การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
6572
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2554/08/23
 
รหัสในเว็บไซต์ fa1444 รหัสสำเนา 16136
คำถามอย่างย่อ
จริงหรือไม่ที่บางคนเชื่อว่าพระเจ้าเป็นเพียงแค่พลังงานเท่านั้น?
คำถาม
จริงหรือไม่ที่บางคนเชื่อว่าพระเจ้าเป็นเพียงแค่พลังงานเท่านั้น?
คำตอบโดยสังเขป

อัลลอฮ์ทรงดำรงอยู่โดยไม่พึ่งพาสิ่งใด ทรงปรีชาญาณ ทรงมีเจตน์จำนง และปราศจากข้อจำกัดและความบกพร่องทุกประการ แต่พลังงานยังมีข้อบกพร่องและข้อจำกัดมากมาย อีกทั้งยังปราศจากความรู้และการตัดสินใจ
เมื่อเทียบคุณสมบัติของพลังงานกับคุณลักษณะของพระเจ้า ก็จะทราบว่าพระเจ้ามิไช่พลังงานอย่างแน่นอน เนื่องจาก:
พลังงานคือสิ่งที่ขับเคลื่อนให้เกิดกริยาและปฏิกริยาต่างๆ โดยพลังงานมีลักษณะที่หลากหลายไม่ตายตัว และสามารถผันแปรได้หลายรูปแบบ พลังงานมีคุณสมบัติเด่นดังนี้
1. พลังงานมีสถานะตามวัตถุที่บรรจุ
2. พลังงานมีแหล่งกำเนิด
3. พลังงานมีข้อจำกัดบางประการ
4. พลังงานเปลี่ยนรูปได้
แต่อัลลอฮ์มิได้ถูกกำกับไว้โดยวัตถุใดๆ ไม่มีแหล่งกำเนิด ไม่มีข้อจำกัด และไม่เปลี่ยนรูปแบบ กุรอานก็กล่าวถึงอัลลอฮ์ว่าพระองค์ไม่ต้องพึ่งพาสิ่งใด และปราศจากข้อบกพร่องและข้อจำกัดทุกประการ
จากการเปรียบเทียบข้างต้น จะทำให้เข้าใจอย่างง่ายดายว่าพระเจ้ามิไช่พลังงาน

คำตอบเชิงรายละเอียด

เบื้องต้นเราจะนิยามความหมายของพลังงาน พร้อมทั้งอธิบายถึงคุณสมบัติเฉพาะของพลังงาน แล้วจึงเปรียบเทียบคุณสมบัติดังกล่าวกับคุณลักษณะของพระเจ้า (โดยอาศัยข้อมูลเชิงวิชาการจากวิชาฟิสิกข์ โองการกุรอาน และเหตุผลทางสติปัญญาจากวิชาเทววิทยา) ท้ายที่สุดก็จะนำเสนอข้อสรุปเกี่ยวกับประเด็นนี้

นิยามของพลังงาน
พลังงาน (Energy) หมายถึง ความสามารถของสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่จะทำงาน (Work) พลังงานมีรูปแบบที่ไม่ตายตัว และสามารถเปลี่ยนรูปจากรูปแบบหนึ่งไปสู่รูปแบบอื่นได้[1]

คุณสมบัติเฉพาะของพลังงาน
เมื่อพิจารณาถึงคำนิยามข้างต้น รวมถึงข้อมูลอื่นๆที่แหล่งอ้างอิงทางวิชาการระบุไว้[2] ทำให้ทราบได้ว่าพลังงานมีคุณสมบัติเฉพาะดังต่อไปนี้
1. พลังงานต้องมีแหล่งกำเนิด (source) และเกิดจากกระบวนการทางฟิสิกข์หรือเคมีเสมอ
2. พลังงานได้รับอิทธิพลจากวัตถุ (อาทิเช่น พลังงานแสงอาทิตย์ที่เคยเข้าใจกันว่าไม่ได้เกิดจากวัตถุ แต่ในความเป็นจริงก็เกิดจากปฏิกริยาทางเคมีระหว่างองค์ประกอบต่างๆ)[3]
3. พลังงานสามารถแปรเป็นค่าได้ พลังงานทุกประเภทเมื่อพิจารณาถึงแหล่งกำเนิด จะมีขนาด(ความใหญ่)และมาตรวัด (Dimension)เฉพาะตัว
4. พลังงานยังมีข้อจำกัดบางประการอยู่ (อย่างเช่นพลังงานแสงที่เดินทางเป็นเส้นตรงเท่านั้น และไม่สามารถส่องผ่านวัตถุทึบแสงได้)
5. พลังงานสามารถเปลี่ยนแปลงรูปได้ (อย่างเช่นพลังงานศักย์ของสปริงที่ถูกกดไว้จะกลายเป็นพลังงานจลน์เมื่อปล่อยอิสระ หรือพลังงานศักย์ของน้ำในเขื่อนที่จะก่อให้เกิดพลังงานจลน์ขับเคลื่อนไดนาโม) นักฟิสิกข์ชั้นนำอย่างไอนสไตน์ก็พิสูจน์แล้วว่าวัตถุสามารถเปลี่ยนเป็นพลังงาน และพลังงานก็เปลี่ยนเป็นวัตถุได้[4]

