การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
7325
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2554/10/22
 
รหัสในเว็บไซต์ fa1008 รหัสสำเนา 17850
หมวดหมู่ เทววิทยาใหม่
คำถามอย่างย่อ
เพราะเหตุใดฉันต้องเป็นมุสลิมด้วย? โปรดตอบคำถามของฉันด้วยเหตุผลของวิทยปัญญา
คำถาม
เพราะเหตุใดฉันต้องเป็นมุสลิมด้วย? โปรดตอบคำถามของฉันด้วยเหตุผลของวิทยปัญญา
คำตอบโดยสังเขป

แม้ว่าความสัตย์จริงของศาสนาต่างๆ ในปัจจุบันบนโลกนี้ยังคงปรากฏให้เห็นอยู่บ้างก็ตาม, แต่รูปธรรมโดยสมบูรณ์และความจริงแท้แห่งความเป็นเอกะของพระเจ้า มีเฉพาะในศาสนาอิสลามเท่านั้น หรืออีกนัยหนึ่งท่านสามารถพบสิ่งนี้เฉพาะในคำสอนของอิสลาม, เหตุผลหลักสำหรับการพิสูจน์คำกล่าวอ้างข้างต้น,คือการไม่มีหลักฐานที่เชื่อถือได้, ประกอบกับการสังคายนาและภาพความขัดแย้งกันทางสติปัญญาที่ปรากฏในคำสอนของศาสนาอื่น นอกเหนือไปจากอิสลาม ในทางตรงกันข้ามอัลกุรอานที่ไม่เคยถูกสังคายนา ไม่เคยถูกเปลี่ยนแปลง, การมีหลักฐานที่เชื่อถือได้ทั้งทางสติปัญญา การอ้างอิงจากตำรา และประวัติศาสตร์, ความสมบูรณ์ที่ครอบคลุมของอิสลาม,การเข้ากันได้เป็นอย่างดีระหว่างคำสอนอิสลาม กับสติปัญญาสมบูรณ์ของมนุษย์

อีกด้านหนึ่งศาสนาแห่งความจริงอันเป็นสัจจะในแต่ละยุคสมัยนั้น มีเพียงศาสนาเดียวเท่านั้น ส่วนศาสนาหรือสำนักคิดอื่นที่เหลือโดยพื้นฐานแล้วถือว่าโมฆะ ไม่มีรากที่มาที่ถูกต้อง หรือถูกยกเลิกไปแล้ว ซึ่งทุกวันนี้ศาสนาที่เที่ยงธรรมถูกต้องตรงกับความเป็นจริงมีเฉพาะ อิสลาม เท่านั้น และอิสลามตามอุดมการณ์ของศาสดามุฮัมมัด (ซ็อล ) อันเป็นรูปธรรมอย่างแท้จริงก็ปรากฏอยู่ในคำสอนของ อะฮฺลุลบัยตฺ (ชีอะฮฺ) เท่านั้น อีกนัยหนึ่งเฉพาะคำสอนของชีอะฮฺเท่านั้นที่สามารถเผยรูปลักษณ์อิสลามมุฮัมมะดีได้อย่างแท้จริง

คำตอบเชิงรายละเอียด

สำหรับความชัดเจนในคำตอบของประเด็นดังกล่าวจำเป็นต้องพิจารณาประเด็นดังต่อไปนี้ เช่น : เหตุผลที่ไม่สมบูรณ์ของศาสนาอื่นที่มีอยู่บนโลกนี้, ประกอบกับเหตุผลที่ยืนยันถึงความดีกว่าของอิสลามและนิกายชีอะฮฺ :

) เหตุผลที่ไม่สมบูรณ์ของศาสนาอื่น (นอกจากอิสลาม)

ก่อนที่จะกล่าวถึงเหตุผลไม่สมบูรณ์ของศาสนาอื่นที่มีอยู่บนโลกนี้, มี 2 ประเด็นสำคัญที่ต้องกล่าวถึงก่อนเป็นอันดับแรก :

ประเด็นแรก : วัตถุประสงค์ของเรามิได้หมายถึงว่าทุกสิ่งอันเป็นคำสอนที่มีอยู่ในศาสนาทั้งหลาย ในทุกวันนี้เป็นโมฆะทั้งหมด ไม่อาจพบคำพูดหรือคำสอนใดในศาสนาเหล่านั้นที่เป็นความจริงสักประการเดียว ทว่าวัตถุประสงค์ของเราคือ คำสอนของศาสนาอื่นทุกวันนี้มีประเด็นต่างๆที่ไม่อาจยอมรับได้ ดังนั้น ศาสนาเหล่านั้นจึงไม่อาจเป็นผู้อธิบายรูปธรรมที่สมบูรณ์ได้

