การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
7831
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2554/11/21
 
รหัสในเว็บไซต์ fa1425 รหัสสำเนา 19002
คำถามอย่างย่อ
ท่านอิมามซะมานจะอยู่ในทุกที่หรือ แม้แต่ในประเทศต่างๆ (ยะฮูดียฺ) หรือประเทศที่ไม่ใช่มุสลิม?
คำถาม
การที่กล่าวว่าท่านอิมามซะมาน (อ.) จะปรากฏตัวในทุกที่ แล้วประเทศที่มิใช่มุสลิมเช่น ยะฮูดียฺ จะปรากฏตัวด้วยหรือไม่ แล้วท่านอิมามจะให้ความสนใจกับบุคคลที่ก่อความเสียหายบนหน้าแผ่นดินด้วยหรือไม่?
คำตอบโดยสังเขป

ถ้าหากพิจารณาด้วยสติปัญญาและตรรกะแล้ว จะพบว่าการไปถึงยังจุดสมบูรณ์สูงสุดอันเป็นที่ยอมรับ โดยปราศจากการชี้นำจากองค์พระผู้อภิบาลสิ่งนี้ไม่อาจเป็นไปได้อย่างแน่นอน อัลลอฮฺ (ซบ.) ได้ส่งบรรดาข้อพิสูจน์ของพระองค์มายังหมู่ประชาชนเพื่อชี้นำทางพวกเขา ด้วยวิธีการที่ดีที่สุด บรรดาอิมามและศาสนทูตได้รับอนุญาตจากอัลลฮฺเพื่อจะได้ใช้ความสามารถเพียงพอต่อการสร้างอิทธิพล และการงานที่เปี่ยมด้วยพลังอำนาจในทุกที่บนโลกนี้, เพื่อจะได้สามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด, ดังนั้น คำถามของท่านสามารถตอบได้ใน 4 ลักษณะด้วยก้น :

1.วัตถุประสงค์ในการสร้าง และความจำเป็นในการชี้นำของพระองค์ อัลกุรอาน กล่าวว่า :เรามิได้สร้างมนุษย์และญินขึ้นมาเพื่อการใด ยกเว้นเพื่อการแสดงความเคารพภักดี[i]

2.การชี้นำทางของพระเจ้าจะครอบคลุมเหนือประชาชนทั้งหลาย อัลลอฮฺ (ซบ.) ตรัสว่า : แน่นอน เจ้าคือผู้ตักเตือนและสำหรับทุกประชาชาติย่อมมีผู้ชี้นำ

3.ผู้นำด้านจิตวิญญาณแห่งพระเจ้า จะปรากฏในทุกประชาชาติ ดังเช่นคำกล่าวของ ท่านอิมามบากิร (.) ที่ว่า บรรดาอิมาม และบรรดาศาสดา คือสาเหตุของความปลอดภัยสำหรับชาวดินทั้งหลาย และเป็นสาเหตุของการเพิ่มพูนการลงโทษแก่ชาวดินด้วยเช่นกัน ซึ่งสิ่งนี้ครอบคลุมเหนือมนุษย์ทั้งหมด. มีเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับการได้รับทางนำของมนุษย์ หรือการหลงทางของผู้คนโดยผ่านท่านอิมามซะมาน (.) ซึ่งในคำตอบโดยละเอียดเราจะอธิบายถึงประเด็นดังกล่าว

4.อำนาจของบรรดาอิมามที่มีเหนือประชาโลก ศักยภาพในการจัดการดูแลโลก

ด้วยเหตุนี้ ท่านอิมามฮุซัยนฺ (.) กล่าวว่า อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงสร้างทุกสรรพสิ่ง แล้วทรงมีบัญชาว่าให้สิ่งเหล่านั้นเชื่อฟังปฏิบัติตามผู้ชี้นำแห่งพระเจ้า ซึ่งตำราบางเล่มของฝ่ายชีอะฮฺ (มุนตะค็อบบุลอะซัร) ได้กล่าวถึงปาฏิหาริย์จำนวนหนึ่งของท่านอิมามซะมาน (.) ซึ่งแสดงให้เห็นถึง อำนาจเหนือธรรมชาติของท่านอิมาม (.)

