การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
13271
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2554/07/31
 
รหัสในเว็บไซต์ fa1061 รหัสสำเนา 15273
คำถามอย่างย่อ
จะชี้แจงความแตกต่างระหว่างคริสเตียนและอิสลามกรณีพระเจ้ามีบุตรอย่างไร?
คำถาม
เหตุใดมุสลิมเราจึงเชื่อว่าพระเจ้าไม่ให้กำเนิดและไม่ถือกำเนิด ในขณะที่คริสเตียนเชื่อว่าพระเยซูเป็นบุตรของพระเจ้า ความขัดแย้งระหว่างสองศาสนานี้จะชี้แจงอย่างไร?
คำตอบโดยสังเขป

เมื่อพิจารณาถึงเนื้อหาซูเราะฮ์กุ้ลฮุวัลลอฮ์ จะเข้าใจว่ามุสลิมเชื่อว่าอัลลอฮ์มิได้ถือกำเนิดจากผู้ใดและมิได้ให้กำเนิดผู้ใด ศาสนาเอกเทวนิยมล้วนเชื่อเช่นนี้ ซึ่งแนวทางของพระเยซูก็อยู่ในเกณฑ์เดียวกัน เหตุเพราะศาสนาเทวนิยมล้วนตั้งอยู่บนพื้นฐานของสติปัญญาและธรรมชาติอันบริสุทธิ์ของมนุษย์ สติปัญญาก็สามารถพิสูจน์ได้ว่าพระผู้สร้างทุกสรรพสิ่งย่อมไม่ต้องพึ่งพาสิ่งใด แน่นอนว่าผู้มีคุณลักษณะเช่นนี้ย่อมไม่ต้องมีบิดาหรือบุตร เพราะการมีบิดาหรือบุตรบ่งบอกถึงการมีสรีระเชิงวัตถุ ซึ่งย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องพึ่งพาอวัยวะ และแน่นอนว่าพระเจ้าปราศจากข้อบกพร่องเหล่านี้
ส่วนความเชื่อที่แพร่หลายในหมู่ชาวคริสเตียนในปัจจุบันนั้น ชี้ให้เห็นว่ามีการบิดเบือนคำสอนอันทำให้ผิดเพี้ยนไปจากศาสนาคริสต์ดั้งเดิม

คำตอบเชิงรายละเอียด

หนึ่งในโองการของซูเราะฮ์กุ้ลฮุวัลลอฮ์ฯกล่าวว่า อัลลอฮ์คือเศาะมัด”(ผู้เป็นที่พึ่งของสรรพสิ่งทั้งปวง[1]) นักอธิบายกุรอานบางท่านเชื่อว่า لم یلد و لم یولد  (มิได้ให้กำเนิดและมิได้ถือกำเนิด) เป็นการขยายความคำว่าเศาะมัด[2] ซึ่งสื่อว่า พระองค์เป็นที่พึ่งสูงสุดเนื่องจากมิได้ถือกำเนิดและมิได้ให้กำเนิด.

ในเชิงสติปัญญาแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่อัลลอฮ์ผู้เป็นที่พึ่งสูงสุด จะมีบิดาหรือบุตร เนื่องจากการที่สิ่งๆหนึ่งจะให้กำเนิดอีกสิ่ง ย่อมแสดงว่าสิ่งนั้นสามารถแบ่งส่วนได้ และทุกสิ่งที่แบ่งส่วนได้ย่อมมีองค์ประกอบเชิงวัตถุ กล่าวคือ เมื่อมีสัดส่วน ก็ไม่สามารถอยู่ได้โดยปราศจากสัดส่วนของตน เพราะหากสัดส่วนต่างๆไม่ครบถ้วน สิ่งนั้นย่อมไม่บังเกิดขึ้น สรุปคือ ความเชื่อที่ว่าพระเจ้าให้กำเนิดนั้น ถือเป็นโมฆะในแง่ของสติปัญญา เนื่องจากความเชื่อเช่นนี้ตั้งอยู่บนสมมติฐานที่ว่าพระเจ้ายังต้องพึ่งพาสิ่งอื่น ซึ่งขัดกับสถานะความเป็นพระเจ้า อันแสดงว่าผู้ที่เชื่อเช่นนี้ยังไม่รู้จักพระเจ้าอย่างแท้จริง

ส่วนที่ว่าพระเจ้ามิได้ถือกำเนิดจากผู้ใดนั้น ก็เนื่องจากผู้ที่ถือกำเนิดย่อมต้องพึ่งพาผู้ให้กำเนิด นั่นหมายความว่า หากเราเชื่อว่าอัลลอฮ์ถือกำเนิดจากผู้อื่น แสดงว่าต้องพึ่งพาผู้นั้น ซึ่งเราได้อธิบายไปแล้วว่า เป็นไปไม่ได้ที่พระผู้เป็นปฐมเหตุที่ทุกสรรพสิ่งต้องพึ่งพา กลับต้องพึ่งพาผู้อื่นเสียเอง ด้วยเหตุผลเหล่านี้ จึงไม่อาจจะยอมรับได้ว่าพระเจ้าถือกำเนิด หรือให้กำเนิดผู้อื่น

