร้างมนุษย์ แล้วตรัสว่า มนุษย์คือตัวแทนของพระองค์บนหน้าแผ่นดิน มวลมลาอิกะฮฺจึงได้น้อมรับคำเชิญ (ให้ก้มกราบอาดัม (.)) ด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตนและด้วยความจริงใจ และทั้งหมดได้ก้มกราบสุญูดต่ออาดัม ในหมู่บรรดามลาอิกะฮฺ หรือดีกว่าที่จะพูดว่าชัยฏอนได้อยู่ในแถวของมลาอิกะฮฺด้วยในเวลานั้น ซึ่งเขาได้นมัสการพระเจ้ามาอย่างช้านาน แต่ความเร้นลับที่ซ่อนอยู่ภายในจิตใจของชัยฏอนไม่มีผู้ใดล่วงรู้ได้ยกเว้นผู้ทรงอำนาจยิ่ง ความลับที่ถูกซ่อนเร้นมาอย่างยาวนาน แต่บัดนี้มันได้ถูกเปิดเผยออกแล้วในระหว่างการสร้างของอาดัม (.) การปฏิเสธศรัทธาของชัยฏอนนั่นเอง แน่นอน เขาได้กลายเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธามาอย่างช้านานแล้ว แต่ความหยิ่งยโสและความดื้อรั้นได้ถูกเปิดเผยขณะที่ไม่ยอมก้มกราบอาดัม (.)  ซึ่งการปฏิเสธศรัทธาที่ซ่อนไว้ก็ถูกเปิดเผยออกมาด้วย

เมื่ออัลลอฮฺตรัสแก่มลาอิกะฮฺทั้งหมดและอิบลิส (ผู้เป็นหนึ่งในพวกเขาซึ่งได้แสดงความเคารพบูชามาอย่างช้านาน) ว่า : พวกเจ้าจงก้มกราบอาดัมเถิด มลาอิกะฮฺทั้งหมดได้เชื่อฟังปฏิบัติตาม ยกเว้นอิบลิสผู้ที่ฝ่าฝืนคำสั่งและไม่สุญูด ซึ่งอิบลิสได้อ้างว่า: ฉันได้ถูกสร้างขึ้นจากไฟส่วนเขาถูกสร้างขึ้นจากดิน แล้วจะให้สิ่งที่ดีกว่าก้มกราบสิ่งที่ด้อยกว่าได้อย่างไร ?

ประหนึ่งว่า ซาตาน ไม่รู้แก่นแท้ความจริงของอาดัม ! ว่าอันที่จริงแล้วจิตวิญญาณจากพระเจ้าได้ถูกเป่าเข้าไปบนอาดัม ซึ่งแก่นแห่งเป็นมนุษย์ และคุณค่าของสำคัญของโลกแห่งความเร้นลับซึ่งมาจากพระผู้อภิบาลของเขาได้ถูกเป่าไปบนอาดัมทั้งสิ้น แน่นอน ในความคิดของซาตานจึงคิดว่าธาตุไฟนั้นดีกว่าธาตุดิน กระนั้นแม้ในการเปรียบเทียบของเขาก็ยังมีความผิดพลาดอยู่ดี แต่จะยังไม่อธิบายในที่นี้เนื่องจากเขาเห็นอาดัมแต่เพียงทางกายภาพของความเป็นมนุษย์ แต่หลงลืมด้านจิตวิญญาณของอาดัม ด้วยเหตุนี้เอง ชัยฎอนจึงได้แดสง 2 ปฏิกิริยาที่ตรงกันข้ามกับสองการกระทำ เขาจึงได้ถูกขับออกจากสวนสวรรค์เนรมิตของพระเจ้า ผู้ทรงอำนาจสูงสุด ปฏิกิริยาแรกของชัยฏอนคือ ความภาคภูมิใจของตนที่มีต่อการสร้างมนุษย์ ส่วนปฏิกิริยาที่สอง, ความหยิ่งยโส, และขั้นสุดท้ายของความดื้อรั้นในการฝ่าฝืนคำสั่งของพระเจ้า

สิ่งที่จะกล่าวต่อไปนี้คือ พวกเขาได้เชื่อฟังปฏิบัติตามพระเจ้ามากน้อยเพียงใด มีความมั่นคงในพฤติกรรมมากน้อยแค่ไหน กล่าวคือลำดังต่อไปจะขออธิบายคำบางคำก่อ :

() ชัยฏอน () อิบลิส () มลาอิกะฮฺ () ญิน

) ชัยฏอนซาตานมารร้าย : คำว่า ชัยฏอน มาจากคำว่า ชะฏะนะ และ ชาฏินะ หมายถึง สิ่งที่เป็นความชั่วร้ายและเกเรดื้อรั้น ไม่เชื่อฟังดื้อดึง ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ ญิน หรือสิ่งมีชีวิตอื่น  ก็ตาม หรือให้ความหมายว่า จิตวิญญาณชั่วร้ายที่ออกห่างจากจริงก็มี ซึ่งหมายความว่าในแง่ที่เป็นจุดร่วม จะให้ความหมายควบคุมทั่วไปทั้งหมด หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ในแง่นี้ทั้งหมดเหมือนกัน