สรุปสิ่งที่กล่าวมาจะเห็นว่าโลกและจักรวาลนั้นยิ่งใหญ่ แต่ฐานันดรของท่านอิมามซะมานสูงส่งและยิ่งใหญ่กว่านั้น ซึ่งท่านอิมามได้ปรากฏกายให้มุสลิมบางกลุ่มเฉพาะได้เห็น ท่านอิมามซะมาน (.) คือข้อพิสูจน์ของอัลลฮฺบนหน้าแผ่นดิน ท่านจะอยู่ในทุกที่ และจะชี้นำมนุษย์ทุกคนที่ปรารถนาการชี้นำทาง และทุกที่ๆ มีความเหมาะสมท่านจะปรากฏที่นั่น



[i] อัลกุรอาน บทอัซซารียาต, 54 : "و ما خلقت الجن و الانس الا لیعبدون"

คำตอบเชิงรายละเอียด

คำตอบสำหรับคำถามเหล่านี้ตามเหตุผลที่กล่าวอ้างแล้วถึงความเอาใจใส่ ความรักและความเมตตาของท่านอิมามซะมาน (.) เช่นเดียวกันการปรากฏกายของท่านในการสร้างสายสัมพันธ์กับบุคคลที่มีสิทธิ์ในคำสั่งนี้ หรือการชี้นำไปตามความเหมาะสม (แม้ว่าพวกเขาจะเป็นยะฮูดียฺ หรือกลุ่มชนที่คล้ายคลึงกับพวกเขา หรือกลุ่มชนที่หลงลืม)

ในมุมมองของตรรกะและสติปัญญา,ความเหมาะสม (การไปถึงยังความสมบูรณ์) ซึ่งเป็นสาเหตุของการสร้างมนุษย์, จะสัมฤทธิผลได้ด้วยการเชื่อฟังปฏิบัติตามคำสั่งของอัลลอฮฺ (ซบ.) และการเรียนรู้คำสั่งเหล่านั้นถูกจำกัดไว้ในหนทางการชี้นำของบรรดาศาสนทูต และบรรดาอิมามเท่านั้น ด้วยเหตุนี้เอง ไม่ว่าที่ใดก็ตามถ้าพบว่ามีผู้ปรารถนาในการชี้นำของอิมาม (.) หรือต้องการทัศนะอันเฉพาะของท่าน หรือมีความต้องการในการปรากฏกายของท่าน, ดังนั้น การนี้จะเกิดขึ้นไปตามความเหมาะสม, เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ไม่ได้สร้างมนุษย์ขึ้นมาอย่างไร้สาระ ประกอบกับองค์ประกอบด้านสติปัญญา และจิตวิทยาก็ยอมรับว่าพระองค์มิได้สร้างมนุษย์มาอย่างไร้สาระแน่นอน ฉะนั้น ถ้าหากมนุษย์ไม่ได้รับการชี้นำไปตามความเหมาะสมโดยผ่านบรรดาผู้นำแห่งพระองค์แล้วละก็ พวกเขาต้องหลงทางอย่างแน่นอน และถือว่าวัตถุประสงค์ในการสร้างของพระองค์บกพร่อง ขณะที่อัลลอฮฺ (ซบ.) ผู้ซึ่งปรากฏการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นล้วนอยู่ในอำนาจของพระองค์, และพระองค์ทรงสร้างเหล่าบรรดาผู้นำของพระองค์ให้มีศักยภาพและความสามารถที่เพียงพอ เพื่อจะได้สามารถช่วยเหลือผู้คนที่ระหนออกไป ไม่ว่าจะอยู่ในสำนักคิดหรือศาสนาใดก็ตาม ซึ่งอัลลอฮฺ (ซบ.) จะทรงช่วยเหลือเขาในการเตรียมพร้อม และทรงชี้นำทางพวกเขาไปสู่หนทางที่ถูกต้อง

อัลกุรอาน และรายงานจำนวนมากมายได้พิสูจน์สิ่งที่ผ่านไปแล้วและมีอยู่จริง ซึ่งจะขอนำเสนอเฉพาะสิ่งที่สำคัญที่สุดเท่านั้น

1.เกี่ยวกับการอธิบายถึงวัตถุประสงค์ในการสร้างมนุษย์ และความจำเป็นในการชี้นำทางพวกเขา อัลกุรอานกล่าวว่า :เราได้สร้างมนุษย์และญินขึ้นมา เพื่อการแสดงความเคารพภักดี

2. เกี่ยวกับการอธิบายถึงการชี้นำทาง และความจำเป็นในการมีผู้นำ ซึ่งครอบคลุมเหนือประชาชาติทั้งปวง และไม่จำเป็นว่าต้องเป็นประชาชาติใดประชาชาติหนึ่งเท่านั้น อัลลอฮฺ (ซบ.) ตรัสว่า :อันที่จริง เจ้าเป็นผู้ตักเตือนและทุกประชาชาติจำเป็นต้องมีผู้ชี้นำทาง[1]

