การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
7307
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2554/07/19
 
รหัสในเว็บไซต์ fa1084 รหัสสำเนา 15269
คำถามอย่างย่อ
สามารถจะติดต่อกับอิมามมะฮ์ดี(อ.)ได้หรือไม่?
คำถาม
สามารถจะติดต่อกับอิมามมะฮ์ดี(อ.)ได้หรือไม่?
คำตอบโดยสังเขป

โดยทั่วไป สัมพันธภาพจะไม่เกิดขึ้นระหว่างคนแปลกหน้าสองคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน นอกจากจะมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งรู้จักและมีไมตรีจิตต่อฝ่ายตรงข้าม จึงจะค่อยๆสานเป็นความสัมพันธ์อันดีต่อกันในอนาคต
กรณีของท่านอิมามมะฮ์ดีก็เช่นกัน ท่านรู้จักเราและมีไมตรีจิตต่อเราอย่างอบอุ่น  แต่เราซึ่งเป็นอีกด้านหนึ่งของสายสัมพันธ์ หากได้รู้จักฐานะภาพของท่านอย่างแท้จริง ก็จะทำให้สามารถสานสัมพันธ์และติดต่อกับท่านได้ ดังที่อุละมาอ์ระดับสูงหรือผู้ที่สำรวมตนขัดเกลาจิตใจบางท่านสามารถติดต่อกับท่านอิมาม(อ.)ได้ในอดีต
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ การสานสัมพันธ์กับท่านอิมามมะฮ์ดี(อ.)นั้น แบ่งออกเป็นสองประเภท
1.เชื่อมสัมพันธ์ทางจิตใจ 2.เชื่อมสัมพันธ์ในระดับการเข้าพบ อย่างไรก็ดี แม้ว่าความสัมพันธ์ทั้งสองประเภทนี้จะมิไช่เรื่องที่ไกลเกินเอื้อม แต่หากต้องการจะมีความสัมพันธ์ในระดับเข้าพบ ก็จะต้องมีคุณสมบัติพิเศษ กล่าวคือ จะต้องมีสัมพันธภาพทางจิตใจพร้อมกับจะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขต่างๆที่จำเป็นด้วย จึงจะถือเป็นการตระเตรียมโอกาสที่จะได้เข้าพบท่าน(อ.)

คำตอบเชิงรายละเอียด

เพื่อให้ได้รับคำตอบที่ถูกต้อง จำเป็นต้องคำนึงถึงเนื้อหาดังต่อไปนี้
1. คำว่า“ความสัมพันธ์”ในเชิงคำศัพท์แล้ว หมายถึงความผูกพัน ความนิยมชมชอบ และการเชื่อมโยง[1]. คำดังกล่าวสื่อถึงภาวะเชื่อมโยงระหว่างสองฝ่าย อันประกอบด้วยบุคคลสองฝ่ายที่มีความสัมพันธ์กัน และทั้งสองฝ่ายต้องการจะคงความสัมพันธ์ดังกล่าวไว้ ฉะนั้น ความรู้สึกผูกพันฝ่ายเดียวจึงไม่นับเป็นความสัมพันธ์แต่อย่างใด
นอกจากนี้ ความสัมพันธ์จะไม่เกิดขึ้นระหว่างสองฝ่ายที่ไม่เคยรู้จักมักจี่กันมาก่อน นอกจากว่าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดจะยื่นมือเข้าหาฝ่ายตรงข้ามเนื่องจากเคยรู้จัก หรือมีความผูกพันต่ออีกฝ่ายเป็นทุนเดิม อันจะสามารถต่อยอดให้กลายเป็นการปฏิสัมพันธ์บนพื้นฐานของไมตรีจิตได้
ในกรณีของท่านอิมามมะฮ์ดีก็เช่นกัน ท่านรู้จักเราและมีไมตรีจิตต่อเราเป็นอย่างดี ฮะดีษต่างๆก็บ่งบอกว่า ท่านห่วงหาอาทร และทราบดีถึงสารทุกข์สุขดิบของชีอะฮ์(กัลญาณมิตร)ของท่านทุกคน มีฮะดีษหนึ่งกล่าวถึงคำปรารภของท่านอิมามที่มีต่อท่านเชคมุฟี้ดว่า
انا غیر مهملین لمراعاتکم و لا ناسین لذکرکم [2]
“แท้จริงเราไม่เคยเมินเฉยต่อสารทุกข์สุขดิบของพวกท่าน และไม่เคยลืมที่จะรำลึกถึงพวกท่านเลย”
จะเห็นได้ว่าไมตรีจิตและความเอื้ออาทรดังกล่าวถือเป็นไมตรีจิตในระดับสูงสุด จะมีมิตรสหายคนใดบ้างที่จะแสดงความรักที่มีต่อเราด้วยการรำลึกถึงเราตลอดเวลา อีกทั้งถือว่าตนมีหน้าที่ๆจะต้องดูแลสารทุกข์สุขดิบเช่นนี้ สรุปคือ ท่านอิมามมะฮ์ดี(อ.)คือด้านหนึ่งของสายสัมพันธ์  ซึ่งกำลังรอคอยให้เหล่ากัลญาณมิตรถักทอความผูกพันที่มีต่อท่าน(อ.) เพื่อก่อให้เกิดปฏิสัมพันธ์จากสองฝ่ายอย่างแท้จริง
อีกด้านหนึ่งก็คือตัวเราเอง ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว หากใครไม่เคยรู้จักอิมามมะฮ์ดี(อ.)หรือรู้จักอย่างผิวเผิน ย่อมไม่สามารถที่จะสานสัมพันธ์กับท่านได้ ทั้งนี้ก็เนื่องจากว่า คนเรามักจะพิจารณาบุคคลแปลกหน้าจากนิสัยใจคอ จรรยามารยาท และสภาวะทางจิตใจ(และร่างกาย) เสียก่อน จึงจะเริ่มมีความรู้สึกนิยมชมชอบ อันจะเป็นแรงบันดาลใจให้เชื่อมสัมพันธ์กับฝ่ายตรงข้าม จากนั้นก็จะเผยความรู้สึกดังกล่าวให้ฝ่ายตรงข้ามรับรู้ ซึ่งหากฝ่ายตรงข้ามเห็นว่าฝ่ายเราเหมาะแก่การเชื่อมสัมพันธ์ด้วย ปฏิสัมพันธ์อย่างครบวงจรก็จะเกิดขึ้น
แน่นอนว่าท่านอิมามมะฮ์ดี(อ.)รักและห่วงใยกัลญาณมิตรของท่านเป็นอย่างยิ่ง ถามว่าเรารักและถวิลหาท่านบ้างหรือไม่? หรืออ้างว่ารักแค่เพียงลมปาก? เคยรับรู้ว่าท่านรักและห่วงใยเราบ้างหรือไม่?