ดังนั้น คำว่า ชัยฏอน จึงเป็นคำนามหนึ่ง (เพศคำนาม) ซึ่งหมายถึงเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจและอันตรายและก่อให้เกิดการหลงผิด ใช้ได้ทั้งกับทุกสิ่งที่มีอยู่ (ไม่ว่าจะมนุษย์หรือไม่ใช่มนุษย์ก็ตาม)

ในพระคัมภีร์อัลกุรอานและคำกล่าวของบรรดาอิมามมะอ์ซูม (.) กล่าวว่า ชัยฏอนซาตานมารร้าย ไม่ได้ระบุเจาะจงเฉพาะว่าเป็นสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ทว่าบางครั้งหมายถึงมนุษย์ที่ชั่วร้าย หรือมีมารยาทหยาบคาย เช่น อิจฉาริษยา, ก็เรียกว่า ชัยฏอน เหมือนกัน[1]

) อิบลิส : เป็นคำนามเฉพาะ (อะลัม) ซึ่งมีเพียงสิ่งเดียวที่ตรงกับความเป็นจริง เขาเป็นคนแรกบนโลกนี้ที่ได้ฝ่าฝืนและก่อบาปกรรมขึ้น และ  เบื้องพระพักตร์ของพระเจ้าเขาได้วิวาทเพื่อเรียกร้องความเป็นอิสระ เขาได้หลงตนเองและแสดงความหยิ่งจองหอง และปฏิเสธคำสั่งของพระเจ้า และในที่สุดก็ถูกขับออกจากสวรรค์เนรมิตรนั้น

นามอื่นของ อิบลิส คือคือ อะซาซีล[2] ส่วนคำว่า อิบลิส มาจากคำว่า "อิบลาส" ซึ่งในความเป็นจริงแล้วเป็น ฉายานามหนึ่ง อิบลาส คือการสิ้นหวัง ซึ่งบางทีอาจเป็นไปได้ว่า เนื่องจากอิบลิส สิ้นหลังในความเมตตาของพระเจ้า จึงได้รับฉายานามนี้

) มลาอิกะฮฺ : เพียงพอแล้วที่จะกล่าวถึงคุลักษณะบางส่วนที่เหมาะสมของมลาอิกะฮฺ เพื่อที่เราจะได้รับบทสรุปว่า มวลมลาอิกะฮฺทั้งหลาย ไม่มีวันที่จะกระทำความผิดและบาปกรรมใด  ได้อย่างแน่นอน ด้วยเหตุนี้ ชัยฏอนซาตานมารร้ายจึงไม่สามารถมาจากประเภทของมลาอิกะฮฺได้เด็ดขาด[3]

มลาอิกะฮฺ คือการมีอยู่ประเภทหนึ่ง ซึ่งพระเจ้าได้อธิบายถึงคุณลักษณะทีดีเกี่ยวกับพวกเขาไว้ในอัลกุรอาน เช่นบางโองการกล่าวว่า :

بَلْ عِبادٌ مُکْرَمُون‏، لا یَسْبِقُونَهُ بِالْقَوْلِ وَ هُمْ بِأَمْرِهِ یَعْمَلُون

" (มะลาอิกะฮ์) เป็นบ่าวผู้มีเกียรติ พวกเขาจะไม่ชิงกล่าวคำพูดก่อนพระองค์ และพวกเขาปฏิบัติตามพระบัญชาของพระองค์"[4]

ซึ่งจะเห็นว่าจนกระทั้งถึงวินาทีสุดท้าย มลาอิกะฮฺก็จะไม่กระทำสิ่งที่ขัดต่อสัจธรรมความจริง พวกอยู่ในสภาพของการเชื่อฟังปฏิบัติตามพระผู้อภิบาลเสมอ เป็นสิ่งที่มีอยู่ที่สะอาดบริสุทธิ์ ตัวตนของมลาอิกะฮฺสะอาด ฉะนั้นจึงไม่มีวันที่พวกเขาจะเกลือกกลั้วกับบาปกรรมอย่างแน่นอน สิ่งที่สำคัญยิ่งไปกว่านี้การเชื่อฟังพระเจ้าอยู่ในสายเลือดของพวกเขา ดังนั้น พวกเขาจะไม่แสดงความอ่อนแอและไร้ความสามารถในสิ่งที่ตนไม่รู้ ไม่แสดงความยโสโอหังต่อสิ่งที่ตนรู้เด็ดขาด เนื่องจาก พวกเขาเชื่อมั่นว่า การมีอยู่ของพวกเขาล้วนมาจากพระผู้อภิบาลทั้งสิ้น ด้วยเหตุนี้ ถ้าพวกเขาฝ่าฝืนคำสั่งแม้เพียงเล็กน้อย สิ่งที่พวกเขารู้ก็จะเปลี่ยนกลายเป็นความโง่เขลาทันที

