การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
6123
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2555/03/12
 
รหัสในเว็บไซต์ fa10572 รหัสสำเนา 22843
หมวดหมู่ รหัสยทฤษฎี
คำถามอย่างย่อ
ชีอะฮ์มีสำนักตะศ็อววุฟหรืออิรฟานเหมือนซุนหนี่หรือไม่? เป็นไปได้หรือไม่ที่จะจาริกอย่างชีอะฮ์ในสังคมปัจจุบัน และหากเป็นไปได้ เราควรเริ่มจากจุดใด? สามารถจะจาริกในหนทางนี้โดยปราศจากครูบาอาจารย์ได้หรือไม่? ฯลฯ
คำถาม
ดิฉันต้องการจะทราบเกี่ยวกับอิรฟานภาคปฏิบัติว่า กลุ่มชีอะฮ์มีสำนักตะศ็อววุฟหรืออิรฟานเหมือนซุนหนี่หรือไม่? (ดิฉันหมายถึงสำนักอย่างกอดิรียะฮ์, นักชบันดียะฮ์...) ดิฉันทราบเกี่ยวกับแก่นคำสอนของอิรฟานภาคปฏิบัติในระดับหนึ่ง อย่างเช่นคำสอนที่ว่ามนุษย์มีจิตใจที่จะต้องได้รับการขัดเกลาด้วยคำสอนของบรรดาศาสนทูต และหากตาใจของเราเปิด เราก็สามารถจะกล่าวเหมือนอิมามท่านแรกของชีอะฮ์ได้ว่า “ฉันบูชาพระเจ้าเพราะฉันประจักษ์ถึงพระองค์” หรืออย่างน้อยก็สามารถกล่าวว่า “โอ้อัลลอฮ์ ขอทรงทำให้ข้าฯประจักษ์ถึงพระองค์ด้วยตาใจ” การที่ตาใจเปิดก็เท่ากับได้ประจักษ์ “วะฮ์ดะฮ์”(เอกะ)อย่างแท้จริง ดังที่กล่าวกันว่า لیس فی الدار غیره دیار หากความมหัศจรรย์ดังกล่าวสามารถเกิดขึ้นในโลกได้ตามความคิดของชีอะฮ์ ก็แสดงว่าสามารถจะจาริกในหนทางดังกล่าวในประเทศอุซเบกิสถานได้ เราชาวอุซเบกิสถานจะมีโอกาสได้บรรลุถึงอิรฟานระดับต่างๆทั้งที่ยังใช้ชีวิตในสังคมปัจจุบัน (ซึ่งขาดแคลนคุณธรรมและคละคลุ้งด้วยความเสื่อมทรามในระดับที่หยั่งรากลึกในประสาทสัมผัสและเลือดเนื้อของเราแล้ว) หากเป็นไปได้ เราจะต้องเริ่มจากจุดใด? สามารถจะจาริกในหนทางนี้โดยปราศจากครูบาอาจารย์ได้หรือไม่? ฯลฯ
คำตอบโดยสังเขป

มีอาริฟ(นักจาริก)ในโลกชีอะฮ์มากมายที่ค้นหาสารธรรมโดยอิงคำสอนอันบริสุทธิ์ของบรรดาอิมาม หรืออาจกล่าวได้ว่าวิถีชีอะฮ์ก็คือการจำแลงอิรฟานและการรู้จักพระเจ้าในรูปคำสอนของอิมามนั่นเอง
ในยุคปัจจุบัน ไม่เพียงแต่สามารถจะขัดเกลาจิตใจและจาริกทางอิรฟานได้ หากแต่ต้องถือเป็นวาระจำเป็นเร่งด่วน เหตุเพราะการจะบรรลุถึงตักวาในยุคที่โลกเต็มไปด้วยเทคโนโลยีแห่งโลกิยะนั้น จะกระทำได้ต่อเมื่อเข้าถึงแก่นธรรมแห่งอิรฟานแล้วเท่านั้น ซึ่งจะสามารถพบแหล่งกำเนิดอิรฟานที่ถูกต้องและสูงส่งที่สุดได้ ณ แนวทางอิมามียะฮ์

