การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
6919
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2554/07/19
 
รหัสในเว็บไซต์ fa1084 รหัสสำเนา 15269
คำถามอย่างย่อ
สามารถจะติดต่อกับอิมามมะฮ์ดี(อ.)ได้หรือไม่?
คำถาม
สามารถจะติดต่อกับอิมามมะฮ์ดี(อ.)ได้หรือไม่?
คำตอบโดยสังเขป

โดยทั่วไป สัมพันธภาพจะไม่เกิดขึ้นระหว่างคนแปลกหน้าสองคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน นอกจากจะมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งรู้จักและมีไมตรีจิตต่อฝ่ายตรงข้าม จึงจะค่อยๆสานเป็นความสัมพันธ์อันดีต่อกันในอนาคต
กรณีของท่านอิมามมะฮ์ดีก็เช่นกัน ท่านรู้จักเราและมีไมตรีจิตต่อเราอย่างอบอุ่น  แต่เราซึ่งเป็นอีกด้านหนึ่งของสายสัมพันธ์ หากได้รู้จักฐานะภาพของท่านอย่างแท้จริง ก็จะทำให้สามารถสานสัมพันธ์และติดต่อกับท่านได้ ดังที่อุละมาอ์ระดับสูงหรือผู้ที่สำรวมตนขัดเกลาจิตใจบางท่านสามารถติดต่อกับท่านอิมาม(อ.)ได้ในอดีต
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ การสานสัมพันธ์กับท่านอิมามมะฮ์ดี(อ.)นั้น แบ่งออกเป็นสองประเภท
1.เชื่อมสัมพันธ์ทางจิตใจ 2.เชื่อมสัมพันธ์ในระดับการเข้าพบ อย่างไรก็ดี แม้ว่าความสัมพันธ์ทั้งสองประเภทนี้จะมิไช่เรื่องที่ไกลเกินเอื้อม แต่หากต้องการจะมีความสัมพันธ์ในระดับเข้าพบ ก็จะต้องมีคุณสมบัติพิเศษ กล่าวคือ จะต้องมีสัมพันธภาพทางจิตใจพร้อมกับจะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขต่างๆที่จำเป็นด้วย จึงจะถือเป็นการตระเตรียมโอกาสที่จะได้เข้าพบท่าน(อ.)

คำตอบเชิงรายละเอียด

เพื่อให้ได้รับคำตอบที่ถูกต้อง จำเป็นต้องคำนึงถึงเนื้อหาดังต่อไปนี้
1. คำว่า“ความสัมพันธ์”ในเชิงคำศัพท์แล้ว หมายถึงความผูกพัน ความนิยมชมชอบ และการเชื่อมโยง[1]. คำดังกล่าวสื่อถึงภาวะเชื่อมโยงระหว่างสองฝ่าย อันประกอบด้วยบุคคลสองฝ่ายที่มีความสัมพันธ์กัน และทั้งสองฝ่ายต้องการจะคงความสัมพันธ์ดังกล่าวไว้ ฉะนั้น ความรู้สึกผูกพันฝ่ายเดียวจึงไม่นับเป็นความสัมพันธ์แต่อย่างใด
นอกจากนี้ ความสัมพันธ์จะไม่เกิดขึ้นระหว่างสองฝ่ายที่ไม่เคยรู้จักมักจี่กันมาก่อน นอกจากว่าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดจะยื่นมือเข้าหาฝ่ายตรงข้ามเนื่องจากเคยรู้จัก หรือมีความผูกพันต่ออีกฝ่ายเป็นทุนเดิม อันจะสามารถต่อยอดให้กลายเป็นการปฏิสัมพันธ์บนพื้นฐานของไมตรีจิตได้
ในกรณีของท่านอิมามมะฮ์ดีก็เช่นกัน ท่านรู้จักเราและมีไมตรีจิตต่อเราเป็นอย่างดี ฮะดีษต่างๆก็บ่งบอกว่า ท่านห่วงหาอาทร และทราบดีถึงสารทุกข์สุขดิบของชีอะฮ์(กัลญาณมิตร)ของท่านทุกคน มีฮะดีษหนึ่งกล่าวถึงคำปรารภของท่านอิมามที่มีต่อท่านเชคมุฟี้ดว่า
انا غیر مهملین لمراعاتکم و لا ناسین لذکرکم [2]
“แท้จริงเราไม่เคยเมินเฉยต่อสารทุกข์สุขดิบของพวกท่าน และไม่เคยลืมที่จะรำลึกถึงพวกท่านเลย”
จะเห็นได้ว่าไมตรีจิตและความเอื้ออาทรดังกล่าวถือเป็นไมตรีจิตในระดับสูงสุด จะมีมิตรสหายคนใดบ้างที่จะแสดงความรักที่มีต่อเราด้วยการรำลึกถึงเราตลอดเวลา อีกทั้งถือว่าตนมีหน้าที่ๆจะต้องดูแลสารทุกข์สุขดิบเช่นนี้ สรุปคือ ท่านอิมามมะฮ์ดี(อ.)คือด้านหนึ่งของสายสัมพันธ์  ซึ่งกำลังรอคอยให้เหล่ากัลญาณมิตรถักทอความผูกพันที่มีต่อท่าน(อ.) เพื่อก่อให้เกิดปฏิสัมพันธ์จากสองฝ่ายอย่างแท้จริง
อีกด้านหนึ่งก็คือตัวเราเอง ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว หากใครไม่เคยรู้จักอิมามมะฮ์ดี(อ.)หรือรู้จักอย่างผิวเผิน ย่อมไม่สามารถที่จะสานสัมพันธ์กับท่านได้ ทั้งนี้ก็เนื่องจากว่า คนเรามักจะพิจารณาบุคคลแปลกหน้าจากนิสัยใจคอ จรรยามารยาท และสภาวะทางจิตใจ(และร่างกาย) เสียก่อน จึงจะเริ่มมีความรู้สึกนิยมชมชอบ อันจะเป็นแรงบันดาลใจให้เชื่อมสัมพันธ์กับฝ่ายตรงข้าม จากนั้นก็จะเผยความรู้สึกดังกล่าวให้ฝ่ายตรงข้ามรับรู้ ซึ่งหากฝ่ายตรงข้ามเห็นว่าฝ่ายเราเหมาะแก่การเชื่อมสัมพันธ์ด้วย ปฏิสัมพันธ์อย่างครบวงจรก็จะเกิดขึ้น
แน่นอนว่าท่านอิมามมะฮ์ดี(อ.)รักและห่วงใยกัลญาณมิตรของท่านเป็นอย่างยิ่ง ถามว่าเรารักและถวิลหาท่านบ้างหรือไม่? หรืออ้างว่ารักแค่เพียงลมปาก? เคยรับรู้ว่าท่านรักและห่วงใยเราบ้างหรือไม่?