ดังนั้น ความแตกต่างที่สำคัญระหว่างมลาอิกะฮฺ กับชัยฏอนอยู่ที่เรื่องราวการสร้างและการก้มกราบอากดัม เนื่องจากมลาอิกะฮฺได้ล่วงรู้อย่างชัดเจนด้วยจิตเบื้องลึกว่า พวกตนไม่เข้าใจและไม่รู้เกี่ยวกับพระนามอันไพจิตรของพระเจ้า หมายถึงพวกเขาทราบเป็นอย่างดีว่า พวกเขาไม่รู้ แต่ส่วนชัยฏอนนั้นด้วยความดื้อรั้นและความยโสโอหังที่มีอยู่ในสายเลือด จึงได้คิดว่าตนรู้ดีทุกอย่าง ฉะนั้น ชัยฏอน จึงไม่เข้าใจคำสั่งของพระเจ้า ที่สั่งให้ก้มกราบอาดัมเนื่องจากความรู้ของพระเจ้าที่เพิ่มเติมไปบนอาดัม ความคิดที่มืดมิดของชัยฏอนจึงได้ปิดกั้นไม่เปิดโอกาสให้เขาได้เข้าใจในวิชาการเหล่านั้น ในความหมายก็คือ ความอคติ ความจองหองอวดดีคืออุปสรรคสำคัญต่อการสร้างความเข้าใจ และในที่สุดแล้วชัยฏอนก็ไม่ได้ก้มกราบอาดัม มันเป็นการปฏิเสธของผู้มีความยโสโอหัง ไม่ใช่ว่าเขาไม่สามารถก้มกราบได้!

ด้วยคำอธิบายดังกล่าวเป็นที่ชัดเจนว่า มวลมลาอิกะฮฺ ทั้งหลายเป็นผู้มีความสะอาดบริสุทธิ์ ความผิดบาปไม่อาจปรากฏในหมู่พวกเขาได้อย่างแน่นอน เมื่อไม่มีทางกระทำความผิด ดังนั้นผลงานทั้งหมดของพวกเขาจึงได้กระทำไปเพื่อการภักดีในพระเจ้าทั้งสิ้น ด้วยเหตุนี้ เมื่อการเชื่อฟังคำสั่งเป็นวาญิบและมีสำคัญยิ่งแล้ว ความผิดบาปก็จะถูกสั่งห้ามและถูกปิดกลั้นไปโดยปริยาย (นี่เป็นเหตุผลแรก ทางสติปัญญาที่ยืนยันให้เห็นความแตกต่างระหว่างชัยฏอนกับมลาอิกะฮฺ)

แต่ก่อนที่จะกล่าวถึงเหตุผลและหลักฐานอื่น  ทางปัญญา จะอธิบายสั้น  เกี่ยวกับ ญิน เสียก่อน

) ญิย : ญิน ตามรากเดิมแล้วหมายถึง สรรพสิ่งนั้นที่ถูกปกปิดไปจากความรู้สึกของมนุษย์ อัลกุรอานยืนยันถึงการการดำรงอยู่ของสิ่งมีชีวิตประเภท ญิน เอาไว้ ซึ่งอัลกุรอานกล่าวถึงประเด็นดังกล่าวว่า พวกเขาเช่นกันเป็นสรรพสิ่งหนึ่งที่มาจากไฟ ส่วนมนุษย์นั้นถูกสร้างขึ้นจากดิน อย่างไรก็ตามการสร้างญินนั้นมีมาก่อนการมนุษย์[5]

นักวิชาการบางคน อธิบายว่า ญิน เป็นจิตวิญญาณประเภทหนึ่งที่มากด้วยสติปัญญา ปราศจากภาวะวัตถุ แต่ไม่ได้เป็นภาวะนามธรรมสมบูรณ์แต่อย่างใด เนื่องจากบางสิ่งบางอย่างที่สร้างขึ้นจากไฟ มีสภาพเป็นวัตถุและเป็นกึ่งสภาวะของนามธรรม, หรืออีกนัยหนึ่งเรียกว่าเป็นชนิดของวัตถุที่ละเอียดอ่อน[6]

จากโองการอัลกุรอาน เข้าใจได้ว่า ญิน ก็เป็นประเภทหนึ่งที่คล้ายเหมือนมนุษย์เช่นกัน มีสติปัญญา มีความต้องการ และความรู้สึก สามารถทำงานหนักได้ ญินมีทั้งผู้ศรัทธาและปฏิเสธศรัทธา ญินบางคนเป็นบ่าวบริสุทธิ์ บางคนก็เป็นผู้ก่อความเสียหายบนหน้าแผ่นดินเช่นเดียวกับมนุษย์, ญินมีชีวิต ความตาย และมีการคืนชีพเช่นเดียวกัน ... มีเพศชายและเพศหญิง มีการแต่งงานและมีการขยายเผ่าพันธุ์เหมือนกัน

แต่ประเด็นหลักในที่นี้คือ อิบลิส มาจากมลาอิกะด้วยหรือไม่ ในหมู่นักวิชาการมีความคิดเห็นขัดแย้งกัน ซึ่งที่มาของข้อพิพาทนี้ บางที่อาจเป็นการยึดถืออัลกุรอานบางโองการและการตีความที่ต่างกันออกไป

บางคนกล่าวว่า ซํยฏอนมารร้าย (อิบลีส) มาจากมลาอิกะฮฺ เหตุผลหลักของพวกเขาก็คืออัลกุรอานบางโองการที่กล่าวว่า

واذ قلنا للملایکة اسجدوا لآدم فسجدوا الا ابلیس

"จงรำลึกถึง ขณะที่เรากล่าวแก่มลาอิกะฮฺว่า พวกเจ้าจงก้มกราบอาดัมเถิด แล้วพวกเขาก็ก้มกราบยกเว้นอิบลีส"[7] เนื่องจากโองการนี้ ได้ยกเว้นอิบลิสออกไปจากการก้มกราบ ส่วนผู้ที่ถูกยกเว้นไปจากพวกเขาคือ มลาอิกะฮฺ ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่า อิบลิส มาจากหมู่มวลมลาอิกะฮฺ