คำตอบเชิงรายละเอียด

อิรฟานและชีอะฮ์
มีเหตุผลมากมายที่บ่งชี้ว่าอิรฟานที่แท้จริงมีความเชื่อมโยงกับสำนักคิดชีอะฮ์อย่างชัดเจน อาริฟหลายท่านเชื่อว่าโดยแก่นแท้แล้ว สองแนวคิดข้างต้นนี้ก็คือสิ่งเดียวกัน ท่านซัยยิดฮัยดัร ออโมลี ซึ่งเป็นอาริฟที่ยิ่งใหญ่ที่สุดท่านหนึ่งกล่าวไว้ว่า:
“ชีอะฮ์และอิรฟานมีต้นกำเนิดเดียวกัน และดำเนินสู่แก่นธรรมเดียวกัน เนื่องจากแหล่งอ้างอิงของศาสตร์ทุกแขนงของชีอะฮ์ก็คือท่านอิมามอลี(อ.)และวงศ์วานของท่าน ส่วนกรณีของอาริฟ(ตะศ็อววุฟที่แท้จริง)ก็เช่นกัน ทั้งนี้ก็เนื่องจากพวกเขาจะไม่อ้างอิงคำสอนจากผู้ใดนอกจากอิมามอลีและวงศ์วานของท่าน บางคนถือว่าแนวอิรฟานและสำนักอิรฟานต่างๆมีต้นกำเนิดมาจากกุเมล บิน ซิยาด นะเคาะอี ซึ่งเป็นสาวกพิเศษของอิมามอลี บางคนเชื่อว่าแนวทางนี้ได้มาจากฮะซัน บัศรี ซึ่งก็เป็นผู้ที่เลื่อมใสในตัวท่านเช่นกัน บางคนถือว่าได้มาจากอิมามญะฟัร ศอดิก(อ.) ซึ่งเป็นลูกหลานของท่านและมีหลักฐานยืนยันถึงความเป็นอิมาม ... ฉะนั้น บรรดาอิมามของชีอะฮ์จึงเป็นทั้งประมุขด้านชะรีอัต และเป็นผู้นำฝ่ายเฏาะรีกัต และยังเป็นแกนและเสาหลักของฮะกีกัต”[1]

ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันระหว่างชีอะฮ์และอิรฟานเป็นประเด็นที่กว้างเกินกว่าจะกล่าวถึงในบทความสั้นๆ ซึ่งสามารถวิเคราะห์ได้ทั้งในแง่ประวัติศาสตร์และเนื้อหา อย่างไรก็ดี  คำสอนของอิรฟานไม่ว่าจะภาคทฤษฎีหรือในแง่วัตถุวิสัยล้วนรณรงค์สู่การเป็น “มนุษย์ผู้สมบูรณ์”ในฐานะที่เป็นภาพลักษณ์ของพระเจ้าในหมู่ประชาชนทั้งสิ้น และแน่นอนว่าบรรดาอิมามก็คือบุคคลเหล่านี้ โดยในยุคแห่งการเร้นกายอันเป็นยุคสุดท้ายนั้น ท่านอิมามมะฮ์ดี (อิมามท่านที่สิบสอง) ก็คือกุฏบ์ (แกน) ของเหล่าอาริฟ โดยมีนบีคิเฎรและนบีอีซา ฯลฯ คอยเป็นเสนาบดีและผู้ช่วยของท่าน

ด้วยเหตุนี้จึงมีอาริฟ(นักจาริก)ในโลกชีอะฮ์มากมายที่ค้นหาสารธรรมโดยอิงคำสอนอันบริสุทธิ์ของบรรดาอิมาม หรืออาจกล่าวได้ว่าแก่นคำสอนของหลักอิมามะฮ์และวิลายะฮ์ที่ปรากฏในแนวทางชีอะฮ์ก็คือการจำแลงอิรฟานและการรู้จักพระเจ้าในรูปคำสอนของอิมามนั่นเอง หรือที่เรียกกันว่า “วิลายะฮ์ตั้กวีนี”และระดับขั้นทางใจ ในมุมมองของอิรฟานนั้น อิมามก็คือหัวใจและแกนของโลกทั้งผอง และเป็นภาพลักษณ์ของคุณลักษณะและพระนามของพระองค์ทั้งหมด

สำนักตะศ็อววุฟ
ประเด็นการสืบทอดหรือการเข้าร่วมสำนักอิรฟานนั้น มักได้รับอิทธิพลมาจากความสัมพันธ์ระหว่างครูอิรฟานและสานุศิษย์ ดังกรณีความสนิทสนมระหว่างชัมส์ ตับรีซี กับ เมาละวี อย่างไรก็ดี มิไช่ว่าศิษย์ทุกคนที่เรียนรู้จากครูบาจะสามารถบรรลุอิรฟานขั้นสูงเสมอไป มีบางคนที่สามารถเข้าถึงแก่นของอิรฟานได้ด้วยเบื้องลึกของตน (ซึ่งตามทัศนะชีอะฮ์แล้ว จะเกิดขึ้นโดยผ่านแก่นแห่งอิมามะฮ์เท่านั้น) ฉะนั้นจึงมีอาริฟหลายคนที่แม้ว่าจะได้รับอนุญาตจากเหล่าอาริฟท่านอื่นให้สามารถสอนแก่ลูกศิษย์ลูกหาได้ก็ตาม แต่ก็ไม่ได้ถือว่าตนเองสังกัดในสำนักใดสำหนักหนึ่งของอิรฟาน อาทิเช่น อิบนิ อะเราะบี ซึ่งถือว่านบีคิเฎรคือครูของตน

อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากที่อาริฟที่มีชื่อเสียงล่วงลับไป ก็มักจะมีการถ่ายทอด “เฏาะรีกัต”(แนววิธี)กันในหมู่ลูกศิษย์รุ่นต่อรุ่น ซึ่งอาจมีการสังคายนาหรือบิดเบือนไปตามกาลเวลา ทำให้บางครั้งไม่อาจจะถือว่าการสังกัดสำนักอิรฟานหรือการสืบเชื้อสายถึงอาริฟท่านใดท่านหนึ่งเป็นเครื่องบ่งชี้ว่าแนวทางนั้นคือสำนักอิรฟานที่ถูกต้องเสมอไป