ประเด็นที่สอง : สิ่งที่จะร่วมกันพิจารณาตรงนี้ในความจำกัดจะขอหยิบยกเหตุผลไม่สมบูรณ์ของ 2 ศาสนาสำคัญทุกวันนี้ กล่าวคือศาสนาคริสต์ และศาสนายะฮูดีย์ ดังนั้น คุณค่าและความหน้าเชี่อถือของศาสนาอื่นในแง่ของการยอมรับที่ด้อยกว่าสองศาสนานี้ ก็จะรับรู้ได้เองโดยปริยาย

แต่เหตุผลที่พิสูจน์ให้เห็นว่าศาสนาคริสต์บนโลกในทุกวันนี้ ไม่อาจอธิบายแก่นแท้ความจริงอันสมบูรณ์ได้คือ :

1.คัมภีร์ไบเบิ้ล (อินญีล) ไม่อาจเชื่อถือได้ อีกทั้งไม่มีสายรายงานที่แน่นอนและเชื่อถือได้

ศาสดาอีซา (.) เป็นศาสดาแห่งวงศ์วานอิสราเอล ภาษาของท่านคือ อิบรู ท่านศาสดาได้ประกาศการเป็นศาสดาและเชิญชวนผู้คนไปสู่คำสอนของท่าน  บัยตุลมุก็อดดิสหรือเยลูซาเล็มในปัจจุบัน ซึ่งประชาชนทั้งหมดในที่นั้นที่เป็น อิบรู ก็มิได้เชื่อศรัทธาท่านทั้งหมด ยกเว้นกลุ่มชนเพียงน้อยนิดเท่านั้นเองแต่ไม่ทราบจำนวนที่แน่นอน, แต่มีประชาชนเพียงไม่กี่คนจากบัยตุลมุก็อดดิสที่รู้ภาษา กรีก ได้เดินทางไปสู่ประเทศอื่น เพื่อเชิญชวนประชาชนให้เชื่อฟังปฏิบัติตามศาสนาของอีซา (.) และยังได้เขียนคัมภีร์เป็นภาษายูนานอีกด้วย ซึ่งสาระในคัมภีร์ที่ได้เขียนเพื่อคนกรีกและอิตาลี กล่าวว่า : อีซาได้กล่าวเช่นนี้และเช่นนั้นว่า. สำหรับบุคคลที่เคยเห็นศาสดาอีซา และเห็นการกระทำหรือได้ยินคำพูดของท่าน และรู้ภาษาของท่านมีเฉพาะในปาเลสไตน์เท่านั้น แต่พวกเขาก็ไม่ยอมรับท่านอีซา (.) ว่าเป็นศาสดาแต่อย่างใด ส่วนเรื่องเล่าต่างๆ ที่เขียนเป็นภาษากรีกก็ถือว่า เป็นการประพันธ์ขึ้นมาซึ่งประชาชนที่ยอมรับคำพูดเหล่านั้นก็เป็นประชาชนที่อยู่ไกล มิใช่ประชาชนที่อยู่ในบัยตุลมุก็อดดิสแต่อย่างใด และพวกเขาก็ไม่เคยเห็นศาสดาอีซาด้วยและไม่เข้าใจภาษาของท่าน ถ้าหากว่ามีเรื่องราวถูกบันทึกอยู่ในคัมภีร์ไบเบิ้ล, ส่วนใหญ่เป็นเรื่องมุสาทั้งสิ้น เนื่องจากผู้เขียนคัมภีร์ขึ้นมาไม่มีผู้ใดท้วงติง หรือตรวจสอบ และผู้ฟังก็มิได้นำไปสู่การปฏิเสธและมุสาแต่อย่างใด เช่น ในคัมภีร์ไบเบิ้ล ฉบับมะทา กล่าวว่าเมื่อศาสดาอีซาได้ประสูติแล้ว ได้มีพวกบูชาไฟสองสามคนจากตะวันออกเข้ามาหาท่าน และถามท่านว่ากษัตริย์แห่งยะฮูดีที่เพิ่งประสูติอยู่  ที่ใด? เนื่องจากเราได้เห็นหมู่ดวงดาวของเขาปรากฏทางทิศตะวันออก แต่ดวงดาวเหล่านั้นมิได้แสดงสัญลักษณ์อันใด, ทันใดนั้นพวกเราได้เห็นดวงดาวเหล่านั้นขับเคลื่อนอีกในท้องฟ้า จนกระทั่งว่าได้มาหยุดนิ่งเหนือบ้านที่ อีซา (.) ได้ประสูติ พวกเราจึงรู้ว่าเป็นบ้านหลังนั้นเอง, แน่นอนเรื่องราวเหล่านี้ที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์ เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นมาไม่มีมูลความจริงแต่อย่างใด เนื่องจากเรื่องเดียวกันแต่ไม่ได้ถูกเขียนเป็นภาษาอิบรูสำหรับคนในบัยตุลมุก็อดดิสแต่อย่างใด, ทว่าสิ่งนั้นได้ถูกเขียนเพื่อคนแปลกหน้า จึงนับว่าเป็นความแปลกอย่างยิ่ง ซึ่งเรามั่นใจว่าไม่มีนักดาราศาสตร์คนใดเชื่อเช่นนั้นเหมือนกันว่า การถือกำเนิดของแต่ละคนต้องมีดวงดาวปรากฏ และขับเคลื่อนไปเหนือศีรษะของเขา, ทั้งพวกบูชาไฟก็ไม่เชื่อเรื่องนี้ และคนอื่นก็เช่นเดียวกัน. กล่าวกันว่าชาวคริสต์มีความเห็นขัดแย้งกันเรื่องการสังหารศาสดาอีซา (.) เนื่องจากคัมภีร์ไบเบิ้ลบางฉบับบันทึกว่า ศาสดาอีซามิได้ถูกสังหารแต่อย่างใด เนื่องจากถ้าหากมีคนหนึ่งถูกสังหารในเมืองแล้วละก็ ไม่อาจปกปิดสายตาของประชาชนส่วนใหญ่ที่ให้ความสนใจในเรื่องดังกล่าวได้อย่างแน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีการแขวนประจารเช่นนั้น แต่เนื่องจากผู้เขียนไบเบิ้ลได้เขียนด้วยภาษาอื่น และเขียนเพื่อคนแปลกหน้าความแปลกเช่นนี้จึงไม่ถูกพบในบัยตุลมุก็อดดิสแต่อย่างใด เพื่อจะได้พิสูจน์ความจริงให้ปรากฏไปว่า ศาสดาอีซา (.) ถูกสังหารจริงหรือไม่?

