การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
11250
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2550/12/13
 
รหัสในเว็บไซต์ fa1912 รหัสสำเนา 27001
คำถามอย่างย่อ
เพราะอะไรปัญหาเรื่องการตกมุรตัด ระหว่างหญิงกับชายจึงมีกฎแตกต่างกัน?
คำถาม
เพราะเหตุใดเมื่อหญิงคนหนึ่งตกมุรตัด จึงไม่ถูกประหารชีวิต, แต่ถ้าชายคนหนึ่งตกมุรตัด เขาจึงถูกตัดสินประหารชีวิต?
คำตอบโดยสังเขป

อิสลามต้องการให้ผู้เข้ารับอิสลาม ได้ศึกษาข้อมูลและหาเหตุผลให้เพียงพอเสียก่อน แล้วจึงรับอิสลามศาสนาแห่งพระเจ้า ได้รับการชี้นำจากพระองค์ต่อไป แต่หลังจากยอมรับอิสลามแล้ว และได้ปล่อยอิสลามให้หลุดลอยมือไป จะเรียกคนนั้นว่าผู้ปฏิเสธศรัทธา และจะได้รับการลงโทษอย่างรุนแรง เนื่องจากสิ่งที่เขาทำจะกลายเป็นเครื่องมือมาต่อต้านอิสลามในภายหลัง และจะส่งผลกระทบในทางลบกับบรรดามุสลิมคนอื่นด้วย

แต่เมื่อพิจารณาความพิเศษต่างๆ ของสตรีและบุรุษแล้ว จะพบว่าทั้งสองเพศมีความพิเศษด้านจิตวิญญาณ จิตวิทยา และร่างกายต่างกัน ซึ่งแต่คนจะมีความพิเศษอันเฉพาะแตกต่างกันออกไป เช่น สตรีถ้าพิจารณาในแง่ของจิต จะเห็นว่าเป็นผู้ที่มีจิตใจเปี่ยมไปด้วยความรักและความสงสาร มีความรู้สึกอ่อนไหวเมื่อเทียบกับบุรุษ ดังนั้น กฎที่ได้วางไว้สำหรับบุรุษและสตรี จึงไม่อาจเท่าเทียมกันได้

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องกฎ ซึ่งพระผู้เป็นเจ้าได้จัดตั้งกฎขึ้นโดยพิจารณาที่ เงื่อนไขต่างๆ และความพิเศษของพวกเขา พระองค์ทรงรอบรู้ถึงคุณลักษณะของปวงบ่าวทั้งหมด โดยสมบูรณ์ และทรงออกคำสั่งห้ามและคำสั่งใช้ บนพื้นฐานเหล่านั้น

มนุษย์นั้นมีความรู้เพียงน้อยนิด จึงไม่อาจเข้าใจถึงปรัชญาของความแตกต่าง ระหว่างบทบัญญัติทั้งสองได้โดยสมบูรณ์ เว้นเสียแต่ว่าความแตกต่างเหล่านั้น ได้ถูกอธิบายไว้ในโองการหรือในรายงานฮะดีซ ด้วยเหตุนี้ ระหว่างหญิงกับชายถ้าจะวางกฎเกณฑ์ โดยมิได้พิจารณาถึงความพิเศษต่างๆ ของพวกเขาถือว่าไม่ถูกต้อง และสิ่งนี้ก็คือสิ่งที่มนุษย์ได้ปฏิเสธมาโดยตลอด

คำตอบเชิงรายละเอียด

คำว่า เอรติดาด มาจากคำว่า “ร็อด” ตามหลักภาษาแล้วหมายถึง การกลับ ส่วนในนิยามของศาสนาคือการกลับไปสู่สภาพผู้ปฏิเสธศรัทธา จึงได้เรียกว่า เอรติดาด หรือ ร็อด[1] นักค้นคว้าบางคนเชื่อว่า เอรติดาด แม้ว่าจะหมายถึง การกลับ แต่ในความหมายของนักปราชญ์ คำนี้จะมีเงื่อนของการปฏิเสธแฝงอยู่ด้วย

ญาฮิด หมายถึงบุคคลที่ปฏิเสธความจริง ทั้งๆ ที่มีความรู้เกี่ยวกับความจริงนั้น หรืออย่างน้อยที่สุดมีความเคลือบแคลงใจต่อส่งนั้น ทั้งที่มีเหตุผลครบครันแต่ก็ยังปฏิเสธ[2]