เป็นที่ทราบกันว่าเหล่าอาริฟผู้สมบูรณ์มักใช้ชีวิตปะปนอยู่ในสังคมทั่วไปทุกยุคสมัย โดยอาจจะอยู่ในเครื่องแบบหรืออาชีพใดก็ได้เพื่อจะให้การช่วยเหลือผู้แสวงหาการจาริกอิรฟาน ทั้งนี้ก็เพราะอัลลอฮ์ทรงไม่ประสงค์ที่จะปิดกั้นโอกาส และหากพบว่ามีมุอ์มินที่ต้องการความช่วยเหลืออย่างบริสุทธิ์ใจในหนทางนี้ พระองค์ก็จะทรงบันดาลให้มีครูบาอาจารย์เข้ามาชี้แนะหนทางอย่างแน่นอน

ด้วยเหตุนี้จึงไม่สามารถจำกัดนัยยะของอิรฟานไว้แค่สำนักอิรฟานที่เกิดขึ้นในหน้าประวัติศาสตร์ เพราะบางครั้งก็ไม่สามารถจะพบอิรฟานได้ในสำนักต่างๆโดยเฉพาะในยุคปัจจุบัน และก็ไม่อาจจะเชื่อได้เสมอไปว่า ผู้ที่ได้รับเสื้อผ้าซูฟีหรือเข้าสังกัดสำนักต่างๆจะเป็นผู้ที่คงไว้ซึ่งอิรฟานที่แท้จริงแห่งอัลลอฮ์ อันเป็นแก่นแท้ของมัซฮับและชะรีอัตของเหล่าศาสนทูตของพระองค์ ดังวจนะของนักกวีนามฮาฟิซที่ว่า:

ค่าของซูฟีมิได้ดูกันเพียงแค่ความสมถะ
บ่อยครั้งอาภรณ์ที่ชุนปะนำพาสู่ไฟนรก

บรรดาอาริฟกำหนดว่า“อานุภาพความรักอัลลอฮ์ที่มีต่อกายและใจของอาริฟ”คือหลักเกณฑ์ที่จะจำแนกอาริฟที่แท้จริงออกจากพวกฉวยโอกาส อาริฟจะสามารถโอนถ่ายอานุภาพดังกล่าวแก่ลูกศิษย์ ซึ่งสามารถสัมผัสได้อย่างยาวนาน ตรงข้ามกับพวกที่แอบอ้างเป็นอาริฟซึ่งถนัดแต่จะใช้คารมรื่นหู เล่ห์เหลี่ยม มายากล และยกคำพูดของอาริฟที่มีชื่อเสียงมาเพื่อระดมคะแนนนิยมและต้มตุ๋นสาวกของตน อุบายเหล่านี้ก็คือสิ่งที่ทำให้ผู้คนในสังคมมีอคติต่อแนวอิรฟานโดยรวม

อิรฟานที่แท้จริงในยุคปัจจุบัน
ในยุคที่เต็มไปด้วยอบายมุขและเทคโนโลยีที่ฉาบด้วยกิเลสและตัณหาอย่างปัจจุบันนี้ อิรฟานสามารถที่จะมีบทบาทอันโดดเด่นในการช่วยเหลือมนุษยชาติ ไม่เพียงแต่จะเป็นไปได้ที่จะฟื้นฟูอิรฟาน หากแต่ต้องถือเป็นวาระจำเป็นเร่งด่วน เพราะการเข้าใจเปลือกนอกของศาสนาอย่างเดียวถือว่าไม่เพียงพอต่อการถักทอตักวาในเบื้องลึกของจิตใจ แต่จะเกิดขึ้นได้ด้วยสัมผัสทางจิตวิญญาณเท่านั้น

ในอีกมุมหนึ่ง การประจักษ์ว่าโลกสมัยใหม่ถึงทางตัน โดยที่การเริงโลกีย์ที่แพร่หลายในปัจจุบันไม่สามารถจะบำเรอความกระหายได้อีกต่อไป กระทั่งต้องหันไปพึ่งยาเสพติดและฆ่าตัวตายอย่างแพร่หลาย เหล่านี้ล้วนเป็นสัญญาณที่บ่งชี้ว่า มนุษยชาติกำลังก้าวสู่ยุคสุดท้ายในแง่อิรฟาน และมีความกระหายที่จะได้หวลคืนสู่คุณธรรมทางจิตวิญญาณอันเป็นคุณธรรมที่สามารถสัมผัสได้ ณ หัวใจ และรับรู้ได้ในโลกนี้โดยไม่ต้องรอถึงโลกหน้า คุณธรรมที่จะสนองให้มนุษยชาติอิ่มเอม และนำพาให้หลุดพ้นจากความไร้แก่นสารของโลกนี้