เมื่อเป็นเช่นนี้ หากพบคำสอนในศาสนาใดที่ขัดต่อหลักสติปัญญาที่ว่าพระเจ้าย่อมไม่ต้องพึ่งพาสิ่งใด และทุกสิ่งต้องพึ่งพาพระองค์ คงเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องถือว่าศาสนาที่มีคำสอนดังกล่าวถูกบิดเบือนจากแนวทางดั้งเดิม(แห่งเตาฮีด)เสียแล้ว
เราเชื่อว่าท่านนบีอีซา(.)และศาสนทูตทุกท่านเชื่อในเตาฮีด และเชิญชวนประชาชาติสู่หลักการแห่งลัมยะลิด วะลัมยูลัดทั้งสิ้น  กุรอานเล่าว่า ในวัยแบเบาะ ท่านนบีอีซา(.)ได้เอ่ยถ้อยคำปาฏิหารย์ที่ว่าฉันคือบ่าวของอัลลอฮ์ พระองค์ทรงประทานคัมภีร์แก่ฉัน และแต่งตั้งให้ฉันเป็นนบี[3] ฉะนั้น การที่คนกลุ่มหนึ่งมองข้ามเหตุผลทางสติปัญญาและถือว่าท่านเป็นบุตรของพระเจ้านั้น เกิดจากสาเหตุที่มีการเบี่ยงเบนแนวทางของศาสนาดังกล่าว ซึ่งนักวิชาการเชื่อว่าการเบี่ยงเบนเริ่มโดยนักบุญเปาโล
ในอดีต นักบุญเปาโลเคยเป็นยิวกลุ่มฟารีสี ซึ่งเป็นกลุ่มที่ตั้งตนเป็นศัตรูกับชาวคริสเตียนอย่างชัดเจนด้วยการทรมานและสังหารกลุ่มชาวคริสต์ ในช่วงเวลานี้เองที่นักบุญเปาโลเข้ารีตเป็นคริสเตียน และได้กลายเป็นนักเผยแพร่มือฉมัง เขาเผยแพร่คำสอนของพระเยซูในลักษณะที่สอดคล้องกับรสนิยมของบุคคลทั่วไปในยุคนั้น และพยายามอธิบายเหตุผลที่ตนเองเข้ารีตเป็นคริสเตียนด้วยเหตุผลจากคัมภีร์โตร่าห์(เตารอต) เขาเผยแพร่คริสตศาสนาเป็นเวลายี่สิบปี และใช้เวลาหลายปีในการเรียบเรียงมุขปาฐะและคำสอนต่างๆจากพระเยซูคริสต์
หลักคำสอนสำคัญของนักบุญเปาโลได้แก่
1. คริสตศาสนาเป็นศาสนาแห่งโลก
2. ตรีเอกานุภาพ อันส่งผลให้ต้องเชื่อว่าพระเยซูและพระจิตก็คือพระเจ้า
3. พระเยซูในฐานะพระบุตร อาสาลงมาไถ่บาปแทนมนุษย์
4. พระเยซูฟื้นคืนชีพจากสุสาน และขึ้นสู่ฟากฟ้าเคียงข้างพระบิดา
นักบุญเปาโลคือผู้วางรากฐานความเชื่อที่ว่าพระเยซูคือพระเจ้าคนแรก เขากล่าวว่าพระเยซูผู้ปลดปล่อย ได้สถาปนาอาณาจักรแห่งพระเจ้าบนพื้นพิภพ และหลังจากฟื้นคืนชีพแล้ว พระองค์จะกลับมาอีกครั้ง ฉะนั้น พระเยซูจึงเป็นผู้ปลดปล่อยโลกนี้และโลกหน้า พระองค์คือพระเจ้า ผู้มีอยู่ก่อนทุกสรรพสิ่ง และทุกสรรพสิ่งล้วนมาจากพระองค์[4]
ชาวคริสต์บางคนไม่สามารถยอมรับความเชื่อที่เบี่ยงเบนของนักบุญเปาโลได้ อัครสาวกของพระเยซูบางท่านแสดงท่าทีคัดค้านนักบุญเปาโลอย่างชัดเจน ความเชื่อที่นักบุญเปาโลพยายามเผยแพร่ว่าพระเยซูคือพระบุตรและเป็นพระเจ้านั้น อ่อนแอถึงขั้นที่คัมภีร์ไบเบิ้ลเองก็ไม่สามารถพิสูจน์ความเชื่อดังกล่าวได้เลย[5] ซ้ำร้ายยังสามารถที่จะใช้คัมภีร์ไบเบิ้ลหักล้างความเชื่อดังกล่าวได้ด้วย[6]

