การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
8849
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2553/12/22
 
รหัสในเว็บไซต์ fa1798 รหัสสำเนา 11567
คำถามอย่างย่อ
ปัจจุบันสวรรค์และนรกมีอยู่หรือไม่ ?
คำถาม
ปัจจุบันสวรรค์และนรกมีอยู่หรือไม่ ?
คำตอบโดยสังเขป

พิจารณาจากโองการและรายงานต่างๆ แล้ว จะเห็นว่าสวรรค์และนรกที่ถูกสัญญาไว้มีอยู่แล้วในปัจจุบัน ซึ่งในปรโลกจะได้รับการเสนอขึ้นมา ซึ่งมนุษย์ทุกคนจะถูกจัดส่งไปยังสถานที่อันเหมาะสมของแต่ละคน ตามความเชื่อ ความประพฤติ และการคุณธรรมของตัวเอง ทว่าสำหรับสวรรค์และนรกนั้นได้ถูกจินตนาการไปอีกอย่างหนึ่งว่า จะได้ประจักษ์บนโลกนี้และปรากฏองค์ชัดเจนในโลกบัรซัคเพื่อเป็นตัวอย่าง และเป็นสาเหตุสร้างความเบิกบานและความเจ็บช้ำให้แก่มนุษย์ แน่นอนเกี่ยวกับผลสะท้อนทางการกระทำ ความเชื่อ และความคิดของมนุษย์ในปรโลกของเขา และการอธิบายสวรรค์และนรกมีทัศนะแตกต่างกันมากมาย แต่ทั้งหมดสามารถกล่าวโดยรวมได้ว่า

1) สวรรค์ที่ท่านนบีอาดัม (.) และท่านหญิงฮะวาได้เข้าไปและออกมาสู่โลกนี้

2) สวรรค์และนรกของการกระทำครอบคลุมอยู่เหนือมนุษย์ทั้งหลาย

3) สวรรค์และนรกบัรซัค คือภาพปรากฏและเป็นตัวอย่างของสวรรค์และนรกที่ได้ถูกสัญญาเอาไว้ ซึ่งสวรรค์และนรกนั้นมิใช่สิ่งที่มนุษย์สัญญาเอาไว้ ทว่าเป็นสิ่งที่ขึ้นอยู่กับเจตจำนงเสรีและการกระทำของมนุษย์

คำตอบเชิงรายละเอียด

ความเชื่อเรื่องสวรรค์และนรกในฐานะที่เป็นสถานพำนักถาวรสำหรับมนุษย์ หลังจากวันแห่งการฟื้นคืนชีพ ตลอดจนความเชื่อเรื่องการวิธีการสร้างหรือความสมบูรณ์ของทั้งสอง เป็นหนึ่งในหลักความเชื่อที่มีต่อความเร้นลับ ซึ่งความศรัทธาและความรู้ที่มีต่อทั้งสองถ้านอกจากโองการและรายงานแล้วไม่อาจเกิดขึ้นได้ ขณะเดียวกันตราบที่มนุษย์ยังมองไม่เห็นปรโลกหน้า เขาก็ไม่อาจสัมผัสได้ถึงความเร้นลับที่มีอยู่ในโลกนั้น ความคลุมเครือที่มีต่อทั้งสองก็จะไม่มีวันหมดไปได้ แต่การมีความคลุมเครืออยู่นั้นก็ไม่ได้หมายความว่า สิ่งนี้จะสามารถทำลายความเชื่อหลักที่มีต่อทั้งสอง วันแห่งการฟื้นคืนชีพ และเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในวันนั้นให้หมดไปได้ เช่น ความคลุมเครือที่มีต่อสวรรค์และนรกที่ว่า ปัจจุบันนรกและสวรรค์ถูกสร้างขึ้นแล้วหรือไม่ ? ถ้าหากสร้างขึ้นแล้วทั้งสองอยู่ที่ไหน ? และปัจจุบันมีสภาพเป็นอย่างไร พื้นผิวราบเรียบซึ่งมนุษย์จะถูกลงโทษในนั้น หรือว่าเป็นพื้นครึ่งหนึ่งส่วนอีกครึ่งมนุษย์คือผู้ทำให้สมบูรณ์ หรือว่านรกและสวรรค์นั้นถูกสร้างสมบูรณ์แล้ว ซึ่งในวันปรโลกมนุษย์จะถูกนำเข้าไปสู่ หรือว่านรกและสวรรค์นั้นจะถูกสร้างขึ้นในวันแห่งการฟื้นคืนชีพ ? และ.....

