การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
6973
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2554/12/20
 
รหัสในเว็บไซต์ fa10152 รหัสสำเนา 19926
คำถามอย่างย่อ
เมื่อพิจารณาโองการต่างๆ และรายงานฮะดีซแล้ว ช่วยชี้แนะด้วยว่าระหว่างเกียรติยศและความประเสริฐของอัลกุรอานกับอะฮฺลุลบัยตฺ สิ่งไหนสูงกว่ากัน?
คำถาม
เมื่อพิจารณาโองการต่างๆ และรายงานฮะดีซแล้ว ช่วยชี้แนะด้วยว่าระหว่างเกียรติยศและความประเสริฐของอัลกุรอานกับอะฮฺลุลบัยตฺ สิ่งไหนสูงกว่ากัน?
คำตอบโดยสังเขป

รายงานต่างๆ จำนวนมากมาย เช่น ฮะดีซซะเกาะลัยนฺและอิตรัต, ได้ถูกแนะนำว่าเป็นสองสิ่งหนักที่มีความเสมอภาคกัน, ใช่แล้วบางรายงานฮะดีซ เฉกเช่นสิ่งที่กล่าวไว้ในฮะดีซซะเกาะลัยนฺ ตามการรายงานบางกระแสรายงานกล่าวแนะนำไว้ว่า, อัลกุรอานอยู่ในฐานะของสิ่งหนักอันยิ่งใหญ่ และส่วนอะฮฺลุลบัยตฺ อยู่ในฐานะของสิ่งหนักอันเล็กน้อยเท่านั้น.

เกี่ยวกับประเด็นนี้เพราะสาเหตุใด อะฮฺลุลบัยตฺ (.) จึงถูกแนะนำว่าเป็นสิ่งหนักอันเล็ก ส่วนอัลกุรอานเป็นสิ่งหนักอันใหญ่ยิ่ง, จำเป็นต้องกล่าวว่า: เนื่องจากอัลกุรอานคือ พระดำรัสของพระเจ้าซึ่งความเชื่อถือได้ของอัลกุรอาน เป็นไปโดยตัวตน ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาหรือได้รับการสนับสนุนส่งเสริมจากเหตุผลอื่นใดอีก แต่คำพูดของคนอื่นต้องพึ่งพาสิ่งที่เชื่อถือได้ด้วยตัวตน เช่น อัลกุรอานเป็นตัวสนับสนุน, กล่าวคือการพิสูจน์ตำแหน่ง, และการเชื่อถือได้ของอิตรัตนั้นขึ้นอยู่กับการเชื่อถือได้ของอัลกุรอาน, เนื่องจากเพราะอัลกุรอานนั่นเองที่ทำให้พระวจนะของท่านศาสดา (ซ็อล ) ได้รับการเชื่อถือ ดังกล่าวว่า :ใดที่เราะซูลได้นำมาให้สูเจ้าก็จงรับว้า และสิ่งใดที่ท่านได้ห้ามสูเจ้าก็จงหลีกเลี่ยงเสีย

อัลกุรอานได้กล่าวกำชับเช่นนี้เพื่อให้พระวจนะของท่านเราะซูล (ซ็อล ) ได้รับความน่าเชื่อถือ ซึ่งท่านเราะซูล (ซ็อล ) ได้กล่าวว่า : «انى تارک فیکم الثقلین کتاب الله و عترتى» แท้จริงฉันได้ฝากสิ่งหนักสองสิ่งไว้ในหมู่พวกเจ้า อันได้แก่คัมภีร์แห่งอัลลฮฺ และอิตรัตของฉันดังนั้น จะเห็นว่า อิตรัต มีความเชื่อถือได้อยู่ในระดับเดียวกันกับอัลกุรอาน, แม้ว่าวจนะของท่านเราะซูล (ซ็อล ) จะได้รับการส่งเสริมสนับสนุนจากอัลกุรอานอีกทีหนึ่งก็ตาม ด้วยเหตุนี้เอง อัลกุรอาน จึงเป็นสิ่งหนักอันยิ่งใหญ่ ส่วนอิตรัตของเราะซูล (ซ็อล ) เป็นสิ่งหนักอันเล็กน้อย, แต่อย่างไรก็ตามคำอธิบายนี้ไม่เข้ากับแก่นแห่งความสัตย์จริงของอัลกุรอาน และแก่นแท้ของอะฮฺลุลบัยตฺ (.)

คำตอบเชิงรายละเอียด

สำหรับบทนำในประเด็นนี้ต้องกล่าวว่า มีรายงานจำนวนมากมายกล่าวแนะนำว่า อิตรัตนั้นอยู่ในฐานะภาพเดียวกัน และมีความเสมอภาคกับ อัลกุรอาน.

ท่านเราะซูล (ซ็อล ) ได้กล่าวถึงประเด็นนี้ว่า :

«إنی قد ترکت فیکم الثقلین کتاب الله و أهل بیتی فنحن أهل بیته»؛

แท้จริงฉันได้ละทิ้งสิ่งหนักสองสิ่งไว้ในหมู่ของพวกเจ้า อันได้แก่คัมภีร์แห่งอัลลอฮฺ และอะฮฺลุลบัยตฺของฉัน ดังนั้นพวกเราคือ อะฮฺลุลบัยตฺของท่าน[1]

หนึ่งในบทซิยาเราะฮฺท่านอิมามฮุซัยนฺ (.) ได้กล่าวกับท่านอิมามว่า :

"السلام علیک یا امین الرحمن، السلام علیک یا شریک القرآن، السلام علیک یا عمود الدین،...".