คัมภีร์ไบเบิ้ลประกอบด้วยพันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่ พันธสัญญาเดิมก็คือคัมภีร์ของชาวยิวที่เรียกว่าโตร่าห์(เตารอต)ซึ่งประกอบด้วย 39 บท ส่วนพันธสัญญาใหม่ก็คือคัมภีร์ ไบเบิ้ลอันเป็นที่รู้จักกันดี ทั้งสองส่วนนี้ประกอบเป็นพระคัมภีร์ อันเป็นที่ยอมรับของชาวคริสเตียน
ในพันธสัญญาเดิมไม่มีเนื้อหาที่บ่งบอกว่าพระเยซูคือบุตรของพระเจ้าเลย ส่วนพันธสัญญาใหม่(ที่ชาวคริสเตียนอ้างว่ามีระบุไว้ว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า)นั้น บางที่ก็มีนัยยะว่าพระเยซูคือมนุษย์ธรรมดา(และมิได้เป็นพระเจ้าหรือบุตรของพระเจ้า) และบางที่ก็มีนัยยะว่าพระเยซูคือพระเจ้าหรือพระบุตรของพระองค์
เราขอนำเสนอและวิพากษ์วิจารณ์ดังนี้
. พระเยซูในฐานะมนุษย์ปุถุชน
1. นี่คือบ่าวของข้า ซึ่งข้าได้คัดเลือกเขา และเป็นผู้ที่ข้ารักและพึงพอใจ[7]
2. ในหนังสือภารกิจ(ส่วนหนึ่งของคัมภีร์ไบเบิ้ล)มีอยู่ว่าพระเจ้าของอับราม และอิสอัคและยาค็อบ พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของเรา ได้เทิดเกียรติแก่เยซูผู้เป็นบ่าวของพระองค์[8]
เนื้อหาเหล่านี้ระบุชัดเจนว่าพระเยซูคือบ่าวที่ได้รับการคัดสรรโดยพระเจ้า

. พระเยซูในฐานะพระเจ้า
1. ในพระวรสารของนักบุญมาระโก 16:37-39 มีอยู่ว่าแท้ที่จริงแล้ว ชายผู้นี้(พระเยซู)คือบุตรของพระเจ้า[9]
สามารถวิเคราะห์ได้ว่า แม้ข้อความนี้จะระบุว่าเป็นพระบุตร แต่ต้องถือว่าบุตรในที่นี้เป็นความหมายเชิงอุปมาอุปไมย มิไช่ความหมายตรงตัว เนื่องจากในไบเบิ้ลยังมีระบุไว้ว่าแต่ส่วนบรรดาผู้ที่ต้อนรับพระองค์ พระองค์ทรงประทานอำนาจให้เป็นบุตรของพระเจ้า คือคนทั้งหลายที่เชื่อในพระนามของพระองค์

ซึ่งมิได้เกิดจากเลือด หรือความประสงค์ของเนื้อหนัง หรือความประสงค์ของมนุษย์ แต่เกิดจากพระเจ้า[10]
และอีกแห่งได้กล่าวว่าท่านที่รักทั้งหลาย ขอให้เรารักซึ่งกันและกัน เพราะว่าความรักมาจากพระเจ้า และทุกคนที่รักก็บังเกิดจากพระเจ้า และรู้จักพระเจ้า[11]

ฉะนั้น หากคุ้นเคยกับสำนวนของไบเบิ้ลจะทราบว่า ผู้ศรัทธาและผู้บำเพ็ญความดีทุกคนล้วนได้รับฐานะบุตรของพระเจ้าทั้งสิ้น แต่ถึงตอนนี้ก็ยังไม่เคยมีใครประกาศว่าเหล่าผู้ศรัทธาก็เป็นคณะพระบุตรเสียที บุตรที่ระบุในโองการต่างๆเหล่านี้หาได้แตกต่างจากโองการที่ระบุว่าพระเยซูเป็นพระบุตรไม่  นอกจากผู้ศรัทธาแล้ว บุคคลบางคนยังได้รับการระบุว่าเป็นพระบุตรเช่นกัน อาทิเช่น โองการที่พระเจ้ากล่าวเกี่ยวกับศาสดาโซโลมอน(สุลัยมาน)ว่าเราจะเป็นบิดาของเขา และเขาจะเป็นบุตรของเรา[12] แต่ก็ไม่มีใครกล่าวอ้างว่าท่านศาสดาโซโลมอนเป็นพระบุตรแต่อย่างใด
ฉะนั้น แม้สมมติว่าไบเบิ้ลปัจจุบันเป็นคัมภีร์อินญีลของพระเยซู  แต่ก็ไม่สามารถจะใช้ยืนยันได้ว่าพระเยซูคือพระบุตรและพระเจ้าเป็นพระบิดา  ชี้ให้เห็นว่าการบิดเบือนดังกล่าวเกิดขึ้นในภายหลัง