อิรฟานภาคปฏิบัติ
เบื้องต้นได้เรียนชี้แจงไปแล้วว่า อิรฟานมิไช่สิ่งที่แปลกแยกจากศาสนา แต่เป็นแก่นและเบื้องลึกของศาสนานั่นเอง ด้วยเหตุนี้เองที่วิธีปฏิบัติเบื้องต้นของอิรฟานก็มีเพียงชะรีอัตเท่านั้น ต่างกันตรงที่ชะรีอัตที่กระทำด้วยสำนึกแห่งอิรฟานย่อมจะมีความลึกซึ้งมากกว่าปกติ อันจะนำพานักจาริกไปสู่เป้าหมายที่สูงขึ้นเรื่อยๆ คำว่าชะรีอัตแปลว่าหนทาง ส่วนอิรฟานและการรู้จักพระองค์ถือเป็นเส้นชัยของหนทางนี้ ชะรีอัตอิสลามมิได้เป็นขนบประเพณีของศาสนาที่แพร่หลายในสังคมเพียงอย่างเดียว แต่เป็นคำสั่งที่จำเป็นต่อการปกปักษ์รักษาอัญมณีอันเลอค่าในตัวมนุษย์ เพื่อจะนำพาสู่การประจักษ์ถึงตนเองและพระเจ้า

หากปฏิบัติตามลำดับของชะรีอัตและตักวา(ซึ่งล้วนเป็นมารยาทของความเป็นมนุษย์)อย่างเคร่งครัดแล้ว เมื่อนั้นหัวใจก็จะมีศักยภาพพอที่จะได้รับอานิสงส์ทางจิตวิญญาณซึ่งเรียกกันว่า“เฏาะรีกัต” และเส้นชัยของหนทางนี้ก็มิไช่อื่นใดนอกจากได้ประจักษ์ถึง“ฮะกีกัต”

เบื้องต้นของการย่างก้าวสู่หนทางจาริกสู่อัลลอฮ์และการมุมานะในหนทางนี้ก็คือการเตาบะฮ์ อันหมายถึงการตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะละทิ้งบาปทั้งมวล เพื่อแผ้วถางหัวใจให้ได้รับการนำทางของพระองค์ การนำทางในที่นี้อาจเกิดขึ้นในรูปแบบที่แตกต่างกัน อาทิเช่น การได้มีโอกาสพบมนุษย์ผู้สูงส่งอันถือเป็นการนำทางพิเศษของพระองค์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อนักจาริกได้พัฒนาถึงขั้นที่สูงขึ้นนั้น ยิ่งจำเป็นต้องมีครูผู้เพียบพร้อม ฉะนั้น ผู้ที่มีโอกาสได้พบและสานสัมพันธ์กับบุคคลพิเศษเหล่านี้จึงถือว่าเป็นผู้ที่มีความผาสุกที่สุดแล้ว

หากนักจาริกมีความมุ่งมันพากเพียรในหนทางอิรฟานอย่างแท้จริง ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ใดในโลก อัลลอฮ์จะทรงประทานการนำทางพิเศษแก่เขาอย่างแน่นอน เมื่อศึกษาอัตชีวประวัติของนักจาริกที่ยิ่งใหญ่ก็จะพบว่าพวกเขาได้รับโอกาสที่จะพบอาริฟที่สูงส่งได้โดยที่ตนเองก็ไม่เคยคาดฝันมาก่อน ฉะนั้นจึงควรทราบว่า พลานุภาพของพระองค์ในการนำทางนั้น มิได้จำกัดไว้เพียงยุคใดยุคหนึ่ง ดังที่เหล่าอาริฟมีความกระหายที่จะนำทางลูกศิษย์มากกว่าที่ลูกศิษย์แสวงหาอาริฟเสียอีก ฉะนั้น หากมีความบริสุทธิ์ใจในการแสวงหา ย่อมจะมีปฏิกิริยาจากพระองค์อย่างแน่นอน สิ่งที่เราขาดแคลนในยุคปัจจุบันก็คือความมุ่งมั่นที่จะปลดแอกแห่งโลกิยะ หาไม่แล้ว การนำทางพิเศษของอัลลอฮ์มีพร้อมไว้ให้ปวงบ่าวของพระองค์ได้ตักตวงเสมอ

อนึ่ง โลกชีอะฮ์มีอาริฟที่ยิ่งใหญ่เสมอมา ในยุคร่วมสมัยก็มีอาริฟหลายท่านที่ให้การช่วยเหลือและอบรมนักจาริกมากมาย อาทิเช่น อายะตุลลอฮ์ มีรซอ อลี ออฆอ กอฎี, มุลลอ ฮุเซนกะลี ฮะมะดอนี, อายะตุลลอฮ์ อันศอรี ฮะมะดอนี และอีกหลายท่านที่เพียรพยายามอบรมลูกศิษย์มากมายทั้งในแง่วิชาการและอิรฟาน ปัจจุบันลูกศิษย์เหล่านี้ทั้งผู้ที่มีชื่อเสียงและผู้ไม่ประสงค์จะเป็นที่รู้จัก ต่างก็ช่วยกันผดุงไว้ซึ่งแวดวงอิรฟานสืบไป