เปรียบเทียบคุณสมบัติพลังงานกับคุณลักษณะของพระเจ้า
เมื่อพิจารณาคุณสมบัติข้างต้น แล้วนำมาเปรียบเทียบกับคุณลักษณะของอัลลอฮ์ดังที่กุรอานและตำราหลักศรัทธาที่มีชื่อเสียงกล่าวไว้[5] เราจะพบว่าคุณสมบัติของพลังงานกับคุณลักษณะของอัลลอฮ์ขัดแย้งกันโดยสิ้นเชิง ทั้งนี้เนื่องจากพระเจ้าทรงดำรงอยู่โดยไม่พึ่งพาสิ่งใด ทรงปรีชาญาณ ทรงมีเจตน์จำนง และบริสุทธิ์ปราศจากข้อจำกัดและความบกพร่องทุกประการ แต่พลังงานยังมีข้อบกพร่องและข้อจำกัดมากมาย อีกทั้งยังปราศจากความรู้และการตัดสินใจ
ฉะนั้น พระเจ้าจึงไม่ได้รับอิทธิพลจากวัตถุ ไม่มีแหล่งกำเนิด(source) ไม่สามารถคำนวนเป็นค่าเชิงปริมาณ และไม่เปลี่ยนรูปแบบ

กุรอานอธิบายว่า อัลลอฮ์ทรงไม่ต้องพึ่งพาสิ่งใด ปราศจากข้อจำกัดและความบกพร่องทุกประการ
จะเห็นได้จากการที่กุรอานใช้คำว่าอัลลอฮุศศ่อมัด[6] ซึ่งแปลว่าอัลลอฮ์ผู้ไม่ทรงต้องพึ่งพาสิ่งใด แสดงว่าพระองค์ไม่มีแหล่งสถิต เพราะการมีแหล่งสถิตหมายถึงจะต้องพึ่งพาสถานที่นั้นๆ
โองการข้างต้นยังชี้ให้เห็นอีกว่าพระองค์มิได้เป็นผลของเหตุใดๆ และไม่จำเป็นต้องมีแหล่งกำเนิด แต่ทุกสรรพสิ่งในจักรวาลต่างหากที่ต้องพึ่งพาพระองค์ พระองค์คือปฐมเหตุ ดังที่อิมามอลี(.)ได้อรรถาธิบายคำว่าเศาะมัดไว้ว่าหมายถึงพระองค์ไม่ไช่ทั้งนามและรูป ไม่มีสิ่งใดเทียบเคียงและเสมอเหมือนพระองค์ ไม่มีรูปลักษณ์และเรือนร่าง ไม่มีขอบเขตจำกัด ไม่ถูกจำกัดด้วยสถานที่ ไม่ไช่พลังงานแสงหรือความมืด ไม่ไช่วิญญาณหรือจิต และไม่มีปริมาตรใดจะจุพระองค์ไว้ได้[7]