2 ดังที่เกริ่นแล้วข้างต้น ความสัมพันธ์จะเริ่มจากการทำความรู้จัก และถักทอเป็นความผูกพันในใจ อันจะสร้างเสริมโอกาสให้ได้เข้าพบอย่างใกล้ชิดสนิทสนม
หากผู้ใดสามารถสานสัมพันธ์ทางจิตใจกับท่านอิมาม(อ.)อย่างสนิทแน่นแฟ้นในลักษณะที่สมควรได้รับอนุญาตให้เข้าพบ เขาก็ย่อมมีโอกาสจะได้เข้าพบอิมาม(อ.)มากกว่าผู้อื่น ดังที่เราจะพบเห็นได้ในอัตชีวประวัติของอุละมาอ์และผู้บำเพ็ญความดีที่ไม่เคยอวดอ้าง หลายท่านสามารถบรรลุถึงความผูกพันระดับสูง ทำให้มีโอกาสได้เข้าพบท่านอิมาม(อ.) ทั้งนี้ การเข้าพบดังกล่าวเป็นไปในลักษณะที่ท่านอิมาม(อ.)ปรากฏกายในฐานะคนแปลกหน้าสำหรับอุละมาบางท่านในเบื้องแรก แต่ภายหลังอุละมาเหล่านี้จึงทราบว่าได้พบอิมามมะฮ์ดี(อ.)แล้ว ดังเช่นเรื่องราวของฮัจยี อลี บัฆดาดี หรือ ฮัจญี ซัยยิด อะห์มัด รัชตี และเรื่องราวของท่านอื่นๆ ที่บันทึกไว้ในหนังสือมะฟาตีฮุ้ลญินาน[3]
,[4]