ผู้เขียนคัมภีร์ไบเบิ้ลได้เขียนด้วยความอิสระ ซึ่งทุกสิ่งที่ตนเห็นว่าสมควรก็ได้เขียนบันทึกไว้ในคัมภีร์นั้น โดยไม่มีผู้ใดท้วงติง ซึ่ง 300 ปี หลังจากศาสดาอีซา (.) ได้ประกาศศาสนา เพิ่งจะมีการจัดประชุมและบรรดานักปราชญ์ นัศรอนีได้ปรึกษาหารือกันว่า จะจัดการกับความขัดแย้งที่ปรากฏในคัมภีร์เหล่านั้นอย่างไร พวกเขาได้แสดงทัศนะโดยพร้อมเพียงกันว่า ให้เลือกคัมภีร์ไบเบิ้ลเพียงแค่ 4 เล่ม และปรับปรุงแก้ไขเนื้อหาสาระในคัมภีร์เหล่านั้น ส่วนเล่มอื่นๆ ให้ถือเป็นโมฆะไป ซึ่งเรื่องการไม่ถูกสังหารของศาสดาอีซาที่ปรากฏในคัมภีร์ต่างๆ ถือเป็นเรื่องมุสาและไม่เป็นทางการ[1]

2.เหตุผลที่สองที่บ่งบอกความไม่สมบูรณ์ของศาสนาคริสต์, มีประเด็นมากมายที่บกพร่องและมีการสังคายนาหลายครั้งในคัมภีร์ไบเบิ้ลฉบับปัจจุบัน ดังนั้น ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้จากหนังสือ เราะฮฺสะอาดะฮฺ เขียนโดยอัลลามะฮฺชะอฺรอนียฺ[2] และหนังสืออิซฮารุลฮัก.เขียนโดยฟาฎิล ฮินดี ฮับบะตุลลอฮฺ บิน เคาะลีลุลลอฮฺ อัรเราะฮฺมาน, กุรอานและคัมภีร์แห่งฟากฟ้าฉบับอื่น, เขียนโดยชะฮีด ฮาชิมี เนะฌอด.