2 ดังที่เกริ่นแล้วข้างต้น ความสัมพันธ์จะเริ่มจากการทำความรู้จัก และถักทอเป็นความผูกพันในใจ อันจะสร้างเสริมโอกาสให้ได้เข้าพบอย่างใกล้ชิดสนิทสนม
หากผู้ใดสามารถสานสัมพันธ์ทางจิตใจกับท่านอิมาม(อ.)อย่างสนิทแน่นแฟ้นในลักษณะที่สมควรได้รับอนุญาตให้เข้าพบ เขาก็ย่อมมีโอกาสจะได้เข้าพบอิมาม(อ.)มากกว่าผู้อื่น ดังที่เราจะพบเห็นได้ในอัตชีวประวัติของอุละมาอ์และผู้บำเพ็ญความดีที่ไม่เคยอวดอ้าง หลายท่านสามารถบรรลุถึงความผูกพันระดับสูง ทำให้มีโอกาสได้เข้าพบท่านอิมาม(อ.) ทั้งนี้ การเข้าพบดังกล่าวเป็นไปในลักษณะที่ท่านอิมาม(อ.)ปรากฏกายในฐานะคนแปลกหน้าสำหรับอุละมาบางท่านในเบื้องแรก แต่ภายหลังอุละมาเหล่านี้จึงทราบว่าได้พบอิมามมะฮ์ดี(อ.)แล้ว ดังเช่นเรื่องราวของฮัจยี อลี บัฆดาดี หรือ ฮัจญี ซัยยิด อะห์มัด รัชตี และเรื่องราวของท่านอื่นๆ ที่บันทึกไว้ในหนังสือมะฟาตีฮุ้ลญินาน[3]
,[4]

การเชื่อมสัมพันธ์กับท่านอิมามมะฮ์ดี(อ.)อาจเกิดขึ้นได้สองลักษณะ:
1. การได้เข้าพบโดยตรง    2. เชื่อมสัมพันธ์ทางจิตวิญญาณ
เป็นไปได้หรือไม่ที่จะเชื่อมสัมพันธ์ในสองลักษณะดังกล่าว? เราจะขอแยกตอบทีละประเด็นดังต่อไปนี้
1. การได้เข้าพบโดยตรง ในลักษณะที่บุคคลสามารถเห็นท่านได้นั้น แบ่งออกได้ดังนี้
ก. เห็นอิมามมะฮ์ดี(อ.)แต่ไม่รู้จักท่าน
ตามคำบอกเล่าของฮะดีษ ลักษณะเช่นนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ดังที่ท่านเชคศ่อดู้กเล่าจากหนึ่งในตัวแทนพิเศษ(นาอิบุ้ลคอศ)ของอิมามว่า“ท่านอิมามมะฮ์ดี(อ.)จะร่วมพิธีฮัจย์ทุกปี ท่านเห็นและรู้จักทุกคน ผู้คนก็สามารถเห็นท่านได้ ทว่าไม่รู้จักว่าท่านคืออิมามมะฮ์ดี[5]” ฉะนั้น การได้เห็นอิมามมะฮ์ดีนอกจากจะไม่ไช่ปาฏิหารย์แล้ว ยังเกิดขึ้นบ่อยครั้งดังที่กล่าวมา อย่างไรก็ดี ลักษณะการพบอิมามเช่นนี้คงไม่ถือว่าเป็น“ปฏิสัมพันธ์” และผู้ตั้งคำถามก็คงจะไม่ได้หมายถึงลักษณะการพบปะเช่นนี้
ข. ได้เห็นอิมามมะฮ์ดี และรู้จักท่าน
หากจะถามว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่บุคคลจะสามารถเข้าพบอิมามโดยรู้จักท่าน คำตอบก็คือ เป็นไปได้ ทั้งนี้ก็เพราะมีปัจจัยสนับสนุน แต่ไม่มีปัจจัยที่เป็นอุปสรรค กล่าวคือ เราไม่พบว่ามีเหตุผลใดที่จะหักห้ามมิให้อิมามมะฮ์ดี(อ.)เยี่ยมเยียนผู้ที่มีจิตใจผ่องแผ้วและมีคุณสมบัติเหมาะที่จะได้รับโอกาสดังกล่าว ฉะนั้น การพบปะในลักษณะนี้จึงมีความเป็นไปได้ เว้นแต่จะมีเหตุอันไม่สมควรเป็นการเฉพาะ
นอกจากนี้ ยังมีเรื่องราวของบรรดาอุละมาอ์และเอาลิยาอ์ของพระองค์ที่มีโอกาสเข้าพบท่านอิมามมะฮ์ดี(อ.) โดยที่บางคนรู้จักท่านตั้งแต่แรกเห็น แต่บางคนก็นึกขึ้นได้ในภายหลังว่าตนได้พบอิมามมะฮ์ดีแล้ว อย่างไรก็ดี การเชื่อมสัมพันธ์มิได้มีเพียงการเข้าพบเชิงกายภาพเท่านั้น เพราะแม้ว่าการเข้าพบลักษณะนี้จะยังความภาคภูมิใจแก่ผู้ที่ได้รับโอกาส แต่มิไช่ว่าใครๆก็สามารถได้รับโอกาสนี้ได้ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ต้องเชื่อมสัมพันธ์ทางจิตวิญญาณและเชื่อฟังคำสอนของท่านในยุคที่ท่านเร้นกาย