. คัมภีร์ไบเบิ้ลมีเนื้อหาที่ขัดแย้งกันเอง ทำให้ไม่อาจจะยอมรับได้ว่าเป็นคัมภีร์จากฟากฟ้าทั้งหมด ดังตัวอย่างที่นำเสนอไปแล้วว่า บางโองการระบุว่าพระเยซูเป็นบ่าว แต่บางโองการระบุว่าท่านเป็นบุตรของพระเจ้า(ในกรณีที่ยังยืนกรานจะตีความคำว่าบุตรในลักษณะการให้กำเนิด)
ความไม่ชอบมาพากลเหล่านี้เองที่ทำให้บาทหลวงคริสต์บางคนวิพากษ์วิจารณ์ความเชื่อดังกล่าว ดังที่บาทหลวงเอเรียสแห่งอเล็กซานเดรียได้แย้งความเชื่อนี้ในปีคศ. 325 ว่าพระเจ้าย่อมจำแนกจากสิ่งถูกสร้างทั้งปวง จึงเป็นไปไม่ได้ที่พระเยซูที่ถือกำเนิดเหมือนมนุษย์ปุถุชนทั่วไป และอาศัยบนโลก จะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระเจ้าที่ท่านเพิ่งจะรู้จัก[13]
ข้อท้วงติงดังกล่าวส่งผลให้มีการประชุมสังคายนาใหญ่ที่นครนีเซีย ในที่สุดก็มีมติให้ความเชื่อเรื่องบุตรของพระเจ้ากลายเป็นหลักศรัทธาที่คริสตศาสนิกชนทุกคนต้องยึดถือ จึงกล่าวได้ว่า แม้ความเชื่อนี้จะนำเสนอโดยนักบุญเปาโลก็จริง แต่การประชุมดังกล่าวได้ตราให้ทัศนะของนักบุญเปาโลกลายเป็นหลักศรัทธาที่มิอาจปฏิเสธได้ อันส่งผลให้ทัศนคติดังกล่าวยังคงแพร่หลายในหมู่ชาวคริสเตียนถึงทุกวันนี้
สรุปว่าไม่มีข้อขัดแย้งใดๆระหว่างศาสนาเทวนิยม แต่ศาสนาคริสต์ปัจจุบันได้ออกห่างจากคำสอนของนบีอีซา(.) เพราะมิเช่นนั้น เราจะได้เห็นว่าคำสอนของนบีอีซา(.)หาได้ผิดแผกไปจากอิสลามไม่ และจะประจักษ์ว่าอิสลามคือศาสนาที่สมบูรณ์ ที่จะเติมเต็มแก่ศาสนาทุกศาสนาในอดีต



[1] อัลอิคลาศ,2 แปลโดยอ.มะการิม ชีรอซี

[2] อัลมีซานฉบับแปล,เล่ม 20,หน้า 27, และ ตัฟซีรเนมูเนะฮ์,เล่ม 27,หน้า 439.

[3] มัรยัม,30 قالَ إِنِّی عَبْدُ اللَّهِ آتانِیَ الْکِتابَ وَ جَعَلَنی‏ نَبِیًّا

[4] ประวัติศาสนาและนิกาย,อับดุลลอฮ์ มุบัลลิฆี,เล่ม 2,บทชีวประวัตินักบุญเปาโล. และ ดู เว็บไซต์อิมามญะว้าด(.)

[5] แม้เราจะไม่สามารถยอมรับได้ว่าไบเบิ้ลปัจจุบันคือคัมภีร์อินญีลที่ประทานแก่นบีอีซา(.)

[6] รู้จักและศึกษาคริสตศาสนา,ฝ่ายเผยแพร่ของเฮาซะฮ์,หน้า 25.