โองการและฮะดีษที่นำเสนอข้างต้นชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างพระเจ้ากับพลังงาน และสนับสนุนเหตุผลทางสติปัญญาที่กล่าวไปแล้ว
กุรอานกล่าวไว้ว่าพระองค์มีอำนาจครอบคลุมทุกสิ่ง[8] ฉะนั้นจึงไม่มีอุปกรณ์ใดสามารถที่จะคำนวนค่าเชิงปริมาณแก่พระองค์ได้ เพราะพระองค์ทรงเหนือกว่าทุกอุปกรณ์
อีกโองการหนึ่งกล่าวว่าพระองค์ทรงมีอำนาจเหนือทุกสิ่ง[9] ซึ่งพิสูจน์ได้อย่างชัดเจนว่าพระองค์ไม่มีข้อจำกัดใดๆทั้งสิ้น
อีกโองการหนึ่งระบุไว้ว่าสูเจ้าไม่อาจพบความผันแปรในจารีตของพระองค์พิสูจน์ได้ว่าพระองค์ไม่มีความผันแปร เนื่องจากผู้ที่ไม่ผันแปรเท่านั้นที่จะมีจารีตอันมั่นคง

ข้อพึงสังเกตุ
ดังที่กล่าวไปข้างต้นว่าแสงถือเป็นรูปหนึ่งของพลังงาน บางคนจึงนำไปเทียบกับอัลลอฮ์ เนื่องจากอัลกุรอานกล่าวว่าพระองค์เปรียบประดุจรัศมี[10] จึงต้องศึกษานัยยะของโองการที่กล่าวเช่นนี้จากตำราอรรถาธิบายกุรอาน
ตัฟซี้รอัลมีซานกล่าวว่า รัศมีในที่นี้ หมายถึงผู้สร้างสากลจักรวาลรัศมีของอัลลอฮ์หมายถึง การที่ทุกแสงสีที่มีอยู่บังเกิดขึ้นโดยพระองค์ และนี่ก็คือความเมตตาในระดับสาธารณะและครอบคลุมทุกสิ่ง[11]
ส่วนตัฟซี้รนู้รกล่าวว่า รัศมีที่กล่าวในกุรอาน หมายถึงการชี้นำและแจ้งเตือน เนื่องจากอัลลอฮ์เสมือนรัศมีอันนิรันดร์ที่ชี้นำอย่างชัดแจ้งสำหรับโลกนี้ ดังที่กล่าวว่าیهدی الله بنوره ...”(อัลลอฮ์ทรงชี้นำโดยรัศมีของพระองค์)[12]
อีกคำอธิบายหนึ่งก็คือ การมีอยู่ของอัลลอฮ์เปรียบเสมือนรัศมีสาดส่องให้ชั้นฟ้าและผืนดินมีชีวิตชีวา เนื่องจากว่า หากพระองค์ทรงระงับความการุณย์ของพระองค์ ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกและจักรวาลจะดับสูญลงทันที
หรือหากจะอิงนิยามหนึ่งของแสงที่ว่า แสงคือสิ่งที่ชัดเจนด้วยตัวเอง และเผยให้เห็นสิ่งรอบข้าง ก็สามารถเปรียบได้กับคุณลักษณะของพระองค์ที่ทรงมีอยู่โดยพระองค์เอง และสร้างสากลจักรวาลให้มีอยู่[13]
ผลลัพท์ที่ได้จากการเปรียบเทียบระหว่างพลังงานกับพระเจ้าก็คือ ทั้งสองมีความแตกต่างโดยสิ้นเชิง ทำให้ไม่อาจจะถือว่าพระเจ้าเป็นพลังงานเนื่องจากพลังงานยังมีข้อจำกัดหลายประการ ขณะที่อัลลอฮ์เป็นผู้ทรงสมบูรณ์แบบทั้งด้านปรีชาญาณ พลานุภาพ ฯลฯ แต่พลังงานไม่ว่าจะประเภทใดล้วนมีข้อจำกัดทั้งสิ้น และไม่อาจนำมาเปรียบกับพระองค์ได้เลย อย่างไรก็ดี หากพบการเทิดไท้พระองค์ในฐานะรัศมี ก็จำเป็นต้องได้รับการตีความดังที่ได้กล่าวไปแล้ว



[1] สารานุกรมนานาชาติ encyclopedia international,เล่ม 6,หน้า 432

[2] ดู: ฟิสิกข์ฮอลิดี,หน้า 148-163,การทำงานและพลังงาน

[3] พลังงานที่เกิดจากดวงอาทิตย์ได้มาจากปฏิกริยาหลอมรวมตัวระหว่างอะตอมไฮโดรเจน H ก่อให้เกิดโมเลกุลไฮโดรเจน H2

[4] ตามสูตร (มวล x พลังงาน) C* E=mC.