ด้วยเหตุนี้เอง อิสลามจึงไม่ต้องการการปฏิบัติตามเยี่ยงคนตาบอด ไร้เหตุผล ทว่าเชื่อมั่นว่าการยืนหยัดด้วยเหตุผล และตรรกะจะช่วยทำให้บุคคลนั้น ห่างไกลจากความเคลือบแคลง หรือความสลับซับซ้อน และเมื่อเผชิญกับสิ่งเหล่านั้น เขาก็สามารถยืนหยัดบนเหตุผลของศาสนาได้[3]

อัลกุรอาน กล่าวถึงประเด็นนี้ว่า : »หากว่ามีมุชริกคนใดได้ขอให้เจ้าคุ้มครอง เจ้าจงคุ้มครองเขาเถิด เพื่อว่าเขาจะได้รับฟังดำรัสของอัลลอฮฺ แล้วจงส่งเขาไปยังที่ปลอดภัย .. «[4]

ได้มีชายคนหนึ่งนามว่า “ซ็อฟวาน” ไปหาท่านเราะซูล (ซ็อลฯ) และเขาต้องการให้ท่านเราะซูลอนุญาตให้เขาอยู่ในมักกะฮฺ เป็นเวลา 2 เดือน เพื่อค้นคว้าเกี่ยวกับอิสลาม เพื่อว่าบางที่เขาอาจได้รับความจริง และความถูกต้องเกี่ยวกับอิสลาม แล้วจะได้ศรัทธา, ท่านเราะซูล (ซ็อลฯ) กล่าวว่า ฉันจะอนุญาตให้เจ้า 4 เดือน แทน 2 เดือน แล้วจะให้ความปลอดภัยแก่เจ้าด้วย[5]

อีกด้านหนึ่ง บทบัญญัติของอิสลาม ได้ถูกวางขึ้นโดยพิจารณาจากความถูกต้องเหมาะสม และความเสียหายที่แท้จริง แน่นอนว่าบทบัญญัติของ การตกมุรตัด ก็จัดอยู่ในประเภทนี้

อัลกุรอาน บางโองการ เช่น โองการที่ 217, บทบะเกาะเราะฮฺ, โองการที่ 72, บทอาลิอิมรอน, บ่งบอกให้เห็นว่า การตกมุรตัด เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับ การฟิตนะฮฺ (ความเลวร้าย) ทางความผิด เพื่อก่อให้เกิดความสั่นคลอนในด้านความเชื่อเรื่องศาสนาสำหรับมุสลิม ซึ่งได้ถูกโฆษณาชวนเชื่อโดยศัตรูทั้งจากภายในและภายนอก[6]

โองการที่ 72 บทอาลิอิมรอน กล่าวว่า “กลุ่มหนึ่งจากชาวคัมภีร์กล่าวว่า (แก่ผู้ปฏิบัติตามตนว่า) ท่านทั้งหลายจงศรัทธาต่อสิ่งที่ถูกประทานลงมาแก่บรรดาผู้ศรัทธา ในตอนเริ่มแรก และจงปฏิเสธในตอนสุท้าย (กลับใจออกจากอิสลาม) เพื่อว่าพวกเขาจะได้กลับใจ (ไปสู่ศาสนาเดิม)[7]

ตามความเป็นจริงแล้ว การตกมุรตัด ในความหมายของตัวมันคือ สื่อในการปฏิเสธศาสนา และการโฆษณาชวนเชื่อ ที่เกิดจากความดื้อรั้น และความอคติ ซึ่งไม่ได้เกิดบนเหตุผลหรือการพิสูจน์แต่อย่างใด สิ่งนี้ได้ออกมาจากความสงสัย และความคลุมเครือต่างๆ ที่ผิดพลาด ด้วยเหตุนี้เอง สามารถกล่าวได้ว่าปรัชญาของการตกมุรตัด ประกอบด้วย การโฆษณาให้ร้ายต่อศาสนา ซึ่งสุดท้ายแล้วเป็นการขู่ท้าทายกฎเกณฑ์ และมารยาททางสังคมอิสลาม[8]