ขอความศานติพึงมีแด่ท่าน โอ้ ผู้ซื่อสัตย์แห่งเราะฮฺมาน, ขอความศานติพึงมีแดท่าน โอ้ ผู้เป็นหุ้นส่วนของอัลกุรอาน, ขอความศานติพึงมีแด่ท่าน โอ้ ผู้เป็นเสาหลักของศาสนา ...”[2]

ซึ่งถ้าพิจารณาความหมายภายนอกของฮะดีซเหล่านี้ จะเห็นว่าทั้งสองสิ่งนี้คือ แก่นแท้อันเดียวกัน ไม่มีสิ่งใดประเสริฐหรือดีไปกว่ากัน

ในขณะที่แหล่งอ้างอิงเชิงวิชาการเรื่องฮะดีซนั้น ได้ยกย่องอัลกุรอานให้อยู่ในฐานะของ สิ่งหนักอันยิ่งใหญ่ ส่วนอิตรัตของเราะซูลนั้นอยู่ในฐานะของสิ่งหนักอันเล็กน้อย เช่น รายงานบางบทที่กล่าวว่า :

«إِنِّی قَدْ تَرَکْتُ فِیکُمُ الثَّقَلَیْنِ مَا إِنْ تَمَسَّکْتُمْ بِهِمَا لَنْ تَضِلُّوا بَعْدِی وَ أَحَدُهُمَا أَکْبَرُ مِنَ الْآخَرِ کِتَابُ اللَّهِ حَبْلٌ مَمْدُودٌ مِنَ السَّمَاءِ إِلَى الْأَرْضِ وَ عِتْرَتِی أَهْلُ بَیْتِی أَلَا وَ إِنَّهُمَا لَنْ یَفْتَرِقَا حَتَّى یَرِدَا عَلَیَّ الْحَوْضَ»؛

แท้จริงฉันได้ฝากสิ่งหนักสองสิ่งไว้ในหมู่พวกเจ้า ถ้าหากพวกเจ้าได้ยึดมั่นกับทั้งสองแล้ว จะไม่หลงทางตลอดกาลภายหลังจากฉัน ซึ่งสิ่งหนึ่งนั้นหนักและยิ่งใหญ่กว่าอีกสิ่งหนึ่ง อันได้แก่คัมภีร์แห่งอัลลอฮฺ อันเป็นสายเชือกที่ถอดตรงลงมาจากฟากฟ้าสู่แดนดิน และอิตรัตของฉัน อะฮฺลุลบัยตฺของฉัน แน่นอน ทั้งสองจะไม่มีวันแยกทางออกจากกันอย่างเด็ดขาด จนกว่าทั้งสองจะย้อนกลับคืนสู่ฉัน  สระน้ำเกาษัรแห่งสวรรค์[3]

ท่านอิมามอะลี (.) กล่าวถึงประเด็นนี้ว่า : ฉันปฏิบัติตามสิ่งหนักอันยิ่งใหญ่,คือ อัลกุรอาน และได้มอบสิ่งหนักอันเล็กไว้ในหมู่พวกเจ้า[4] คำกล่าวเช่นนี้ยังมิได้เป็นเหตุผลที่บ่งบอกว่าอัลกุรอานนั้นดีกว่าอะฮฺลุลบัยตฺดอกหรือ?แล้วรายงานทำนองนี้ถือว่าอัลกุรอานและอะฮฺลุลบัยตฺมีความเท่าเทียมกันนั้น ขัดแย้งกันหรือ?

ดังนั้น สำหรับการเผชิญกับคำถามเหล่านี้ นักปราชญ์บางท่านกล่าวว่า : แม้ว่าอิมามจะเป็นอัลกุรอานพูดได้ (นาฏิก) และมีความดีกว่า แต่นั่นเป็นเพียงการพาดพิงถึงภายนอกของอัลกุรอานเท่านั้น, ซึ่งการดีกว่าเช่นนี้เฉพาะอัลกุรอานภายนอกเล่มที่อยู่ในมือของประชาชนขณะนี้เท่านั้น, แต่ถ้าเอาอิมามไปเทียบกันแก่นแท้ของอัลกุรอาน อันได้แก่พระดำรัสของพระเจ้าแล้วละก็,ท่านอิมามเป็นผู้นอบน้อมถ่อมตนต่ออัลกุรอาน ยกย่องและเทิดเกียรติของอัลกุรอานไว้สูงส่งเสมอ, กล่าวคือเนื่องจากอัลกุรอานคือ พระดำรัสและเป็นสาส์นของพระเจ้าจึงมาก่อนและประเสริฐกว่าอะฮฺลุลบัยตฺ (.)