[5] ดังที่นะฮ์ญุ้ลบะลาเฆาะฮ์ฉบับฟัยฏ์ฯ,หน้า 14, และ อัลอัสฟ้าร,เล่ม 6,หน้า 139, อิมามอลีกล่าวว่า
من قرنه فقد ثناه و من ثناه جز ئه ومن جزئه فقد جهلهผู้ใดเทียบเคียงพระองค์กับสิ่งอื่น เท่ากับถือว่าพระองค์เป็นสอง และหากถือว่าพระองค์เป็นสอง เท่ากับถือว่าพระองค์มีองค์ประกอบ และหากถือว่าพระองค์มีองค์ประกอบ ก็ถือว่าเขาโง่เขลาแต่พลังงานมีทั้งองค์ประกอบและศักยภาพในการผสมผสาน ซึ่งขัดต่อคุณลักษณะของพระองค์โดยสิ้นเชิง ศึกษาเพิ่มเติมได้จากหนังสือ อัลกอวลุสสะดี้ด ฟี ชัรฮิ้ตตัจรี้ด,หน้า 274,เป็นต้นไป

[6] ซูเราะฮ์อิคลาศ, 2

[7] บิฮารุ้ลอันว้าร,เล่ม 3,หน้า 230

[8] وکان الله بکل شیی محیطا ,อัลอัมบิยา,126

[9] ان لله علی کل شیی قدیر, อัตตะห์รีม,8

[10] " الله نور السماوات و الارض ..., นู้ร,35

[11] نوره تعالی من حیث یشرف منه نور العالم الذی یشیر به کل شیی و هو الرحمة العامه, ตัฟซี้รอัลมีซาน,เล่ม 15,หน้า 122.

[12] ตัฟซี้รนู้ร,เล่ม 8,หน้า 185 (ปรับเปลี่ยนเล็กน้อย)

[13] ตัฟซี้รเนมูเนะฮ์ฉบับย่อ,เล่ม 3,หน้า 297. อธิบายโองการที่ ซูเราะฮ์ นู้ร.