[7] พระวรสาร นักบุญมัทธิว 12:18

[8] หนังสือกิจการอัครสาวก 3:13

[9] พระวรสาร นักบุญมาระโก 16:37-39

[10] พระวรสาร นักบุญยอห์น, 1:12,13

[11] จดหมายนักบุญยอห์น ฉบับที่หนึ่ง 4:7

[12] หนังสือพงศาวดาร 17:13

[13] http://en.wikipedia.org/wiki/First_Council_of_Nicaea

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • เนื่องจากการเสริมสวยใบหน้า ดังนั้น กรณีนี้สามารถทำตะยัมมุมแทนวุฎูอฺได้หรือไม่?
    10087 شرایط انتقال به تیمم 2556/01/24
    ทัศนะบรรดามัรญิอฺ ตักลีดเห็นพร้องต้องกันว่า สิ่งที่กล่าวมาในคำถามนั้นไม่อาจนำมาเป็นข้ออ้าง เพื่อละทิ้งวุฎูอฺหรือฆุซลฺ และทำตะยัมมุมแทนได้เด็ดขาด[1] กรณีลักษณะเช่นนี้ ผู้ที่มีความสำรวมตนส่วนใหญ่จะวางแผนไว้ก่อน เพื่อไม่ให้โปรแกรมเสริมสวยมามีผลกระทบกับการปฏิบัติสิ่งวาญิบของตน ซึ่งส่วนใหญ่จะทราบเป็นอย่างดีว่าเวลาที่ใช้ในการเสริมสวยแต่ละครั้งจะไม่เกิน 6 ชม. ดังนั้น ช่วงเวลาซุฮฺรฺ เจ้าสาวสามารถทำวุฏูอฺและนะมาซในร้านเสริมสวย หลังจากนั้นค่อยเริ่มแต่งหน้าเสริมสวย จนกว่าจะถึงอะซานมัฆริบให้รักษาวุฏูอฺเอาไว้ และเมื่ออะซานมัฆริบดังขึ้น เธอสามารถทำนะมาซมัฆริบและอิชาอฺได้ทันที ดังนั้น ถ้าหากมีการจัดระเบียบเวลาให้เรียบร้อยก่อน เธอก็สามารถทำได้ตามกล่าวมาอย่างลงตัว อย่างไรก็ตามเจ้าสาวต้องรู้ว่าเครื่องสำอางที่เธอแต่งหน้าไว้นั้น ต้องสามารถล้างน้ำออกได้อย่างง่ายดาย และต้องไม่เป็นอุปสรรคกีดกั้นน้ำสำหรับการทำวุฎูอฺเพื่อนะมาซซุบฮฺในวันใหม่ [1] มะการิมชีรอซียฺ,นาซิร,อะฮฺกามบานูวอน, ...
  • การประทานอัลกุรอานลงมาคราวเดียวและการทยอยประทานลงมาผ่านพ้นไปตั้งแต่เมื่อใด?
    19109 วิทยาการกุรอาน 2554/04/21
    การประทานอัลกุรอานในคราวเดียวกันบนจิตใจของท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อลฯ) ได้เกิดขึ้นเมื่อค่ำคืนแห่งอานุภาพ (ลัยละตุลก็อดฺร์) อันเป็นหนึ่งในค่ำคืนสำคัญยิ่งแห่งเดือนรอมฏอนและเมื่อได้ศึกษารายงานฮะดีซบางบทและอัลกุรอานบางโองการแล้วจะเห็นว่ารายงานและโองการเหล่านั้นได้สนับสนุนความเป็นไปได้ดังกล่าวว่าค่ำคืนแห่งอานุภาพนั้นก็คือค่ำคืนที่ 23 ของเดือนรอมฎอน
  • ความแตกต่างระหว่างจริยธรรมกับจริยศาสตร์คืออะไร? สิ่งไหนครอบคลุมมากกว่ากัน? และการตีความเกี่ยวกับจริยศาสตร์กับจริยธรรมอันไหนครอบคลุมมากกว่า?
    21879 จริยธรรมทฤษฎี 2555/04/07
    คำว่า “อัคลาก” ในแง่ของภาษาเป็นพหูพจน์ของคำว่า “คุลก์” หมายถึง อารมณ์,ธรรมชาติ, อุปนิสัย, และความเคยชิน,ซึ่งครอบคลุมทั้งอุปนิสัยทั้งดีและไม่ดี นักวิชาการด้านจริยศาสตร์,และนักปรัชญาได้ตีความเกี่ยวกับจริยศาสตร์ไว้มากมาย. ซึ่งในหมู่การตีความทั้งหลายเหล่านั้นของนักวิชาการสามารถนำมารวมกัน และกล่าวสรุปได้ดังนี้ว่า “อัคลาก ก็คือคุณภาพทางจิตวิญญาณของมนุษย์ ซึ่งเป็นการปฏิบัติที่มีความเหมาะสม หรือพฤติกรรมอันเหมาะสมของมนุษย์ที่ปฏิบัติในชีวิตประจำวันตน” สำหรับ ศาสตร์ด้านจริยธรรมนั้น มีการตีความไว้มากมายเช่นกัน ซึ่งในคำอธิบายเหล่านั้นเป็นคำพูดของท่าน มัรฮูม นะรอกียฺ กล่าวไว้ในหนังสือ ญามิอุลสะอาดะฮฺว่า : ความรู้ (อิลม์) แห่งจริยศาสตร์หมายถึง การรู้ถึงคุณลักษณะ (ความเคยชิน) ทักษะ พฤติกรรม และการถูกขยายความแห่งคุณลักษณะเหล่านั้น การปฏิบัติตามคุณลักษณะที่แตกต่างกันในการช่วยเหลือให้รอดพ้น หรือการการปล่อยวางคุณลักษณะที่นำไปสู่ความหายนะ” ส่วนการครอบคลุมระหว่างจริยธรรมกับศาสตร์แห่งจริยธรรมนั้น มีคำกล่าวว่า,ความแตกต่างระหว่างทั้งสองมีอยู่เฉพาะในทฤษฎีเท่านั้นเอง ดังนั้น บนพื้นฐานดังกล่าวนี้ ถ้าหากจะกล่าวว่า สิ่งไหนมีความครอบคลุมมากกว่ากันจึงไม่มีความหมายแต่อย่างใด ...
