Please Wait
6618
มีหลายโองการในกุรอานที่กล่าวถึงบทสนทนาระหว่างชาวสวรรค์และชาวนรก ซึ่งทำให้พอจะทราบคร่าวๆได้ว่าชาวสวรรค์สามารถที่จะรับรู้สภาพและชะตากรรมของบุคคลต่างๆในนรกได้ นอกจากนี้ เหล่าบุรุษชาวอะอ์ร้อฟรู้จักสีหน้าของชาวสวรรค์และชาวนรกเป็นอย่างดี มีฮะดีษมากมายที่ระบุว่าเหล่าบุรุษแห่งอะอ์ร้อฟนั้น ตามนัยยะเชิงแคบก็คือบรรดาอิมามมะอ์ศูม(อ.) ส่วนนัยยะเชิงกว้างก็หมายถึงบรรดามนุษย์ที่ได้รับการเลือกสรร ซึ่งจะอยู่ในลำดับถัดจากบรรดาอิมาม โดยบุคคลเหล่านี้อยู่เหนือชาวสวรรค์และชาวนรกทั้งมวล
เราขอนำเสนอความหมายของโองการเหล่านี้ดังต่อไปนี้
1. โองการที่ 50-57 ซูเราะฮ์ อัศศ้อฟฟ้าต
“ในสรวงสวรรค์ ผู้คนต่างหันหน้าเข้าหากันแล้วถามไถ่กันและกัน โดยหนึ่งในนั้นเอ่ยขึ้นว่า แท้จริงฉันมีสหายคนหนึ่งที่ถามฉันว่า เธอเชื่อได้อย่างไรที่ว่าหลังจากที่เราตายและกลายเป็นธุลีดินแล้ว จะถูกนำไปพิพากษา (ชาวสวรรค์กล่าวว่า) ท่านรับรู้สภาพปัจจุบันของเขาหรือไม่? เมื่อนั้นก็ได้ทราบว่าเขาอยู่ ณ ใจกลางไฟนรก (ชาวสวรรค์)กล่าวแก่เขาว่า ขอสาบานต่อพระองค์ เจ้าเกือบจะทำให้ฉันหลงทางแล้ว หากปราศจากซึ่งพระเมตตาของพระองค์ ฉันคงจะอยู่(ในไฟนรก)เช่นกัน”[1]
2. โองการที่ 50-57 ซูเราะฮ์ มุดดัษษิร
“ทุกคนย่อมค้ำประกันความประพฤติของตนเอง นอกจากสหายแห่งทิศขวาซึ่งจะถามไถ่กันในสรวงสวรรค์ เกี่ยวกับสภาพของเหล่าอาชญากร ถามพวกเขาว่าสิ่งใดนำพาให้พวกท่านก้าวสู่ขุมนรก พวกเขาตอบว่าเราไม่เคยเป็นผู้นมาซ และไม่เคยบริจาคอาหารแก่ผู้ยากไร้ และมักจะสรวลเสเฮฮากับพวกไร้สาระ และชอบกล่าวหาว่ากิยามะฮ์เป็นเรื่องมดเท็จ กระทั่งความมั่นใจบังเกิดแก่เรา การจุนเจือของผู้ช่วยเหลือจึงไม่มีประโยชน์ใดๆแก่เรา มันเรื่องอะไรที่พวกเขา(ชาวนรก)หลีกหนีคำตักเตือน เสมือนฝูงม้าลายที่หนีกระเจิง จากสิงโต ...”[2]
3. โองการที่ 44-51 ซูเราะฮ์อะอ์ร้อฟ
“และเมื่อชาวสวรรค์ได้ตะโกนว่า สิ่งที่บรรดาศาสนทูตได้สัญญากับเราเกี่ยวกับฐานันดรภาพในสรวงสวรรค์นั้น เราได้พบแล้วอย่างแท้จริง แล้วพวกท่านได้พบสิ่งที่ศาสนทูตเตือนสำทับเกี่ยวกับการลงโทษในไฟนรกแล้วหรือยัง? (ชาวนรก)ตอบว่า แน่นอน เราประสบชะตากรรมของเราแล้ว ทันใดนั้น ก็มีเสียงกู่ร้องระหว่างพวกเขาว่า ละอ์นัตของอัลลอฮ์จงมีแด่เหล่าผู้กดขี่ ที่เคยสกัดกั้นบ่าวของพระองค์ให้หันเหจากหนทาง และขวนขวายหนทางที่ผิดพลาด พวกเขาไม่เคยศรัทธาต่อวันกิยามะฮ์เลย
และระหว่างพวกเขา (ชาวสวรรค์และชาวนรก) มีม่าน (แห่งกรรมดีและกรรมชั่วกั้นกลาง ซึ่งจะไม่บังตาคนสองกลุ่มมิให้มองเห็นกันและกัน แต่จะขวางกั้นมิให้คนสองกลุ่มปะปนกัน)
และเหนืออะอ์ร้อฟ จะมีเหล่าบุรุษที่รู้จักสีหน้าของคนสองกลุ่มดังกล่าวทุกคน โดยจะกล่าวแก่ชาวสวรรค์ว่า “ศานติจงมีแด่พวกท่าน” ทั้งที่พวกเขา(ชาวสวรรค์)ยังมิได้ก้าวสู่สรวงสวรรค์ ทว่าไฝ่จะได้เข้าสวรรค์
เมื่อพวกเขา(เหล่าบุรุษอะอ์ร้อฟ)ทอดสายตายังชาวนรกก็จะกล่าวว่า โอ้องค์อภิบาล ขอพระองค์ทรงอย่าให้เราอยู่ ณ สถานพำนักเดียวกันกับคนเหล่านี้เลย
และยังกล่าวแก่ทั้งสองกลุ่มโดยที่รู้จักสีหน้าของแต่ละกลุ่มเป็นอย่างดีว่า ประจักษ์หรือยังว่าการกักตุนทรัพย์สมบัติและเกียรติยศและทุกสิ่งที่เคยทำให้พวกเจ้าทรนงตนนั้น หาได้มีประโยชน์ใดๆแก่พวกเจ้าไม่ พวกเจ้าเห็นสถานภาพของเหล่าผู้ศรัทธาที่พวกเจ้าเคยสาบานไว้ว่าอัลลอฮ์จะไม่แผ่พระเมตตายังพวกเขาแล้วหรือยัง?
และชาวนรกตะโกนร้องขอชาวสวรรค์ว่า กรุณาให้เราได้ลิ้มรสน้ำอันสดชื่นในสรวงสวรรค์ที่พระองค์ทรงประทานแก่พวกท่านด้วยเถิด พวกเขาตอบว่า อัลลอฮ์มิทรงอนุญาตแก่เหล่าผู้ปฏิเสธ
พวกเขาที่เคยถือศาสนาของพระองค์เป็นของเล่น ความสุขในชีวิตโลกได้หลอกลวงพวกเขา วันนี้เราจึงไม่ใส่ใจพวกเขา ดังที่พวกเขาไม่เคยใส่ใจการเผชิญหน้าในวันนี้ และดังที่พวกเขาเคยปฏิเสธสัญญาณของเราอยู่เสมอ”[3]
ศึกษาเพิ่มเติมได้ที่คำตอบที่ 10544 และ 6496 (ลำดับในเว็บไซต์ 6748)
[1] อัศศ้อฟฟ้าต, 50-57
[2] อัลมุดดัษษิร,38-50
[3] อัลอะอ์ร้อฟ,44-51 คำแปลจากหนังสือบะยานุสสะอาดะฮ์, โปรแกรมญามิอุตตะฟาซี้ร.