2. การเชื่อมสัมพันธ์ทางจิตวิญญาณ: ในลักษณะที่แม้ไม่ได้เข้าพบเชิงกายภาพ แต่ถักทอความผูกพันที่มีต่ออิมามมะฮ์ดีไม่ว่าจะในรูปของการพรรณาถึงท่านอิมาม หรือดุอาให้ท่าน หรือรำลึกถึงท่านอยู่เสมอๆ คำถามคือ การเชื่อมสัมพันธ์ในลักษณะนี้เป็นไปได้หรือไม่อย่างไร?
ขอตอบว่าเป็นไปได้ เนื่องจากบรรดาอิมาม(อ.)สามารถได้ยินเสียงของเรา และรับรู้สารทุกข์สุขดิบของเราเสมอไม่ว่าเราจะอยู่แห่งหนใด ดังที่มีในบทขออนุญาตเข้าฮะร็อมสุสานของบรรดาอิมาม(อ.)ว่า
اشهد أنک تسمع کلامی و تشهد مقامی[6] (ขอยืนยันว่าท่านได้ยินเสียงพูดของฉัน อีกทั้งแลเห็นสถานที่ๆฉันยืนอยู่) นอกจากนี้ยังมีฮะดีษมากมายชี้ชัดว่านบี(ซ.ล.)และบรรดาอิมาม(อ.)รับรู้ความเคลื่อนไหวของเราทุกคน ดังจะเห็นได้จากเรื่องราวของอุวัยส์ ก่อรอนี่ ที่ทั้งรักและผูกพันกับท่านนบี(ซ.ล.)มาก แม้ไม่มีโอกาสได้เข้าพบท่านนบี(ซ.ล.)เลยสักครั้ง แต่ท่านนบี(ซ.ล.)ก็รับรู้ได้ถึงความรักความผูกพันของอุวัยส์ โดยกล่าวว่า “ลมสวรรค์พัดเอื่อยมาจากทิศแห่งก่อร็อน(แคว้นที่อุวัยส์พำนัก) โอ้อุวัยส์เอ๋ย ฉันอยากพบเจ้าเสียจริง ผู้ใดที่ได้พบเห็นเขา จงกล่าวสลามแทนฉันด้วย” ท่านนบี(ซ.ล.)ยังกล่าวต่ออีกว่า“เขาจะไม่มีโอกาสได้เห็นฉัน และภายหลังจากฉัน เขาจะยืนหยัดเคียงข้างอลี(อ.)และเสียชีวิตในสงครามศิฟฟีน[7]

ฉะนั้น บรรดาเอาลิยาอ์(กัลญาณมิตร)ของอัลลอฮ์รับรู้ได้ถึงความเป็นไปรวมถึงความนึกคิดของเราไม่ว่าจะเผยออกมาเป็นคำพูดหรือไม่ก็ตาม ทำให้เราสามารถเชื่อมสัมพันธ์หรือสื่อสารกับพวกท่านได้อย่างง่ายดายทุกขณะจิต
ณ ที่นี้จะขอหยิบยกคำแนะนำจากท่านอายะตุ้ลลอฮ์ บะฮ์ญัต เพื่อได้รับโอกาสติดต่อหรือได้พบปะกับท่านอิมามมะฮ์ดี(อ.)ดังนี้
:
มีผู้ถามท่านว่าจะทำอย่างไรเพื่อได้รับโอกาสพบปะกับท่านอิมาม(อ.) ท่านตอบว่า“ให้กล่าวศอละวาตอุทิศแด่ท่านอิมามมะฮ์ดี(อ.) โดยให้พ่วงท้ายด้วยดุอารีบเร่งการปรากฏกายดังนี้
 
اللهم صل علی محمد وآل محمد و عجل فرجهم และให้ไปที่มัสญิดญัมกะรอนอย่างสม่ำเสมอและนมาซตามที่ระบุไว้[8]” ท่านกล่าวถึงวิธีเชื่อมสัมพันธ์กับท่านอิมามมะฮ์ดี(อ.)ว่า“หนทางสู่การใกล้ชิดอัลลอฮ์ คือการเคารพเชื่อฟังพระองค์และอิมามมะฮ์ดี(อ.) ซึ่งกระทำได้ด้วยการปฏิบัติตามตำราบทบัญญัติศาสนาที่ได้รับการยืนยันความถูกต้อง[9]” ต่อคำถามที่ว่าจะกระชับสัมพันธ์กับอะฮ์ลุลบัยต์ โดยเฉพาะอิมามมะฮ์ดี(อ.)ได้อย่างไร? ท่านตอบว่า“การเคารพภักดีต่ออัลลอฮ์ จะนำมาซึ่งความรักในพระองค์ ตลอดจนรักปูชณียบุคคลที่เป็นที่รักของพระองค์ ซึ่งก็หมายถึงบรรดานบีและเหล่าตัวแทน โดยในจำนวนนี้ อัลลอฮ์ทรงรักท่านนบี(ซ.ล.)และอะฮ์ลุ้ลบัยต์(อ.)มากที่สุด และท่านอิมามมะฮ์ดี(อ.)ก็ถือเป็นผู้ที่ใกล้ชิดเรามากที่สุด[10]