ท้ายนี้ ขอแนะนำหนังสือ “มะกอล้าต”ประพันธ์โดยอายะตุลลอฮ์ มุฮัมมัด ชะญาอี แก่ผู้สนใจแวดวงจาริกทางอิรฟาน หนังสือดังกล่าวมีสามเล่ม[2] และนำเสนอขั้นตอนการจาริกไว้ดังนี้
1.“ยักเซาะฮ์”หรือแรงจูงใจจากอัลลอฮ์  2.เตาบะฮ์(การหวลสู่พระองค์)  3.ขัดเกลาจิตใจ(เตาบะฮ์ให้พ้นจากคุณลักษณะอันไม่พึงประสงค์)  4.ปรารถนาและมุ่งมั่น   5.การระมัดระวังขั้นแรก   6.การระมัดระวังขั้นที่สอง

อ่านเพิ่มเติมได้จากระเบียนต่อไปนี้
7709 (ลำดับในเว็บไซต์ 7855), 9043 (ลำดับในเว็บไซต์ 9018)

 

 


[1] ออโมลี,ซัยยิดฮัยดัร,ญามิอุ้ลอัสร้อร วะมันบะอุ้ลอันว้าร,หน้า 4,สำนักพิมพ์อิลมีฟัรฮังฆี,ปี 1368

[2] เล่ม1 พื้นฐานภาคทฤษฎีของการขัดเกลา
เล่ม2 การขัดเกลาภาคปฏิบัติ(1)
เล่ม3 การขัดเกลาภาคปฏิบัติ(2)
งานประพันธ์เล่มนี้จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์โซรู้ช.

 