3.เหตุผลที่สาม,การไม่เข้ากันของความเชื่องบางประการของคริสต์กับเหตุผลทางตรรก และสติปัญญา เช่น พวกเขาเชื่อว่า : พระเจ้าที่เป็นพระบุตร,มีรูปร่างเหมือนมนุษย์, พระเจ้าองค์นี้จะเก็บความผิดของปวงบ่าวเอาไว้,ด้วยการถูกตรึงบนไม้กางเขาเพื่อถ่ายบาปให้แก่ปวงบ่าว ขณะในคัมภีร์ไบเบิ้ล ฉบับวารสารของยอห์น...กล่าวว่า

เนื่องจากพระเจ้า,ทรงรักโลกนี้เป็นอย่างยิ่งพระองค์จึงทรงมอบพลีบุตรชายคนเดียวของพระองค์ให้ เพื่อว่าใครก็ตามที่เชื่อถือพระองค์จะได้ไม่พบกับความวิบัติ,ทว่าพวกเขาจะได้มีชีวิตอมตะนิรันดร์, เนื่องจากพระองค์มิได้ทรงส่งบุตรชายของพระองค์มายังโลกนี้เพื่อตัดสินมนุษย์, ทว่าส่งมาช่วยเหลือชาวโลกให้รอดพ้นความวิบัติ[3]

เกี่ยวกับศาสนาของยะฮูดีมี 3 ปัญหาสำคัญดังนี้ ..

1.ฉบับอิบรู ซึ่งอยู่  นักวิชาการชาวยิวและโปรเตสแตนต์ที่เชื่อถือได้

2.ฉบับซามาเรียของ ซึ่ง  ซามิเรียล (เป็นอีกเผ่าหนึ่งของอิสราเอล) ที่เชื่อถือได้

3.ฉบับภาษากรีกของนักวิชาการคริสเตียน ที่ไม่โปรเตสแตนต์ที่เชื่อถือได้

ฉบับซามาเรียนั้นครอบคลุมคัมภีร์อยู่เพียง 5 ฉบับของศาสดามูซา (.) คัมภีร์ของยูชะอ์ และดาวะรอน ส่วนคัมภีร์ฉบับอื่นของพระสัญญาฉบับเก่า ไม่ได้รับความเชื่อถือแต่อย่างใด. ในคัมภีร์ฉบับแรกกล่าวถึงช่วงเวลาที่ห่างกันระหว่างการสร้างอาดัม กับการเกิดน้ำท่วมโลกสมัยนูฮฺ ประมาณ 1656 ปี ส่วนฉบับที่สองกล่าวว่า 1307 ปี และฉบับที่สามกล่าวว่ 1362 ปี. ดังนั้น จะเห็นว่าคัมภีร์ทั้งสามฉบับไม่อาจถูกต้องได้, ทว่าหนึ่งเดียวเท่านั้นคือ ฉบับที่ถูกต้องและเชื่อถือได้แต่ก็ไม่ทราบว่าฉบับใด[4]

2. ในคัมภีร์เตารอตมีบางประเด็นที่สติปัญญาไม่อาจรับได้ เช่น ในคัมภีร์เตารอตกล่าวว่า พระเจ้าทรงมีมีรูปร่างหน้าตาเหมือนกับมนุษย์และทรงท่องเดินไป, ทรงส่งเสียงร้อง, ทรงมุสา, และทรงเจ้าเล่ห์เพทุบายอีกด้วย, เนื่องจากพระเจ้าทรงกล่าวแก่อาดัมว่า ถ้าเจ้าบริโภคผลไม้แห่งความดีและเลวเจ้าจะต้องตาย, แต่ทั้งอาดัมและฮะวาได้บริโภคผลไม้จากต้นไม้ดังกล่าว ไม่เพียงแต่ทั้งสองจะไม่ตายเท่านั้นทว่าเขาทั้งสองยังได้รู้จักความดีและความเลวว่าเป็นอย่างไรอีกด้วย.[5]

หรือเรื่องราวการเล่นมวลปล้ำของพระเจ้ากับศาสดายะอฺกูบ ซึ่งถูกบันทึกอยู่ในคัมภีร์เตารอตเช่นกัน[6]

. เหตุผลที่บ่งบอกว่าอิสลามคือศาสนาแห่งความจริงและดีกว่าคือ

1.ความเป็นอมตะของปาฏิหาริย์ในศาสนาอิสลาม, เนื่องจากปาฏิหาริย์หลักของศาสนานี้คืออัลกุรอานซึ่งถือว่าเป็นพระคัมภีร์แห่งวิชาการและตรรกะ แตกต่างไปจากปาฏิหาริย์ของศาสดาท่านอื่น ซึ่งเป็นภารกิจที่เกิดจากการสัมผัสทางความรู้สึกเสียเป็นส่วนใหญ่ ด้วยเหตุนี้เองอัลกุรอานจึงมีชีวิตเป็นอมตะ นิรันดร์ และพึ่งพาตัวเองไม่ได้ขึ้นอยู่กับชีวิตอันสั้นเพียงเล็กน้อยของท่านศาสดา (ซ็อล ) เท่านั้น ทว่าเป็นปาฏิหาริย์ที่มีความเป็นอมตะนิรันดร์เสมอ