การเชื่อมสัมพันธ์กับท่านอิมามมะฮ์ดี(อ.)อาจเกิดขึ้นได้สองลักษณะ:
1. การได้เข้าพบโดยตรง    2. เชื่อมสัมพันธ์ทางจิตวิญญาณ
เป็นไปได้หรือไม่ที่จะเชื่อมสัมพันธ์ในสองลักษณะดังกล่าว? เราจะขอแยกตอบทีละประเด็นดังต่อไปนี้
1. การได้เข้าพบโดยตรง ในลักษณะที่บุคคลสามารถเห็นท่านได้นั้น แบ่งออกได้ดังนี้
ก. เห็นอิมามมะฮ์ดี(อ.)แต่ไม่รู้จักท่าน
ตามคำบอกเล่าของฮะดีษ ลักษณะเช่นนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ดังที่ท่านเชคศ่อดู้กเล่าจากหนึ่งในตัวแทนพิเศษ(นาอิบุ้ลคอศ)ของอิมามว่า“ท่านอิมามมะฮ์ดี(อ.)จะร่วมพิธีฮัจย์ทุกปี ท่านเห็นและรู้จักทุกคน ผู้คนก็สามารถเห็นท่านได้ ทว่าไม่รู้จักว่าท่านคืออิมามมะฮ์ดี[5]” ฉะนั้น การได้เห็นอิมามมะฮ์ดีนอกจากจะไม่ไช่ปาฏิหารย์แล้ว ยังเกิดขึ้นบ่อยครั้งดังที่กล่าวมา อย่างไรก็ดี ลักษณะการพบอิมามเช่นนี้คงไม่ถือว่าเป็น“ปฏิสัมพันธ์” และผู้ตั้งคำถามก็คงจะไม่ได้หมายถึงลักษณะการพบปะเช่นนี้
ข. ได้เห็นอิมามมะฮ์ดี และรู้จักท่าน
หากจะถามว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่บุคคลจะสามารถเข้าพบอิมามโดยรู้จักท่าน คำตอบก็คือ เป็นไปได้ ทั้งนี้ก็เพราะมีปัจจัยสนับสนุน แต่ไม่มีปัจจัยที่เป็นอุปสรรค กล่าวคือ เราไม่พบว่ามีเหตุผลใดที่จะหักห้ามมิให้อิมามมะฮ์ดี(อ.)เยี่ยมเยียนผู้ที่มีจิตใจผ่องแผ้วและมีคุณสมบัติเหมาะที่จะได้รับโอกาสดังกล่าว ฉะนั้น การพบปะในลักษณะนี้จึงมีความเป็นไปได้ เว้นแต่จะมีเหตุอันไม่สมควรเป็นการเฉพาะ
นอกจากนี้ ยังมีเรื่องราวของบรรดาอุละมาอ์และเอาลิยาอ์ของพระองค์ที่มีโอกาสเข้าพบท่านอิมามมะฮ์ดี(อ.) โดยที่บางคนรู้จักท่านตั้งแต่แรกเห็น แต่บางคนก็นึกขึ้นได้ในภายหลังว่าตนได้พบอิมามมะฮ์ดีแล้ว อย่างไรก็ดี การเชื่อมสัมพันธ์มิได้มีเพียงการเข้าพบเชิงกายภาพเท่านั้น เพราะแม้ว่าการเข้าพบลักษณะนี้จะยังความภาคภูมิใจแก่ผู้ที่ได้รับโอกาส แต่มิไช่ว่าใครๆก็สามารถได้รับโอกาสนี้ได้ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ต้องเชื่อมสัมพันธ์ทางจิตวิญญาณและเชื่อฟังคำสอนของท่านในยุคที่ท่านเร้นกาย

2. การเชื่อมสัมพันธ์ทางจิตวิญญาณ: ในลักษณะที่แม้ไม่ได้เข้าพบเชิงกายภาพ แต่ถักทอความผูกพันที่มีต่ออิมามมะฮ์ดีไม่ว่าจะในรูปของการพรรณาถึงท่านอิมาม หรือดุอาให้ท่าน หรือรำลึกถึงท่านอยู่เสมอๆ คำถามคือ การเชื่อมสัมพันธ์ในลักษณะนี้เป็นไปได้หรือไม่อย่างไร?
ขอตอบว่าเป็นไปได้ เนื่องจากบรรดาอิมาม(อ.)สามารถได้ยินเสียงของเรา และรับรู้สารทุกข์สุขดิบของเราเสมอไม่ว่าเราจะอยู่แห่งหนใด ดังที่มีในบทขออนุญาตเข้าฮะร็อมสุสานของบรรดาอิมาม(อ.)ว่า
اشهد أنک تسمع کلامی و تشهد مقامی[6] (ขอยืนยันว่าท่านได้ยินเสียงพูดของฉัน อีกทั้งแลเห็นสถานที่ๆฉันยืนอยู่) นอกจากนี้ยังมีฮะดีษมากมายชี้ชัดว่านบี(ซ.ล.)และบรรดาอิมาม(อ.)รับรู้ความเคลื่อนไหวของเราทุกคน ดังจะเห็นได้จากเรื่องราวของอุวัยส์ ก่อรอนี่ ที่ทั้งรักและผูกพันกับท่านนบี(ซ.ล.)มาก แม้ไม่มีโอกาสได้เข้าพบท่านนบี(ซ.ล.)เลยสักครั้ง แต่ท่านนบี(ซ.ล.)ก็รับรู้ได้ถึงความรักความผูกพันของอุวัยส์ โดยกล่าวว่า “ลมสวรรค์พัดเอื่อยมาจากทิศแห่งก่อร็อน(แคว้นที่อุวัยส์พำนัก) โอ้อุวัยส์เอ๋ย ฉันอยากพบเจ้าเสียจริง ผู้ใดที่ได้พบเห็นเขา จงกล่าวสลามแทนฉันด้วย” ท่านนบี(ซ.ล.)ยังกล่าวต่ออีกว่า“เขาจะไม่มีโอกาสได้เห็นฉัน และภายหลังจากฉัน เขาจะยืนหยัดเคียงข้างอลี(อ.)และเสียชีวิตในสงครามศิฟฟีน[7]

ฉะนั้น บรรดาเอาลิยาอ์(กัลญาณมิตร)ของอัลลอฮ์รับรู้ได้ถึงความเป็นไปรวมถึงความนึกคิดของเราไม่ว่าจะเผยออกมาเป็นคำพูดหรือไม่ก็ตาม ทำให้เราสามารถเชื่อมสัมพันธ์หรือสื่อสารกับพวกท่านได้อย่างง่ายดายทุกขณะจิต
ณ ที่นี้จะขอหยิบยกคำแนะนำจากท่านอายะตุ้ลลอฮ์ บะฮ์ญัต เพื่อได้รับโอกาสติดต่อหรือได้พบปะกับท่านอิมามมะฮ์ดี(อ.)ดังนี้
:
มีผู้ถามท่านว่าจะทำอย่างไรเพื่อได้รับโอกาสพบปะกับท่านอิมาม(อ.) ท่านตอบว่า“ให้กล่าวศอละวาตอุทิศแด่ท่านอิมามมะฮ์ดี(อ.) โดยให้พ่วงท้ายด้วยดุอารีบเร่งการปรากฏกายดังนี้
 