นอกจากนี้ยังมีวิธีอื่นๆที่ช่วยกระชับสัมพันธ์กับท่านอิมามมะฮ์ดี(อ.)ดังต่อไปนี้:
ก. ดุอาเพื่อสวัสดิภาพของอิมามมะฮ์ดี(อ.) اللهم کن لولیک ...[11]
ข. ดุอาอะฮด์ : ท่านอิมามญะฟัร อัศศอดิก(อ.) กล่าวว่า“ผู้ใดที่อ่านดุอาบทนี้ยามรุ่งอรุณเป็นเวลาสี่สิบวัน จะได้เป็นหนึ่งในสาวกของมะฮ์ดี(อ.)” [12]
ค. ซิยาเราะฮ์ อาลิ ยาซีน
: ซึ่งบันทึกไว้ในหนังสือมะฟาตีฮุ้ลญินาน โดยท่านอิมามมะฮ์ดี(อ.)กล่าวว่า “ยามใดที่นึกถึงเรา ให้อ่านบทซิยาเราะฮ์นี้”[13]
ง. ซิยาเราะฮ์ ญามิอะฮ์ กะบีเราะฮ์
: บันทึกไว้ในหนังสือดังกล่าวเช่นกัน[14]

ฉะนั้น เป็นไปได้ที่จะเชื่อมสัมพันธ์กับท่านอิมามมะฮ์ดี(อ.) ด้วยการตั้งมั่นและเพียรพยายาม ซึ่งจะทำให้สัมฤทธิ์ผลในการเชื่อมสัมพันธ์ทางจิตวิญญาณ และหากหมั่นขัดเกลาจิตใจและละเว้นกิเลสได้ ก็จะทำให้สามารถเข้าพบท่านอิมาม(อ.)เชิงกายภาพ หรือสามารถบรรลุระดับขั้นที่ท่านอิมามมะฮ์ดีจะเป็นฝ่ายมาเยี่ยมเยียนด้วยตัวท่านเอง
อย่างไรก็ดี หากได้ขัดเกลาจิตใจและบำเพ็ญความดีแต่ยังไม่ได้รับโอกาสการเข้าพบอิมาม(อ.) ก็อย่าได้ท้อแท้ใจ ควรหมั่นขัดเกลาจิตใจต่อไปให้ได้รับโอกาสทองนั้น แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น บางครั้งแม้เราจะขัดเกลาจิตใจจนกระทั่งเหมาะแก่การได้รับโอกาสแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้รับโอกาส เนื่องจากอาจมีเหตุผลที่เชื่อได้ว่าการได้พบท่านอาจไม่เป็นผลดีต่อตัวเราเป็นการเฉพาะ
3. อาจเกิดข้อสงสัยได้ว่า แล้วจะชี้แจงอย่างไรเกี่ยวกับฮะดีษที่กล่าวว่า ผู้ใดอ้างว่าเห็นท่าน ให้ถือเป็นจอมโกหก?
ขอตอบว่าฮะดีษเหล่านี้มีอยู่จริง เนื้อหาโดยสรุปก็คือ “ใครก็ตามที่อ้างว่าเห็นอิมามมะฮ์ดี(อ.)ก่อนสุรเสียงจากฟากฟ้าและการมาของซุฟยานี[15] ให้ถือว่าเขาคือจอมโกหก”[16] อย่างไรก็ดี บรรดาอุละมาอ์เชื่อว่าการเห็นในที่นี่ หมายถึงการเห็นในฐานะที่แอบอ้างตนเป็นตัวแทนของอิมามมะฮ์ดี(อ.)ในลักษณะเดียวกับตัวแทนทั้งสี่ท่านในอดีต[17] แต่อย่างไรก็ตาม ฮะดีษเหล่านี้มิได้ปฏิเสธความเป็นไปได้ที่จะติดต่อกับท่าน แต่ต้องการเพียงปฏิเสธผู้ที่โพทะนาว่าตนเองเห็นอิมามเท่านั้น ทั้งนี้ เราไม่เคยได้ยินว่าผู้รู้ท่านใดที่เคยติดต่อกับอิมาม(อ.) จะประกาศให้สาธารณชนรู้ว่าตนเองได้พบอิมามเพื่อฉวยประโยชน์ในทางมิชอบ ผู้รู้ที่ได้รับโอกาสส่วนใหญ่จะอนุญาตให้เล่าเรื่องราวเหล่านี้ภายหลังจากที่ท่านเสียชีวิตไปแล้วเท่านั้น
สรุปคือ หากต้องการใกล้ชิดอิมามมะฮ์ดีในระดับที่สามารถเข้าพบท่านเชิงกายภาพ จำเป็นต้องขวนขวายและพยายามอย่างสูง