แต่ตามความเป็นจริงแล้ว อิบลิส ไม่อาจมาจากหมู่มวลมลาอิกะฮฺได้ รายงานที่เชื่อถือได้ (มุตะวาติร) จากบรรดาอิมามผู้บริสุทธิ์ (.) ซึ่งบรรดาอิมามมีความเห็นพร้องต้องกัน และเน้นย้ำว่า อิบลิส นั้นมาจากหมู่ญินไม่ใช่มลาอิกะฮฺ ซึ่งประเด็นดังกล่าวสามารถพิสูจน์ได้หลายเหตุผลด้วยกันกล่าวคือ

1. อัลลอฮ์ ผู้ทรงอำนาจยิ่งตรัสว่า "อิบลีสอยู่ในจำพวกญิน[8]

2. อัลลอฮ์ ผู้ทรงอำนาจยิ่งตรัสว่า

لایعصون اللَّه ما اَمَرهم و یفعلون ما یؤمرون

พวกเขาจะไม่ฝ่าฝืนอัลลอฮฺในสิ่งที่พระองค์ทรงบัญชาแก่พวกเขา[9] พระเจ้าตรัสเกี่ยวกับมลาอิกะฮฺว่า : ไม่มีทางที่พวกเขาจะฝ่าฝืนพระบัญชาของพระเจ้า หมายถึงโดยทั่วไปแล้วพระองค์ปฏิเสธบาปกรรมให้พ้นไปจากมลาอิกะฮฺ ซึ่งเข้าใจได้ว่าประการแรก ไม่มีมลาอิกะฮฺองค์ใด และประการที่สอง ไม่มีการทำความผิดบาปใด  ทั้งสิ้น

3. อัลลอฮฺ ตรัสว่า

افتتخذونه وذُرتیه اولیاء من دونى وهُمُ لکم عدو

"พวกเจ้าจะยึดเอามันและวงศ์วานของมัน เป็นผู้คุ้มครองอื่นจากข้ากระนั้นหรือหรือ? ทั้งๆ ที่พวกมันเป็นศัตรูกับพวกเจ้า[10] ประเด็นดังกล่าวนี้บ่งชี้ให้เห็นว่าในหมู่ญินและวงศ์วานของเขา หรืออีกนัยหนึ่งสามารถกล่าวได้ว่า ในหมู่พวกเขามีการสืบสกุลวงศ์ ขณะที่ในหมู่มลาอิกะฮฺมีการสร้างในลักษณะของจิตวิญญาณ ซึ่งปัญหาดังกล่าวจะไม่มีในหมู่พวกเขา

4. อัลลอฮฺ ตรัสว่า "ผู้ทรงแต่งตั้งมะลาอิกะฮฺให้เป็นผู้นำข่าว[11] และเราทราบเป็นอย่างดีว่าการปฏิบเสธและการทำความผิดสำหรับเราะซูลแล้วเป็นไปไม่ได้ และไม่อนุญาตให้กระทำ

แต่คำตอบสำหรับบุคคลที่กล่าวว่า อิบลิสได้รับการยกเว้นจากหมู่มลาอิกะฮฺ จำเป็นต้องกล่าวว่า การยกเว้น ชัยฏอน ออกไปจากมลาอิกะฮฺไม่ได้บ่งบอกเลยว่า ทั้งสองมลาอิกะฮฺและญินเป็นประเภทเดียวกัน สิ่งที่สามารถเข้าใจได้จากโองการก็คือ อิบลิส อยู่ในแถวเดียวกันกับมลาอิกะฮฺ และอยู่ในหมู่พวกเขาซึ่งมีหน้าที่ปฏิบัติการก้มกราบเฉกเช่นเดียวกันกับมลาอิกะฮฺ บางคนกล่าวว่า การยกเว้นในโองการดังกล่าว เป็นการยกเว้นประเภทไม่ต่อเนื่อง (มุงกะฏิอ์) หมายถึง สิ่งที่ได้รับการเว้นไปจากพวกเขาไม่ได้ถูกกล่าวไว้ในประโยค[12]

ขณะที่มีคำกล่าวถึงอิบลิสว่า พวกเขาแสดงความเคารพภักดีต่อพระเจ้านานถึง 6000 ปี ดังนั้น การจัดให้การมีอยู่ประเภทนี้ร่วมกับมลาอิกะฮฺ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด และมีความเป็นไปได้

ท่านอิมามซอดิก (.) ได้ถูกถามว่า อิบลิสมาจากมวลมลาอิกะฮฺหรือไม่ หรือเป็นประเภทหนึ่งจากมวลสรรพสิ่งทั้งหลายแห่งฟากฟ้า ท่านกล่าวว่า : ไม่ได้มาจากหมู่มวลมลาอิกะฮฺและสิ่งมีชีวิตอื่น  ในฟากฟ้าแต่อย่างใด ทว่าอิบลิสมาจากหมู่มวลของญิน เพียงแต่ได้อยู่ร่วมกับมลาอิกะฮฺ ซึ่งมลาอิกะฮฺเองก็คิดว่าเขามาจากหมู่มวลมลาอิกะฮฺเช่นกัน แต่อัลลอฮฺ ทรงทราบว่าไม่ได้เป็นเช่นนั้น และเรื่องนี้ได้ดำเนินมาจนถึงกาลเวลาที่พระองค์ได้มีบัญชาให้มวลมลาอิกะฮฺ ทั้งหมดก้มกราบต่ออาดัม ความลับของอิบลิสที่ซ่อนอยู่อย่างช้านานก็ได้เปิดเผยออกมา[13]