اللهم صل علی محمد وآل محمد و عجل فرجهم และให้ไปที่มัสญิดญัมกะรอนอย่างสม่ำเสมอและนมาซตามที่ระบุไว้[8]” ท่านกล่าวถึงวิธีเชื่อมสัมพันธ์กับท่านอิมามมะฮ์ดี(อ.)ว่า“หนทางสู่การใกล้ชิดอัลลอฮ์ คือการเคารพเชื่อฟังพระองค์และอิมามมะฮ์ดี(อ.) ซึ่งกระทำได้ด้วยการปฏิบัติตามตำราบทบัญญัติศาสนาที่ได้รับการยืนยันความถูกต้อง[9]” ต่อคำถามที่ว่าจะกระชับสัมพันธ์กับอะฮ์ลุลบัยต์ โดยเฉพาะอิมามมะฮ์ดี(อ.)ได้อย่างไร? ท่านตอบว่า“การเคารพภักดีต่ออัลลอฮ์ จะนำมาซึ่งความรักในพระองค์ ตลอดจนรักปูชณียบุคคลที่เป็นที่รักของพระองค์ ซึ่งก็หมายถึงบรรดานบีและเหล่าตัวแทน โดยในจำนวนนี้ อัลลอฮ์ทรงรักท่านนบี(ซ.ล.)และอะฮ์ลุ้ลบัยต์(อ.)มากที่สุด และท่านอิมามมะฮ์ดี(อ.)ก็ถือเป็นผู้ที่ใกล้ชิดเรามากที่สุด[10]

นอกจากนี้ยังมีวิธีอื่นๆที่ช่วยกระชับสัมพันธ์กับท่านอิมามมะฮ์ดี(อ.)ดังต่อไปนี้:
ก. ดุอาเพื่อสวัสดิภาพของอิมามมะฮ์ดี(อ.) اللهم کن لولیک ...[11]
ข. ดุอาอะฮด์ : ท่านอิมามญะฟัร อัศศอดิก(อ.) กล่าวว่า“ผู้ใดที่อ่านดุอาบทนี้ยามรุ่งอรุณเป็นเวลาสี่สิบวัน จะได้เป็นหนึ่งในสาวกของมะฮ์ดี(อ.)” [12]
ค. ซิยาเราะฮ์ อาลิ ยาซีน
: ซึ่งบันทึกไว้ในหนังสือมะฟาตีฮุ้ลญินาน โดยท่านอิมามมะฮ์ดี(อ.)กล่าวว่า “ยามใดที่นึกถึงเรา ให้อ่านบทซิยาเราะฮ์นี้”[13]
ง. ซิยาเราะฮ์ ญามิอะฮ์ กะบีเราะฮ์
: บันทึกไว้ในหนังสือดังกล่าวเช่นกัน[14]

ฉะนั้น เป็นไปได้ที่จะเชื่อมสัมพันธ์กับท่านอิมามมะฮ์ดี(อ.) ด้วยการตั้งมั่นและเพียรพยายาม ซึ่งจะทำให้สัมฤทธิ์ผลในการเชื่อมสัมพันธ์ทางจิตวิญญาณ และหากหมั่นขัดเกลาจิตใจและละเว้นกิเลสได้ ก็จะทำให้สามารถเข้าพบท่านอิมาม(อ.)เชิงกายภาพ หรือสามารถบรรลุระดับขั้นที่ท่านอิมามมะฮ์ดีจะเป็นฝ่ายมาเยี่ยมเยียนด้วยตัวท่านเอง
อย่างไรก็ดี หากได้ขัดเกลาจิตใจและบำเพ็ญความดีแต่ยังไม่ได้รับโอกาสการเข้าพบอิมาม(อ.) ก็อย่าได้ท้อแท้ใจ ควรหมั่นขัดเกลาจิตใจต่อไปให้ได้รับโอกาสทองนั้น แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น บางครั้งแม้เราจะขัดเกลาจิตใจจนกระทั่งเหมาะแก่การได้รับโอกาสแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้รับโอกาส เนื่องจากอาจมีเหตุผลที่เชื่อได้ว่าการได้พบท่านอาจไม่เป็นผลดีต่อตัวเราเป็นการเฉพาะ
3. อาจเกิดข้อสงสัยได้ว่า แล้วจะชี้แจงอย่างไรเกี่ยวกับฮะดีษที่กล่าวว่า ผู้ใดอ้างว่าเห็นท่าน ให้ถือเป็นจอมโกหก?
ขอตอบว่าฮะดีษเหล่านี้มีอยู่จริง เนื้อหาโดยสรุปก็คือ “ใครก็ตามที่อ้างว่าเห็นอิมามมะฮ์ดี(อ.)ก่อนสุรเสียงจากฟากฟ้าและการมาของซุฟยานี[15] ให้ถือว่าเขาคือจอมโกหก”[16] อย่างไรก็ดี บรรดาอุละมาอ์เชื่อว่าการเห็นในที่นี่ หมายถึงการเห็นในฐานะที่แอบอ้างตนเป็นตัวแทนของอิมามมะฮ์ดี(อ.)ในลักษณะเดียวกับตัวแทนทั้งสี่ท่านในอดีต[17] แต่อย่างไรก็ตาม ฮะดีษเหล่านี้มิได้ปฏิเสธความเป็นไปได้ที่จะติดต่อกับท่าน แต่ต้องการเพียงปฏิเสธผู้ที่โพทะนาว่าตนเองเห็นอิมามเท่านั้น ทั้งนี้ เราไม่เคยได้ยินว่าผู้รู้ท่านใดที่เคยติดต่อกับอิมาม(อ.) จะประกาศให้สาธารณชนรู้ว่าตนเองได้พบอิมามเพื่อฉวยประโยชน์ในทางมิชอบ ผู้รู้ที่ได้รับโอกาสส่วนใหญ่จะอนุญาตให้เล่าเรื่องราวเหล่านี้ภายหลังจากที่ท่านเสียชีวิตไปแล้วเท่านั้น
สรุปคือ หากต้องการใกล้ชิดอิมามมะฮ์ดีในระดับที่สามารถเข้าพบท่านเชิงกายภาพ จำเป็นต้องขวนขวายและพยายามอย่างสูง