4. เกร็ดน่ารู้ส่งท้ายก็คือ พึงทราบเสมอว่า การเชื่อมสัมพันธ์กับอิมามมะฮ์ดี(อ.)มีความสำคัญต่อชีวิตประจำวันของเหล่าสาวกของท่านเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากโดยทั่วไปแล้ว บุคคลที่เชื่อมสัมพันธ์กับผู้ที่มีระดับจิตวิญญาณเหนือกว่า มักจะพยายามปรับปรุงตนเองให้เสมอเหมือนหรือใกล้เคียงกับผู้นั้น ในทางจิตวิทยาก็ยืนยันถึงความจำเป็นที่จะต้องมี “แบบอย่าง”ในชีวิต จึงจะเห็นได้ว่าหากวัยรุ่นคนหนึ่งรักและผูกพันกับอิมามมะฮ์ดี(อ.) เขาก็จะประคองตนเองให้เป็นที่พอใจของอิมามเสมอ กระบวนการดังกล่าวส่งผลดีต่อการพัฒนาจิตวิญญาณเป็นอย่างยิ่ง ความผูกพันนี้จึงเปรียบเสมือนหัวรถจักรที่ขับเคลื่อนชีวิตของมนุษย์ และเมื่อวัยรุ่นได้รับรู้ถึงความเอื้ออาทรที่อิมามมะฮ์ดีมีต่อเขา เขาก็จะพยายามเชื่อมสัมพันธ์โดยการรำลึกถึงท่านเสมอ ทั้งนี้ แน่นอนว่าแรงขับเคลื่อนดังกล่าวไม่จำเป็นต้องเกิดจากการเข้าพบเชิงกายภาพ แต่ทุกคนสามารถเจริญรอยตามและเชื่อมสัมพันธ์กับท่านได้ด้วยการศึกษาเกี่ยวกับคุณลักษณะและแบบฉบับของท่าน แน่นอนว่าปริมาตรทางจิตวิญญาณของบรรดามะอ์ศูม(อ.)นั้น มีมากพอที่จะรับรู้และสนใจการสื่อสารทางจิตใจจากเราทุกเวลาและสถานที่ ดังที่เราอ่านในบทซิยาเราะฮ์ต่างๆว่า “ขอปฏิญาณว่าท่านได้ยินเสียงของฉัน อีกทั้งแลเห็นจุดที่ฉันยืนอยู่นี้”[18] และด้วยเหตุนี้เอง เราจึงไม่มีหน้าที่ๆจะต้องมองเห็นหรือเข้าพบอิมามมะฮ์ดีเชิงกายภาพ และแม้ว่าการได้เข้าพบเชิงกายภาพจะเป็นความภาคภูมิใจเกินบรรยายก็ตาม แต่หากผู้ใดไม่ได้รับโอกาสดังกล่าว ก็มิได้หมายความว่าอิมามมะฮ์ดีมองข้ามความดีงามของเขาแต่อย่างใด



[1] อัลมุนญิด,เล่ม1,หน้า 540.

[2] อิห์ติญาจ,เชคศ่อดู้ก,เล่ม 2, หน้า 497.

[3] บิฮารุ้ลอันว้าร,เล่ม 52,หมวดที่18, บทการเร้นกาย

[4] มุนตะฮัลอาม้าล,เล่ม 2,หมวด14, ส่วนที่ 5

[5] ان صاحب هذا الامر یحضر الموسم کل سنة یری الناس و یعرفهم و یرونه و لا یعرفونه (มันลายะห์ฎุรุฮุ้ลฟะกีฮ์,เล่ม 2, หน้า 520,ท้ายฮะดีษที่ 3115)

[6] บิฮารุ้ลอันว้าร,เล่ม 97,หน้า 375, หมวด 5, ฮะดีษที่ 9

[7] อ้างแล้ว,เล่ม 42, หน้า155, หมวด 124, ฮะดีษที่ 22

[8] สู่ผู้เป็นที่รัก,ซัยยิดมะฮ์ดี ซาอี,หน้า 59

[9] อ้างแล้ว,หน้า 61.

[10] อ้างแล้ว

[11] อัลกาฟีย์,เล่ม 4, หน้า 162, หมวดดุอาสิบคืนสุดท้าย,ฮะดีษที่ 4

[12] บิฮารุ้ลอันว้าร,เล่ม 53, หน้า 95, หมวด 29 ,ฮะดีษที่11.

[13] อ้างแล้ว,เล่ม 99, หน้า 81, หมวด 7,ฮะดีษที่1

[14] มันลายะฮ์ฎุรุฮุ้ลฟะกีฮ์,เล่ม 2,หน้า 609, ฮะดีษที่ 3213

[15] สองเหตุการณ์นี้คือสัญลักษณ์การปรากฏกายของอิมาม(อ.)

[16] บิฮารุ้ลอันว้าร,เล่ม 52, หน้า151,หมวด 23, ฮะดีษแรก

[17] อัลลามะฮ์ มัญลิซี่เล่าถึงคำพูดดังกล่าวของผู้ประพันธ์หนังสืออิกมาลุดดีนเพื่ออธิบายฮะดีษนี้

[18] บิฮารุ้ลอันว้าร,เล่ม 97,หน้า 375,หมวด 5,ฮะดีษ 9 أشد أنک تسمع کلامی و تشهد مقامی