  • ฮะดีษนบีและอะฮ์ลุลบัยต์ที่เกี่ยวกับความเศร้าหมองและการโอดครวญเทียบกับทัศนะของผู้รู้ชีอะฮ์ อย่างใดสำคัญกว่ากัน?
    7953 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/11/13
    เกี่ยวกับเรื่องนี้จำเป็นต้องคำนึงถึงข้อเท็จจริงต่อไปนี้:1. ไม่ไช่ว่าฮะดีษทุกบทจะเชื่อถือได้ทั้งหมด2. ต้องคำนึงเสมอว่าปัจจัยกาลเวลาและสถานที่มีอิทธิพลต่อฮุก่ม(กฎศาสนา)3. ในจำนวนฮุก่มทั้งหมดมีฮุก่มวาญิบและฮะรอมเท่านั้นที่มีความอ่อนไหว4. จะต้องพิจารณาแหล่งอ้างอิงให้ถี่ถ้วนตัวอย่างเช่นกรณีของการร้องไห้นั้นยังมีข้อถกเถียงกันได้เพราะแม้ว่าวะฮาบีจะฟัตวาห้ามร้องไห้แก่ผู้ตายแต่ในแง่สติปัญญาแล้วถือว่าเป็นเรื่องที่ยอมรับได้นอกจากนี้ฮะดีษทั้งสายซุนหนี่และชีอะฮ์ก็ปรากฏเหตุการณ์ที่ท่านนบี(ซ.ล.)และบรรดาอิมาม(อ.)ร้องไห้ให้กับผู้ตายหรือบรรดาชะฮีดเช่นท่านฮัมซะฮ์หรือมารดาท่านนบี(ซ.ล.) ตลอดจนกรณีอื่นๆอีกมาก 5. อุละมาอ์และผู้รู้ระดับสูงสอนว่ามีบางพฤติกรรมที่ผู้ไว้อาลัยไม่ควรกระทำซึ่งบางกรณีอาจทำให้ต้องจ่ายกัฟฟาเราะฮ์ด้วยฉะนั้นจะต้องแยกแยะระหว่างพฤติกรรมที่ผิดหลักศาสนาของผู้คนที่ไม่รู้ศาสนากับคำสอนที่แท้จริงของอิสลามและบรรดาอุละมาอ์ ...
  • มีภัยคุกคามใดที่อาจจะเกิดขึ้นกับสาธารณรับอิสลาม?
    5832 ระบบต่างๆ 2554/11/21
    เพื่อที่จะทราบถึงภัยคุกคามของสิ่งๆหนึ่งก่อนอื่นเราจะต้องทำความรู้จักกับมูลเหตุต่างๆที่ทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น (ปัจจัยกำเนิด) และสิ่งที่จะทำให้สิ่งนั้นดำรงอยู่ (ปัจจัยพิทักษ์) เสียก่อนเนื่องจากภัยคุกคามที่อาจจะเกิดขึ้นกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งก็คือภัยที่จะคุกคามสองปัจจัยดังกล่าวนี่เองปัจจัยกำเนิดและพิทักษ์ของสาธารณรัฐอิสลามก็คือ 1. หลักคำสอนที่สูงส่งของอิสลาม (การปฏิบัติตามคำสั่งและหลักคำสอนของอิสลาม) 2. การมีผู้นำการปฏิวัติที่รอบรู้ 3. ความเป็นปึกแผ่นของประชาชนและการเชื่อฟังผู้นำหากปัจจัยดังกล่าวถูกคุกคามสาธารณรัฐอิสลามก็จะตกอยู่ในอันตรายฉะนั้นประชาชนเจ้าหน้าที่รัฐ
  • ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์มีบุคลิกภาพด้านใดบ้าง?
    12128 ชีวประวัติมะอฺซูม (อ.) 2554/09/22
    มิติบุคลิกภาพด้านต่างๆของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ลึกซึ้งและละเอียดอ่อนในลักษณะที่จะต้องได้รับการพินิจพิเคราะห์อย่างถี่ถ้วนเท่านั้นจึงจะสามารถประจักษ์ได้ซึ่งการนี้จะสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อมีการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับมิติด้านศีลธรรมและจิตใจความรู้และการต่อสู้ของนางทั้งในเชิงการเมืองและสังคมขอหยิบยกบุคลิกภาพอันโดดเด่นของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์(ที่กล่าวถึงในตำราฝ่ายซุนหนี่และชีอะฮ์)มานำเสนอโดยสังเขปดังนี้1. ท่านหญิงใช้ชีวิตเรียบง่ายและพอใจวิถีชีวิตสมถะทั้งที่สามารถจะได้รับความสะดวกสบายขั้นสูงสุด2. บริจาคของรักของตนมากมายทั้งที่ยังจำเป็นต้องใช้3. ทำอิบาอะฮ์และวิงวอนต่ออัลลอฮ์สม่ำเสมอด้วยความบริสุทธิใจ4. เป็นภาพลักษณ์แห่งจริตกุลสตรีและความเหนียมอาย5. แบบฉบับที่สมบูรณ์ด้านการสวมฮิญาบตามวิถีอิสลาม6. มีความรู้อันกว้างขวางซึ่งประจักษ์ได้จากการรับทราบเนื้อหาในตำรา"มุศฮัฟฟาฏิมะฮ์"7.