ตามคำอธิบายของโองการข้างต้น ซึ่งอธิบายว่าการชี้นำทางมนุษย์ได้กล่าวไว้ในลักษณะของกฎโดยรวมว่า, ประชาชาติทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นยะฮูดียฺ หรือคนทำบาป ทุกคนต่างอยู่ภายใต้กฎข้อนี้โดยถ้วนหน้ากัน แน่นอนว่า แม้ว่าการชี้นำทางจะครอบคลุมทั้งวิสัยทัศน์และความรักก็ตามจงกล่าวเถิดว่า "อัลลอฮฺนั้นทรงมีหลักฐานอันทั่วถึง[2]

ตามสาระของโองการนี้ในเรื่องการชี้นำทาง, จะเห็นว่ามิได้มีการจำกัดพื้นที่แต่อย่างใด, อีกทั้งเวลาและชนชาติอันเฉพาะเจาะจงก็มิได้ถูกกล่าวถึง ซึ่งเป็นที่ชัดเจนว่า อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงประทานผู้ชี้นำที่เพียงพอสำหรับทุกท้องที่และทุกประชาชาติ

3.ในการกล่าวถึงวิสัยทัศน์และความรักอันเฉพาะของเหล่าบรรดาผู้นำแห่งฟากฟ้า ที่มีต่อชาวดินทั้งหลาย (ไม่ว่าจะเป็นยะฮูดียฺ ฮินดู หรืออื่นๆ) ท่านอิมามบากิร (.) ได้ตอบคำถามของนักรายงานฮะดีซคนหนึ่ง ซึ่งถามถึงเหตุผลในความต้องการที่มีต่อบรรดาศาสดาและอิมาม, ท่านอิมาม (.) ตอบว่า :ถ้าหากปราศจากพวกเขาแล้ว แผ่นดินไม่อาจดำรงอยู่ต่อไปได้ และการลงโทษชาวดินได้ถูกยกเลิกไปเนื่องจากความจำเริญที่มีพวกเขาอยู่เวลานั้นท่านอิมามได้อ้างถึงอัลกุรอาน โองการหนึ่งที่ว่า : "و ما کان الله لیعذبهم و أنت فیهم" และพระองค์อัลลอฮฺจะไม่ทรงลงโทษพวกเขา (คนชั่ว) ขณะที่เจ้ายังอยู่ในหมู่พวกเขา[3] หลังจากนั้นท่านอิมามได้อ้างถึงคำพูดของท่านศาสดา (ซ็อล ) ที่กล่าวว่าหมู่ดวงดาวทั้งหลายคือสัญลักษณ์ของความปลอดภัยแห่งฟากฟ้า ส่วนอะฮฺลุลบัยตฺ ของฉันคือสัญลักษณ์ความปลอดภัยของชาวดินเนื่องจากอัลลอฮฺ ทรงประทานความจำเริญ เครื่องยังชีพ ทรงให้โอกาสคนทำความผิด และทรงชะลอการลงโทษพวกเขา ก็เนื่องจากพวกเขาคือสื่อของอัลลอฮฺ บนหน้าแผ่นดินนั่นเอง[4]

4.การพิสูจน์ถึงอำนาจของบรรดาอิมามที่มีต่อโลกและจักรวาล นั่นคือทุกการจัดการสำหรับพวกเขาแล้วมีความเป็นไปได้ และในกรณีที่จำเป็น อิมาม (.) จะใช้ลักษณะที่เห็นควรปรากฏกาย  ที่นั้น, ท่านอิมามฮุซัยนฺ (.) กล่าวว่าฉันขอสาบานด้วยพระนามของพรเจ้าที่พระองค์มิทรงสร้างสิ่งใดขึ้นมา เว้นเสียแต่เพื่อการแสดงความเคารพภักดีต่อพระองค์[5]

ท่านอมามบากิร (.) กล่าวถึงวัตถุประสงค์ของความเมตตาอันกว้างไกลในโองการที่กล่าวว่าการเอ็นดูเมตตาของฉันนั้นกว้างขวางทั่วทุกสิ่ง[6] ท่านกล่าวว่าหมายถึงวิชาการของบรรดาอิมาม[7] ซึ่งสามารถกล่าวได้อย่างถูกต้องว่า การปรากฎความรู้และจิตวิญญาณของบรรดาอิมามนั้น มีในทุกที่