สำหรับการอธิบายคำถามข้างต้นนี้จำเป็นต้องพิจารณาประเด็นต่อไปนี้ กล่าวคือ ...

. ผลแห่งการกระทำของมนุษย์คือการก่อให้เกิดปรโลกของเขา

. ประเภทของสวรรค์และนรก และทัศนะต่างๆ เกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว

ทัศนะต่างๆ ที่ได้ถูกนำเสนอไปแล้วเดี่ยวกับผลแห่งการกระทำของมนุษย์ ที่ต่อรางวัลและการลงโทษในปรโลก

1. ผลรางวัลในปรโลกเป็นไปในลักษณะของข้อตกลง ตามการกระทำ เจตคติ และความคิดของมนุษย์ เช่น การลงโทษตามหลักการ หรือการปรับผู้ขับขี่ทีฝ่าฝืนกฎจลาจร ดังนั้น ระหว่างการกระทำบนโลกนี้กับเหตุการณ์ในปรโลก มิได้มีความสัมพันธ์ในเชิงของความแน่นอนตายตัว

2. รางวัลและผลบุญในโลกหน้าเป็นการเปลี่ยนค่าพลังงานให้เป็นวัตถุ หมายถึงพลังงานที่มนุษย์ได้ใช้ไปบนโลกนี้ ในการกระทำความดีหรือบาปกรรม ในวันแห่งการฟื้นคืนชีพพลังงานเหล่านั้นจะเปลี่ยนเป็นวัตถุ กลายเป็นสาเหตุของการสรรเสริญหรือสาปแช่งตัวเอง

3. การกระทำ ความคิด และสถานภาพของมนุษย์มีทั้งภายนอกและภายใน บนโลกนี้มนุษย์จะได้สัมผัสเฉพาะภายนอกของการกระทำเท่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่จะไม่รู้ผลภายในของการกระทำเป็นอย่างไร จนกระทั่งว่าผลของการกระทำเหล่านั้นหลังจากเสียชีวิตไปแล้วจะปรากฏให้เห็นในโลก บัรซัต และจะปรากฏชัดเจนในวันแห่งการฟื้นคืนชีพ และผลภายในของการกระทำนั้นเอง ที่เป็นสาเหตุทำให้มนุษย์ได้รับผลรางวัลตอบแทนหรือการลงโทษ

4. การกระทำ ความคิด และสภาพของมนุษย์ที่เกิดจากอวัยวะต่างๆ บนร่างกาย สิ่งเหล่านี้ล้วนมีผลต่อวิถีด้านในของมนุษย์ และจะก่อให้เกิดรูปลักษณะขึ้น ถึงแม้ว่ามนุษย์จะไม่ทราบหรือไม่เคยรับรู้ถึงผลด้านในของการกระทำของตนมาก่อนก็ตาม ซึ่งบนโลกนี้จะเห็นเป็นรูปร่างหน้าตาโดยทั่วไปของมนุษย์ ส่วนในปรโลกเขาจะได้เห็นภาพภายในอันแท้จริงของเขา บนโลกถ้ามนุษย์ได้ประกอบกิจด้วยความรู้แจ้ง ภายในของเขาก็จะมีแต่ความสะอาด ซึ่งภาพที่จะปรากฏในวันนั้นก็จะเป็นไปตามกรรม อันเป็นเหตุทำให้พวกเขาได้รับการสรรเสริญ หรือกล่าวประณาม.