แหล่งอ้างอิงและศึกษาเพิ่มเติม :

1. มัรฮูม เฏาะบัรระซีย์ มัจญฺมะอุลบะยาย เล่ม 1 หน้า 163 ตอนอธิบายโองการ 34  บทบะเกาะเราะฮฺ

2 . อัลลามะฮฺ มูฮัมมัดฮุเซน เฏาะบาเฏาะบาอีย์, ตัฟซีรอัลมีซาน, เล่ม 1, หน้า 122 เป็นต้นไป และเล่ม 8 , หน้า 20 เป็นต้นไป

3. อับดุลอฮฺ ญะวาด ออมูลีย์,ตัฟซีรเมาฏูอีย์, เล่ม 6, ตอนอธิบายเกี่ยวกับการสร้างอาดัม

4. อายะตุลลอฮฺ มุฮัมมัด มิซบาฮฺ ยัซดี, มะอาริฟกุรอาน เล่ม 1-3, หน้า 297 เป็นต้นไป

5. ตัฟซีร เนะมูเนะฮฺ เล่ม 1, ตอนอธิบายโองการที่ 34 บทบะเกาะเราะฮ, เล่มที่ 11 หน้า 8 เป็นต้นไป



[1] รอฆิบ เอชฟาฮานี, มุฟฟะรอดอต คำว่า ชัยฏอน

[2]  ฏูซีย์, มัจญฺมะอุลบะยาน เล่ม 1 หน้า 165 พิมพ์ที่เบรุต

[3] โองการได้ใช้คำว่า มลาอิกะอฺ ในรูปของพหูพจน์ ซึ่งมี อลีฟกับลาม ควบคู่มาด้วยเสมอ เช่น มวลมลาอิกะฮฺทั้งหมด มีหน้าที่ก้มกรามอาดัม

[4]  อัลกุรอาน บทอันบิยาอ์ โองการ 26-27

[5] อัลกุรอาน บทอัลฮิจร์ โองการที่ 27 กล่าวว่าและญินนั้น เราได้สร้างมันมาก่อนจากไฟของลมร้อน

[6] นักวิชาการกล่มหนึ่ง ตัฟซีรเนะมูเนะฮฺ เล่ม 11 หน้า 79-80

[7] อัลกุรอาน บทอัลบะเกาะเราะฮฺ โองการ 34

[8] อัลกุรอาน บทอัลกะฮฺฟิ โองการ 50

[9] อัลกุรอาน บทตะฮฺรีม โองการ 6

[10] อัลกุรอาน บทอัลกะฮฺฟิ โองการ 50

[11] อัลกุรอาน บทฟาฏิร 1 และบทฮัจญฺ 75

[12] แต่ยังมีการบ่งชี้อย่างอื่นอีก ซึ่งสามารถศึกษาได้จาก ตักซีร มัจญฺอุลบะยาน ตอนอธิบาย โองการที่ 34 บทอับบะเกาะเราะฮฺ 