ทำนองเดียวกันเกี่ยวกับการอธิบายอัลกุรอาน โองการที่ว่าและอัลลอฮฺทรงมีตัวอย่างอันสูงส่ง[8] ประกอบกับรายงานที่เชื่อถือได้และถูกต้องอีก 15 รายงาน ได้แนะนำว่า บรรดาอิมามมะอฺซูม (.) ทั้งหมดคือเครื่องหมายแห่งความรู้และอำนาจของอัลลอฮฺ.[9]

ท่านอิมามซอดิก (.) กล่าวไว้ในที่หนึ่งว่า :เป็นไปได้อย่างไรที่บรรดาอิมาม (.) คือข้อพิสูจน์สำหรับชาวตะวันออก และตะวันตก แต่ว่าพวกเรามองไม่เห็น และพวกเขาก็ไม่มีอำนาจด้วย[10]

เกี่ยวกับอำนาจและการครอบคลุมด้วยบุคลิกภาพของท่านอิมามซะมาน (.) จากสิ่งที่กล่าวผ่านมาแล้ว จะพบว่าผู้ตักเตือนด้วยความเมตตาและการชี้นำทางของท่านอิมามซะมาน ความจำเป็นในการปรากฏกายของท่านอิมามในทุกที่นั้น ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมและสติปัญญา

ผู้เขียนหนังสือ มุนตะค็อบุลอะซัร (ฯพณฯท่านอายะตุลลอฮฺซอฟียฺ) ได้รวบรวมรายงานและร่องรอยต่างๆ ที่เกี่ยวกับท่านอิมามซะมาน (.) พร้อมกับการวิเคราะห์ ซึ่งท่านได้รวมรวมปาฏิหาริย์สำคัญของท่านอิมามไว้ถึง 8 ประการด้วยกัน ซึ่งบ่งบอกให้เห็นถึงการดูแลจัดการของท่านในการมีอยู่ของสรรพสิ่ง และยังบ่งบอกให้เห็นถึงอำนาจและการควบคลุมของท่านอีกด้วย ซึ่งในตอนท้ายท่านได้กล่าวว่า : ยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่บันทึกไว้ในหนังสือ บิฮารุลอันวาร และหนังสืออื่น ซึ่งรายงานทั้งหมดเหล่านั้นอยู่ในขั้นของ มุตะวาติร อย่างมิต้องสงสัย เนื่องจากสายรายงานจำนวนมากซึ่งสุดท้ายแล้วเป็นพวกที่เชื่อถือได้และถูกต้องทั้งสิ้น[11] ซึ่งทั้งหมดเหล่านี้เป็นการกำกับดูแลโดยรวมของท่านอิมามซะมาน (.) ที่มีต่อทุกคนแม้แต่พวกยะฮูดียฺ และผู้ปฏิเสธศรัทธา

อย่างไรก็ตามความการุณย์และการชี้นำอันเฉพาะของท่านอิมามมะฮฺดียฺ (.) จะมีแก่บุคคลที่มีความพร้อมในการได้รับคำชี้นำด้านจิตวิญญาณ และการช่วยเหลือจากท่าน ไม่ว่าบุคคลนั้นจะอยู่ในแผ่นดินอิลามหรือไม่ก็ตาม

สรุป และสิ่งนี้ก็คล้ายคลึงกับการที่ท่านศาสดา และริชาละฮฺของท่านเป็นสากล ท่านอิมาม (.) ในฐานะตัวแทนของท่านศาสดา (ซ็อล ) ท่านจึงเป็นอิมามสำหรับประชาชนทั้งปวง ไม่ว่าจะเป็นมุสลิมหรือไม่ก็ตาม, เพียงแต่ว่าพวกเขา (ผู้ไม่ใช่มุสลิม) ไม่ได้รับเตาฟีกในการเชื่อฟังปฏิบัติตามท่านเท่านั้น, ถ้าหากท่านอิมามซะมาน (.) ได้เอาใจใส่ต่อบรรดาผู้ที่มิได้เป็นมุสลิม, สิ่งนี้มิได้เป็นหลักประกันยืนยันภารกิจด้านจริยธรรมที่ไม่ดี หรือความประพฤติที่ต่อต้านมนุษย์ หรือการฝ่าฝืนของพวกเขาแต่อย่างใด, เนื่องจากว่าพวกเขามีข้อพิสูจน์ที่ดียิ่งของพระเจ้าเยี่ยงอิมาม, แต่พวกเขายังเลือกหนทางที่ไม่ดีและได้กระทำความผิด



[1] อัลกุรอาน บทอัรเราะอ์ดุ, 13 : "انما انت منذر و لکل قوم هاد", ตัฟซัรอัลมีซาน, เล่ม 11, หน้า 335. (บทวิภาษเกี่ยวกับอิมามะฮฺและคำอธิบาย, เล่ม 1, หน้า 270, 282.