อีกนัยหนึ่ง, อัลกุรอานสามารถใช้ได้กับ 2 คำสั่งต่อไปนี้ กล่าวคือ : ประการแรก, อัลกุรอานฉบับที่ตีพิมพ์แล้วหรือฉบับลายมือที่มีอยู่ในมือของประชานปัจจุบัน, อีกประการหนึ่งคือ สิ่งที่ญิบรออีลได้นำลงมามอบแก่ท่านศาสดา (ซ็อล ) และต่อมาได้มีการจดบันทึกหรือจัดพิมพ์เป็นรูปเล่ม. ซึ่งสิ่งนี้ก็คือ สิ่งที่บรรดาอิมาม (.) ได้ทุมเทชีวิตและเลือดเนื้อปฏิบัติตามและพิทักษ์ปกป้องไว้, และสิ่งนั้นก็คือ สิ่งหนักอันยิ่งใหญ่นั่นเอง และด้วยการธำรงอยู่ของต้นฉบับบางต้นทำให้สิ่งนั้นดำรงอยู่ได้ด้วยเช่นกัน, ส่วนอะฮฺลุลบัยตฺ คือ สิ่งหนักอันเล็กที่ได้รับการแนะนำเอาไว้, แต่อย่างไรก็ตามไม่สามารถนำเอาอัลกุรอานตามความหมายแรก ซึ่งครอบคลุมทุกฉบับที่ตีพิมพ์ ไปเปรียบเทียบกับอะฮฺลุลบัยตฺ (.) ได้, เนื่องจากอิมาม คือ อัลกุรอานที่พูดได้ ส่วนอัลกุรอานที่ตีพิมพ์คือ กุรอานที่เงียบพูดไม่ได้ และถ้าเกิดความสงสัยคลางแคลงใจ ระหว่างการปกป้องอิมาม (.) หรือการปฏิบัติตามคำสั่งของอิมาม กับการปกป้องอัลกุรอานที่ตีพิมพ์เป็นรูปเล่ม หรือลายเขียนอัลกุรอานแล้วละก็, แน่นอน ตรงนี้ต้องปกป้องรักษาอิมามไว้ก่อน และต้องเชื่อฟังปฏิบัติตามคำสั่งของท่านก่อนที่จะปกป้องกุรอานฉบับตีพิมพ์เป็นรูปเล่ม, ซึ่งเราจะต้องไม่มีข้ออ้างว่าเพื่อให้เกียรติและแสดงความเคารพต่ออัลกุรอาน, เราจึงละทิ้งคำสั่งของอิมาม, ซึ่งประเด็นนี้น่าเสียดายว่าได้เกิดขึ้นแล้วในสงครามซิฟฟีน[5]

บางคนกล่าวว่า : อัลกุรอานคือสิ่งหนักอันยิ่งใหญ่, อันเนื่องจากว่าเป็นพระดำรัสของพระเจ้า ซึ่งบรรดาศาสดาทั้งหลายต่างได้รับการแต่งตั้งลงมาเพื่อ นำเอาพระดำรัสของพระเจ้าไปเผยแพร่ในหมู่ประชาชาติ และนำเอาบทบัญญัติต่างๆ ของพระองค์มาดำเนินการปฏิบัติ, ดังนั้น อัลกุรอานจึงเป็นข้อพิสูจน์อันยิ่งใหญ่,แม้ว่าในรายงานบางบท, จะเปรียบเทียบสิ่งหนักสองสิ่งนี้คล้ายกับนิ้วชี้และนิ้วกลางก็ตาม,จุดประสงค์ก็คือ ต้องการบอกว่าสองสิ่งนี้จะไม่มีวันแยกออกจากกันอย่างแน่นอน[6]

บางท่านกล่าวว่า : ถ้าหากอัลกุรอานปราศจากอะฮฺลุลบัยตฺ และอะฮฺลุลบัยตฺปราศจากอัลกุรอานแล้วไซร์ มิสามารถชี้นำมนุษย์ไปสู่จุดหมายปลายทางได้, อัลกุรอานและอิตรัต, เป็น 2 คำนิยามที่อยู่ในฐานะเดียวกัน, ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วทั้งสองคือ แก่แท้อันเดียวกัน เพียงแต่ปรากฏในคนร่างกาย,อัลกุรอานและอิตรัต ทั้งสองคือวะฮฺยูและเป็นพระดำรัสของพระเจ้า ซึ่งทั้งสองได้สนทนาพูดคุยกับประชาชาติตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน, กล่าวคือ อิตรัตก็คือกายภาพของอัลกุรอานนั่นเอง, ด้วยเหตุนี้เองดังที่คำพูดของอัลกุรอาน เป็นข้อพิสูจน์และเป็นเหตุผลสมบูรณ์ คำพูดของอะฮฺลุลบัยตฺก็เป็นข้อพิสูจน์ด้วยเช่นเดียวกัน[7] ทั้งสองคือ โซ่ตรวนเส้นเดียวกัน,เป็นแนวทางอันเที่ยงธรรมเหมือนกัน และทั้งสองคือความสัจธรรมอันเป็นจุดหมายปลายทาง[8]