นอกจากนั้นแล้วอัลกุรอานยังได้ท้าทายมนุษย์ทั้งโลกให้ต่อสู้กับอัลกุรอาน ชนิดตาต่อตา ฟันต่อฟัน หรือประกาศความเป็นนิรันดร์ของตัวเองเฉกเช่นอัลกุรอาน โองการกล่าวว่า :และถ้าหากสูเจ้ายังแคลงใจในสิ่งที่เราได้ประทานมาแก่บ่าวของเรา สูเจ้าก็จงนำมาสักบทหนึ่งเยี่ยงนั้น และจงเรียกบรรดาผู้ช่วยเหลือของสูเจ้ามา 

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • ปรัชญาของการมีทาสในอิสลามคืออะไร? อิสลามมีวิธีการจัดการกับสิ่งเหล่าอย่างไร?
    12100 สิทธิและกฎหมาย 2555/08/22
    ถูกต้องบทบัญญัติเกี่ยวกับ การแต่งงานกับทาส, การเป็นมะฮฺรัมกับทาส, สัญญาซื้อขาย (ข้อตกลงที่จะปล่อยทาสเป็นไท) และ ...ได้ถูกกล่าวไว้ในอัลกุรอาน, การมีทาสได้รับการยืนยันว่ามีจริงในสมัยของท่านเราะซูล (ซ็อลฯ) และต้นยุคอิสลาม แต่จำเป็นต้องกล่าวว่าอิสลามมีโปรแกรมที่ละเอียดอ่อน และมีกำหนดเวลาในการปลดปล่อยทาสให้เป็นไท ซึ่งบั้นปลายสุดท้ายของทั้งหมดเหล่านั้นคือ การได้รับอิสรภาพเป็นไททั้งสิ้น ดังนั้นการเผชิญหน้าของอิสลามกับปัญหาเหล่านี้ จำเป็นต้องกล่าวถึงประเด็นสำคัญดังต่อไปนี้: 1-อิสลามมิเคยเริ่มต้นปัญหาเรื่องทาส 2-อิสลามถือว่าปัญหาชะตากรรม และความเจ็บปวดใจของทาสในอดีตที่ผ่านมาคือ ปัญหาความล้าหลังอันยิ่งใหญ่ของสังคม 3-อิสลามได้วางโครงการที่ละเอียดอ่อน เพื่อปลดปล่อยทาสให้เป็นไท, เนื่องจากครึ่งหนึ่งของพลเมืองในสมัยก่อนเป็นทาสทั้งสิ้น, พวกเขาไม่มีอิสรเสรีในการประกอบอาชีพการงาน, ไม่มีปัจจัยสำหรับการดำเนินชีวิตต่อไป.ถ้าหากอิสลามได้มีคำสั่งต่อสาธารณชนว่าให้ทั้งหมดปล่อยทาสให้เป็นไท, ซึ่งเป็นไปได้ว่าส่วนใหญ่ของพวกเขาจะต้องสูญเสียชีวิต หรือไม่ชนส่วนใหญ่ก็จะต้องว่างงานไร้อาชีพ หิวโหย ถูกกีดกัน และพวกเขาต้องได้รับแรงกดดันจนกระทั่งเข้าทำร้ายและโจมตีในทุกที่ การประจัญบาน การนองเลือด และการทำลายกฎระเบียบของสังคมก็จะทวีความรุนแรงขึ้น ด้วยเหตุนี้เอง อิสลามได้วางแผนการไว้อย่างละเอียด เพื่อดึงดูดสังคมให้ทาสเหล่านี้ได้รับอิสรภาพ และเป็นไทไปที่ละน้อย ซึ่งแผนการดังกล่าวมีองค์ประกอบหลายประการด้วยกัน ...
  • สถานะและบุคลิกภาพของซุรอเราะฮฺ ณ บรรดาอิมามเป็นอย่างไร?
    6637 تاريخ بزرگان 2555/05/17
    ซุรอเราะฮฺ เป็นหนึ่งในสหายของอิมามมะอฺซูม (อ.) ที่มีฐานะภาพและเกียรติยศอันยิ่งใหญ่ ณ อิมาม เขาถูกจัดว่าเป็นสหายอิจญฺมาอฺ หมายถึงความหน้าเชื่อถือ ความซื่อตรง และการพูดความจริงของเขา เป็นที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รับรู้กันดีในหมู่สหายของอิมาม (อ.) แม้ว่าจะมีรายงานกล่าววิจารณ์เขาอยู่บ้างก็ตาม, แต่เมื่อนำเอารายงานเหล่านั้นมารวมกันแล้ว สามารถสรุปให้เห็นถึงความถูกต้องของเขามากกว่า และจัดว่าเขาเป็นหนึ่งในสหายที่ยิ่งใหญ่ และมีเกียรติคนหนึ่งของอิมาม (อ.) ...
  • เพราะอะไรปัญหาเรื่องการตกมุรตัด ระหว่างหญิงกับชายจึงมีกฎแตกต่างกัน?