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • ทำไม อิบลิส (ซาตาน) จึงถูกสร้างขึ้นจากไฟ ?
    10683 เทววิทยาดั้งเดิม 2553/10/21
    คำถามนี้ไม่มีคำตอบแบบสั้น โปรดเลือกปุ่มคำตอบที่สมบูรณ์ ...
  • อิมามฮะซัน มุจญฺตะบา (อ.) ได้สมรสกับหญิงหลายคน และหย่าพวกนางหรือ?
    7455 ชีวประวัติมะอฺซูม (อ.) 2555/08/22
    หนึ่งในประเด็น อันเป็นความเสียหายใหญ่หลวง และน่าเสียใจว่าเป็นที่สนใจของแหล่งฮะดีซทั่วไปในอิสลาม, คือการอุปโลกน์และปลอมแปลงฮะดีซ โดยนำเอาฮะดีซเหล่านั้นมาปะปนรวมกับฮะดีซที่มีสายรายงานถูกต้อง โดยกลุ่มชนที่มีความลำเอียงและรับจ้าง ท่านอิมามฮะซัน มุจญฺตะบา (อ.) เป็นอิมามผู้บริสุทธิ์ท่านที่สอง, เป็นหนึ่งในบุคคลที่บรรดานักปลอมแปลงฮะดีซ ได้กุการมุสาพาดพิงไปถึงท่านอย่างหน้าอนาถใจที่สุด ในรูปแบบของรายงานฮะดีซ ซึ่งหนึ่งในการมุสาเหล่านั้นคือ การแต่งงานและการหย่าร้างจำนวนมากหลายครั้ง แต่หน้าเสียใจตรงที่ว่า รายงานเท็จเหล่านี้บันทึกอยู่ในแหล่งอ้างอิงฮะดีซและหนังสือประวัติศาสตร์ ทั้งซุนนียฺและชีอะฮฺ แต่ก็หน้ายินดีว่าหลักฐานทางประวัติศาสตร์ หลักความเชื่อที่ถูกต้องมีอยู่อยู่มือจำนวนไม่น้อยเช่นกัน ซึ่งทำให้การอุปโลกน์และปลอมแปลงฮะดีซของพวกเขาเป็นที่ประจักษ์ชัดเจน ...
  • ในมุมมองของรายงาน,ควรจะประพฤติตนอย่างไรกับผู้มิใช่มุสลิม?
    7646 สิทธิและกฎหมาย 2555/08/22
    อิสลาม เป็นศาสนาที่วางอยู่บนธรรมชาติอันสะอาดยิ่งของมนุษย์ ศาสนาแห่งความเมตตา ได้ถูกประทานลงมาเพื่อชี้นำมนุษย์ไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง และความผาสุกของมนุษย์ชาติทั้งหมด อีกด้านหนึ่งการเลือกนับถือศาสนาเป็นความอิสระของมนุษย์ ดังนั้น ในสังคมอิสลามนั้นท่านจะพบว่ามีผู้มิใช่มุสลิมปะปนอยู่ไม่มากก็น้อย อิสลามมีคำสั่งให้รักษาสิทธิ ประพฤติดี และอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างสงบสันติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับบุคคลที่นับถือศาสนา ไม่ว่าพวกเขาจะใช้ชีวิตอยู่ในสังคมอิสลาม ภายใต้การปกครองของรัฐอิสลาม หรือบุคคลที่อยู่ในสังคมอื่นที่มิใช่อิสลาม, ผู้ปฏิเสธศรัทธาที่ดำรงชีวิตอยู่ภายใต้รัฐอิสลาม จำเป็นรักษาเงื่อนไขของผู้ร่วมอาศัยด้วย ถ้าหากไม่รักษาเงื่อนไขของผู้ร่วมอาศัย หรือทรยศหักหลังก็จำเป็นต้องถูกลงโทษตามกฎหมายอิสลาม ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    38950 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ริวายะฮ์ที่กล่าวว่า “ในสมัยที่อิมามอลี (อ.) ปกครองอยู่ ท่านมักจะถือแซ่เดินไปตามถนนหนทางและท้องตลาดพร้อมจะลงโทษอาชญากรและผู้กระทำผิด” จริงหรือไม่?
    6412 สิทธิและกฎหมาย 2555/03/18
    สำนักงานท่านอายะตุลลอฮ์อัลอุซมา มะการิม ชีรอซี ริวายะฮ์ข้างต้นกล่าวถึงช่วงรุ่งอรุณขณะที่ท่านสำรวจท้องตลาดในเมืองกูฟะฮ์ และการที่ท่านมักจะพกแซ่ไปด้วยก็เนื่องจากต้องการให้ประชาชนสนใจและให้ความสำคัญกับกฏหมายนั่นเอง สำนักงานท่านอายะตุลลอฮ์อัลอุซมาศอฟีย์ กุลพัยกานี ริวายะฮ์ได้กล่าวไว้เช่นนั้นจริง และสิ่งที่อิมามอลี(อ.) ได้กระทำไปคือสิ่งที่จำเป็นต่อสถานการณ์ในยุคนั้น การห้ามปรามความชั่วย่อมมีหลายวิธีที่จะทำให้บังเกิดผล ดังนั้นจะต้องเลือกวิธีที่จะทำให้สังคมคล้อยตามความถูกต้อง คำตอบของท่านอายะตุลลอฮ์มะฮ์ดี ฮาดาวี เตหะรานี มีดังนี้ หากผู้ปกครองในอิสลามเห็นสมควรว่าจะต้องลงโทษผู้ต้องหาและผู้ร้ายในสถานที่เกิดเหตุ หลังจากที่พิสูจน์ความผิดด้วยวิธีที่ถูกต้อง และพิพากษาตามหลักศาสนาหรือข้อกำหนดที่ผู้ปกครองอิสลามได้กำหนดไว้ การลงทัณฑ์ในสถานที่เกิดเหตุถือว่าไม่ไช่เรื่องผิด และในการนี้ไม่จำเป็นต้องอ้างอิงริวายะฮ์ดังกล่าวแต่อย่างใด แต่รายงานที่ถูกต้องที่ปรากฏในตำราฮะดีษอย่าง กุตุบอัรบาอะฮ์[1] ก็คือ ท่านอิมามอลี (อ.) พกแซ่เดินไปตามท้องตลาดและมักจะตักเตือนประชาชนให้ระมัดระวังในเรื่องต่าง ๆ โดยไม่มีตำราเล่มใดบันทึกว่าอิมามอลี (อ.) เคยลงโทษผู้ใดในตลาด
  • ตัฟซีรอิมามฮะซัน อัสการีย์ (อ.) »อัลฮัมดุลลิลฮิร็อบบิลอาละมีน« หมายถึงอะไร?
    11262 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/05/17
    ตัฟซีรอิมามฮะซัน อัสการียฺ (อ.) เป็นหนึ่งในตัฟซีรที่กล่าวว่าเป็นของท่านอิมาม ซึ่งมีเหตุผลบางประการพาดพิงว่าตัฟซีรดังกล่าวเป็นของท่านอิมาม แต่เป็นเหตุผลที่เชื่อถือไม่ได้แน่นอน ตัฟซีรชุดนี้ได้มีการตีความอัลกุรอาน บทฟาติฮะฮฺ (ฮัม) และบทบะเกาะเราะฮฺ โองการ 282 โดยรายงานฮะดีซ ซึ่งในวิชาอุลูมกุรอานเรียกว่าตัฟซีร »มะอฺซูเราะฮฺ« อย่างไรก็ตาม, ท่านอิมามฮะซันอัสการียฺ (อ.) ได้อธิบายถึงประโยคที่ว่า «اَلْحَمْدُ لِلَّهِ رَبِّ الْعالَمِين» ไว้ในหลายประเด็น, เนื่องจาการขอบคุณอัลลอฮฺ เพราะความโปรดปรานต่างๆ อันไม่อาจคำนวณนับได้, การสนับสนุนสรรพสิ่งถูกสร้าง, ความประเสริฐ และความดีกว่าของชีอะฮฺ เนื่องจากการยอมรับวิลายะฮฺ และอิมามะฮฺของท่านอิมามอะลี (อ.) และกล่าวว่า เนื่องจากจำเป็นต้องขอบคุณอัลลอฮฺ เพราะความโปรดปรานของพระองค์ จึงได้กล่าวว่า «اَلْحَمْدُ لِلَّهِ رَبِّ الْعالَمِين» ...
  • โองการตัฏฮีร กล่าวอยู่ในอัลกุรอานบทใด?
    7548 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/06/30
    อัลกุรอาน โองการที่รู้จักกันเป็นอย่างดีหรือ โองการตัฏฮีร, โองการที่ 33 บทอัลอะฮฺซาบ.อัลกุรอาน โองการนี้อัลลอฮฺ ทรงอธิบายให้เห็นถึง พระประสงค์ที่เป็นตักวีนีของพระองค์ สำหรับการขจัดมลทินให้สะอาดบริสุทธิ์สมบูรณ์ แก่ชนกลุ่มหนึ่งนามว่า อะฮฺลุลบัยตฺ อัลกุรอาน โองการนี้นับว่าเป็นหนึ่งในโองการทรงเกียรติยศยิ่ง เนื่องจากมีรายงานจำนวนมากเกินกว่า 70 รายงาน ทั้งจากฝ่ายซุนนีและชีอะฮฺ กล่าวถึงสาเหตุแห่งการประทานลงมา จำนวนมากมายของรายงานเหล่านั้นอยู่ในขั้นที่ว่า ไม่มีความสงสัยอีกต่อไปเกี่ยวกับจุดประสงค์ของโองการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัตถุประสงค์ของโองการที่กล่าวเกี่ยวกับ อะฮฺลุลบัยตฺ ของท่านศาสดา (ซ็อล น) ซึ่งประกอบไปด้วย ท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ ท่านอะลี ท่านฮะซัน และท่านฮุซัยนฺ (อ.) แม้ว่าโองการข้างต้นจะถูกประทานลงมา ระหว่างโองการที่กล่าวถึงเหล่าภริยาของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ก็ตาม แต่ดังที่รายงานฮะดีซและเครื่องหมายอื่นๆ ที่บ่งบอกถึงประเด็นดังกล่าวนั้น สามารถเข้าใจได้ว่า โองการข้างต้นและบทบัญญัติของโองการ มิได้เกี่ยวข้องกับบรรดาภริยาของท่านศาสดาแต่อย่างใด และการกล่าวถึงโองการที่มิได้เกี่ยวข้องกันไว้ในที่เดียวกัน ...
  • ได้ยินว่าระหว่างสงครามอิรักกับอิหร่านนั้น ร่างของบางคนที่ได้ชะฮีดแล้ว, แต่ไม่เน่าเปื่อยสลาย, รายงานเหล่านี้เชื่อถือได้หรือยอมรับได้หรือไม่?