[2] อัลกุรอาน บทอันอาม, 149, "قل فلله الحجة البالغة" :

[3] อัลกุรอาน บทอันฟาล, 33

[4] มัจญฺมูอ์ ริวายะฮฺ บิฮารุลอันวาร, เล่ม 23, หน้า 19.

[5]นะมอซียฺ, อะลี, อิซบาติวิลายะฮฺ, หน้า 59, "و الله ما خلق الله شیئاً الا و قد امره بالطاعة لنا"

[6] อัลกุรอาน บทอะอฺรอฟ, 156

[7] นะมอซียฺ, อะลี, อิซบาติวิลายะฮฺ, หน้า 67,

[8] อัลกุรอาน บทนะฮฺลุ, 60.

[9] นะมอซียฺ, อะลี, อิซบาติวิลายะฮฺ, หน้า 126 – 127.

[10] อ้างแล้ว, 65.

[11] ซอฟียฺ, ฆุ้ลภัยคอนียฺ, มุนตะค็อบบุลอะซัร, หน้า 401 – 411.

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • การนอนในศาสนสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เช่นบริเวณฮะร็อมมีฮุกุมอย่างไร?
    5764 สิทธิและกฎหมาย 2554/11/19
    ฮะร็อม(บริเวณสุสาน)ของบรรดาอิมามตลอดจนศาสนสถานถือเป็นสถานที่ที่มุสลิมให้เกียรติมาโดยตลอดเนื่องจากการแสดงความเคารพสถานที่เหล่านี้ถือเป็นการให้เกียรติบรรดาอิมามและบุคคลสำคัญต่างๆที่ฝังอยู่ณสุสานดังกล่าวฉะนั้นควรหลีกเลี่ยงการกระทำที่ส่อไปในทางลบหลู่ดูหมิ่นสถานที่เหล่านี้เท่าที่จะทำได้แต่ทว่าในแง่ของฟิกฮ์การนอนในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เช่นมัสยิด, ฮะร็อมฯลฯถือว่าไม่เป็นที่ต้องห้ามนอกจากคนทั่วไปจะมองว่าการนอนในสถานที่ดังกล่าวเป็นการไม่ให้เกียรติสถานที่ซึ่งในกรณีนี้เนื่องจากวิถีประชาเห็นว่าการกระทำนี้เป็นสิ่งที่ไม่บังควรก็จะถึอว่าไม่ควรกระทำไม่ว่าสถานที่เหล่านั้นจะเป็นมัสยิดหรือฮะร็อมของบรรดาอาอิมมะฮ์ฯลฯก็ตาม
  • คำว่า “ฮุจซะฮ์”ในฮะดีษของมุฮัมมัด บิน ฮะนะฟียะฮ์ หมายความว่าอย่างไร?
    7730 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2555/02/12
    คำว่าฮุจซะฮ์ที่ปรากฏในฮะดีษบทต่างๆแปลว่าการยึดเหนี่ยวสื่อกลางในโลกนี้ระหว่างเรากับอัลลอฮ์ท่านนบีและบรรดาอิมาม(อ.) ซึ่งก็หมายถึงศาสนาจริยธรรมและความประพฤติที่ดีงามหากบุคคลยึดถืออิสลาม
  • เพราะสาเหตุใดที่ ปรัชญาอันเป็นแบบฉบับของอิสลาม ไม่สามารถยกสถานภาพของตนให้กับ ปรัชญาใหม่แห่งตะวันตกได้ พร้อมกันนั้นปรัชญาอิสลาม ยังคงดำเนินต่อไปตามแบบอย่างของตน?
    9219 آراء شناسی 2557/05/20
    การยอมรับทุกทฤษฎีความรู้นั้นสิ่งจำเป็นคือ ต้องมีพื้นฐานของเหตุผลเป็นหลัก ดังนั้น บนพื้นฐานดังกล่าวนี้ ถ้าหากว่าสมมติฐานต่างๆ ในอดีตบางอย่าง ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า ไม่ถูกต้องหรือเป็นโมฆะนั่นก็มิได้หมายความว่า ทฤษฎีความรู้ทั้งหมดเหล่านั้น จะโมฆะไปด้วย แต่ปรัชญาอิสลามนั้นแตกต่างไปจากทฤษฎีความรู้ดังกล่าวมา ตรงที่ว่าปรัชญาอิสลามมีความเชื่อ ที่วางอยู่บนเหตุผลในเชิงตรรกะ และสติปัญญา ดังนั้น เมื่อถูกปรัชญาตะวันตกเข้าโจมตี นอกจากจะไม่ยอมสิโรราบแล้ว ยังสามารถใช้เหตุผลโต้ตอบปรัชญาตะวันตกได้อย่างองอาจ นักปรัชญาอิสลามส่วนใหญ่มีการศึกษาปรัชญาตะวันตก และนักปรัชญาตะวันตก พร้อมกับมีการหักล้างอย่างจริงจัง ...