4. เกร็ดน่ารู้ส่งท้ายก็คือ พึงทราบเสมอว่า การเชื่อมสัมพันธ์กับอิมามมะฮ์ดี(อ.)มีความสำคัญต่อชีวิตประจำวันของเหล่าสาวกของท่านเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากโดยทั่วไปแล้ว บุคคลที่เชื่อมสัมพันธ์กับผู้ที่มีระดับจิตวิญญาณเหนือกว่า มักจะพยายามปรับปรุงตนเองให้เสมอเหมือนหรือใกล้เคียงกับผู้นั้น ในทางจิตวิทยาก็ยืนยันถึงความจำเป็นที่จะต้องมี “แบบอย่าง”ในชีวิต จึงจะเห็นได้ว่าหากวัยรุ่นคนหนึ่งรักและผูกพันกับอิมามมะฮ์ดี(อ.) เขาก็จะประคองตนเองให้เป็นที่พอใจของอิมามเสมอ กระบวนการดังกล่าวส่งผลดีต่อการพัฒนาจิตวิญญาณเป็นอย่างยิ่ง ความผูกพันนี้จึงเปรียบเสมือนหัวรถจักรที่ขับเคลื่อนชีวิตของมนุษย์ และเมื่อวัยรุ่นได้รับรู้ถึงความเอื้ออาทรที่อิมามมะฮ์ดีมีต่อเขา เขาก็จะพยายามเชื่อมสัมพันธ์โดยการรำลึกถึงท่านเสมอ ทั้งนี้ แน่นอนว่าแรงขับเคลื่อนดังกล่าวไม่จำเป็นต้องเกิดจากการเข้าพบเชิงกายภาพ แต่ทุกคนสามารถเจริญรอยตามและเชื่อมสัมพันธ์กับท่านได้ด้วยการศึกษาเกี่ยวกับคุณลักษณะและแบบฉบับของท่าน แน่นอนว่าปริมาตรทางจิตวิญญาณของบรรดามะอ์ศูม(อ.)นั้น มีมากพอที่จะรับรู้และสนใจการสื่อสารทางจิตใจจากเราทุกเวลาและสถานที่ ดังที่เราอ่านในบทซิยาเราะฮ์ต่างๆว่า “ขอปฏิญาณว่าท่านได้ยินเสียงของฉัน อีกทั้งแลเห็นจุดที่ฉันยืนอยู่นี้”[18] และด้วยเหตุนี้เอง เราจึงไม่มีหน้าที่ๆจะต้องมองเห็นหรือเข้าพบอิมามมะฮ์ดีเชิงกายภาพ และแม้ว่าการได้เข้าพบเชิงกายภาพจะเป็นความภาคภูมิใจเกินบรรยายก็ตาม แต่หากผู้ใดไม่ได้รับโอกาสดังกล่าว ก็มิได้หมายความว่าอิมามมะฮ์ดีมองข้ามความดีงามของเขาแต่อย่างใด



[1] อัลมุนญิด,เล่ม1,หน้า 540.

[2] อิห์ติญาจ,เชคศ่อดู้ก,เล่ม 2, หน้า 497.