    12381 ปรัชญาของศาสนา 2555/08/22
    อิสลามต้องการให้ผู้เข้ารับอิสลาม ได้ศึกษาข้อมูลและหาเหตุผลให้เพียงพอเสียก่อน แล้วจึงรับอิสลามศาสนาแห่งพระเจ้า ได้รับการชี้นำจากพระองค์ต่อไป แต่หลังจากยอมรับอิสลามแล้ว และได้ปล่อยอิสลามให้หลุดลอยมือไป จะเรียกคนนั้นว่าผู้ปฏิเสธศรัทธา และจะได้รับการลงโทษอย่างรุนแรง เนื่องจากสิ่งที่เขาทำจะกลายเป็นเครื่องมือมาต่อต้านอิสลามในภายหลัง และจะส่งผลกระทบในทางลบกับบรรดามุสลิมคนอื่นด้วย แต่เมื่อพิจารณาความพิเศษต่างๆ ของสตรีและบุรุษแล้ว จะพบว่าทั้งสองเพศมีความพิเศษด้านจิตวิญญาณ จิตวิทยา และร่างกายต่างกัน ซึ่งแต่คนจะมีความพิเศษอันเฉพาะแตกต่างกันออกไป เช่น สตรีถ้าพิจารณาในแง่ของจิต จะเห็นว่าเป็นผู้ที่มีจิตใจเปี่ยมไปด้วยความรักและความสงสาร มีความรู้สึกอ่อนไหวเมื่อเทียบกับบุรุษ ดังนั้น กฎที่ได้วางไว้สำหรับบุรุษและสตรี จึงไม่อาจเท่าเทียมกันได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องกฎ ซึ่งพระผู้เป็นเจ้าได้จัดตั้งกฎขึ้นโดยพิจารณาที่ เงื่อนไขต่างๆ และความพิเศษของพวกเขา พระองค์ทรงรอบรู้ถึงคุณลักษณะของปวงบ่าวทั้งหมด โดยสมบูรณ์ และทรงออกคำสั่งห้ามและคำสั่งใช้ บนพื้นฐานเหล่านั้น มนุษย์นั้นมีความรู้เพียงน้อยนิด จึงไม่อาจเข้าใจถึงปรัชญาของความแตกต่าง ระหว่างบทบัญญัติทั้งสองได้โดยสมบูรณ์ เว้นเสียแต่ว่าความแตกต่างเหล่านั้น ได้ถูกอธิบายไว้ในโองการหรือในรายงานฮะดีซ ด้วยเหตุนี้ ระหว่างหญิงกับชายถ้าจะวางกฎเกณฑ์ โดยมิได้พิจารณาถึงความพิเศษต่างๆ ของพวกเขาถือว่าไม่ถูกต้อง และสิ่งนี้ก็คือสิ่งที่มนุษย์ได้ปฏิเสธมาโดยตลอด ...
  • สายรายงานของฮะดีษท่านนบี(ซ.ล.)ที่ระบุให้ท่องจำฮะดีษสี่สิบบทเศาะฮี้ห์หรือไม่? และสี่สิบบทนี้หมายถึงฮะดีษประเภทใด?
    8558 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2555/02/18
    ท่านนบี(ซ.ล.)ได้กล่าวไว้ในฮะดีษที่เรียกกันว่า “อัรบะอีน” ซึ่งรายงานไว้ในตำราฝ่ายชีอะฮ์[1]และซุนหนี่[2]บางเล่มเนื้อหาของฮะดีษนี้เป็นการรณรงค์ให้ท่องจำฮะดีษสี่สิบบทอาทิเช่นสำนวนต่อไปนี้: “ผู้ใดในหมู่ประชาชาติของฉันที่ได้ท่องจำฮะดีษที่จำเป็นต่อการดำรงศาสนาของผู้คนถึงสี่สิบบทอัลลอฮ์จะทรงปกป้องเขาในวันกิยามะฮ์และจะฟื้นคืนชีพในฐานะปราชญ์ศาสนาที่มีเกียรติ”[3] ฮะดีษนี้มีความเป็นเอกฉันท์ (ตะวาตุร) ในเชิงความหมาย[4]และเป็นฮะดีษเศาะฮี้ห์ฮะดีษข้างต้นมีส่วนสำคัญที่ช่วยให้เกิดแรงจูงใจในหมู่นักวิชาการในการประพันธ์ตำรารวบรวมฮะดีษสี่สิบบทโดยตำราเหล่านี้รวบรวมฮะดีษจากบรรดามะอ์ศูมีนสี่สิบบทเกี่ยวกับประเด็นความศรัทธาและหลักจริยธรรมในบางเล่มมีการอธิบายเพิ่มเติมด้วยทั้งนี้ฮะดีษข้างต้นมิได้ระบุประเภทฮะดีษเอาไว้เป็นการเฉพาะแต่หมายรวมถึงฮะดีษทุกบทที่มีประโยชน์ต่อมนุษย์ทั้งโลกนี้และโลกหน้าอัลลามะฮ์มัจลิซีเชื่อว่า “การท่องจำฮะดีษ” ที่ระบุไว้ในฮะดีษข้างต้นมีระดับขั้นที่แตกต่างกันซึ่งจะกล่าวโดยสังเขปดังนี้: หนึ่ง. “การท่องจำฮะดีษ”ในลักษณะการรักษาถ้อยคำของฮะดีษอย่างเช่นการปกปักษ์รักษาไว้ในความจำหรือสมุดหรือการตรวจทานตัวบทฮะดีษฯลฯสอง. การปกปักษ์รักษาฮะดีษในลักษณะการครุ่นคิดถึงความหมายของฮะดีษอย่างลึกซึ้งหรือการวินิจฉันบัญญัติศาสนาจากฮะดีษสาม. การปกปักษ์รักษาฮะดีษในลักษณะปฏิบัติตามเนื้อหาของฮะดีษ
  • กรุณาอธิบายวิธีปฏิบัติและผลบุญของนมาซฆุฟัยละฮ์
    5805 จริยธรรมปฏิบัติ 2555/03/07
    คำตอบต่อไปนี้แบ่งออกเป็นสองส่วนตามที่ได้ระบุไว้ในคำถาม หนึ่ง. วิธีนมาซฆุฟัยละฮ์ นมาซฆุฟัยละฮ์เป็นนมาซมุสตะฮับประเภทหนึ่งที่ถือปฏิบัติกันช่วงระหว่างนมาซมัฆริบและอิชาอ์ มีสองเราะกะอัต โดยเราะกะอัตแรก หลังจากฟาติฮะห์ให้อ่านโองการต่อไปนี้แทนซูเราะฮ์: وَ ذَا النُّونِ إِذْ ذَهَبَ مُغاضِباً فَظَنَّ أَنْ لَنْ نَقْدِرَ عَلَيْهِ فَنادى‏ فِي الظُّلُماتِ أَنْ لا إِلهَ إِلَّا أَنْتَ سُبْحانَكَ إِنِّي كُنْتُ مِنَ الظَّالِمِينَ فَاسْتَجَبْنا لَهُ وَ نَجَّيْناهُ مِنَ الْغَمِّ وَ كَذلِكَ نُنْجِي الْمُؤْمِنِينَ และเราะกะอัตที่สอง หลังจากฟาติฮะห์ให้อ่านโองการนี้แทน
  • มีข้อแนะนำใดบ้างที่คุณพ่อและคุณแม่ควรปฏิบัติก่อนคลอดบุตร?
    12956 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/21
    มีข้อแนะนำบางอย่างที่คุณพ่อและคุณแม่ควรปฏิบัติก่อนจะมีบุตรอาทิเช่นปฏิบัติศาสนกิจอย่างครบถ้วนปฏิบัติตามคำแนะนำเกี่ยวกับการร่วมหลับนอนบริโภคอาหารที่ฮะลาลและสะอาดโดยเฉพาะผลไม้นานาชนิดเข้ารับการตรวจโรคทางพันธุกรรมงดความเครียด  มองทิวทัศน์ที่สวยงามรักษาสุขอนามัยออกกำลังกายฯลฯหากปฏิบัติตามคำแนะนำเหล่านี้ได้ครบถ้วนก็จะทำให้มีสมาชิกครอบครัวที่มีสุขภาพดีและประสบความสำเร็จในชีวิตส่งผลให้สังคมก้าวสู่ความผาสุกในอุดมคติ ...
  • แต่ละเมืองสามารถมีนมาซวันศุกร์ได้เพียงแห่งเดียวไช่หรือไม่?
    6005 สิทธิและกฎหมาย 2554/06/11
    ต่อข้อคำถามดังกล่าวบทบัญญัติศาสนาให้ถือระยะห่างระหว่างนมาซวันศุกร์สองแห่งเป็นเกณฑ์.บรรดามัรญะอ์ระดับสูงระบุว่า: ระยะห่างหนึ่งฟัรสัค(6กม.) ถือเป็นระยะห่างที่น้อยที่สุดระหว่างนมาซวันศุกร์สองแห่งหากมีการนมาซวันศุกร์สักแห่งแล้วไม่ควรมีนมาซวันศุกร์แห่งอื่นภายในรัศมีหนึ่งฟัรสัคอีกฉะนั้น การนมาซวันศุกร์สองแห่งที่เว้นระยะห่างหนึ่งฟัรสัคแล้วถือว่าถูกต้องทั้งสองแห่ง. อนึ่ง พิกัดที่ใช้วัดระยะห่างในที่นี้คือสถานที่จัดนมาซวันศุกร์มิได้วัดจากเขตเมือง เมืองใหญ่ที่มีรัศมีหลายฟัรสัคจึงสามารถจัดนมาซวันศุกร์ได้หลายแห่ง.[1]แต่หากเมืองใดมีการนมาซวันศุกร์สองแห่งโดยเว้นระยะห่างไม่ถึงหนึ่งฟัรสัค, ที่ใดที่เริ่มช้ากว่าให้ถือว่าเป็นโมฆะ แต่หากทั้งสองแห่งกล่าวตักบีเราะตุลเอียะฮ์รอมพร้อมกันให้ถือว่าทั้งสองเป็นโมฆะ.