  • ถ้าหากมุมหนึ่งของพรหมเปื้อนนะญิส, การนมาซบนพรหมนั้นจะมีปัญหาหรือไม่ หรือเฉพาะบริเวณที่เปื้อนนะญิสเท่านั้นมีปัญหา? เสื้อเปื้อนเลือดและหลังจากซักออกแล้ว,ยังมีคราบสีเลือดตกค้างอยู่, สามารถใส่นมาซได้หรือไม่?
    18792 เฏาะฮาเราะฮ์ 2555/05/17
    1. หนึ่งในเงื่อนไขของสถานที่นมาซคือ ถ้าหากสถานที่นมาซนะญิส ในลักษณะที่ว่าความเปียกชื้นนั้นไม่ซึมเปียกเสื้อผ้า หรือร่างกาย, แต่บริเวณที่เอาหน้าผากลงซัจญฺดะฮฺนั้น, ถ้าหากนะญิสและถึงแม้ว่าจะแห้ง นมาซบาฏิล และอิฮฺติยาฏมุสตะฮับ สถานที่นมาซจะต้องไม่เปรอะเปื้อนนะญิส[1] ด้วยเหตุนี้, การนมาซบนพรหมที่เปื้อนนะญิสด้วยเงื่อนไขตามกล่าวมา จึงถือว่า ไม่เป็นไร. 2.ทุกสิ่งที่เปื้อนนะญิส ตราบที่นะญิสยังไม่ได้ถูกขจัดออกไปถือว่าไม่สะอาด. แต่ถ้ายังมีกลิ่น หรือสีนะญิสตกค้างอยู่ ถือว่าไม่เป็นไร. ฉะนั้น ถ้าหากซักรอยเลือดออกจากเสื้อแล้ว ตามขบวนการกำจัดนะญิส แต่ยังมีคราบสีเลือดหลงเหลืออยู่, ถือว่าสะอาด[2] ฉะนั้น, ถ้าเสื้อนะญิสเนื่องจากเปื้อนเลือด, และได้ซักแล้วตามขั้นตอน, แต่ยังมีคราบสีเลือดค้างอยู่ ถือว่าไม่เป็นไร และสามารถใส่เสื้อนั้นนมาซได้
  • ในอายะฮ์ที่ได้กล่าวว่า "فَمَنِ اعْتَدَى بَعْدَ ذَلِکَ فَلَهُ عَذَابٌ أَلِیمٌ"، คำว่า “ฟะมะนิอ์ตะดา” หมายถึงอะไร และสาเหตุใดจึงมีการเตือนว่าจะลงโทษ?
    9388 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/18
    ข้อบังคับประการหนึ่งในพิธีฮัจญ์และอุมเราะฮ์ก็คือห้ามล่าสัตว์ในขณะที่ครองอิฮ์รอมซึ่งอายะฮ์ที่ 94-96 ซูเราะฮ์อัลมาอิดะฮ์ก็ได้กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้กล่าวคือห้ามมิให้ล่าสัตว์ทะเลทรายและสัตว์น้ำในขณะที่ยังครองอิฮ์รอมก่อนที่จะกล่าวถึงความหมายของคำว่า “ตะอัดดี” (การรุกราน) จำเป็นที่จะต้องอธิบายว่าเหตุผลหนึ่งของการห้ามล่าสัตว์ในขณะครองอิฮ์รอมก็คือการที่พิธีฮัจญ์และอุมเราะฮ์เป็นอิบาดะฮ์ที่จะแยกมนุษย์ออกจากโลกิยะและจะนำพามนุษย์สู่โลกที่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณอันสูงส่งส่วนสิ่งที่เป็นวัตถุ, การรบราฆ่าฟัน, ความอาฆาต, ความต้องการทางเพศ, ความสุขทางด้านวัตถุล้วนเป็นสิ่งที่พึงละเว้นในพิธีฮัจญ์และอุมเราะฮ์ซึ่งถือเป็นวิธีฝึกฝนที่ได้รับการอนุมัติจากพระองค์ฉะนั้นการห้ามล่าสัตว์ในขณะครองอิฮ์รอมก็อาจจะเนื่องด้วยสาเหตุเหล่านี้[1]ศาสนบัญญัติข้อนี้ได้รับการกำหนดไว้อย่างละเอียดโดยมิได้เจาะจงห้ามล่าสัตว์เพียงอย่างเดียวแต่รวมไปถึงการช่วยชี้เป้าหรือการหาเหยื่อให้ผู้ล่าก็เป็นสิ่งต้องห้ามด้วยเช่นกันดังที่ในฮะดีษได้กล่าวไว้ว่าอิมามศอดิก (อ.) กล่าวกับสหายของท่านว่า “จงอย่าถือว่าการล่าสัตว์ในขณะที่ยังครองอิฮ์รอมเป็นสิ่งอนุมัติไม่ว่าจะอยู่ในเขตฮะร็อมหรือนอกเขตฮะร็อมก็ตามและถึงแม้ว่าพวกท่านจะไม่ได้ครองอิฮ์รอมก็ไม่สามารถล่าสัตว์ได้และจงอย่าชี้เป้าแก่บุคคลที่กำลังครองอิฮ์รอมหรือผู้ที่มิได้ครองอิฮ์รอมเพื่อให้เขาล่าสัตว์และจงอย่าสนับสนุน (และสั่ง) แต่อย่างใดเพื่อที่จะได้ทำให้การล่าสัตว์นั้นๆเป็นฮะลาลเนื่องจากจะทำให้ผู้ละเมิดโดยตั้งใจต้องจ่ายกัฟฟาเราะฮ์”[2]ดังนั้น “มะนิอ์ตะดา”ในที่นี้หมายถึงบุคลลใดก็ตามที่ได้ฝ่าฝืนกฏดังกล่าว (การห้ามล่าสัตว์) ซึ่งเป็นคำสั่งของอัลลอฮ์ (ซ.บ.) เขาจะต้องทนทุกข์ทรมานกับการลงโทษที่หนักหน่วงดังนั้นสาเหตุของการลงโทษคือการฝ่าฝืนกฏและคำสั่งของอัลลอฮ์ (ซ.บ.) นั่นเองและการลงโทษดังกล่าวหมายถึงการลงโทษด้วยไฟนรกในโลกหน้า “หรืออาจจะหมายถึงการประสบอุปสรรคในโลกนี้ด้วยก็เป็นได้”[3] ดังนั้นการดื้อแพ่งกระทำบาปครั้งแล้วครั้งเล่าจะนำมาซึ่งภยันตรายและการลงทัณฑ์อันเจ็บปวดคำถามดังกล่าวไม่มีคำตอบเชิงอธิบาย