  • ฮะดีษร็อฟอ์ (เพิกถอน) คืออะไร?
    7705 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2555/02/04
    ฮะดีษร็อฟอ์เป็นชื่อเรียกของฮะดีษสองบทจากท่านนบี(ซ.ล.) ซึ่งหนึ่งในสองบทกล่าวถึงการผ่อนผันข้อบังคับหรือสถานะนานาประเภทรวมทั้งผลต่อเนื่องต่างๆในอิสลามให้พ้นจากผู้บรรลุนิติภาวะในลักษณะบทเฉพาะกาล อีกบทหนึ่งกล่าวถึงการผ่อนผันข้อบังคับบางประการเฉพาะสำหรับบุคคลบางกลุ่มฮะดีษแรกแม้จะมีข้อแตกต่างเกี่ยวกับรายละเอียดของภาระที่ผ่อนผันอยู่บ้างแต่ก็ปรากฏอยู่ในตำราที่มีชื่อเสียงส่วนใหญ่ของชีอะฮ์ทั้งยุคแรกและยุคหลังโดยอิมามศอดิก(อ.) และอิมามริฎอ(อ.)รายงานจากท่านนบี(ซ.ล.) และถือว่ามีสายรายงานที่เศาะฮี้ห์เนื้อหาเบื้องต้นของฮะดีษที่คัดเฉพาะบทที่มีรายละเอียดสมบูรณ์ที่สุดมีดังนี้ “ประชาชาติมุสลิมได้รับการผ่อนผันเก้าสิ่งต่อไปนี้หนึ่ง. ความผิดพลาดสอง.การหลงลืมสาม. สิ่งที่ไม่รู้สี่. สิ่งที่ไม่สามารถกระทำได้ห้า. สิ่งที่กระทำโดยไม่มีทางเลือกหก. สิ่งที่ถูกบังคับให้กระทำเจ็ด. การกระทำที่ฤกษ์ไม่ดีแปด. ความคิดฟุ้งซ่านเกี่ยวกับการสร้างโลกเก้า. ความริษยาตราบเท่าที่ยังไม่สำแดงออก”[i]ฮะดีษชุดนี้นอกจากจะได้รับการอรรถาธิบายโดยผู้เชี่ยวชาญด้านวิชาอุศูลุลฟิกห์แล้ว (เกี่ยวกับหลักมุจมั้ลและมุบัยยันในตำราของพี่น้องซุนนะฮ์ยุคแรก) ยังได้รับการศึกษาอย่างละเอียดถี่ถ้วนโดยผู้เชี่ยวชาญวิชาอุศู้ลในสายอิมามียะฮ์อีกด้วย (ใช้ตัวบทที่ว่าمالایعلمون เพื่อพิสูจน์หลักบะรออะฮ์ในข้อสงสัยเชิงฮุก่มหักห้าม)ฮะดีษอีกบทหนึ่งที่เป็นที่รู้จักในนาม (ร็อฟอุ้ลเกาะลัม) เป็นสายรายงานของฝ่ายอะฮ์ลิสซุนนะฮ์ที่รายงานจากท่านนบีผ่านท่านอิมามอลี(อ.) และอาอิชะฮ์
  • ตัฟซีรอิมามฮะซัน อัสการีย์ (อ.) »อัลฮัมดุลลิลฮิร็อบบิลอาละมีน« หมายถึงอะไร?
    11592 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/05/17
    ตัฟซีรอิมามฮะซัน อัสการียฺ (อ.) เป็นหนึ่งในตัฟซีรที่กล่าวว่าเป็นของท่านอิมาม ซึ่งมีเหตุผลบางประการพาดพิงว่าตัฟซีรดังกล่าวเป็นของท่านอิมาม แต่เป็นเหตุผลที่เชื่อถือไม่ได้แน่นอน ตัฟซีรชุดนี้ได้มีการตีความอัลกุรอาน บทฟาติฮะฮฺ (ฮัม) และบทบะเกาะเราะฮฺ โองการ 282 โดยรายงานฮะดีซ ซึ่งในวิชาอุลูมกุรอานเรียกว่าตัฟซีร »มะอฺซูเราะฮฺ« อย่างไรก็ตาม, ท่านอิมามฮะซันอัสการียฺ (อ.) ได้อธิบายถึงประโยคที่ว่า «اَلْحَمْدُ لِلَّهِ رَبِّ الْعالَمِين» ไว้ในหลายประเด็น, เนื่องจาการขอบคุณอัลลอฮฺ เพราะความโปรดปรานต่างๆ อันไม่อาจคำนวณนับได้, การสนับสนุนสรรพสิ่งถูกสร้าง, ความประเสริฐ และความดีกว่าของชีอะฮฺ เนื่องจากการยอมรับวิลายะฮฺ และอิมามะฮฺของท่านอิมามอะลี (อ.) และกล่าวว่า เนื่องจากจำเป็นต้องขอบคุณอัลลอฮฺ เพราะความโปรดปรานของพระองค์ จึงได้กล่าวว่า «اَلْحَمْدُ لِلَّهِ رَبِّ الْعالَمِين» ...