  • ในมุมมองของรายงาน,ควรจะประพฤติตนอย่างไรกับผู้มิใช่มุสลิม?
    7628 สิทธิและกฎหมาย 2555/08/22
    อิสลาม เป็นศาสนาที่วางอยู่บนธรรมชาติอันสะอาดยิ่งของมนุษย์ ศาสนาแห่งความเมตตา ได้ถูกประทานลงมาเพื่อชี้นำมนุษย์ไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง และความผาสุกของมนุษย์ชาติทั้งหมด อีกด้านหนึ่งการเลือกนับถือศาสนาเป็นความอิสระของมนุษย์ ดังนั้น ในสังคมอิสลามนั้นท่านจะพบว่ามีผู้มิใช่มุสลิมปะปนอยู่ไม่มากก็น้อย อิสลามมีคำสั่งให้รักษาสิทธิ ประพฤติดี และอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างสงบสันติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับบุคคลที่นับถือศาสนา ไม่ว่าพวกเขาจะใช้ชีวิตอยู่ในสังคมอิสลาม ภายใต้การปกครองของรัฐอิสลาม หรือบุคคลที่อยู่ในสังคมอื่นที่มิใช่อิสลาม, ผู้ปฏิเสธศรัทธาที่ดำรงชีวิตอยู่ภายใต้รัฐอิสลาม จำเป็นรักษาเงื่อนไขของผู้ร่วมอาศัยด้วย ถ้าหากไม่รักษาเงื่อนไขของผู้ร่วมอาศัย หรือทรยศหักหลังก็จำเป็นต้องถูกลงโทษตามกฎหมายอิสลาม ...
  • การใช้ชีวิตเพื่ออัลลอฮฺ เป็นชีวิตอย่างไร? มีความขัดแย้งกับชีวิตการเป็นอยู่ทั่วไปทางโลกหรือไม่?
    9557 จริยธรรมปฏิบัติ 2555/01/23
    ถ้าหากพิจารณาอัลกุรอานแล้วได้ถามอัลกุรอานว่าเราได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่ออะไร? คำตอบของอัลกุรอานคือเรามิได้สร้างมนุษย์และญินขึ้นมาเพื่อการใดเว้นเสียแต่เพื่อการอิบาดะฮฺ"وَ ما خَلَقْتُ الْجِنَّ وَ الْإِنْسَ إِلَّا لِیَعْبُدُونِ" อิบาดะฮฺ
  • ในทัศนะของอิสลาม ชาวฮินดูถือว่าเป็นนะญิสหรือไม่ และจะต้องออกห่างพวกเขาหรือไม่?
    7655 สิทธิและกฎหมาย 2554/08/17
    บรรดามัรญะอ์ได้ฟัตวาว่ากาฟิรเป็นนะญิสและจะต้องหลีกเลี่ยงความเปียกชื้นจากพวกเขาท่านอิมามโคมัยนีได้กล่าวเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวว่า “กาฟิรคือผู้ที่ไม่เชื่อในพระผู้เป็นเจ้าหรือตั้งภาคีต่อพระเจ้าหรือไม่ยอมรับในการเป็นศาสนทูตของท่านศาสดามูฮัมหมัด (ศ็อลฯ) เขาผู้นั้นถือเป็นนะญิส

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60103 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    57515 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42180 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    39322 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    38928 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    33982 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    28000 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    27932 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    27767 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    25764 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...