[3] บิฮารุ้ลอันว้าร,เล่ม 52,หมวดที่18, บทการเร้นกาย

[4] มุนตะฮัลอาม้าล,เล่ม 2,หมวด14, ส่วนที่ 5

[5] ان صاحب هذا الامر یحضر الموسم کل سنة یری الناس و یعرفهم و یرونه و لا یعرفونه (มันลายะห์ฎุรุฮุ้ลฟะกีฮ์,เล่ม 2, หน้า 520,ท้ายฮะดีษที่ 3115)

[6] บิฮารุ้ลอันว้าร,เล่ม 97,หน้า 375, หมวด 5, ฮะดีษที่ 9

[7] อ้างแล้ว,เล่ม 42, หน้า155, หมวด 124, ฮะดีษที่ 22

[8] สู่ผู้เป็นที่รัก,ซัยยิดมะฮ์ดี ซาอี,หน้า 59

[9] อ้างแล้ว,หน้า 61.

[10] อ้างแล้ว

[11] อัลกาฟีย์,เล่ม 4, หน้า 162, หมวดดุอาสิบคืนสุดท้าย,ฮะดีษที่ 4

[12] บิฮารุ้ลอันว้าร,เล่ม 53, หน้า 95, หมวด 29 ,ฮะดีษที่11.

[13] อ้างแล้ว,เล่ม 99, หน้า 81, หมวด 7,ฮะดีษที่1

[14] มันลายะฮ์ฎุรุฮุ้ลฟะกีฮ์,เล่ม 2,หน้า 609, ฮะดีษที่ 3213

[15] สองเหตุการณ์นี้คือสัญลักษณ์การปรากฏกายของอิมาม(อ.)

[16] บิฮารุ้ลอันว้าร,เล่ม 52, หน้า151,หมวด 23, ฮะดีษแรก

[17] อัลลามะฮ์ มัญลิซี่เล่าถึงคำพูดดังกล่าวของผู้ประพันธ์หนังสืออิกมาลุดดีนเพื่ออธิบายฮะดีษนี้

[18] บิฮารุ้ลอันว้าร,เล่ม 97,หน้า 375,หมวด 5,ฮะดีษ 9 أشد أنک تسمع کلامی و تشهد مقامی