  • จุดประสงค์ของการสร้างคืออะไร จงอธิบายเหตุผลในเชิงเหตุผลนิยม ถ้าเป้าหมายคือความสมบูรณ์แล้วทำไมพระเจ้าไม่ทรงสร้างมนุษย์ให้สมบูรณ์แบบ
    14270 เทววิทยาดั้งเดิม 2553/10/21
    พระเจ้าคือผู้ดำรงอยู่ที่ไม่มีความจำกัด พระองค์ทรงมีความสมบูรณ์แบบทุกประการ การสร้าง (บังเกิด) เป็นความงดงาม และพระองค์คือผู้มีความงดงามความงดงามอันสมบูรณ์แบบของพระองค์ เป็นตัวกำหนดว่าพระองค์ทรงสร้างทุกอย่างขึ้นตามคุณค่าของมัน ดังนั้น พระเจ้าทรงสร้างเป็นเพราะพระองค์คือผู้งดงาม หมายถึงจุดประสงค์และเป้าหมายในการสร้างของพระองค์นั้นงดงาม อีกด้านหนึ่งคุณลักษณะอาตมันของพระเจ้าไม่ได้แยกออกจากอาตมันของพระองค์ จึงสามารถกล่าวได้ว่าจุดประสงค์ของการสร้างคือ อาตมันของพระเพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์มาโดยให้มีแนวโน้มที่ดีและความชั่วร้ายภายใน และทรงประทานผู้เชิญชวนภายนอก 2 ท่าน ที่ดีได้แก่ศาสดา (นบี) และความชั่วร้ายได้แก่ชัยฎอน (ปีศาจ), ทั้งนี้มนุษย์สามารถบรรลุความสมบูรณ์สูงสุดของสรรพสิ่งที่อยู่หรือก้าวไปสู่ความชั่วช้าที่ต่ำทรามที่สุดก็เป็นได้ ทั้งที่มนุษย์นั้นมีพลังของเดรัจฉานและการลวงล่อของซาตานที่ล่อลวงอยู่ตลอดเวลา ...
  • จะพิสูจน์ตำแหน่งอิมามและเคาะลีฟะฮ์ของท่านอิมามอลี(อ.)ได้อย่างไร?
    7138 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/07/20
    อิสลามเป็นสถาบันศาสนาที่จำเป็นต้องได้รับการขับเคลื่อนและดูแลรักษาโดยผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมทั้งนี้ก็เพื่อถ่ายทอดสารธรรมคำสอนของอิสลามแก่ชนรุ่นหลังตลอดจนบังคับใช้บทบัญญัติในสังคมมุสลิมอย่างรอบคอบจากการที่การชี้นำมนุษย์สู่หนทางที่เที่ยงตรงถือเป็นจุดประสงค์หลักที่อัลลอฮ์ทรงสร้างสากลจักรวาลวิทยปัญญาแห่งพระองค์ย่อมกำหนดว่าภายหลังการจากไปของท่านนบี(ซ.ล.) ควรจะต้องมีผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำต่อไปทั้งนี้ก็เพื่อธำรงค์ไว้ซึ่งศาสนาและทางนำสำหรับมนุษยชาติและไม่ทอดทิ้งมนุษย์ให้อยู่กับสติปัญญา(ซึ่งเสี่ยงต่อการถูกกิเลสครอบงำ)

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60879 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    58574 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42964 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    40701 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    39604 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    34722 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    28802 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    28678 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    28665 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    26553 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...