  • โปรดอธิบาย ปรัชญาของการกล่าวข้อผูกมัดนิกาห์ คืออะไร?
    9025 จริยศาสตร์ 2555/06/30
    ตามคำสอนของอิสลามการแต่งงานถือเป็นข้อตกลงที่ศักดิ์สิทธิ์ สำหรับการจัดตั้งครอบครัวและสิ่งที่ติดตามมาคือ, ระบบสังคม ซึ่งแน่นอนว่าย่อมมีผลสะท้อนและบทสรุปอย่างมากมาย เช่น : เพื่อตอบสนองความต้องการทางกามรมย์, ผลิตสายเลือดและรักษาเผ่าพันธุ์, สร้างความสมบูรณ์ในความเป็นมนุษย์, สร้างความสงบมั่นแก่จิตใจ, เป็นการรักษาความสะอาดบริสุทธิ์, เป็นการส่งเสริมความผูกพันให้มั่นคง และประเด็นอื่นๆ อีกมากมาย, ดังนั้น การจัดการข้อตกลงศักดิ์สิทธิ์นี้ให้สมประสงค์ได้, มีเพียงการปฏิบัติไปตามกฎเกณฑ์พื้นฐาน และเงื่อนไขอันเฉพาะที่อัลลอฮฺ ทรงกำหนดไว้เท่านั้น จึงจะเป็นไปได้. เช่น เงื่อนที่ว่านั้นได้แก่การกล่าวข้อผูกมัดนิกาห์ ด้วยคำพูดเฉพาะ (ดังกล่าวไว้ในหนังสือริซาละฮฺต่างๆ) พระผู้อภิบาลผู้ทรงเกรียงไกรในฐานะของ พระเจ้าผู้ทรงกำหนดกฎระเบียบ พระองค์คือผู้ทรงกำหนดคำพูดอันทรงเกียรติยิ่งนี้ และให้ความน่าเชื่อถือ พร้อมกับการเกิดขึ้นของคำพูดดังกล่าวในฐานะ อักดฺนิกาห์, จึงเป็นสาเหตุทำให้เกิดการเป็นสามีภรรยา ระหว่างชายกับหญิงขึ้น. การแต่งงานมิได้หมายถึง ความพอใจของสองฝ่ายเท่านั้น ทว่าเป็นความพึงพอใจและการยินยอมของทั้งสองฝ่าย อันถือว่าเป็นเงื่อนไขสำคัญยิ่งสำหรับการแต่งงาน ที่จะเกิดขึ้นพร้อมกับการอ่านอักดฺนิกาห์ปัจจุบันนี้ เพื่อให้การแต่งงานนั้นถูกต้องสมบูรณ์ตามหลักการชัรอียฺ. การแต่งงาน มิได้หมายถึงความพอใจของสองฝ่ายเท่านั้น ทว่าเป็นความพึงพอใจและยินยอมของทั้งสองฝ่าย อันถือว่าเป็นเงื่อนไขสำคัญสำหรับการแต่งงาน ...
  • การนำเอาเด็กเล็กไปร่วมงานอ่านฟาติฮะฮฺ ณ กุบูร เป็นมักรูฮฺหรือไม่?
    6845 จริยธรรมปฏิบัติ 2555/05/17
    การนำเด็กๆ เข้าร่วมในมัจญฺลิซ งานประชุมศาสนา พิธีกรรมทางศาสนา, การนำเด็กๆ ไปมัสญิด, หรือพิธีกรรมรำลึกถึงท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) ในเดือนมุฮัรรอม หรืองานเทศกาลอื่นๆ ทางศาสนา, เช่น เข้าร่วมนมาซอีดฟิฏร์ อีดกุรบาน หรือพิธีกรรมต่างๆ ทางศาสนา เพื่อเป็นการกระตุ้นความรักผูกพันกับศาสนาของพวกเขา ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีมีประโยชน์อย่างยิ่ง ส่วนการนำเด็กๆ ไปร่วมพิธีอ่านฟาติฮะฮฺ ณ สถานฝังศพ ซึ่งได้ค้นหารายงานจากตำราต่างๆ ด้านฟิกฮฺอิสลามแล้ว ไม่พบรายงานที่ระบุว่าการกระทำดังกล่าวเป็นมักรูฮฺ ถ้าหากมีรายงานหรือเหตุผลอันเฉพาะเจาะจงจากสามีหรือภรรยาของคุณ กรุณาชี้แจงรายละเอียดมากกว่านี้แก่เราเพื่อเป็นประโยชน์สำหรับการค้นคว้าต่อไป ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับคำถามของคุณ สามารถกล่าวสรุปได้ดังนี้ : 1.รายงานที่กล่าวถึงผลบุญในการกล่าวแสดงความเสียใจกับเจ้าของงาน และการไปยังสถานฝังศพ เป็นรายงานทั่วไปกว้างๆ แน่นอนย่อมครอบคลุมถึงเด็กและเยาวชนด้วย 2.จากแนวทางการปฏิบัติของรรดาอิมามมะอฺซูม (อ.) ...