   Tabarsi, บาหยัน Assembly, C 1, p 163, เผยแพร่ในเบรุต

[13] เฏาะบัรเราะซีย์ มัจญฺมะอุล บะยาน เล่ม 1 หน้า 163 พิมพ์ที่เบรุต

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • บุตรีของมุสลิม บิน อะกีลมีชื่อว่าอะไร?
    7676 تاريخ کلام 2554/06/22
    หลังจากได้ศึกษาหนังสือหลายเล่มเกี่ยวกับชีวประวัติของท่านมุสลิมบินอะกีลเข้าใจได้ว่าท่านมุสลิมมีบุตรี 2 คนนามว่าอาติกะฮฺและฮะมีดะฮฺซึ่งอาติกะฮฺอยู่ในเหตุการณ์กัรบะลาอฺด้วยและเธอได้ชะฮีดในวันอาชูรอขณะศัตรูได้บุกโจมตีเต็นท์ต่างๆส่วนฮะมีดะฮฺได้ถูกจับตัวเป็นเชลยพร้อมกับเชลยแห่งกัรบะลาอฺซึ่งตระกูลของมุสลิมได้สืบเชื้อสายมาจากนาง ...
  • เพราะเหตุใดท่านศาสดา (ซ็อลฯ) จึงไม่ลงโทษบรรดาพวกกลับกลอกเสียตั้งแต่แรก ทั้งที่ทราบถึงแผนการ การก่อกรรมชั่วของพวกเขาเป็นอย่างดี? ขณะที่ท่านคิเฎรสังหารเด็กผู้ชายคนหนึ่ง ด้วยเหตุผลที่ว่าเมื่อโตขึ้นเขาจะก่อความเสียหาย?
    7022 เทววิทยาดั้งเดิม 2555/08/22
    ถ้าหากท่านเราะซูล (ซ็อลฯ) สังหารพวกเขาตั้งแต่วันนั้นให้หมดไป ก่อนที่แผนการของพวกเขาจะถูกปฏิบัต และวันนี้ก็จะไม่มีคำพูดว่า แล้วทำไมท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ก่อนที่จะดำเนินการไม่ประณาม หรือไม่ตักเตือนพวกเขาเสียก่อน ทำไมไม่ให้โอกาสพวกเขา บางทีพวกเขาอาจเปลี่ยนแปลงก็ได้ นอกจากนั้นแล้วท่านศาสดา (ซ็อลฯ) มีหน้าที่ปฏิบัติไปตามกฎภายนอก และท่านมิได้รับอนุญาตจากอัลลอฮฺให้ทำการเข้มงวดกับบุคคลที่เป็นผู้กลับกลอก หรือปฏิบัติกับพวกเขาโดยความเข้มงวดอย่างเปิดเผย ดั่งที่บางตอนของคำเทศนาเฆาะดีรได้กล่าวว่า »ขอสาบานต่ออัลลอฮฺว่า วัตถุประสงค์ของอัลลอฮฺ จากโองการดังกล่าวคือ เซาะฮาบะฮฺกลุ่มหนึ่ง ซึ่งท่านรู้จักทั้งนามและสถานภาพของเขา, แต่ท่านมีหน้าที่ปกปิดพวกเขาไปตามสภาพ« ...
  • มีฮะดีษระบุว่า การปัสสาวะอย่างไม่ระวังจะทำให้ถูกบีบอัดในมิติแห่งบัรซัค กรุณาอธิบายให้กระจ่างด้วยค่ะ
    7019 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2555/01/15
    ในตำราฮะดีษมีบางรายงานระบุว่าท่านนบีเคยกล่าวไว้ว่า “จงระมัดระวังในการชำระปัสสาวะเถิดเพราะการลงโทษส่วนใหญ่ในสุสานเกิดจากการปัสสาวะ”[1] ท่านอิมามศอดิกก็เคยกล่าวว่า “การลงทัณฑ์ในสุสานส่วนใหญ่มีสาเหตุเนื่องมาจากปัสสาวะ”[2]อย่างไรก็ดีต้องชี้แจงเกี่ยวกับปรัชญาของอะห์กามว่าถึงแม้ฮุกุ่มทุกประเภทจะอิงคุณและโทษในฐานะที่เป็นเหตุผลก็ตามแต่เป็นเรื่องยากที่จะสามารถแจกแจงเหตุและผลของฮุก่มแต่ละข้ออย่างละเอียดละออได้ที่สุดแล้วก็ทำได้เพียงแจกแจ้งทีละข้อซึ่งหลักเกณฑ์ที่ว่าสามารถครอบคลุมส่วนใหญ่เท่านั้นมิไช่ทั้งหมดจึงทำให้อาจจะมีข้อยกเว้นบางกรณี[3]ประเด็นการไม่ระมัดระวังนะญิสของปัสสาวะนั้นสติปัญญาของคนเราเข้าใจได้เพียงระดับที่ว่าพฤติกรรมดังกล่าวจะทำลายน้ำนมาซอันเป็นเงื่อนไขของอิบาดะฮ์อย่างเช่นการนมาซ แต่ไม่อาจจะเข้าถึงสัมพันธภาพเชิงเหตุและผลระหว่างการปัสสาวะอย่างไม่ระวังกับการถูกลงโทษในสุสานได้อย่างไรก็ตามสติปัญญายอมรับในภาพรวมว่าการกระทำของมนุษย์จะส่งผลถึงโลกนี้และโลกหน้า[1]บิฮารุลอันว้าร,เล่ม
  • อัลลอฮฺ ทรงอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ธรรมชาติด้วยหรือไม่?
    6182 เทววิทยาดั้งเดิม 2555/04/07