อิสลามได้เตรียมโปรแกรมไว้สำหรับการเกิดเหตุการณ์ไม่ดีดังกล่าว บางทีอาจเป็นไปได้จากการเปลี่ยนศาสนานั้น เป็นสาตุทำให้สังคมอิสลามต้องติดกับดัก จึงได้มีคำสั่งอย่างรีบด่วนว่า ถ้าหากชายมุสลิมคนหนึ่งถือกำเนิดขึ้นมา โดยที่บิดามารดาเป็นมุสลิม ต่อมาเขาได้ตก “มุรตัด” ซึ่งเรียกการตกมุรตัดลักษณะนี้ว่า การตกมุรตัดฟิฎรียฺ (ตกศาสนาโดยกำเนิด) ซึ่งโทษทัณฑ์คือ การประหารชีวิต, แต่ถ้าถือกำเนิดขึ้นมาโดยที่บิดามารดามิได้เป็นมุสลิม ต่อมาได้เข้ารับอิสลาม หลังจากนั้นได้กลับไปเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาอีก เรียกการตกมุรตัดลักษณะนี้ว่า การตกมุรตัดมิลลี (มิได้เป็นโดยกำเนิด) ตรงนี้จะปล่อยเวลาให้เขาได้มีโอกาสกลับโตกลับใจ (เตาบะฮฺ) แต่ถ้าเขาไม่ยอมรับ ก็จะถูกตัดสินประหารชีวิตเช่นกัน[9]

แต่ถ้าสตรีตกมุรตัด อิสลามได้กำหนดบทลงโทษแก่พวกนางในสถานเบากว่า[10] นั่นหมายความว่า ถ้าสตรีตกมุรตัด ไม่ว่าจะเป็นฟิฏรียฺหรือมิลลี จะไม่ถูกประหารชีวิต ทว่าจะให้นางกลับตัวกลับใจแทน (เตาบะฮฺ ถ้าหากได้วิงวอนขออภัยโทษ จะปล่อยให้นางเป็นอิสระ มิเช่นนั้นแล้วนางจะถูกลงโทษจำคุกตลอดชีวิต และเมื่อถึงเวลานะมาซนางจะถูกเฆี่ยนตี และจะให้ดำเนินชีวิตอย่างยากลำบาก[11]

ต้องพิจารณาว่า ในทัศนะอิสลามมนุษย์ทั้งหมด (บุรุษและสตรี) ถูกสร้างขึ้นมาเหมือนกัน : «خلقکم من نفس واحدة»[12] ข้าได้สร้างพวกเจ้าขึ้นมาจากอินทรียฺเดียวกัน ดังนั้น จึงไม่มีใครดีกว่าใคร แต่อิสลามได้ตั้งเกณฑ์วัดมาตรฐานความดีกว่ากันเอาไว้นั้นคือ ตักวาความสำรวมตนต่อพระเจ้า อัลกุรอานกล่าวว่า : «ان اکرمکم عندالله اتقاکم» ผู้ที่ประเสริฐกว่าในหมู่พวกเจ้าคือผู้มีตักวา[13]

แต่อย่างไรก็ตามทั้งบุรุษและสตรี แต่ละคนจะมีคุณลักษณะที่ต่างกันออกไป ทั้งสองจะมีความพิเศษด้านจิตวิญญาณ จิตวิทยา สรีระอันเฉพาะ ซึ่งจะทำให้เขาบางคนดีกว่าบางคน เช่น เราทุกตนต่างทราบกันดีว่า สตรี ในแง่ของจิตใจและทางจิตวิทยาแล้ว จะเห็นว่าเป็นผู้ที่มีจิตใจเปี่ยมไปด้วยความรักและความสงสาร มีความรู้สึกอ่อนไหวเมื่อเทียบกับบุรุษ บางทีอาจกล่าวได้ว่า ในรายงานของท่านอิมามอะลี (อ.) ที่ว่า "المرأة ریحانة و لیست بقهرمانة" สตรีคือดอกไม้ ไม่ใช่วีรบุรุษ”[14] คำพูดได้กล่าวนี้ได้โอบอุ้มความจริงที่กำลังกล่าวถึง

ประเด็นดังกล่าวนี้ เป็นความจริงซึ่งบรรดานักค้นคว้าวิจัยทั้งหลาย ต่างได้ยืนยันถึงความจริงดังกล่าว

หนึ่ง นักจิตวิทยาที่มีชื่อเสียงชาวอเมริกากล่าวว่า : “โลกของบุรุษและโลกของสตรีมีความแตกต่างกันโดยแท้ ...นอกจากนั้นแล้วความรู้สึกของทั้งสอง จะไม่มีวันเหมือนกันเด็ดขาด”