อีกนัยหนึ่ง, กล่าวได้ว่าตามคำกล่าวของรายงานเหล่านี้ก็มิได้ต้องการที่จะบอกว่าอัลกุรอานนั้นดีกว่าอิตรัตแต่อย่างใด, เนื่องจากทั้งอัลกุรอานและอิตรัตนั้นต่างเป็นแหล่งอ้างอิงทางวิชาการของอัลลอฮฺทั้งสิ้น และทั้งสองเป็นความพิเศษเลอเลิศที่ให้ประโยชน์อยู่ในระดับเดียวกัน, ทว่าการตีความเหล่านี้ต้องการจะบอกว่าอัลกุรอานมีนามว่า สิ่งหนักอันยิ่งใหญ่ เป็นสายสืบที่เชื่อถือได้ที่สุด เป็นรายงานอันหนักแน่นจากอะฮฺลุลบัยตฺ (.), อัลกุรอานคือ พระดำรัสของพระเจ้า ซึ่งความเชื่อถือได้ของอัลกุรอาน เป็นไปโดยตัวตน ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาหรือได้รับการสนับสนุนส่งเสริมจากเหตุผลอื่นใดอีก แต่คำพูดของคนอื่นต้องพึ่งพาสิ่งที่เชื่อถือได้ด้วยตัวตน เช่น อัลกุรอานเป็นตัวสนับสนุน, กล่าวคือการพิสูจน์ตำแหน่ง, และการเชื่อถือได้ของอิตรัตนั้นขึ้นอยู่กับการเชื่อถือได้ของอัลกุรอาน, เนื่องจากเพราะอัลกุรอานนั่นเองที่ทำให้พระวจนะของท่านศาสดา (ซ็อล ) ได้รับการเชื่อถือ ดังกล่าวว่า :ใดที่เราะซูลได้นำมาให้สูเจ้าก็จงรับว้า และสิ่งใดที่ท่านได้ห้ามสูเจ้าก็จงหลีกเลี่ยงเสีย[9]

อัลกุรอานได้กล่าวกำชับเช่นนี้เพื่อให้พระวจนะของท่านเราะซูล (ซ็อล ) ได้รับความน่าเชื่อถือ ซึ่งท่านเราะซูล (ซ็อล ) ได้กล่าวว่า : «انى تارک فیکم الثقلین کتاب الله و عترتى» แท้จริงฉันได้ฝากสิ่งหนักสองสิ่งไว้ในหมู่พวกเจ้า อันได้แก่คัมภีร์แห่งอัลลฮฺ และอิตรัตของฉันดังนั้น จากสองปฐมบทที่กล่าวามานี้ได้บทสรุปว่า อิตรัต มีความเชื่อถือได้อยู่ในระดับเดียวกันกับอัลกุรอาน, แม้ว่าวจนะของท่านเราะซูล (ซ็อล ) จะได้รับการส่งเสริมสนับสนุนและเชื่อถือได้ด้วย พระดำรัสของ อัลกุรอานอีกทีหนึ่งก็ตาม ด้วยเหตุนี้เอง อัลกุรอาน จึงเป็นสิ่งหนักอันยิ่งใหญ่ ส่วนอิตรัตของเราะซูล (ซ็อล ) เป็นสิ่งหนักอันเล็ก, แต่อย่างไรก็ตามคำอธิบายนี้ไม่เข้ากับแก่นแห่งความสัตย์จริงของอัลกุรอาน และแก่นแท้ของอะฮฺลุลบัยตฺ (.)[10]

แต่สิ่งที่เข้าใจได้ตรงนี้คือ การสร้างความเข้าใจกับรายงานต่างๆ เกี่ยวกับประเด็นเหล่านี้ จำเป็นต้องพิจารณาองค์ประกอบเหล่านี้ด้วย กล่าวคือ

1.ไม่ต้องสงสัยเลยว่า แก่นแท้ของอัลกุรอานและอะฮฺลุลบัยตฺ (.) นั้น อยู่  อัลลอฮฺ (ซบ.) และเป็นสิ่งเดียวกัน, ซึ่งแก่นแท้ความจริงนี้ได้ถูกมอบหมายไว้ที่ท่านเราะซูล (ซ็อล ) ในสองแม่พิมพ์ที่ปรากฏร่างภายนอกมีความแตกต่างกัน ประการหนึ่งเรียกว่า อัลกุรอาน ส่วนอีกประการหนึ่งเรียกว่า อะฮฺลุลบัยตฺ (.) และทั้งสองอยู่ในฐานะของสิ่งหนักที่ท่านเราะซูล (ซ็อล ) ได้ประกาศและฝากเอาไว้ในหมู่ประชาชาติ, รายงานบางบทกล่าวว่า ท่านเราะซูล (ซ็อล ) พยายามจะแนะนำสิ่งหนักทั้งสองแก่ประชาชาติ ท่านกล่าวว่า :

«أَنَّهُمَا لَنْ یَفْتَرِقَا حَتَّى یَرِدَا عَلَیَّ الْحَوْضَ کَإِصْبَعَیَّ هَاتَیْنِ وَ جَمَعَ بَیْنَ سَبَّابَتَیْهِ وَ لَا أَقُولُ کَهَاتَیْنِ وَ جَمَعَ بَیْنَ سَبَّابَتِهِ وَ الْوُسْطَى فَتَفْضُلُ هَذِهِ عَلَى هَذِهِ»

อัลลอฮฺ ทรงมีบัญชาแก่ฉันว่า ทั้งสองจะไม่มีวันแยกออกจากกัน จนกว่าทั้งสองจะย้อนกลับคืนสู่ฉัน  สระน้ำแห่งสรวงสวรรค์ และเนื่องจากว่าทั้งสองมีความคล้ายเหมือนนิ้วมือของฉัน (ท่านชูนิ้วชี้ทั้งสองมือประชิดติดกัน) ฉันไม่ต้องการบอกว่าทั้งสองนั้นเหมือนกับนิ้วชี้ทั้งสองของฉัน (ท่านชี้ไปที่นิ้วชี้และนิ้วกลาง) ซึ่งนิ้วหนึ่งดีกว่าและใหญ่กว่าอีกนิ้วหนึ่ง[11]