    อัลลอฮฺ คือพระผู้ทรงกำหนดกฎเกณฑ์ต่างๆ ทางธรรมชาติ อาตมันสากลของพระองค์มิได้อยู่ภายใต้อำนาจของสิ่งใดทั้งสิ้น นอกจากความต้องการของพระองค์ หรือเว้นเสียแต่ว่าความประสงค์ของพระองค์ต้องการที่จะปฏิบัติภารกิจหนึ่ง ซึ่งทรงเป็นสาเหตุของการเกิดสิ่งนั้น ขณะเดียวกันการละเมิดกฎต่างๆในโลกที่ต่ำกว่า โดยพลังอำนาจที่ดีกว่าของพระองค์ถือเป็น กฎเกณฑ์อันเฉพาะ และเป็นประกาศิตที่มีความเป็นไปได้เสมอ ซึ่งเราเรียกสิ่งนั้นว่า ปาฏิหาริย์,แน่นอน ปาฏิหาริย์มิได้จำกัดอยู่ในสมัยของบรรดาศาสดาเท่านั้น ทว่าสามารถเกิดขึ้นได้ในทุกสมัย เพียงแต่ว่าปาฏิหาริย์ได้ถูกมอบแก่บุคคลที่เฉพาะเท่านั้น เป็นความถูกต้องที่ว่าความรู้มีความจำกัดและขึ้นอยู่ยุคสมัยและสภาพแวดล้อม ไม่มีความรู้ใดยอมรับหรือสนับสนุนเรื่องมายากล และเวทมนต์ แต่คำพูดที่ถูกต้องยิ่งกว่าคือ เจ้าของความรู้เหล่านั้นบางครั้ง ได้แสดงสิ่งที่เลยเถิดไปจากนิยามของความรู้หรือที่เรียกว่า มายากล เวทมนต์เป็นต้น อีกนัยหนึ่งกล่าวได้ว่า สิ่งนั้นคือการมุสาและการเบี่ยงเบนนั่นเอง ...
  • ภารกิจของท่านอิมามมะฮฺดียฺ (อ.) หลังจากปรากฏกายแล้วคืออะไร? แล้วเป็นไปได้ไหมที่ท่านจะถูกทำชะฮาดัตโดยน้ำมือของสตรีชราที่มีนวดเครา?
    6354 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/04/21
    ในเวลานั้นท่านอิมามมะฮฺดียฺ (อ.) จะได้รับอนุญาตจากอัลลอฮฺให้จัดตั้งทั้งด้านวัตถุปัจจัยและด้านคุณธรรมมโนธรรมเพื่อจะได้จัดตั้งรัฐบาลแห่งความยุติธรรมขึ้นมาปกครองโลกซึ่งถือว่าเป็นรัฐบาลที่ใหญ่ที่สุดบนโลกนี้ ท่านจะเป็นผู้สนับสนุนส่งเสริมเกียรติและคุณค่าของความเป็นมนุษย์พร้อมกับเรียกร้องไปสู่ความปลอดภัยชีวิตมนุษย์จะกลายเป็นชีวิตแห่งพระเจ้าในเวลานั้นท่านอิมามมะฮฺดียฺ (อ.)
  • ฮัมมาดะฮ์เป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย และมีบุคลิกอย่างไร?
    7389 تاريخ بزرگان 2555/03/08
    ตำราวิชาสายรายงานฮะดีษระบุว่ามีสตรีที่ชื่อ “ฮัมมาดะฮ์” สองคน คนหนึ่งชื่อ “ฮัมมาดะฮ์ บินติ เราะญาอ์” ส่วนอีกคนคือ “ฮัมมาดะฮ์ บินติ ฮะซัน” แต่สันนิษฐานว่าสองรายนี้คือคนๆเดียวกัน สุภาพสตรีท่านนี้เป็นสาวิกาของท่านอิมามศอดิก(อ.) ซึ่งกุลัยนีและเชคเศาะดู้กได้รายงานฮะดีษของอิมามศอดิกจากนาง[1] ท่านนะญาชีระบุว่าพี่ชายของนางชื่อซิยาด บิน อีซา อบูอุบัยดะฮ์ ฮิซาอ์ ส่วนเชคฏูซีระบุว่าพี่ชายของนางชื่อ เราะญาอ์ บิน ซิยาด จะเห็นได้ว่ามีทัศนะที่ขัดแย้งกันในเรื่องชื่อของพี่ชายและบิดาของนาง ทำให้เข้าใจได้ว่าน่าจะมีสตรีสองคนที่ชื่อฮัมมาดะฮ์ อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาถึงสำนวนของนะญาชีทำให้สามารถสันนิษฐานได้ว่าสองคนนี้แท้ที่จริงก็คือสตรีคนเดียวกัน เหตุผลที่นำมาชี้แจงก็คือ[2] อบูอุบัยดะฮ์ ฮิซาอ์ มีชื่อจริงว่า ซิยาด บิน อบีเราะญาอ์ (มิไช่แค่เราะญาอ์) ส่วนชื่อจริงของอบูเราะญาอ์คือ มุนซิร หรือซิยาด ผลที่ได้ก็คือ ...
  • อิมามมะฮ์ดีสมรสแล้วหรือยัง?
    8213 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/11/09
    แม้จะเป็นไปได้ว่าท่านอิมามมะฮ์ดี(อ.)อาจมีคู่ครองและบุตรหลาน เนื่องจากภาวะการเร้นกายมิได้จำกัดว่าจะท่านต้องงดกระทำการสมรสอันเป็นซุนนะฮ์แต่อย่างใด แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เราไม่พบเหตุผลใดๆที่ชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องนี้ สันนิษฐานว่าสาเหตุที่ประเด็นดังกล่าวไม่เป็นที่เปิดเผยนั้น อาจเป็นผลพวงมาจากความจำเป็นที่พระองค์ทรงเร้นกายท่านจากสายตาผู้คนนั่นเอง ...
  • ความสัมพันธ์ระหว่างวิญญาณกับตัวอ่อนมนุษย์เป็นไปในรูปแบบใด ทารกเจริญเติบโตก่อนวิญญาณจะสถิตได้อย่างไร?
    8884 เทววิทยาดั้งเดิม 2555/03/11