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • วะฮฺยูคืออะไร ประทานลงมาแก่ศาสดาอย่างไร
    21406 อัล-กุรอาน 2553/10/21
    วะฮฺยู (วิวรณ์) "ในเชิงภาษาความถึง การบ่ชี้อย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจเป็นไปได้ที่เป็นชนิดหนึ่งของคำ หรือเป็นรหัสหรืออาจเป็นเสียงอย่างเดียวปราศจากการผสม หรืออาจเป็นการบ่งชี้และสิ่งที่คล้ายคลึงกัน ความหมายและการนำไปใช้ที่แตกต่างกันของคำนี้ในพระคัมภีร์กุรอาน ทำให้เราได้พบหลายประเด็นที่สำคัญ : อันดับแรก วะฮฺยูไม่ได้เฉพาะพิเศษสำหรับมนุษย์เท่านั้น ทว่าหมายรวมถึงพืช สัตว์ และสิ่งไม่มีชีวิตอื่นด้วย .... (วะฮฺยู เมื่อสัมพันธ์ไปยังสิ่งมีชีวิตก็คือ การชี้นำอาตมันและสัญชาติญาณ หรือเรียกอีกอย่างว่าเป็นการชี้นำในเชิงตักวีนีของพระเจ้า เพื่อชี้นำพวกเขาไปยังเป้าหมายของพวกเขา) แต่ระดับชั้นที่สูงที่สุดของวะฮฺยู เฉพาะเจาะจงสำหรับบรรดาศาสดา และหมู่มวลมิตรของพระองค์เท่านั้น ซึ่งจุดประสงค์ในที่นี้หมายถึง การดลความหมายนบหัวใจของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) หรือการสนทนาของพระเจ้ากับท่านเหล่านั้น บทสรุปก็คือโดยหลักการแล้วการดลอื่นๆ ...
  • มีดุอาอฺขจัดความเกลียดคร้านและความเฉื่อยชาบ้างไหม?
    11763 จริยธรรมปฏิบัติ 2555/05/17
    ภารกิจบางอย่างที่คำสอนศาสนาปฏิเสธไม่ยอมรับคือ ความเกลียดคร้านและความเฉื่อยชา, บรรดาอิมามมะอฺซูม (อ.) กล่าวตำหนิคุณสมบัติทั้งสองนี้ และขอความคุ้มครองจากพระเจ้าให้พ้นไปจากทั้งสอง ดังจะเห็นว่าบทดุอาอฺบางบทจากบรรดาอิมามผู้บริสุทธิ์ (อ.) ได้กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้ เช่น : 1. มุสอิดะฮฺ บุตรของ ซิดเกาะฮฺ กล่าวว่า : ฉันได้วอนขอให้ท่านอิมามซอดิก (อ.) ดุอาอฺต่ออัลลอฮฺเกี่ยวกับภารกิจการงานใหญ่ๆ ท่านอิมาม (อ.) กล่าวว่า ฉันจะสอนดุอาอฺของคุณปู่ของฉันท่านอิมามซัจญาด (อ.) แก่เธอ ซึ่งดุอาอฺของท่านอิมามซัจญาด (อ.) ได้วอนขอความคุ้มครองต่ออัลลอฮฺ เพื่อให้พ้นไปจากความความเกลียดคร้าน กล่าวว่า : : "...وَ أَعُوذُ بِكَ مِنَ ...
  • ในสังคมอิสลามมีสตรีศึกษาในสถาบันศาสนาแล้วถึงขั้นมุจญฺตะฮิดมีบ้างหรือไม่?
    6386 تاريخ بزرگان 2554/09/25
    การให้ความร่วมมือกันของนักปราชญ์และนักวิชาการอิสลาม, ประกอบกับเป็นข้อบังคับเหนือตัวมุสลิมทั้งชายและหญิง, สิ่งนี้กลายเป็นสาเหตุทำให้สตรีได้เข้าศึกษาศาสนาจนถึงระดับชั้นของการอิจญฺติฮาดหรือมุจญตะฮิดตัวอย่างสุภาพสตรีที่ศึกษาถึงขั้นอิจญฺติฮาดมุจญฺตะฮิดะฮฺอะมีนเสียชีวิตในปีฮ.ศ. 1403 (1362) หรือมุจญฺตะฮิดะฮฺซะฟอตียฺซึ่งปัจจุบันท่านยังเป็นอาจารย์สอนหนังสือในสถาบันสอนศาสนาเฉพาะสตรีซึ่งสองท่านนี้ถือได้ว่าเป็นตัวอย่างของสตรีที่ประสบความสำเร็จสูง ...
  • เมืองมะดีนะถูกสร้างขึ้นเมื่อใด?
    10729 ประวัติสถานที่ 2557/02/16
    นครมะดีนะฮ์ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของคาบสมุทรอรับ และตั้งอยู่ทางทิศเหนือของนครมักกะฮ์อันทรงเกียรติ โอบล้อมด้วยหินกรวดทางทิศตะวันออกและตะวันตก เมืองนี้มีภูเขาหลายลูก อาทิเช่น ภูเขาอุฮุดทางด้านเหนือ ภูเขาอัยร์ทางใต้ ภูเขาญะมะรอตทางทิศตะวันตก มะดีนะฮ์มีหุบเขาในเมืองสามแห่งด้วยกัน คือ 1. อะกี้ก 2. บัฏฮาต 3. เกาะน้าต[1] เกี่ยวกับการสถาปนานครมะดีนะฮ์นั้น สามาถวิเคราะห์ได้สองช่วง 1. ก่อนยุคอิสลาม 2. หลังยุคอิสลาม 1. ก่อนยุคอิสลาม กล่าวกันว่าภายหลังจากเหตุการณ์น้ำท่วมโลกในยุคของท่านนบีนู้ห์ (อ.) มีผู้อยู่อาศัยในนครยัษริบ (ชื่อเดิมของมะดีนะฮ์) สี่กลุ่มด้วยกัน 1.1. ลูกหลานของอะบีล ซึ่งเป็นผู้รอดชีวิตจากสำเภาของท่านนบีนูห์ที่เทียบจอด ณ ภูเขาอารารัต ได้ตั้งถิ่นฐาน ณ เมืองยัษริบ ซึ่งเมืองยัษริบเองก็มาจากชื่อของบรรพชนรุ่นแรกที่ตั้งรกราก นามว่า ยัษริบ บิน อะบีล บิน เอาศ์ ...