2.อาจเป็นไปได้ว่ารายงานบางบทได้เน้นย้ำถึง <

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • ในทางศาสนาแล้ว สามารถรับสินเชื่อจากธนาคารหรือสหกรณ์ออมทรัพย์ได้หรือไม่?
    9959 สิทธิและกฎหมาย 2554/10/27
    การขอรับสินเชื่อจากธนาคารหรือสหกรณ์หากไม่นำสู่ธุรกรรมดอกเบี้ยและปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในสัญญาอย่างครบถ้วนก็ถือว่ากระทำได้ต่อไปนี้คือข้อควรระวังเกี่ยวกับสินเชื่อโดยสังเขป1. การขอรับสินเชื่อหรือขอกู้ยืมจากธนาคารหรือสหกรณ์ต้องไม่มีการระบุเงื่อนไขว่าจะต้องฝากเงินจำนวนหนึ่งเสียก่อนอายะตุ้ลลอฮ์อัลอุซมาคอเมเนอีกล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ว่า: หากการชำระเงินแก่กองทุนเป็นไปในลักษณะที่ว่าให้กองทุนกู้ไว้เพื่อกองทุนดังกล่าวจะตอบแทนด้วยการให้เขากู้ยืมเงินในภายหลังหรือกรณีที่กองทุนจะให้กู้ยืมโดยมีเงื่อนไขว่าจะต้องนำฝากเงินจำนวนหนึ่งเสียก่อนเงื่อนไขเหล่านี้ถือเป็นดอกเบี้ยซึ่งเป็นสิ่งต้องห้ามและเป็นโมฆะทว่าการกู้ยืมทั้งสองกรณีถือว่าถูกต้อง[1]อย่างไรก็ดีการกำหนดเงื่อนไขว่าจะต้องเป็นสมาชิกหรือจะต้องมีภูมิลำเนาใกล้เคียงหรือเงื่อนไขอื่นๆที่จำกัดสิทธิในการยื่นขอกู้เงินนั้นถือว่าถูกต้องนอกจากนี้การสัญญาว่าจะให้สิทธิในการขอรับสินเชื่อเฉพาะผู้ที่จะเปิดบัญชีถือว่ากระทำได้แต่หากตั้งเงื่อนไขว่าจะมอบสินเชื่อในอนาคตเฉพาะผู้ที่เปิดบัญชีและวางเงินจำนวนหนึ่งเสียก่อนเงื่อนไขประเภทนี้เข้าข่ายผลประโยชน์เชิงนิติกรรมในการกู้ยืมซึ่งเป็นโมฆะ[2]2. จะต้องไม่ตั้งเงื่อนไขเกี่ยวกับผลตอบแทนในการให้/รับเงินกู้ของธนาคารหรือสหกรณ์ฮุก่มของการให้ธนาคารกู้ไม่แตกต่างจากการกู้จากธนาคารฉะนั้นหากมีการตั้งเงื่อนไขเกี่ยวกับผลตอบแทนในสัญญาให้กู้ย่อมถือเป็นการกำหนดดอกเบี้ยอันเป็นธุรกรรมต้องห้ามไม่ว่าจะเป็นการฝากประจำหรือกระแสรายวันก็ตามแต่ในกรณีที่เจ้าของเงินมิได้ฝากเงินด้วยเจตนาที่จะได้รับผลกำไรในลักษณะที่หากธนาคารไม่ให้ผลตอบแทนเขาก็ไม่ถือว่าตนมีสิทธิทวงหนี้จากธนาคารกรณีเช่นนี้สามารถฝากเงินในธนาคารได้[3]3. การรับสินเชื่อจากธนาคารในลักษณะการลงทุนร่วมกันหรือธุรกรรมประเภทอื่นที่ศาสนาอนุมัติถือว่าถูกต้องท่านอายะตุลลอฮ์อัลอุซมาคอเมเนอีกล่าวไว้ว่า: การรับสินเชื่อจากธนาคารในลักษณะการลงทุนร่วมกันหรือธุรกรรมประเภทอื่นที่ศาสนาอนุมัตินั้นไม่จัดอยู่ในประเภทการกู้ยืมหรือการให้ยืมและผลประกอบการที่ธนาคารได้รับก็ไม่ถือว่าเป็นดอกเบี้ยฉะนั้นจึงสามารถรับเงินจากธนาคารเพื่อซื้อเช่าหรือสร้างบ้านได้ส่วนกรณีที่เป็นการกู้ยืมและธนาคารได้ตั้งเงื่อนไขว่าต้องคืนเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยแม้การจ่ายคืนพร้อมดอกเบี้ยจะเป็นสิ่งต้องห้ามก็ตามแต่ตัวของการกู้ยืมถือว่าถูกต้องแล้วสำหรับผู้กู้ยืมและสามารถใช้เงินที่กู้มาได้[4]สรุปคือสินเชื่อที่รับจากธนาคารซึ่งต้องจ่ายคืนมากกว่าเงินต้นนั้นจะถือว่าถูกต้องตามหลักศาสนาก็ต่อเมื่อเข้าข่ายธุรกรรมประเภทใดประเภทหนึ่งที่อิสลามอนุมัติและไม่เป็นธุรกรรมดอกเบี้ยเท่านั้น[5]อนึ่งขอกล่าวทิ้งท้ายว่าหากไม่มีทางเลือกอื่นจริงๆและจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องกระทำสิ่งต้องห้าม(กู้พร้อมดอกเบี้ย) ก็ถือว่าอนุโลมท่านอายะตุลลอฮ์อัลอุซมาคอเมเนอีกล่าวไว้ว่า:
  • สรรเสริญ ยกย่อง และขอบคุณ แตกต่างกันอย่างไร?
    9056 เทววิทยาดั้งเดิม 2555/02/18
    ความหมายของสรรเสริญ ยกย่อง และขอบคุณ ในพจนานุกรมอรับและความหมายเฉพาะทางคือ:1. คำว่า “ฮัมด์” (สรรเสริญ) หมายถึงการสดุดีและสรรเสริญ[1] ส่วนความหมายเฉพาะทางก็คือ การกระทำที่เหมาะสม หรือคุณลักษณะดีเด่นที่กระทำโดยสมัครใจ
  • การจ่ายคุมซ์เป็นทรัพย์สินเพียงครั้งเดียว แล้วต่อไปไม่วาญิบต้องจ่ายคุมซ์อีกใช่หรือไม่?
    5831 สิทธิและกฎหมาย 2554/06/22
    ดั่งเป็นที่ทราบกันดีว่าคุมซ์คือหนึ่งในการบริจาคทรัพย์อันเป็นวาญิบสำคัญในอิสลามเป็นหนึ่งในหลักการอิสลามและเป็นอิบาดะฮฺด้วยด้วยสาเหตุนี้เองจำเป็นต้องเนียต (ตั้งเจตคติ) เพื่อแสวงความใกล้ชิดต่ออัลลอฮฺ (ซบ.)ทรัพย์สินและเงินทุนต่างๆที่ต้องจ่ายคุมซ์ถ้าหากจ่ายคุมซ์ไปแล้วเพียงครั้งเดียวไม่วาญิบต้องจ่ายคุมซ์อีกแม้ว่ากาลเวลาจะผ่านพ้นไปนานหลายปีก็ตามแต่ถ้าเป็นทรัพย์ที่เติบโตหรือมีราคาสูงขึ้นกว่าเดิมทุนเดิมไม่ต้องจ่ายคุมซ์แต่ส่วนที่เป็นผลกำไรงอกเงยอออกมาวาญิบต้องจ่ายคุมซ์[1][1]  เตาฏีฮุลมะซาอิลมะริญิอฺ
  • กรุณาอธิบายเกี่ยวกับสายรายงานและเนื้อหาของซิยารัตอาชูรอ
    7048 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2554/12/10
    แหล่งอ้างอิงหลักของซิยารัตบทนี้ก็คือหนังสือสองเล่มต่อไปนี้กามิลุซซิยารอตประพันธ์โดยญะฟัรบินมุฮัมมัดบินกุละวัยฮ์กุมี (เสียชีวิตฮ.ศ.348) และมิศบาฮุ้ลมุตะฮัจญิดีนของเชคฏูซี (ฮ.ศ.385-460) ตามหลักบางประการแล้วสายรายงานของอิบนิกูละวัยฮ์เชื่อถือได้แต่สำหรับสายรายงานที่ปรากฏในหนังสือมิศบาฮุ้ลมุตะฮัจญิดีนนั้นต้องเรียนว่าหนังสือเล่มนี้นำเสนอซิยารัตนี้ผ่านสองสายรายงานซึ่งสันนิษฐานได้สามประการเกี่ยวกับผู้รายงานฮะดีษหนึ่ง:น่าเชื่อถือ
  • วิธีตอบรับสลามขณะนมาซควรทำอย่างไร?
    12039 สิทธิและกฎหมาย 2555/05/20
    ขณะนมาซ, จะต้องไม่ให้สลามบุคคลอื่น แต่ถ้าบุคคลอื่นได้กล่าวสลามแก่เขา, เขาจะต้องตอบในลักษณะที่ว่ามีคำว่า สลาม ขึ้นหน้า, เช่น กล่าวว่า »อัสลามุอะลัยกุม« หรือ »สลามุน อะลัยกุม« ซึ่งจะต้องไม่ตอบว่า »วะอะลัยกุมสลาม«[1] สิ่งจำเป็นต้องกล่าวถึงคือ, คนเราต้องตอบรับสลามอย่างเร่งด่วน ไม่ว่าจะอยู่ในนมาซหรือไม่ก็ตาม ซึ่งถ้าลืมหรือตั้งใจไม่ตอบรับสลามโดยทิ้งช่วงให้ล่าช้านานออกไป, และไม่นับว่าเป็นการตอบรับสลามอีกต่อไป, ขณะนมาซไม่จำเป็นต้องตอบ และถ้านอกเวลานมาซไม่วาญิบต้องตอบรับสลามอีก[2] [1] ...
  • มีการระบุสิทธิของสิ่งถูกสร้างอื่นๆไว้ในคำสอนอิสลามหรือไม่?
    7416 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2555/02/04