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • มนุษย์สามารถเข้าถึงเรื่องจิตวิญญาณโดยปราศจากศาสนาได้หรือไม่?
    11324 معیار شناسی (دین و اخلاق) 2555/09/08
    รูปภาพของจิตวิญญาณสมัยที่โจทย์ขานกันอยู่ในปัจจุบัน มีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงกับภาพทางจิตวิญญาณ ในความคิดของเราในฐานะมุสลิมหนึ่ง เนื่องจากความก้าวหน้าทางจิตวิญญาณของมุสลิมนั้น มีความสัมพันธ์อย่างลึกซึ้งกับคำสอนศาสนา จิตวิญญาณทางศาสนา, วางอยู่บนพื้นฐานของการปฏิบัติตามตำแนะนำสั่งสอนของศาสนา จึงจะก่อให้เกิดสถานดังกล่าว คำแนะนำและความรู้เกี่ยวกับความจริงที่พ้นญาณวิสัย เหนือโลกวัตถุและความจริงที่วางอยู่บนพื้นฐานดังกล่าว จะพบว่ามนุษย์ในระบบของการสร้างสรรค์ มีสถานภาพพิเศษ กำลังดำเนินชีวิตไปในหนทางพิเศษ อันเป็นหนทางที่ต้องอาศัยพฤติกรรมอันเฉพาะบางอย่าง อีกนัยหนึ่ง จิตวิญญาณทางศาสนา เป็นความรู้สึกหนึ่งที่มนุษย์มีต่อข้อเท็จจริง ซึ่งจะพบว่าความรู้สึกนั้นตั้งอยู่เหนือโลกของวัตถุ ขณะเดียวกันก็วางอยู่บนข้อตกลงและเงื่อนไขอันเฉพาะ ถ้าหากพิจารณาสติปัญญาที่มีขอบเขตของจำกัด ในการรู้จักมิติต่างๆ ของการมีอยู่ของมนุษย์ การรับรู้ถึงความต้องการที่แท้จริงของเขา และในที่สุดการเลือกวิธีการต่างๆ ว่าจะดำเนินไปอย่างไร เพื่อไปให้ถึงสิ่งที่ธรรมชาติของมนุษย์ถวิลหา ดังนั้น ตรงนี้จึงไม่อาจพึงความรู้ในเชิงของเหตุผล หรือสติปัญญาได้เพียงอย่างเดียว ทว่าต้องพึ่งคำแนะนำและผู้ชี้นำทาง ซึ่งการทำความเข้าใจ และการครอบคลุมของสิ่งนั้นต้องเหนือกว่า สติปัญญา และสิ่งนั้นก็คือ วะฮฺยู ของพระเจ้า ซึ่งได้มาถึงสังคมมนุษย์โดยผ่านขบวนการของบรรดาเราะซูล ซึ่งได้แนะนำมนุษย์ให้เดินไปสู่สัจธรรมความจริงสูงสุด อัลลอฮฺ (ซบ.) ได้ประทานเราะซูลลงมาคนแล้วคนเล่า ทรงทำให้ศาสนาของพระองค์สมบูรณ์ มนุษย์มีหน้าที่ตรวจสอบโดยละเอียด ...
  • ขณะลงซัจญฺดะฮฺ จะต้องเอาอวัยวะส่วนใดลงพื้นก่อนซัจญฺดะฮฺ?
    6509 สุญูดทั้งสอง 2555/05/17
    การซัจญฺดะฮฺเป็นหนึ่งในวาญิบของนมาซ, ซึ่งมีองค์ประกอบและเงื่อนไขวาญิบและมุสตะฮับหลายประการ, เช่น หนึ่งในบางประการที่ถือว่าเป็นมุสตะฮับของซัจญฺดะฮฺ, กล่าวคือ ชาย ขณะลงซัจญฺดะฮฺให้เอาฝ่ามือลงก่อน, ส่วนหญิงให้เอาเข่าลงก่อน[1] [1] อิมามโคมัยนี, เตาฎีฮุลมะซาอิล (มะฮัชชี), ผู้ตรวจทานและค้นคว้า : บนีฮาชิมมี โคมัยนี, ซัยยิดมุฮัมมัด ฮุซัยน, เล่ม 1, หน้า 591, ดัฟตัรอินเตะชารอต อิสลามี, กุม, พิมพ์ครั้ง 8, ปี ฮ.ศ. 1424
  • ท่านบิลาลแต่งงานหรือยัง? ในกรณีที่แต่งงานแล้ว ท่านมีลูกหลานหรือไม่?
    9762 تاريخ بزرگان 2554/11/17
    ตำราประวัติศาสตร์กล่าวถึงการแต่งงานของบิลาลเอาไว้เช่นเล่าว่าท่านนบี (ซ.ล.)เสนอแนะและสนับสนุนให้ท่านแต่งงานกับสตรีผู้หนึ่งจากเผ่าบนีกะนานะฮ์[1]และบ้างก็กล่าวว่าท่านแต่งงานกับสตรีจากเผ่าบะนีซุฮเราะฮ์[2]อีกทั้งได้มีการกล่าวว่าท่านเดินทางพร้อมกับพี่ชายเพื่อไปสู่ขอหญิงชาวเยเมนคนหนึ่ง
  • ท่านอับบาสอ่านกลอนปลุกใจว่าอย่างไรขณะกำลังนำน้ำมา
    9385 ชีวประวัตินักปราชญ์ 2554/12/25
    คำถามนี้ไม่มีคำตอบแบบสั้น ปรดเลือกปุ่มคำตอบที่สมบูรณ์ ...
  • บรรดาเชลยแห่งกัรบะลาอฺมุฮัรรอม ได้เคลื่อนออกจากกัรบะลาอฺไปยังเมืองชามวันอะไร?
    7244 تاريخ بزرگان 2554/06/22
    ตามรายงานที่ปรากฏอยู่ในหนังสือประวัติศาสตร์และมะกอติล, กองคาราวานเชลยแห่งกัรบะลาอฺได้เคลื่อนออกจากกัรบะลาอฺในวันที่ 11 เดือนมุฮัรรอมและวันที่ 12 เดือนมุฮัรรอมได้มาถึงเมืองกูฟะฮฺและเคลื่อนออกจากเมืองกูฟะฮฺไปยังเมืองชามในวันที่ 19 เดือนมุฮัรรอมและถึงเมืองชามในวันที่ 1 เดือนเซาะฟัร[1]
  • ใครคือกลุ่มอัคบารีและอุศูลี?
    7256 ปรัชญาประวัติศาสตร์ 2555/04/09