  • อิบนิอะเราะบีมีทัศนะเกี่ยวกับอิมามมะฮ์ดี(อ.)อย่างไรบ้าง?
    7005 تاريخ بزرگان 2554/07/16
     หากได้ศึกษาผลงานของอิบนิอะเราะบีก็จะทราบว่าเขามีความคิดเห็นเกี่ยวกับอิมามมะฮ์ดี(อ.)อย่างไร อิบนิอะเราะบีกล่าวไว้ในหนังสือ“ฟุตูฮาตอัลมักกียะฮ์”บทที่ 366 (เกี่ยวกับกัลญาณมิตรและมุขมนตรีของอิมามมะฮ์ดีในยุคสุดท้าย)ว่า“อัลลอฮ์ทรงกำหนดไว้ซึ่งตัวแทนซึ่งยังมีชีวิตอยู่ท่านจะเผยกายในยุคสมัยที่โลกนี้คราคร่ำไปด้วยการกดขี่และอบายมุขท่านจะเติมเต็มความยุติธรรมแก่โลกทั้งผองและแม้ว่าโลกนี้จะเหลืออายุขัยเพียงวันเดียวอัลลอฮ์ก็จะขยายวันนั้นให้ยาวนานจนกว่าท่านจะขึ้นปกครองท่านสืบเชื้อสายจากท่านรอซู้ล(ซ.ล.) และฮุเซนบินอลี(อ.)คือปู่ทวดของท่าน”อิบนิอะเราะบีมีตำราเล่มหนึ่งที่ชื่อว่า “อัลวิอาอุ้ลมัคตูมอะลัซซิรริลมักตูม”ซึ่งเนื้อหาในนั้นล้วนเกี่ยวกับอิมามมะฮ์ดีในฐานะผู้ปกครองเหนือเงื่อนไขใดๆท่านสุดท้ายและยังกล่าวถึงเหตุการณ์ช่วงการเผยกายของท่านอีกด้วยทัศนะของอิบนิอะเราะบีมีส่วนคล้ายคลึงชีอะฮ์เป็นอย่างยิ่งดังที่เขายืนยันว่า“ท่านมะฮ์ดี(อ.)คือบุตรของท่านฮะซันอัลอัสกะรี(อ.) ถือกำเนิดกลางเดือนชะอ์บานในปี255ฮ.ศ. และท่านจะยังมีชีวิตอยู่ตราบจนท่านนบีอีซาเข้าร่วมสมทบกับท่าน”นอกจากนี้อิบนิอะเราะบียังเชื่อว่าอิมามมะฮ์ดีอยู่ในสถานะผู้ปราศจากบาปกรรมและเชื่อว่าความรู้ของอิมามมะฮ์ดี(อ.)ได้รับมาจากการดลใจของพระองค์. ...
  • จะเชิญชวนชาวคริสเตียนให้รู้จักอิสลามด้วยรหัสยนิยมอิสลาม(อิรฟาน)ได้อย่างไร?
    10714 รหัสยทฤษฎี 2554/08/14
    คุณสามารถกระทำได้โดยการแนะนำให้รู้จักคุณสมบัติเด่นของอิรฟาน(รหัสยนิยมอิสลาม) และเล่าชีวประวัติของบรรดาอาริฟที่มีชื่อเสียงของอิสลามและสำนักคิดอะฮ์ลุลบัยต์1). อิรฟานแบ่งออกเป็นสองประเภทด้วยกันอิรฟานเชิงทฤษฎีและอิรฟานภาคปฏิบัติเนื้อหาหลักของวิชาอิรฟานเชิงทฤษฎีก็คือก. แจกแจงเกี่ยวกับแก่นเนื้อหาของเตาฮี้ด(เอกานุภาพของอัลลอฮ์)ข. สาธยายคุณลักษณะของมุวะฮ์ฮิด(ผู้ยึดถือเตาฮี้ด)ที่แท้จริงเตาฮี้ดในแง่อิรฟานหมายถึงการเชื่อว่านอกเหนือจากพระองค์แล้วไม่มีสิ่งใดที่“มีอยู่”โดยตนเองทั้งหมดล้วนเป็นภาพลักษณ์ของอัลลอฮ์ในฐานะทรงเป็นสิ่งมีอยู่เพียงหนึ่งเดียวทั้งสิ้น
  • จุดประสงค์ของประโยคที่อัลกุรอาน กล่าว่า “สตรีคือไร่นาของบุรุษ” หมายถึงอะไร?
    10731 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/09/08
    ความหมายของประโยคดังกล่าวที่ว่า “สตรีคือไร่นาของบุรุษ” หมายถึงเป็นการอุปมาสตรีเมื่อสัมพันธ์ไปยังสังคมมนุษย์ ประหนึ่งไร่นาของสังคมมนุษย์นั่นเอง ดั่งประที่ประจักษ์ว่าถ้าหากสังคมปราศจากซึ่งไร่นาแล้วไซร้ พืชพันธ์ธัญญาหาร ต่างๆ ก็จะไม่มีและสูญเสียจนหมดสิ้น สังคมจะปราศจากซึ่งอาหาร สำหรับการดำรงชีพ เวลานั้นพงศ์พันธ์ของมนุษย์ก็จะไม่มีหลงเหลือสืบต่อไปอีกเช่นกัน ดังนั้น ถ้าหากโลกนี้ไม่มีสตรี เผ่าพันธุ์มนุษย์ก็ไม่อาจสืบสานสายตระกูลต่อไปอีกได้ เชื้อสายมนุษย์จะสิ้นสุดลงในที่สุด[1] ตามความเป็นจริงแล้ว อัลกุรอาน ต้องการที่จะแสดงให้สังคมได้เห็นว่า การมีอยู่ของสตรีนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อสังคม อย่าเข้าใจผิดว่าสตรีคือที่ระบายความใคร่ หรือกามรมย์ของบุรุษแต่เพียงอย่างเดียว ดังที่บางสังคมเข้าใจเช่นนั้น พวกเขาจึงใช้สตรีไปในวิถีทางที่ผิด ฉะนั้น อัลกุรอานต้องการแสดงให้เห็นว่า ความน่ารักของสตรีมิใช่ที่ระบายตัณหาราคะของผู้ชาย ทว่าพวกนางคือสื่อสำหรับปกป้องเผ่าพันธุ์มนุษย์ให้ดำรงสืบต่อไป[2] ดังนั้น โองการข้างต้นคือตัวอธิบายให้เห็นถึงความสัมพันธ์อันลึกซึ้งระหว่างบุรุษและสตรี ดั่งเช่นที่ไร่นาสาโทถ้าปราศจากเมล็ดพันธ์พืช จะไม่มีประโยชน์อันใดอีกต่อไป ในทำนองเดียวกันเมล็ดพันธ์ ถ้าปราศจากไร่นาก็ไม่มีประโยชน์เช่นกัน มีคำพูดกล่าวว่า จากโองการข้างต้นเข้าใจความหมายได้ว่า หน้าที่ของบุรุษคือ ต้องใส่ใจและดูแลภรรยาของตนอย่างดี เพื่อการได้รับประโยชน์ และขณะเดียวกันก็เป็นการสร้างประโยชน์ให้เกิดแก่สังคม