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • จุดประสงค์ของโองการที่ 85-87 บทอัลฮิจญฺร์ คืออะไร?
    6958 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/05/17
    อัลลอฮฺ (ซบ.) กล่าวในโองการโดยบ่งชี้ให้เห็นถึง, ความจริงและการมีเป้าหมายในการชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินของพระองค์ ทรงแนะนำแก่ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ว่า จงแสดงความรักและความห่วงใยต่อบรรดาผู้ดื้อรั้น, พวกโง่เขลาทั้งหลาย, บรรดาพวกมีอคติ, พวกบิดพลิ้วที่ชอบวางแผนร้าย, พวกตั้งตนเป็นปรปักษ์ด้วยความรุนแรง, และพวกไม่รู้, จงอภัยแก่พวกเขา และจงแสดงความหวังดีต่อพวกเขา ในตอนท้ายของโองการ อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปลอบใจท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) และให้กำลังใจท่าน ว่าไม่ต้องเป็นกังวลหรือเป็นห่วงในเรื่องความรุนแรงจากฝ่ายศัตรู ผู้คนจำนวนมากกว่า สิ่งอำนวยความสะดวกที่ดีกว่า และทรัพย์สินจำนวนมากมายที่อยู่ในครอบครองของพวกเขา, เนื่องจากอัลลอฮฺ ทรงมอบความรัก ความเมตตา และเหตุผลในการเป็นศาสดาแก่ท่าน ซึ่งไม่มีสิ่งใดบนโลกนี้จะดีและเสมอภาคกับสิ่งนั้นโดยเด็ดขาด ...
  • ทัศนะของอัลกุรอาน เกี่ยวกับความประพฤติสงบสันติของชาวมุสลิม กับศาสนิกอื่นเป็นอย่างไร?
    14981 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/09/29
    »การอยู่ร่วมกันด้วยความสงบสันติของศาสนาต่างๆ« คือแก่นแห่งแนวคิดของอิสลาม อัลกุรอานมากมายหลายโองการ ได้เน้นย้ำเกี่ยวกับประเด็นนี้เอาไว้ในรูปแบบต่างๆ ทั้งกล่าวโดยตรงสมบูรณ์ หรือกล่าวเชิงเปรียบเปรย ทัศนะของอัลกุรอาน ถือว่าการทะเลาะวิวาท การสงคราม และความขัดแย้งกัน เนื่องจากแตกต่างทางความเชื่อ ซึ่งบางศาสนาได้กระปฏิบัติเช่นนั้น เช่น สงครามไม้กางเกงของชาวคริสต์ เป็นสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ อิสลามห้ามการเป็นศัตรู และมีอคติกับผู้ปฏิบัติตามศาสนาอื่น และถือว่าวิธีการดูถูกเหยียดหยามต่างๆ ที่มีต่อศาสนาอื่น มิใช่วิธีการของศาสนา อัลกุรอาน ได้แนะนำและสนับสนุนการอยู่ร่วมกันอย่างสันติวิธี ด้วยแนวทางต่างๆ มากมาย แต่ ณ ที่นี้จะขอกล่าวถึงประเด็นสำคัญที่สุด อาทิเช่น : 1.ความเสรีทางความเชื่อและความคิด 2.ใส่ใจต่อหลักศรัทธาร่วม 3.ปฏิเสธเรื่องความนิยมในเชื้อชาติ 4.แลกเปลี่ยนความคิดด้วยสันติวิธี
  • ผมทำงานอยู่ในร้านค้าแห่งหนึ่ง วันหนึ่งเจ้าของร้านตัดสินใจไล่ผมออกจากงาน แต่ไม่ได้จ่ายค่าจ้างที่เหลือให้ผม อนุญาตหรือไม่ที่จะหยิบฉวยของในร้านหรือทรัพย์สินของเขาทดแทนค่าจ้างที่เขายังไม่ได้จ่ายให้ผม ?
    6154 สิทธิและกฎหมาย 2555/02/09
    คำถามของคุณได้ถูกส่งไปยังสำนักงานมัรญะอ์ตักลีดหลายท่านแล้วและได้คำตอบมาดังนี้ท่านอายาตุลลอฮ์อัลอุซมาคอเมเนอี“การกระทำในลักษณะตอบโต้ลูกหนี้จะเป็นที่อนุมัติก็ต่อเมื่อลูกหนี้อ้างโดยมิชอบว่าตนไม่ได้เป็นหนี้หรือขัดขืนไม่ยอมจ่ายหนี้โดยไม่มีทางอื่นที่จะทวงหนี้ได้นอกจากวิธีนี้แต่หากนอกเหนือจากนี้แล้วการที่จะยึดและใช้ประโยชน์ในทรัพย์สินของเขาโดยไม่ได้รับอนุญาตถือว่าไม่เป็นที่อนุมัติ”ท่านอายาตุลลอฮ์อัลอุซมาซีซตานี“หากเขาเป็นหนี้เราและไม่ยอมจ่ายหนี้ในกรณีที่เขายอมรับว่าเขาเป็นหนี้เราสามารถชดเชยสิ่งนี้ด้วยการริบทรัพย์สินของเขาที่พบเห็น”ท่านอายาตุลลอฮ์อัลอุซมามะการิมชีรอซี“เราไม่ทราบถึงเรื่องส่วนตัวดังกล่าวแต่โดยทั่วไปแล้วหากผู้ใดลิดรอนสิทธิผู้อื่น
  • คำพูดทั้งหมดของพระศาสดา (ซ็อล ฯ) ถือว่าเป็นวะฮฺยูหรือไม่?
    7792 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/21