    ในตำราทางศาสนามีฮะดีษมากมายที่ระบุว่าสิทธิประโยชน์ต่างๆมิได้ครอบคลุมเฉพาะมนุษย์เท่านั้นทว่ามัคลู้กอื่นๆก็มีสิทธิบางประการเช่นกันดังที่ปรากฏในหนังสือمن لا یحضره الفقیه มีฮะดีษหลายบทรวบรวมไว้ในหมวดที่ว่าด้วยสิทธิของปศุสัตว์เหนือเจ้าของ (حق الدابّة علی صاحبه ) ซึ่งเราขอนำเสนอโดยสังเขปดังต่อไปนี้:ท่านนบี(ซ.ล.)กล่าวว่า “สัตว์ทั้งหลายมีสิทธิเหนือผู้ครอบครองดังต่อไปนี้จะต้องให้อาหารเมื่อลงจากหลังของมันจะต้องให้มันกินน้ำเมื่อผ่านแหล่งน้ำจะต้องไม่บรรทุกสัมภาระหรือบังคับให้เดินทางเกินความสามารถของมันและอย่าฟาดที่ใบหน้าของมันเพราะสรรพสัตว์พร่ำรำลึกถึงพระองค์เสมอ”[1]นอกจากนี้ยังมีฮะดีษที่คล้ายคลึงกันในหมวดحق الدابّة علی صاحبه ของหนังสือบิฮารุลอันว้ารเล่าว่าท่านอิมามศอดิก(อ.)กล่าวว่า “สรรพสัตว์มีสิทธิเหนือเจ้าของเจ็ดประการ1. จะต้องไม่บรรทุกเกินกำลังของมัน 2.ให้อาหารเมื่อลงจากหลังของมัน 3.ให้น้ำเมื่อผ่านแหล่งน้ำ... “[2]เมื่อพิจารณาถึงฮะดีษที่ระบุถึงสิทธิของสัตว์ทำให้ทราบว่ามนุษย์มิไช่ผู้ที่มีสิทธิเพียงผู้เดียวทว่าสรรสิ่งอื่นๆก็มีสิทธิบางประการเช่นกันกรุณาอ่านเพิ่มเติมได้ที่ระเบียน:  วิธีการรำลึกถึงอัลลอฮ์ของวัตถุและพืชคำถามที่ 7575  ( ลำดับในเว็บไซต์8341 ) 
  • เงื่อนไขของอิสลามและอีหม่านคืออะไร?
    15876 สิทธิและกฎหมาย 2554/09/21
    อิสลามและอีหม่านมีระดับขั้นที่แตกต่างกันระดับแรกซึ่งก็คือการรับอิสลามนั้นหมายถึงการที่บุคคลสามารถเข้ารับอิสลามได้โดยเปล่งปฏิญาณว่า اشهد أن لا اله الا الله" و اشهد أنّ محمداً رسول الله โดยสถานะความเป็นมุสลิมจะบังเกิดแก่เขาทันทีอาทิเช่นร่างกายของเขาและลูกๆจะสิ้นสภาพนะญิสเขาสามารถแต่งงานกับสตรีมุสลิมได้สามารถทำธุรกรรมกับมุสลิมได้ทุกประเภททรัพย์สินและศักดิ์ศรีของเขาจะได้รับการพิทักษ์เป็นพิเศษฯลฯ แต่อย่างไรก็ดีเมื่อปฏิญาณตนเข้ารับอิสลามก็ย่อมมีผลพวงในแง่ความรับผิดชอบทางศาสนาเช่นการนมาซถือศีลอดชำระคุมุสจ่ายซะกาตประกอบพิธีฮัจย์ศรัทธาต่อสิ่งที่เหนือญาณวิสัยยอมรับวันปรโลกสวรรค์และนรกตลอดจนศรัทธาต่อเหล่าศาสนทูตเหล่านี้ถือเป็นระดับชั้นที่สูงและสมบูรณ์ขึ้นของอีหม่านนอกเหนือจากการปฏิบัติศาสนกิจแล้วการหลีกห่างสิ่งต้องห้ามทางศาสนาย่อมจะช่วยยกระดับอีหม่านได้เป็นอย่างดี ยิ่งไปกว่านั้นคำสอนของกุรอานนบี(ซ.ล.)และบรรดาอิมามมะอ์ศูมยังบ่งชี้ว่าอิสลามที่ปราศจากการยอมรับ "วิลายะฮ์"ของอิมามสิบสองท่านย่อมถือว่าไม่ครบถ้วนสมบูรณ์และไม่เป็นที่ยอมรับณอัลลอฮ์นอกจากนี้จิตใจของมุสลิมผู้ศรัทธาจะต้องปราศจากชิริกและการเสแสร้งเพราะจะทำให้อะมั้ลอิบาดะฮ์ที่กระทำมาสูญเสียคุณค่าไปโดยปริยายและจะทำให้หมดโอกาสที่จะได้รับความผาสุกและต้องถูกเผาไหม้ในเพลิงพิโรธของพระองค์ฉะนั้นประชากรมุสลิมทั้งหมดที่กล่าวกะลิมะฮ์ล้วนเป็นมุสลิมทุกคนแม้ว่าบางคนจะอยู่ในระดับพื้นฐานของอิสลามโดยที่การละเลยศาสนกิจบางประการมิได้ส่งผลให้ต้องพ้นสภาพความเป็นมุสลิมแต่อย่างใด ...
  • ฉันต้องการฮะดีซสักสองสามบท ที่ห้ามการติดต่อสัมพันธ์กัน ระหว่างชายหนุ่มและหญิงสาวที่สามารถแต่งงานกันได้?
    6595 สิทธิและกฎหมาย 2555/01/23
    ความสัมพันธ์ระหว่างนามะฮฺรัม 2 คน, กว้างมากซึ่งแน่นอนว่าบางองค์ประกอบของมันไม่มีปัญหาแต่อย่างใดจากคำถามที่ได้ถามมานั้นยังมีความเคลือบแคลงอยู่แต่จะขอตอบคำถามนี้ในหลายสถานะด้วยกัน
  • ผมทำงานอยู่ในร้านค้าแห่งหนึ่ง วันหนึ่งเจ้าของร้านตัดสินใจไล่ผมออกจากงาน แต่ไม่ได้จ่ายค่าจ้างที่เหลือให้ผม อนุญาตหรือไม่ที่จะหยิบฉวยของในร้านหรือทรัพย์สินของเขาทดแทนค่าจ้างที่เขายังไม่ได้จ่ายให้ผม ?
    6254 สิทธิและกฎหมาย 2555/02/09