  • การนำเอาเด็กเล็กไปร่วมงานอ่านฟาติฮะฮฺ ณ กุบูร เป็นมักรูฮฺหรือไม่?
    6601 จริยธรรมปฏิบัติ 2555/05/17
    การนำเด็กๆ เข้าร่วมในมัจญฺลิซ งานประชุมศาสนา พิธีกรรมทางศาสนา, การนำเด็กๆ ไปมัสญิด, หรือพิธีกรรมรำลึกถึงท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) ในเดือนมุฮัรรอม หรืองานเทศกาลอื่นๆ ทางศาสนา, เช่น เข้าร่วมนมาซอีดฟิฏร์ อีดกุรบาน หรือพิธีกรรมต่างๆ ทางศาสนา เพื่อเป็นการกระตุ้นความรักผูกพันกับศาสนาของพวกเขา ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีมีประโยชน์อย่างยิ่ง ส่วนการนำเด็กๆ ไปร่วมพิธีอ่านฟาติฮะฮฺ ณ สถานฝังศพ ซึ่งได้ค้นหารายงานจากตำราต่างๆ ด้านฟิกฮฺอิสลามแล้ว ไม่พบรายงานที่ระบุว่าการกระทำดังกล่าวเป็นมักรูฮฺ ถ้าหากมีรายงานหรือเหตุผลอันเฉพาะเจาะจงจากสามีหรือภรรยาของคุณ กรุณาชี้แจงรายละเอียดมากกว่านี้แก่เราเพื่อเป็นประโยชน์สำหรับการค้นคว้าต่อไป ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับคำถามของคุณ สามารถกล่าวสรุปได้ดังนี้ : 1.รายงานที่กล่าวถึงผลบุญในการกล่าวแสดงความเสียใจกับเจ้าของงาน และการไปยังสถานฝังศพ เป็นรายงานทั่วไปกว้างๆ แน่นอนย่อมครอบคลุมถึงเด็กและเยาวชนด้วย 2.จากแนวทางการปฏิบัติของรรดาอิมามมะอฺซูม (อ.) ...
  • วจนะอันหนักอึ้งในโองการ إِنَّا سَنُلْقِی عَلَیْکَ قَوْلاً ثَقِیلاً (อัลมุซซัมมิล: 5) หมายถึงอะไร?
    8990 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/18
    วจนะอันหนักอึ้งในโองการ إِنَّا سَنُلْقِی عَلَیْکَ قَوْلاً ثَقِیلاً หมายถึงกุรอาน แม้ว่านักอรรถาธิบายจะตีความคำว่าวจนะอันหนักอึ้งแตกต่างกันไปตามแต่ละแง่มุมของโองการ แต่สันนิษฐานว่าความเป็นวจนะอันหนักอึ้ง (อันหมายถึงกุรอานอย่างมิต้องสงสัย)  เกิดจากแง่มุมต่างๆอันได้แก่ ความหนักอึ้งในแง่เนื้อหาโองการ ในแง่การแบกรับด้วยหัวใจ ในแง่การเผยแพร่คำสอน ในแง่การวางแผนและปฏิบัติ ฯลฯ ...
  • มีวิธีใดบ้างที่จะทำให้สามีภรรยาเข้าใจกันและกัน
    8344 จริยธรรมทฤษฎี 2555/09/15
    ความซื่อสัตย์คือต้นทุนที่สำคัญที่สุดของชีวิตคู่ ในทางตรงกันข้าม ภัยคุกคามที่ร้ายแรงที่สุดที่ก่อให้เกิดความร้าวฉานระหว่างคู่รักก็คือความไม่ไว้วางใจและการหลอกลวงกัน จากที่คุณถามมา พอจะสรุปได้ว่าคุณสองคนขาดความไว้วางใจต่อกัน ขั้นแรกจึงต้องทำลายกำแพงดังกล่าวเสียก่อน วิธีก็คือ จะต้องหาต้นตอของความไม่ไว้วางใจให้ได้ แล้วจึงสะสางให้เป็นที่พึงพอใจทั้งสองฝ่าย ซึ่งหากเสริมสร้างความไว้วางใจได้สำเร็จ ไม่ว่าคุณไสยหรือเวทมนตร์คาถาใดๆก็ไม่อาจจะทำลายความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับภรรยาได้อีก ...

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60321 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    57858 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42420 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    39679 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    39085 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    34166 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    28202 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    28145 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    28071 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    26023 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...