ในทัศนะแรกนั้นจะเห็นว่าไม่เข้ากันกับโองการและรายงาน และไม่สามารถอธิบายถึงการลงโทษ และความโปรดปรานในปรโลกได้ เพียงแค่อธิบายถึงสภาพบางสภาพที่อาจเกิดขึ้นในโลกบัรซัค และวันแห่งการฟื้นชีพ (สวรรค์และนรก) ไม่ใช่ทั้งหมด

) ทัศนะที่ได้นำเสนอเกี่ยวกับสวรรค์และนรก

1. สัญญาและคำตักเตือน บ่งชี้ให้เห็นถึงสภาพของสวรรค์และนรก เป็นเพียงมิติของการอบรม ซึ่งไม่จำเป็นต้องมีสวรรค์หรือนรกอยู่จริงก็ได้ เพียงแค่มนุษย์มีความหวังในสวรรค์และเกรงกลัวนรก เท่านั้นก็จะทำให้เขาเป็นผู้มีความบริสุทธิ์แล้ว และได้ออกห่างจากความชั่วร้ายและสิ่งไม่ดีทั้งหลาย การได้ไปถึงสวรรค์หรือออกห่างจากนรก จุดประสงค์ของพระเจ้า เพียงแค่ต้องการชี้นำและปรับปรุงมนุษย์ให้ดีขึ้นเท่านั้นเอง

2. สวรรค์ก็คือสังคมหนึ่งที่ไม่มีระดับชั้นของเตาฮีด ส่วนนรกนั้นคล้ายกับระบบทุนนิยม ซึ่งไม่มีสิ่งใดเกินเลยไปจากนี้ ดังนั้น ผู้ที่มีความมุ่งหวังในสวรรค์ จำเป็นต้องสร้างระบบแรงงานเพื่อให้ไปถึงสวรรค์บนโลกนี้ และจะได้ออกห่างจากระบบทุนนิยม

3. สวรรค์ในอีกมิติหนึ่งก็คือ โลกนี้นั่นเอง ด้วยความสมบูรณ์และการวิวัฒนาการด้านเทคโนโลยี สามารถเปลี่ยนแปลงให้ดีได้ และสามารถปลดปล่อยตัวเองให้พ้นจากนรกบนพื้นดินได้

4. สวรรค์ หมายถึงการมีคุณสมบัติของความดีงาม ส่วนนรกหมายถึง การมีคุณสมบัติของความชั่วร้าย ดังนั้น ผู้ที่เรียกร้องสวรรค์และต้องการปลดปล่อยตัวเองให้รอดพ้นจากความชั่ว สิ่งแรกที่จะต้องทำคือการทำลายความชั่วร้ายให้หมดไปและแทนทีสิ่งนั้นด้วยความดี

และนี่คือ 4 ข้อกล่าวอ้างที่บรรดาวัตถุนิยมและพวกสังคมนิยมได้นำเสนอ แน่นอนว่าสิ่งนี้ขัดแย้งกับโองการ และรายงานต่างๆ นอกจากนั้นยังแย้งกับเป้าหมายของบรรดาศาสดาที่ถูกส่งลงมาประกาศสั่งสอน เนื่องจากสวรรค์และนรกที่อัลกุรอานกล่าวถึงภายหลังจากความตายจะถูกนำเสนอแก่มนุษย์ในวันแห่งการตัดสิน เป็นสถานพำนักถาวรสำหรับตนมีความเป็นนิรันดร ไม่เหมือนกับโลกนี้

5. สวรรค์ที่ท่านศาสดาอาดัม (.) และทานหญิงฮะวา หลังจากถูกสร้างแล้วได้ถูกนำตัวไปไว้ในนั่น และเมื่อระยะเวลาได้ผ่านพ้นไปช่วงหนึ่งท่านก็ออกจากที่นั่นมา และลงสู่พื้นโลก ซึ่งสวรรค์ตรงนั้นคือขั้นหนึ่งของโลกนี้ มิเช่นนั้นแล้วท่านอาดัม (.) จะไม่ออกมาจากที่นั้นอย่างแน่นอน