    คำถามของคุณได้ถูกส่งไปยังสำนักงานมัรญะอ์ตักลีดหลายท่านแล้วและได้คำตอบมาดังนี้ท่านอายาตุลลอฮ์อัลอุซมาคอเมเนอี“การกระทำในลักษณะตอบโต้ลูกหนี้จะเป็นที่อนุมัติก็ต่อเมื่อลูกหนี้อ้างโดยมิชอบว่าตนไม่ได้เป็นหนี้หรือขัดขืนไม่ยอมจ่ายหนี้โดยไม่มีทางอื่นที่จะทวงหนี้ได้นอกจากวิธีนี้แต่หากนอกเหนือจากนี้แล้วการที่จะยึดและใช้ประโยชน์ในทรัพย์สินของเขาโดยไม่ได้รับอนุญาตถือว่าไม่เป็นที่อนุมัติ”ท่านอายาตุลลอฮ์อัลอุซมาซีซตานี“หากเขาเป็นหนี้เราและไม่ยอมจ่ายหนี้ในกรณีที่เขายอมรับว่าเขาเป็นหนี้เราสามารถชดเชยสิ่งนี้ด้วยการริบทรัพย์สินของเขาที่พบเห็น”ท่านอายาตุลลอฮ์อัลอุซมามะการิมชีรอซี“เราไม่ทราบถึงเรื่องส่วนตัวดังกล่าวแต่โดยทั่วไปแล้วหากผู้ใดลิดรอนสิทธิผู้อื่น
  • แต่งงานมา 8 ปีและไม่เคยชำระคุมุสเลย กรุณาให้คำแนะนำด้วย
    5959 สิทธิและกฎหมาย 2555/03/18
    สำนักงานของท่านอายาตุลลอฮ์อุซมา ซิซตานี วันแรกของการทำงานถือว่าเป็นต้นปีของการชำระคุมุส และในวันครบรอบวันนั้นของทุก ๆ ปีจำเป็นที่จะต้องชำระคุมุสในสิ่งที่เหลือใช้ ไม่ว่าจะเป็นเงินสดหรือสิ่งของก็ตาม เช่นข้าวสารอาหารแห้ง ข้าวของเครื่องใช้และเสื้อผ้าที่เหลือใช้เป็นต้น หากภายในหนึ่งปีไม่ได้ใช้สิ่งของเหล่านั้น และหากปีก่อน ๆ ไม่ได้คำนวนและชำระคุมุสก็จะต้องทำเช่นนี้ด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ดี จะต้องชำระย้อนหลังในส่วนที่หลงเหลือมาจนทบปีใหม่ซึ่งเผอิญใช้ชำระไปทั้งที่ยังไม่ได้ชำระคุมุสของปีก่อนๆ และหากไม่แน่ใจว่าคุมุสที่ค้างอยู่นั้นมีจำนวนเท่าใด จะต้องชำระในจำนวนที่แน่ใจไว้ก่อน ถึงแม้ว่าจะทยอยชำระก็ตาม และอิฮ์ติยาฏวาญิบจะต้องเจรจากับตัวแทนของมัรญะอ์เกี่ยวกับจำนวนคุมุสที่คลุมเคลือด้วย อย่างเช่น หากสันนิษฐานในระดับ 50 เปอร์เซนต์ว่าต้องชำระคุมุสจำนวนหนึ่ง ก็สามารถชำระครึ่งหนึ่งของคุมุสจำนวนนั้น และหากเป็นบ้าน, ของใช้ในบ้าน, รถ หรือของใช้อื่น ๆ ซึ่งได้ซื้อมาด้วยกับเงินที่ได้มาในตลอดทั้งปี และได้ใช้อยู่เป็นประจำก็จะถือว่าไม่ต้องชำระคุมุสแต่อย่างใด สำนักงานท่านอายาตุลลอฮ์อุซมา มะการิม ชีรอซี ไม่จำเป็นที่จะต้องชำระเงินคุมุสของบ้านและเฟอร์นิเจอร์ทั้งหมด อีกทั้งยานพาหนะ (ถ้ามี) ให้คำนวนของใช้ที่เหลือและหักลบหนี้สินที่เกี่ยวข้องออกไป สามารถชำระคุมุสจากเงินที่เหลือทั้งหมดด้วยเงินสดหรือเงินผ่อนได้

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60470 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    58054 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42574 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    39918 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    39219 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    34330 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    28379 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    28306 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    28236 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    26177 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...