“คลีโอ เดลสัน” กล่าวว่า : ในฐานะของสตรีที่เป็นนักจิตวิทยาคนหนึ่ง สิ่งที่เป็นความหวังสูงสุดที่อยากจะทำคือ การศึกษาชีวิตจิตใจของบุรุษ ..ซึ่งฉันได้บทสรุปว่า สุภาพสตรีทั้งหลาย (ส่วนใหญ่) จะทำตามความรู้สึก ส่วนสุภาพบุรุษนั้นจะทำตาม การตัดสินใจของปัญญา ซึ่งเราได้เห็นอยู่อย่างดาษดื่นว่า สุภาพสตรีส่วนใหญ่ในแง่ของ สติปัญญาและความฉลาดแล้ว มิใช่ว่าจะไม่เท่าเทียมกับบุรุษเพียงอย่างเดียว ทว่าพวกเธอยังด้อยกว่าด้วยซ้ำ ภารกิจต่างๆ ที่ต้องอาศัยการคบคิดอยู่ตลอดเวลา จะทำให้สตรีรู้สึกเหนื่อยหน่ายและเกียจคร้านขึ้นทันที

“อ๊อตโตไคล” สุภาพสตรีทั้งหลาย โดยทั่วไปแล้วจะมีความรู้สึกอ่อนไหวมากกว่าสุภาพบุรุษ

“มุฮัมมัด กุฎบฺ” ถ้าหากสตรีต้องการเป็นมารดา ต้องมีความรู้สึกอ่อนไหวมากกว่านี้”[15]

ด้วยเหตุนี้เอง (บทบัญญัติ) ถ้าได้กำหนดขึ้นโดยไม่ได้พิจารณาถึงโครงสร้างของความแตกต่าง ก็จะได้เพียงกฎหมายที่ใช้ปกครองสังคมเพียงอย่างเดียว แต่จะไม่สามารถเติมเต็มความถูกต้องที่สังคมควรจะเป็นได้ จากจุดนี้เองบางที่หน้าที่และบทบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับบุรุษ และสตรี เช่น กฎการตกมุรตัด จึงต้องแตกต่างกัน

ด้วยเหตุนี้ สามารถกล่าวได้ว่า “สตรีทั้งหลายในแง่ของการป้องกัน และการคิดนั้นจะแตกต่างกับบุรุษ และสตรีจะได้รับผลกระทบเร็วกว่า ดังเช่นเรื่อง การตกมุรตัด อิสลามจึงได้วางกฎเกณฑ์เบาและง่ายกว่าสำหรับสตรี [16]

ความรู้ของมนุษย์เป็นเพียงสิ่งน้อยนิด ดังคำกล่าวของ วิลเลี่ยม เจมส์ ที่ว่า ความรู้ของมนุษย์เมื่อเทียบกับสิ่งที่เขาไม่รู้ ประหนึ่งหยดน้ำเล็กๆ เมื่อเทียบกับมหาสมุทร[17] ไอน์สไต ตีความว่า ตราบจนถึงปัจจุบันนี้สิ่งที่มนุษย์ได้อ่านจากหน้าธรรมชาตินั้น เพิ่งจะรู้จักภาษาเท่านั้นเอง[18]

ดังนั้น สติปัญญาของมนุษย์ไม่สามารถเข้าใจได้อย่างสมบูรณ์ถึงเกณฑ์ (ดีและชั่ว) และไม่เข้าใจบทบัญญัติว่าทำไมต้องเป็นเช่นนั้น สิ่งที่อยู่ในฐานะของปรัชญาของบทบัญญัติบางอย่างเช่น (บทบัญญัตมุรตัด) ดังอธิบายไปแล้วนั้น ถ้าหากไม่พึงโองการ หรือคำอธิบายของอิมามมะอฺซูม (อ.) แล้ว เราจะไม่มีวันเข้าใจถึง วิทยปัญญา ของบัญญัติข้อนั้นเด็ดขาด ซึ่งจะเข้าใจได้ก็แค่เพียง ระดับของการคาดเดาเอาเท่านั้นเอง ท่านอิมามอะลี ซัยนุลอาบิดีน (อ.) กล่าวถึงประเด็นนี้ว่า “

«انّ دین الله لا یصاب بالعقول الناقصة» ศาสนาของพรเจ้านั้น ไม่อาจเข้าใจได้ด้วยสติปัญญาที่บกพร่อง”[19] ดังคำกล่าวของ