    อัคบารีก็คือกลุ่ม“อัศฮาบุลฮะดีษ”ซึ่งในแวดวงชีอะฮ์มักเรียกกันว่าอัคบารี กลุ่มนี้ปฏิเสธวิธีอิจติฮ้าด(วินิจฉัย) และยึดถือเฉพาะอัคบ้าร (ฮะดีษ) เท่านั้น ส่วนกลุ่มอุศูลีประกอบไปด้วยฟุเกาะฮาอ์(นักนิติศาสตร์อิสลาม)มากมายที่มีทัศนะตรงข้ามกับกลุ่มอัคบารี อุศูลีเชื่อว่าสามารถวินิจฉัยบทบัญญัติศาสนาได้โดยอาศัยหลักฐานจากอัลกุรอาน ฮะดีษ สติปัญญา และอิจมาอ์ นอกจากนี้ยังนำวิชาอุศูลุลฟิกฮ์มาใช้ อาทิเช่นหลักการบะรออะฮ์ อิสติศฮ้าบ ตัคยี้ร ข้อแตกต่างระหว่างสองกลุ่มนี้ได้แก่ การที่กลุ่มอุศูลียึดมั่นในหลักอิจติฮ้าด(วินิจฉัยปัญหาศาสนา) และเชื่อว่าผู้ที่มิไช่มุจตะฮิดจะต้องตักลี้ด(ปฏิบัติตาม)ผู้ที่เป็นมุจตะฮิดในฐานะผู้สันทัดกรณี ในขณะที่กลุ่มอัคบารีปฏิเสธการอิจติฮ้าดและตักลี้ด นอกจากนี้ กลุ่มอุศลูลีไม่อนุญาตให้ตักลี้ดเบื้องแรกกับมุจตะฮิดที่เสียชีวิตไปแล้ว ในขณะที่กลุ่มอัคบารีถือว่าความตายไม่ส่งผลใดๆต่อการปฏิบัติตามผู้เชี่ยวชาญทางศาสนา กลุ่มอัคบารียังเชื่ออีกว่าตำราทั้งสี่ของชีอะฮ์ล้วนเศาะฮี้ห์ทั้งหมด เนื่องจากผู้เรียบเรียงได้คัดเฉพาะฮะดีษที่เศาะฮี้ห์เท่านั้น ในขณะที่กลุ่มอุศูลีคัดค้านความเห็นดังกล่าว ฯลฯ ...
  • การนำเอาเด็กเล็กไปร่วมงานอ่านฟาติฮะฮฺ ณ กุบูร เป็นมักรูฮฺหรือไม่?
    6983 จริยธรรมปฏิบัติ 2555/05/17
    การนำเด็กๆ เข้าร่วมในมัจญฺลิซ งานประชุมศาสนา พิธีกรรมทางศาสนา, การนำเด็กๆ ไปมัสญิด, หรือพิธีกรรมรำลึกถึงท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) ในเดือนมุฮัรรอม หรืองานเทศกาลอื่นๆ ทางศาสนา, เช่น เข้าร่วมนมาซอีดฟิฏร์ อีดกุรบาน หรือพิธีกรรมต่างๆ ทางศาสนา เพื่อเป็นการกระตุ้นความรักผูกพันกับศาสนาของพวกเขา ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีมีประโยชน์อย่างยิ่ง ส่วนการนำเด็กๆ ไปร่วมพิธีอ่านฟาติฮะฮฺ ณ สถานฝังศพ ซึ่งได้ค้นหารายงานจากตำราต่างๆ ด้านฟิกฮฺอิสลามแล้ว ไม่พบรายงานที่ระบุว่าการกระทำดังกล่าวเป็นมักรูฮฺ ถ้าหากมีรายงานหรือเหตุผลอันเฉพาะเจาะจงจากสามีหรือภรรยาของคุณ กรุณาชี้แจงรายละเอียดมากกว่านี้แก่เราเพื่อเป็นประโยชน์สำหรับการค้นคว้าต่อไป ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับคำถามของคุณ สามารถกล่าวสรุปได้ดังนี้ : 1.รายงานที่กล่าวถึงผลบุญในการกล่าวแสดงความเสียใจกับเจ้าของงาน และการไปยังสถานฝังศพ เป็นรายงานทั่วไปกว้างๆ แน่นอนย่อมครอบคลุมถึงเด็กและเยาวชนด้วย 2.จากแนวทางการปฏิบัติของรรดาอิมามมะอฺซูม (อ.) ...
  • เพราะสาเหตุอันใดงานชุมนุมบางแห่งจึงได้วาดภาพการถูกกดขี่ของท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) ?
    7162 ชีวประวัตินักปราชญ์ 2554/12/20
    มีคำกล่าวว่ามีความทุกข์และความเศร้าโศกอย่างหนักได้ถาถมเข้ามาก่อนที่ท่านอิมามจะถูกทำชะฮาดัต, และโศกนาฏกรรมที่ประดังเข้ามาหลังจากชะฮาดัต, โดยตัวของมันแล้วได้ก่อให้เกิดภาพการถูกกดขี่อย่างรุนแรงของท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.)ฉะนั้น
  • การบริโภคเนื้อเต่าคือมีฮุกุมอย่างไร? ฮะลาลหรือฮะรอม?
    7257 สิทธิและกฎหมาย 2554/09/11
    การบริโภคเนื้อเต่าถือว่าเป็นฮะรอม[1]ในภาษาอาหรับเรียกเต่าว่า “ซุลฮะฟาต” และมีริวายะฮ์มากมายที่กล่าวว่าเป็นฮะรอม[2]
  • ตะวัสสุ้ลทำให้หลงทางหรือไม่ เราพิสูจน์หลักการนี้ด้วยเหตุผลใด?
    8277 เทววิทยาดั้งเดิม 2555/03/08
    การตะวัสสุ้ลไม่ไช่ความหลงผิด ในทางตรงกันข้ามยังถือเป็นวิธีแสวงหาความใกล้ชิดยังอัลลอฮ์อีกด้วย ส่วนการที่ท่านอิมามริฎอ(อ.)ช่วยให้คนป่วยหายดีนั้น ยังไม่ถือว่าเป็นเหตุผลหลักในการยืนยันความถูกต้อง หากแต่เป็นเหตุผลรองที่สนับสนุนเหตุผลทางสติปัญญาและตัวบทศาสนา ทั้งนี้ กลไกของโลกเป็นกลไกแห่งเหตุแลผล บุคคลคนจะต้องขวนขวายหามูลเหตุหรือวิถีทางเพื่อบรรลุเป้าหมายของตน ในทางจิตวิญญาณก็มีกลไกคล้ายกันนี้ ดังที่กุรอานปรารภแก่เหล่าผู้ศรัทธาว่า “จงยำเกรงต่อคำบัญชาของพระองค์ และจงแสวงหาหนทางสู่ความใกล้ชิดยังพระองค์” ...

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60813 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    58500 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42913 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    40504 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    39509 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    34668 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    28738 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    28618 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    28583 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    26498 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...