    8473 เทววิทยาดั้งเดิม 2555/05/17
    โดยปกติโครงสร้างของร่างกายมนุษย์, จะเป็นไปในลักษณะที่ว่า เมื่อจิตวิญญาณได้ถูกปลิดไปจากร่างกายแล้ว, ร่างกายของมนุษย์จะเผ่าเปื่อยและค่อยๆ สลายไป, ซึ่งมีโอกาสเป็นไปได้น้อยมาก ที่ร่างกายของบางคนหลังจากเสียชีวิตไปแล้วนานหลายปี จะไม่เน่าเปื่อยผุสลายและอยู่ในสภาพปกติ. แต่อีกด้านหนึ่ง อัลลอฮฺ ทรงพลานุภาพเหนือทุกสิ่งทุกอย่างและทุกการงาน[1] ซึ่งอย่าเพิ่งคิดว่าสิ่งนี้จะไม่มีความเป็นไปได้ หรือห่างไกลจากภูมิปัญญาแต่อย่างใด. เพราะว่านี่คือกฎเกณฑ์ทั่วไป ซึ่งได้รับการละเว้นไว้ในบางกรณี, เช่น กรณีที่ร่างของผู้ตายอาจจะไม่เน่าเปื่อย โดยอนุญาตของอัลลอฮฺ ดังเช่น มามมีย์ เป็นต้น จะเห็นว่าร่างกายของเขาไม่เน่าเปื่อย ซึ่งเรื่องนี้ได้ผ่านพ้นไปนานหลายพันปีแล้ว และประสบการณ์ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นความจริงดังกล่าวแล้วด้วย ดังนั้น ถ้าหากพระประสงค์ของอัลลอฮฺ ครอบคลุมเหนือประเด็นดังกล่าวนี้ ก็เป็นไปได้ที่ว่าบางคนอาจเสียชีวิตไปแล้วหลายร้อยปี แต่ร่างกายของเขาไม่เน่าเปื่อยผุสลาย ยังคงสมบูรณ์เหมือนเดิม แล้วพระองค์ทรงเป่าดวงวิญญาณให้เขาอีกครั้ง ซึ่งเขาผู้นั้นได้กลับมีชีวิตขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง, อัลกุรอานบางโองการ ก็ได้เน้นย้ำถึงเรื่องราวของศาสดาบางท่านเอาไว้[2] เช่นนี้เองสิ่งที่กล่าวไว้ในรายงานว่า ถ้าหากบุคคลใดที่มีนิสัยชอบทำฆุซลฺ ญุมุอะฮฺ, ร่างกายของเขาในหลุมฝังศพจะไม่เน่นเปื่อย
  • ในทัศนะอิสลาม บาปของฆาตกรที่เข้ารับอิสลามจะได้รับการอภัยหรือไม่?
    8114 สิทธิและกฎหมาย 2554/06/12
    อิสลามมีบทบัญญัติเฉพาะสำหรับผู้ที่เพิ่งเข้ารับอิสลามอาทิเช่นหากก่อนรับอิสลามเคยละเมิดสิทธิของอัลลอฮ์เช่นไม่ทำละหมาดหรือเคยทำบาปเป็นอาจินเขาจะได้รับอภัยโทษภายหลังเข้ารับอิสลามทว่าในส่วนของการล่วงละเมิดสิทธิเพื่อนมนุษย์เขาจะไม่ได้รับการอภัยใดๆเว้นแต่คู่กรณีจะยอมประนีประนอมและให้อภัยเท่านั้นฉะนั้นหากผู้ใดเคยล่วงละเมิดสิทธิของผู้อื่นเมื่อครั้งที่ยังมิได้รับอิสลามการเข้ารับอิสลามจะส่งผลให้เขาได้รับการอนุโลมโทษทัณฑ์จากอัลลอฮ์ก็จริงแต่ไม่ทำให้พ้นจากกระบวนการพิจารณาโทษในโลกนี้
  • การให้การเพื่อต้อนรับเดือนมุฮัรรอม ตามทัศนะของชีอะฮฺถือว่ามีความหมายหรือไม่?
    7480 สิทธิและกฎหมาย 2554/12/20
    การจัดพิธีกรรมรำลึกถึงโศกนาฏกรรมของท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) ถือเป็นซุนนะฮฺ (แบบฉบับ) ซึ่งได้รับการสถาปนาและสนับสนุนโดยบรรดาอิมามมะอฺซูม (อ.)

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60132 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    57573 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42220 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    39370 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    38950 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    34004 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    28021 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    27966 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    27804 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    25802 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...