  • นามอันเป็นมักนูนและมุสตะอ์ษิ้รของอัลลอฮ์หมายความว่าอย่างไร?
    7190 รหัสยทฤษฎี 2554/10/23
    จากฮะดีษและบทดุอาทำให้ทราบว่าอัลลอฮ์มีพระนามที่ทรงคัดสรรด้วยพระองค์เองโดยที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้พระนามเหล่านี้เรียกว่า"อัสมาอ์มุสตะอ์ษิเราะฮ์" ซึ่งตามคำบอกเล่าของฮะดีษพระนามเหล่านี้คือมิติเร้นลับของอิสมุลอะอ์ซ็อมอันเป็นพระนามแรกของพระองค์พระนามประเภทนี้ยังเรียกขานกันว่าอิสมุ้ลมักนูนหรืออิสมุ้ลมัคซูนอีกด้วย ...
  • เมื่อสามีและภรรยาหย่าขาดจากกัน ใครคือผู้มีสิทธิในการเลี้ยงดูบุตร?
    13370 สิทธิและกฎหมาย 2554/08/17
    ในทัศนะของอิสลามบิดามีหน้าที่จะต้องจ่ายนะฟาเกาะฮ์ (ค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดู) แก่บุตรทุกคนแต่ทว่าสิทธิในการดูแลและอบรมเลี้ยงดูบุตรนั้นแตกต่างกันไปตามอายุและเพศของลูกๆท่านอิมามโคมัยนีได้ให้คำตอบเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวว่า “มารดาถือครองสิทธิในการดูแลเลี้ยงดูบุตรชายจนถึงอายุ๒
  • ตามทัศนะของท่านอายะตุลลอฮฺ อัลอุซมา อะลี คอเมเนอี การปรากฏตัวของสตรีที่เสริมสวยแล้ว (ถอนคิว,เขียนตาและอื่นๆ) ต่อหน้าสาธารณชน ท่ามกลางนามะฮฺรัมทั้งหลาย ถือว่าอนุญาตหรือไม่? และถ้าเสริมสวยเพียงเล็กน้อย มีกฎเกณฑ์ว่าอย่างไรบ้าง?
    11160 หลักกฎหมาย 2556/01/24
    คำถามข้อ 1, และ 2. ถือว่าไม่อนุญาต ซึ่งกรณีนี้ไม่มีความแตกต่างกันในเรื่องอุปกรณ์ที่ใช้เสริมสวย คำถามข้อ 3. ถ้าหากสาธารณถือว่านั่นเป็นการเสริมสวย ถือว่าไม่อนุญาต[1] [1] อิสติฟตาอาต จากสำนักฯพณฯท่านอายะตุลลอฮฺ อัลอุซมา คอเมเนอี (ขออัลลอฮฺทรงปกป้อง) ...

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60602 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    58215 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42718 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    40168 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    39345 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    34453 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    28529 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    28438 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    28375 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    26313 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...