    วิญญาณเป็นสิ่งที่พ้นญาณวิสัย ซึ่งจะสถิตหรือจุติในทารกที่อยู่ในครรภ์ และจะเจริญงอกงามทีละระดับ วิญญาณก็เป็นสิ่งถูกสร้างของพระองค์เฉกเช่นร่างกาย ส่วนการที่พระองค์ทรงตรัสว่า “เราได้เป่าวิญญาณของเราเข้าไปในเขา”นั้น เป็นการสื่อถึงความยิ่งใหญ่และความสูงส่งของวิญญาณมนุษย์ด้วยการเชื่อมคำว่าวิญญาณเข้ากับพระองค์เอง กรณีเช่นนี้ในทางภาษาอรับเรียกกันว่าการเชื่อมแบบ “ลามี” อันสื่อถึงการยกย่องให้เกียรติ ดังกรณีของการเชื่อมโยงวิหารกะอ์บะฮ์เข้ากับพระองค์เองด้วยสำนวนที่ว่า “บัยตี” หรือ บ้านของฉัน การที่ทารกระยะตัวอ่อนยังไม่มีวิญญาณนั้น มิได้ขัดต่อการมีสัญญาณชีวิตก่อนที่วิญญาณจะสถิตแต่อย่างใด เนื่องจากมนุษย์มีปราณสามระยะด้วยกัน ได้แก่ ปราณวิสัยพืช, ปราณวิสัยสัตว์, ปราณวิสัยมนุษย์ ปราณวิสัยพืชถือเป็นปราณระดับล่างสุดของมนุษย์ ซึ่งมีการบริโภคและสามารถเจริญเติบโตได้ แต่ไม่มีความรู้สึก ประสาทสัมผัสและการเคลื่อนไหวตามต้องการ เสมือนพืชที่เจริญงอกงามทว่าไร้ความรู้สึก ประสาทสัมผัสและการเคลื่อนไหวตามต้องการ และเนื่องจากทารกระยะแรกมีปราณประเภทนี้ก่อนวิญญาณจะสถิต จึงทำให้มีชีวิตและเจริญเติบโตได้ ...
  • ได้ยินว่าผู้บริจาคเศาะดะเกาะฮ์จะพ้นจากภยันตรายต่างๆ ถามว่าผู้รับเศาะดะเกาะฮ์จะประสบกับภยันตรายเหล่านั้นแทนหรือไม่?
    10994 بیشتر بدانیم 2557/02/12
    “เศาะดะเกาะฮ์” ในแง่ภาษาอรับแล้ว ถือเป็นอาการนาม ให้ความหมายว่า “การมอบให้เพื่อจะได้รับผลบุญ” และมีรากศัพท์จากคำว่า “ศิดกุน” พหูพจน์ของเศาะดะเกาะฮ์คือ “เศาะดะกอต” [1] นิยามของเศาะดะเกาะฮ์ เศาะดะเกาะฮ์หมายถึง สิ่งที่บุคคลมอบให้ผู้ขัดสน ผู้ยากไร้ เพื่ออัลลอฮ์ อันเป็นการพิสูจน์ความจริงใจในแนวทางของพระองค์[2] บทบัญญัติเกี่ยวกับเศาะดะเกาะฮ์ และผลบุญที่จะได้รับ อิสลามมีบทบัญญัติเกี่ยวกับเศาะดะเกาะฮ์สองประเภทด้วยกัน 1. เศาะดะเกาะฮ์ภาคบังคับ (วาญิบ) ซึ่งก็หมายถึง “ซะกาต” นั่นเอง ดังโองการที่กล่าวว่า خُذْ مِنْ أَمْوَالِهِمْ صَدَقَةً تُطَهِّرُهُمْ وَ تُزَکِّیهِمْ بِهَا وَ صَلِّ عَلَیْهِمْ إِنَّ صَلاَتَکَ سَکَنٌ ...
  • ฮะดีซต่างๆ ในหนังสือกาฟียฺ สามารถอธิบายความอัลกุรอานได้หรือไม่?
    8275 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2555/07/16
    นักรายงานฮะดีซผู้ยิ่งใหญ่ท่านหนึ่งคือ มุฮัมมัด บิน ยะอฺกูบ กุลัยนียฺ (รฮ.) เป็นหนึ่งในปราชญ์ผู้อาวุโสฝ่ายชีอะฮฺ และเป็นหนึ่งในนักรายงานฮะดีซที่เชื่อถือได้มากที่สุดของฝ่ายอิมามียะฮฺ ท่านอยู่ในยุคสมัยการเร้นกายระยะสั้นของท่านอิมามมะฮฺดียฺ (อ.) และยังเป็นผู้ประพันธ์หนังสือ อุซูลกาฟียฺ อันเป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดี ด้วยเหตุนี้เอง จะเห็นว่ารายงานส่วนใหญ่ในหนังสือกาฟียฺล้วนเป็นที่เชื่อถือ แต่หนังสือกาฟียฺก็เหมือนกับหนังสือฮะดีซทั่วไปที่มีรายงานอ่อนแอ และไม่น่าเชื่อถืออยู่บ้าง ตามทัศนะของชีอะฮฺและอะฮฺลุซซุนนะฮฺ มีฮะดีซที่ถูกต้องจำนวนมากมายจากท่านศาสดา (ซ็อลฯ) และอิมามผู้บริสุทธิ์ บันทึกอยู่ในหนังสือญะวามิอฺริวายะฮฺ ซึ่งฮะดีซจำนวนมากเหล่านั้นได้ตัฟซีรโองการอัลกุรอาน ซึ่งหนึ่งในฮะดีซทรงคุณค่าเหล่านั้นคือ หนังสือกาฟียฺ ...

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60318 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    57856 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42418 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    39676 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    39081 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    34164 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    28200 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    28143 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    28068 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    26022 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...