ศึกษาเพิ่มเติมได้จาก

1.คำถามที่ 17843 (ไซต์ : th17492) หัวข้อ สตรีในอิสลาม

2.คำถามที่ 267 (ไซต์ : 1881) หัวข้อ อัลกุรอานและการยืนหยัดของบุรุษและสตรี

3.คำถามที่ 23221 (ไซต์ : fa1027) หัวข้อ การประหารชีวิตมุรตัดฟิฏรียฺ

4.คำถามที่ 53 (ไซต์ : 289) หัวข้อ เสรีภาพทางความเชื่อกับการประหารชีวิตมุรในอิสลาม

 


[1]ซีดีวิชาการโพรซิมอน

[2] เซรอมมี, ซัยฟุลลอฮฺ, อะฮฺกามมุรตัด อัชดีดเฆาะฮฺ อิสลาม วะ ฮุกูกบะชัด, หน้า 255.

[3] โกรบอนนี ซัยนุลอาบิดีน, อิสลาม วะ ฮุกูกบะชัร, หน้า 480.

[4] บทเตาบะฮฺ, 6

[5] อิบนุ อะซีร, อะซะดุลฆอบะฮฺ, เล่ม 3, หน้า 22, คัดลอกมาจาก อิลามวะฮุกูกบะชัร หน้า 481

[6] ซีดีวิชาการโพรซิมอน

[7] อาลิอิมรอน, 72.

[8] เซรอมมี, ซัยฟุลลอฮฺ, อะฮฺกามมุรตัด อัชดีดเฆาะฮฺ อิสลาม วะ ฮุกูกบะชัด, หน้า 281.

[9] โกรบอนนี ซัยนุลอาบิดีน, อิสลาม วะ ฮุกูกบะชัร, หน้า 484.

[10] อ้างแล้ว, หน้า 484.

[11] อิมามโคมัยนี้,ตะรีรุลวะซีละฮฺ, เล่ม 2, กิตาบฮุดูด, หน้า 445.

[12] บทนิซาอฺ,1.

[13] บทฮุจญฺรอต, 13.

[14] กุลัยนียฺ, กาฟียฺ, เล่ม 5, หน้า 510.

[15] อิสลาม ฮุกูก บะชัร

[16] อ้างแล้ว, หน้า 484.

[17] อิสลาม ฮุกูก บะชัร, หน้า 82-92.

[18] อ้างแล้ว

[19] บิฮารุลอันวาร, เล่ม 2, หน้า 303.

 