    มุมมองของผู้เชี่ยวชาญ,ในประเด็นที่กำลังกล่าวถึงแตกต่างกันบางคนได้พิจารณาการตีความของโองการที่ 3,4 ของอัลกุรอานบทนัจมฺ[i]ซึ่งเชื่อว่าคำพูดทั้งหมดของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ตลอดจนการกระทำต่างๆของท่านมาจากวะฮฺยูทั้งสิ้นบางคนเชื่อว่าโองการที่ 4 ของบทอันนัจมฺนั้นกล่าวถึงอัลกุรอานกะรีมและบรรดาโองการต่างๆที่ประทานให้แก่ท่านศาสดา,แม้ว่าซุนนะฮฺ (แบบฉบับ) ของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) จะเป็นข้อพิสูจน์และเป็นเหตุผลก็ตามซึ่งคำพูดการกระทำและการนิ่งเฉยของท่านมิได้เกิดจากอารมณ์อย่างแน่นอนสิ่งที่เข้าใจได้จากสิ่งที่กล่าวถึงในตรงนี้คือสามารถกล่าวได้อย่างมั่นใจว่าทั้งความประพฤติและแบบอย่างของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) มิได้กระทำลงไปโดยปราศจากวะฮียฺอย่างแน่นอนดังเช่นคำพูดของท่านก็เป็นเช่นนี้ด้วยแม้ว่าจะเป็นคำพูดประจำวันคำพูดสามัญทั่วไปตลอดการดำรงชีวิตของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ก็ตามสิ่งนั้นก็จะไม่เกิดจากอารมณ์อย่างเด็ดขาดซึ่งตามความเป็นจริงแล้วเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้แน่นอนว่าท่านศาสดา (ซ็อลฯ) จะล่วงละเมิดกระทำความผิด[i]
  • ในทัศนะของรายงานและโองการต่างๆ มีการกระทำใดบ้าง ที่ทำลายการงานที่ดี อันเป็นที่ยอมรับ?
    6375 จริยธรรมปฏิบัติ 2555/01/23
    ทั้งอัลกุรอานและรายงานกล่าวว่า, การมีศรัทธาต่ออัลลอฮฺและการห่างไกลจากการตั้งภาคีและการตกศาสนาคือเงื่อนไขแรกในการตอบรับการกระทำดังนั้นถ้าปราศจากสิ่งนี้จะไม่มีการงานที่ดีอันใดถูกยอมรับณ
  • ได้ยินว่าระหว่างสงครามอิรักกับอิหร่านนั้น ร่างของบางคนที่ได้ชะฮีดแล้ว, แต่ไม่เน่าเปื่อยสลาย, รายงานเหล่านี้เชื่อถือได้หรือยอมรับได้หรือไม่?
    8609 เทววิทยาดั้งเดิม 2555/05/17
    โดยปกติโครงสร้างของร่างกายมนุษย์, จะเป็นไปในลักษณะที่ว่า เมื่อจิตวิญญาณได้ถูกปลิดไปจากร่างกายแล้ว, ร่างกายของมนุษย์จะเผ่าเปื่อยและค่อยๆ สลายไป, ซึ่งมีโอกาสเป็นไปได้น้อยมาก ที่ร่างกายของบางคนหลังจากเสียชีวิตไปแล้วนานหลายปี จะไม่เน่าเปื่อยผุสลายและอยู่ในสภาพปกติ. แต่อีกด้านหนึ่ง อัลลอฮฺ ทรงพลานุภาพเหนือทุกสิ่งทุกอย่างและทุกการงาน[1] ซึ่งอย่าเพิ่งคิดว่าสิ่งนี้จะไม่มีความเป็นไปได้ หรือห่างไกลจากภูมิปัญญาแต่อย่างใด. เพราะว่านี่คือกฎเกณฑ์ทั่วไป ซึ่งได้รับการละเว้นไว้ในบางกรณี, เช่น กรณีที่ร่างของผู้ตายอาจจะไม่เน่าเปื่อย โดยอนุญาตของอัลลอฮฺ ดังเช่น มามมีย์ เป็นต้น จะเห็นว่าร่างกายของเขาไม่เน่าเปื่อย ซึ่งเรื่องนี้ได้ผ่านพ้นไปนานหลายพันปีแล้ว และประสบการณ์ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นความจริงดังกล่าวแล้วด้วย ดังนั้น ถ้าหากพระประสงค์ของอัลลอฮฺ ครอบคลุมเหนือประเด็นดังกล่าวนี้ ก็เป็นไปได้ที่ว่าบางคนอาจเสียชีวิตไปแล้วหลายร้อยปี แต่ร่างกายของเขาไม่เน่าเปื่อยผุสลาย ยังคงสมบูรณ์เหมือนเดิม แล้วพระองค์ทรงเป่าดวงวิญญาณให้เขาอีกครั้ง ซึ่งเขาผู้นั้นได้กลับมีชีวิตขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง, อัลกุรอานบางโองการ ก็ได้เน้นย้ำถึงเรื่องราวของศาสดาบางท่านเอาไว้[2] เช่นนี้เองสิ่งที่กล่าวไว้ในรายงานว่า ถ้าหากบุคคลใดที่มีนิสัยชอบทำฆุซลฺ ญุมุอะฮฺ, ร่างกายของเขาในหลุมฝังศพจะไม่เน่นเปื่อย
  • เด็กผู้ชายที่มีอายุ 12 ปีสามารถเข้าร่วมในการนมาซญะมาอัตแถวเดียวกับผู้ชายคนอื่นๆได้หรือไม่?
    6388 สิทธิและกฎหมาย 2555/03/08
    การที่ลูกหลานและเยาวชนเข้าร่วมกิจกรรมมัสยิดและร่วมนมาซญะมาอัตจะทำให้พวกเขาผูกพันกับการนมาซ ซึ่งไม่เพียงแต่ไม่เป็นที่ต้องห้าม ทว่าถือเป็นมุสตะฮับอย่างยิ่ง[1] แต่ประเด็นที่ว่า การที่เด็กที่ยังไม่สามารถแยกแยะถูกผิดได้และยังไม่บรรลุนิติภาวะจะเข้าร่วมในนมาซญะมาอัต และจะทำให้การนมาซของผู้อื่นมีปัญหาหรือไม่นั้น มีสองประเด็นดังต่อไปนี้ ผู้นมาซคนอื่นๆสามารถที่จะเชื่อมต่อกับอิมามญะมาอัตได้โดยวิธีอื่น ในกรณีนี้การนมาซญะมาอัตของผู้อื่นถือว่าไม่มีปัญหาแต่อย่างใด[2] การที่ผู้อื่นจะต้องเชื่อมต่อกับอิมามญะมาอัตโดยผ่านผู้ที่ยังไม่บรรลุนิตะภาวะเท่านั้น (เช่นมีเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะยื่นอยู่ที่แถวหน้าหลายคน ในกรณีนี้คำวินิจฉัยของอุลามามีดังนี้ “หากในระหว่างแถวที่มีการนมาซญะมาอัตมีเด็กที่สามารถแยกแยะถูกผิดได้ยืนอยู่ หากเรามิได้แน่ใจว่านมาซของเขาไม่ถูกต้อง ก็สามารถยืนแถวต่อจากเขาได้”[3] อนึ่ง กฏดังกล่าวมีไว้สำหรับกรณีที่มีเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะยืนอยู่หลายๆคนในแถวเดียวกัน แต่ถ้าหากเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะยืนอยู่ในแถวนมาซญะมาอัตหลายคน ทว่าไม่ได้ยืนอยู่ติดๆกัน โดยยืนในลักษณะกั้นกลางผู้ที่บรรลุนิติภาวะแล้วสองคน (ถึงแม้ว่าเราจะรู้ว่านมาซของพวกเขาไม่ถูกต้องก็ตาม) ก็ไม่ทำให้นมาซของผู้อื่นมีปัญหาแต่อย่างใด อ่านเพิ่มเติมได้ที่ “การจัดแถวในการนมาซญะมาอัตและฮุกุมของการเคลื่อนไหวในการนมาซ”, ...