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • มลาอิกะฮ์สร้างมาจากรัศมีของบรรดาอิมาม และมีหน้าที่ร่ำไห้แด่อิมามฮุเซน(อ.)กระนั้นหรือ?
    8273 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/12/19
    1. ความเชื่อที่ว่ามลาอิกะฮ์สร้างขึ้นจากรัศมีนั้นได้รับการยืนยันจากฮะดีษหลายบทที่รายงานไว้ในตำราฝ่ายชีอะฮ์และซุนหนี่ตำราชีอะฮ์บางเล่มระบุถึงการสร้างสิ่งมีชีวิตต่างๆรวมถึงมลาอิกะฮ์จากรัศมีของปูชนียบุคคลอย่างท่านนบี(ซ.ล.) หรือบรรดาอิมามหรือบุคคลอื่นๆดังที่ตำราของซุนหนี่เองก็เล่าว่าเคาะลีฟะฮ์ท่านแรกและคนอื่นๆถือกำเนิดจากรัศมีของท่านนบี(ซ.ล) การที่มีฮะดีษเหล่านี้ปรากฏอยู่ในตำรับตำราของแต่ละฝ่ายมิได้หมายความว่าทุกคนจะต้องคล้อยตามฮะดีษเหล่านี้เสมอไป อย่างไรก็ดีตำราฮะดีษชีอะฮ์ได้รายงานฮะดีษชุด "ฏีนัต" ไว้ซึ่งไม่อาจจะมองข้ามได้กล่าวโดยสรุปคือหากพบว่ามุสลิมแต่ละฝ่ายอาจมีทัศนะแตกต่างกันบ้างในเรื่องการสรรสร้างของพระองค์
  • มุศฮัฟฟาฏิมะฮ์คืออะไร? ท่านนบี(ซ.ล.)และบรรดาอะฮ์ลุลบัยต์ทราบเรื่องนี้หรือไม่?
    8045 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/11/09
    มุศฮัฟฟาฏิมะฮ์เป็นชื่อหนังสือที่บันทึกโดยท่านอิมามอลี(อ.)ภายหลังนบีวะฝาตไปแล้วเนื้อหาของหนังสือเล่มนี้เป็นข้อมูลที่ญิบรออีลหรือมะลาอิกะฮ์องค์หนึ่งถ่ายทอดแก่ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ซึ่งกล่าวถึงเหตุการณ์ในอนาคตตลอดจนความเร้นลับของอาลิมุฮัมมัด(ซ.ล.) หนังสือเล่มนี้ถือเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของตำแหน่งอิมามและเป็นมรดกตกทอดระหว่างอิมามปัจจุบันอยู่ในครอบครองของท่านอิมามมะฮ์ดี(อ.)เนื่องจากหนังสือเล่มนี้เขียนขึ้นหลังท่านนบี(ซ.
  • เป็นไปได้อย่างไรที่คนเราจะรักและกลัวอัลลอฮ์ในขณะเดียวกัน?
    5094 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/23
    ความหวังความรักและความกริ่งเกรงที่มีต่ออัลลอฮ์ไม่ถือเป็นเรื่องแปลกประหลาดแต่อย่างใดเพราะความรู้สึกเหล่านี้เกิดขึ้นในชีวิตของเราทุกคนเป็นปกติเพียงแต่เราอาจจะเคยชินเสียจนไม่รู้ตัวแม้แต่การเดินเหินตามปกติของเราก็เกิดจากปัจจัยทั้งสามประการดังกล่าวเนื่องจากหากไม่มีความหวังเราก็จะไม่ก้าวเท้าเดินและหากไม่ก้าวเท้าเดินก็จะไม่มีวันถึงจุดหมายและหากไม่มีความกลัวเราก็จะไม่ระวังตัวจนอาจประสบอุบัติเหตุได้ซึ่งก็จะทำให้ไม่สามารถไปถึงจุดหมายได้เช่นกันตัวอย่างที่ชัดเจนอีกประการก็คือการใช้สอยเครื่องอำนวยความสะดวกเช่นยานพาหนะเครื่องใช้ไฟฟ้าเตาแก๊สฯลฯเรามีความสุขและรักที่จะใช้สอยสิ่งเหล่านี้แต่หากเราใช้สอยโดยไม่ระมัดระวังและไม่เกรงภัยที่อาจเกิดขึ้นเครื่องอำนวยความสะดวกเหล่านี้ก็อาจเป็นอันตรายแก่เราได้ทุกเมื่อ ด้วยเหตุนี้เองการผนวกความรักความกลัวและความหวังเข้าด้วยกันจึงไม่ไช่เรื่องที่น่าแปลกใจแต่อย่างใด ในกรณีของอัลลอฮ์ก็เช่นกันควรต้องกริ่งเกรงรักและคาดหวังในพระองค์ในเวลาเดียวกันทั้งนี้ก็เนื่องจากความรักและความหลงใหลในพระองค์จะสร้างแรงบันดาลใจให้มนุษย์เคลื่อนไหวสู่การปฏิบัติในสิ่งที่พระองค์พึงพอพระทัยเพื่อให้ได้รับความการุณย์และลาภเนียะมัตต่างๆทั้งในโลกนี้และโลกหน้าส่วนความกริ่งเกรงก็จะเป็นแรงบันดาลใจให้ต้องนอบน้อมยอมสยบต่อคำบัญชาของพระองค์และพยายามหลีกห่างกิเลสตัณหาและปัจจัยต่างๆที่จุดเพลิงพิโรธของพระองค์ การจับคู่กันระหว่างความหวังและความกลัวนี้จะทำให้บุคคลทั่วไปได้อยู่เย็นเป็นสุขและปราศจากความหวาดผวาในโลกหน้าเนื่องจากโลกนี้คือสถานที่หว่านเมล็ดพันธุ์เมล็ดที่หว่านไปต้องได้รับการปกป้องจากภัยคุกคามเพื่อรอให้ถึงวันเก็บเกี่ยวผลผลิตและในวันเก็บเกี่ยวผลผลิตย่อมไม่จำเป็นต้องมีการปกป้องใดๆอีกต่อไป โดยลำพังแล้วความกลัวจะนำมาซึ่งความท้อแท้ความเบื่อหน่ายและความเครียดส่วนความหวังและความรักนั้นหากไม่กำกับไว้ด้วยความกลัวก็จะนำพาสู่ความลำพองตนความดื้อรั้นซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นคุณสมบัติที่ไม่พึงประสงค์ทั้งสิ้น ...
  • ทำไมจึงเรียกการไว้อาลัยแด่ซัยยิดุชชูฮะดาว่า การอร่านร็อวเฎาะฮ์?
    5271 تاريخ کلام 2554/12/10
    สำนวน “ร็อวเฎาะฮ์” เกิดขึ้นเนื่องจากการนำบทต่างๆในหนังสือ “ร็อวเฎาะตุชชุฮะดา”มาอ่านโดยนักบรรยายหนังสือเล่มนี้เป็นหนึ่งในหนังสือเล่มแรกๆที่กล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในกัรบาลาซึ่งเขียนโดยมุลลาฮุเซนกาชิฟซับซะวอรี (เกิด 910 ฮ.ศ.) เป็นหนังสือภาษาฟาร์ซีหนังสือเล่มนี้ใช้อ่านในการไว้อาลัยมาเป็นเวลาช้านานแล้วดังนั้นพิธีต่างๆที่มีการไว้อาลัยจึงเรียกว่าการร็อวเฎาะฮ์ถึงปัจจุบัน
  • อะไรคืออุปสรรคของการเสวนาระหว่างอิสลามและศาสนาคริสต์?
    8240 เทววิทยาใหม่ 2554/07/07
    คำถามนี้ไม่มีคำตอบแบบสั้น ปรดเลือกปุ่มคำตอบที่สมบูรณ์ ...
  • จุดประสงค์ของโองการที่ 85-87 บทอัลฮิจญฺร์ คืออะไร?
    6077 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/05/17
    อัลลอฮฺ (ซบ.) กล่าวในโองการโดยบ่งชี้ให้เห็นถึง, ความจริงและการมีเป้าหมายในการชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินของพระองค์ ทรงแนะนำแก่ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ว่า จงแสดงความรักและความห่วงใยต่อบรรดาผู้ดื้อรั้น, พวกโง่เขลาทั้งหลาย, บรรดาพวกมีอคติ, พวกบิดพลิ้วที่ชอบวางแผนร้าย, พวกตั้งตนเป็นปรปักษ์ด้วยความรุนแรง, และพวกไม่รู้, จงอภัยแก่พวกเขา และจงแสดงความหวังดีต่อพวกเขา ในตอนท้ายของโองการ อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปลอบใจท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) และให้กำลังใจท่าน ว่าไม่ต้องเป็นกังวลหรือเป็นห่วงในเรื่องความรุนแรงจากฝ่ายศัตรู ผู้คนจำนวนมากกว่า สิ่งอำนวยความสะดวกที่ดีกว่า และทรัพย์สินจำนวนมากมายที่อยู่ในครอบครองของพวกเขา, เนื่องจากอัลลอฮฺ ทรงมอบความรัก ความเมตตา และเหตุผลในการเป็นศาสดาแก่ท่าน ซึ่งไม่มีสิ่งใดบนโลกนี้จะดีและเสมอภาคกับสิ่งนั้นโดยเด็ดขาด ...
  • มีคำอธิบายอย่างไรเกี่ยวกับโองการที่ ซูเราะฮ์เราะอ์ด وَ لَوْ أَنَّ قُرْآناً سُیِّرَتْ بِهِ الْجِبالُ أَوْ قُطِّعَتْ بِهِ الْأَرْضُ أَوْ کُلِّمَ بِهِ الْمَوْتى‏ بَلْ لِلَّهِ الْأَمْرُ جَمیعا
    7244 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/18
    ในประเด็นที่ว่าโองการوَ لَوْ أَنَّ قُرْآناً سُیِّرَتْ بِهِ الْجِبالُ أَوْ قُطِّعَتْ بِهِ الْأَرْضُ... หมายความว่าอย่างไรนั้นนักอรรถาธิบายกุรอานได้นำเสนอไว้สองทัศนะด้วยกัน1. โองการต้องการจะสื่อว่าหากจะมีตำราใดที่จะสามารถเคลื่อนย้ายภูเขาหรือแยกแผ่นดินหรือทำให้ผู้ตายสนทนาได้ตำรานั้นย่อมมิไช่อื่นใดนอกจากกุรอานทั้งนี้ก็เพราะกุรอานประเสริฐเหนือทุกคัมภีร์2. โองการข้างต้นเป็นคำตอบโต้ข้อเรียกร้องของบรรดากาเฟรแห่งมักกะฮ์ที่เรียกร้องให้ท่านนบีแสดงอภินิหารโดยโองการนี้สื่อว่าคนพวกนี้มีนิสัยดื้อรั้นแม้หากกุรอานแสดงอภินิหารเคลื่อนย้ายภูเขาตามที่พวกเขาต้องการหรือแม้จะแยกแผ่นดินและผุดตาน้ำหรือแม้จะชุบชีวิตผู้ตายให้ปฏิญาณถึงความเป็นศาสดาของเจ้า (โอ้มุฮัมมัด)ให้เป็นที่ประจักษ์แก่พวกเขาก็ตามแต่คนเหล่านี้ก็จะยังดื้อแพ่งไม่ศรัทธาอยู่วันยังค่ำ. ...