  • ท่านอิมามฮุเซนเคยจำแนกระหว่างอรับและชนชาติอื่น หรือเคยกล่าวตำหนิชนชาติอื่นหรือไม่?
    6008 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2554/10/11
    ฮะดีษที่อ้างอิงมานั้นเป็นฮะดีษจากอิมามศอดิก(อ.)มิไช่อิมามฮุเซน(อ.) ฮะดีษกล่าวว่า "เราสืบเชื้อสายกุเรชและเหล่าชีอะฮ์ของเราล้วนเป็นอรับแท้ส่วนผองศัตรูของเราล้วนเป็น"อะญัม"(ชนชาติอื่น) ไม่ว่าจะพิจารณาในแง่สายรายงานหรือเนื้อหาจะพบว่าฮะดีษนี้ปราศจากความน่าเชื่อถือใดๆทั้งสิ้นทั้งนี้เพราะสายรายงานของฮะดีษนี้มีนักรายงานฮะดีษที่ไม่น่าเชื่อถือ(เฎาะอี้ฟ)ปรากฏอยู่ส่วนเนื้อหาทั่วไปของฮะดีษนี้นอกจากขัดต่อสติปัญญาแล้วยังขัดต่อโองการกุรอานฮะดีษมากมายที่ถือว่าอีหม่านและตักวาเท่านั้นที่เป็นมาตรวัดคุณค่ามนุษย์หาไช่ชาติพันธุ์ไม่ทั้งนี้ท่านนบีได้ให้หลักเกณฑ์ไว้ว่า "หากฮะดีษที่รายงานจากเราขัดต่อประกาศิตของกุรอานก็จงขว้างใส่กำแพงเสีย(ไม่ต้องสนใจ)"อย่างไรก็ดีเราปฏิเสธที่จะรับฮะดีษดังกล่าวในกรณีที่ตีความตามความหมายทั่วไปเท่านั้นแต่น่าสังเกตุว่าคำว่า"อรับ"และ"อะญัม"หาได้หมายถึงชาติพันธุ์เท่านั้นแต่ในทางภาษาศาสตร์แล้วสองคำนี้สามารถสื่อถึงคุณลักษณะบางอย่างได้สองคำนี้สามารถใช้กับสมาชิกเผ่าพันธุ์เดียวกันก็ได้อาทิเช่นคำว่าอรับสามารถตีความได้ว่าหมายถึงการ"มีชาติตระกูล" และอะญัมอาจหมายถึง"คนไร้ชาติตระกูล" ในกรณีนี้สมมติว่าฮะดีษผ่านการตรวจสอบสายรายงานมาได้ก็ถือว่าไม่มีปัญหาในแง่เนื้อหาทั้งนี้ก็เพราะเรามีฮะดีษมากมายที่ยกย่องชาติพันธุ์ที่ไม่ไช่อรับเนื่องจากมีอีหม่านอะมั้ลที่ดีงามและความอดทน ...
  • สถานะและบุคลิกภาพของซุรอเราะฮฺ ณ บรรดาอิมามเป็นอย่างไร?
    6772 تاريخ بزرگان 2555/05/17
    ซุรอเราะฮฺ เป็นหนึ่งในสหายของอิมามมะอฺซูม (อ.) ที่มีฐานะภาพและเกียรติยศอันยิ่งใหญ่ ณ อิมาม เขาถูกจัดว่าเป็นสหายอิจญฺมาอฺ หมายถึงความหน้าเชื่อถือ ความซื่อตรง และการพูดความจริงของเขา เป็นที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รับรู้กันดีในหมู่สหายของอิมาม (อ.) แม้ว่าจะมีรายงานกล่าววิจารณ์เขาอยู่บ้างก็ตาม, แต่เมื่อนำเอารายงานเหล่านั้นมารวมกันแล้ว สามารถสรุปให้เห็นถึงความถูกต้องของเขามากกว่า และจัดว่าเขาเป็นหนึ่งในสหายที่ยิ่งใหญ่ และมีเกียรติคนหนึ่งของอิมาม (อ.) ...
  • อิสลามมีกฏเกณฑ์อย่างไรเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างหนุ่มสาว?
    22304 สิทธิและกฎหมาย 2554/08/09
    อิสลามถือว่าอัลลอฮ์ทรงสร้างชายและหญิงให้มีบทบาทเกื้อกูลกันและกันหนึ่งในปัจจัยที่ทั้งสองเพศต้องพึ่งพากันและกันก็คือความต้องการทางเพศทว่าการบำบัดความต้องการดังกล่าวจะต้องอยู่ในเขตคำสอนของอิสลามเท่านั้นจึงจะสามารถรักษาศีลธรรมจรรยาของทั้งสองฝ่ายได้อิสลามถือว่าความสัมพันธ์ระหว่างหนุ่มสาวก่อนแต่งงานไม่ว่าโดยตรงหรือผ่านสื่อหากเป็นไปด้วยความไคร่หรือเกรงว่าจะเกิดความไคร่ถือว่าไม่อนุมัติแต่สำหรับความสัมพันธ์ในการทำงานวิชาการและการศึกษาถือเป็นที่อนุมัติเฉพาะในกรณีที่ไม่โน้มนำไปสู่ความเสื่อมเสีย ...

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60332 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    57880 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42434 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    39697 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    39097 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    34183 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    28221 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    28161 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    28088 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    26039 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...