  • สำนวน طبیب دوار بطبه ที่ท่านอิมามอลี(อ.)ใช้กล่าวยกย่องท่านนบี หมายความว่าอย่างไร?
    6001 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2555/02/13
    ท่านอิมามอลี(อ.)เปรียบเปรยการรักษาโรคร้ายทางจิตวิญญาณมนุษย์โดยท่านนบี(ซ.ล.)ว่าطبیب دوّار بطبّه (แพทย์ที่สัญจรตามรักษาผู้ป่วยทางจิตวิญญาณ) ท่านเป็นแพทย์ที่รักษาโรคแห่งอวิชชาและมารยาทอันต่ำทรามโดยสัญจรไปพร้อมกับโอสถทิพย์ของตน
  • ตัฟซีรอิมามฮะซัน อัสการีย์ (อ.) »อัลฮัมดุลลิลฮิร็อบบิลอาละมีน« หมายถึงอะไร?
    10215 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/05/17
    ตัฟซีรอิมามฮะซัน อัสการียฺ (อ.) เป็นหนึ่งในตัฟซีรที่กล่าวว่าเป็นของท่านอิมาม ซึ่งมีเหตุผลบางประการพาดพิงว่าตัฟซีรดังกล่าวเป็นของท่านอิมาม แต่เป็นเหตุผลที่เชื่อถือไม่ได้แน่นอน ตัฟซีรชุดนี้ได้มีการตีความอัลกุรอาน บทฟาติฮะฮฺ (ฮัม) และบทบะเกาะเราะฮฺ โองการ 282 โดยรายงานฮะดีซ ซึ่งในวิชาอุลูมกุรอานเรียกว่าตัฟซีร »มะอฺซูเราะฮฺ« อย่างไรก็ตาม, ท่านอิมามฮะซันอัสการียฺ (อ.) ได้อธิบายถึงประโยคที่ว่า «اَلْحَمْدُ لِلَّهِ رَبِّ الْعالَمِين» ไว้ในหลายประเด็น, เนื่องจาการขอบคุณอัลลอฮฺ เพราะความโปรดปรานต่างๆ อันไม่อาจคำนวณนับได้, การสนับสนุนสรรพสิ่งถูกสร้าง, ความประเสริฐ และความดีกว่าของชีอะฮฺ เนื่องจากการยอมรับวิลายะฮฺ และอิมามะฮฺของท่านอิมามอะลี (อ.) และกล่าวว่า เนื่องจากจำเป็นต้องขอบคุณอัลลอฮฺ เพราะความโปรดปรานของพระองค์ จึงได้กล่าวว่า «اَلْحَمْدُ لِلَّهِ رَبِّ الْعالَمِين» ...
  • จริงหรือไม่ที่กล่าวกันว่าหนังสืออัลกาฟีมีฮะดีษเศาะฮี้ห์เพียงไม่กี่บท?
    6708 ริญาลุลฮะดีซ 2555/01/01
    หลักเกณฑ์การเลือกฮะดีษที่ท่านกุลัยนีระบุไว้นั้นมีไว้เฉพาะกรณีฮะดีษที่ขัดแย้งกันเพราะหลักเกณฑ์พิสูจน์ความเศาะฮี้ห์ของฮะดีษมีมากกว่าสามวิธีที่ท่านระบุไว้อันได้แก่จะต้องสอดคล้องกับกุรอานตรงข้ามกับอามมะฮ์และแนวตัคยี้รส่วนการประพันธ์ตำราหลังยุคท่านกุลัยนีก็มิได้หมายความว่าหนังสืออัลกาฟีไม่น่าเชื่อถือเพราะผู้ประพันธ์ตำราเหล่านั้นก็ล้วนยอมรับความนิยมในหนังสืออัลกาฟี ...

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    57371 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    55108 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    40377 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    37428 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    36092 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    32399 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    26682 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    26139 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    25969 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    24137 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...