6. สวรรค์หรือนรกแห่งโลกบัรซัค คือสถานที่แสดงภาพด้านในของการกระทำของมนุษย์ หลังจากมนุษย์ได้จากโลกนี้ไปแล้วดวงวิญญาณจะถูกนำไปพำนักไว้ที่นั่น พวกเขาจะได้พบกับเนื้อแท้แห่งการกระทำของตน พวกเขาจะได้เห็นด้านที่แท้จริงของการกระทำ ซึ่งบางคนอาจได้รับความสุข และบางคนก็อาจถูกลงโทษในที่นั่นก่อนที่วันแห่งการฟื้นคืนชีพจะมาถึง

และนี่คือสวรรค์และนรกก่อนวันแห่งการฟื้นคืนชีพ เป็นระดับหนึ่งของโลก บนโลกนี้ทุกคนจะมีสถานภาพของตัวเอง โดยเฉพาะหมู่มวลมิตรของอัลลฮฺ (ซบ.) ทัศนะดังกล่าวนี้กับแนวคิดที่ 3 และ 4 ที่ว่าผลของการกระทำของมนุษย์คือที่มาของการตอบแทนหรือการลงโทษเข้ากันได้เป็นอย่างดี[1]

7. สวรรค์และนรกในปรโลก สามารถเข้าใจได้จากโองการและรายงานว่า สวรรค์และนรกดังกล่าวนั้นปัจจุบันมีอยู่แล้ว ส่วนหนึ่งของสวรรค์และนรกนั้น ท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อล ) ได้เห็นขณะขึ้นมิอ์รอจญ์[2] ในลักษณะที่ว่ามนุษย์ทุกคนเมื่อเกิดขึ้นมาแล้ว สำหรับเขาแล้วมีอยู่ 2 สถานที่ได้ถูกตระเตรียมไว้แล้วกล่าวคือ สวรรค์ และนรก ดังนั้น ถ้าเขาจากโลกนี้ไปด้วยการประพฤติดี และมีศรัทธามั่นคงเขาก็จะได้เข้าสู่สรวงสวรรค์ มิเช่นนั้นแล้วเขาจะถูกส่งไปสู่นรก แต่อย่างไรก็ตามมนุษย์จะได้เข้าสู่สวรรค์อันบรมสุขหรือไม่ หรือว่าเขาจะถูกลงโทษในนรกทั้งหมดขึ้นอยู่กับกระทำของตนบนโลกนี้

รายงานที่เชื่อถือได้จากท่านอิมามซอดิก (.) กล่าวว่า อัลลอฮฺ ไม่ทรงสร้างผู้ใดขึ้นมา เว้นเสียแต่ว่าพระองค์ได้สร้างสถานพำนักในสวรรค์และนรกให้แก่เขาด้วย ดังนั้น หากเป็นชาวสวรรค์เขาก็จะได้เข้าสู่สวรรค์ แต่ถ้าเป็นชาวนรกเขาก็จะถูกส่งตัวไปนรก จะมีผู้ส่งเสียงเรียกเขาว่า โอ้ ชาวสวรรค์เอ๋ย สูเจ้าจงมองดูชาวนรกซิ พวกเขาจะมาแล้วจ้องมองไปที่ชาวนรก และสถานพำนักของเขาที่ได้ถูกตระเตรียมเอาไว้ ซึ่งสถานที่พำนักเหล่านั้นถ้าหากได้ฝ่าฝืนคำสั่งของพระเจ้า เขาก็จะได้เข้าไปในสถานพำนักเหล่านั้น แต่ถ้ามนุษย์ได้สร้างความดีงามและช่วยให้ตัวเองรอดพ้นจากไฟนรกได้ เขาก็จะได้พำนักในสวรรค์ หลังจากนั้นผู้ร้องเรียกได้เรียกให้ชาวนรกเงยหน้ามองไปยังด้านบน พวกเขาก็จะเห็นบ้านที่สร้างเตรียมไว้ให้เขาในสวรรค์ และความโปรดปรานต่างๆ มากมายที่ได้ถูกเตรียมเอาไว้ ได้มีคำกล่าวแก่เขาว่า ถ้าหากเจ้าได้เคารพภักดีต่อพระเจ้า เจ้าก็จะได้ครอบครองสถานที่นั้น หลังจากนั้นได้ทำให้เขาสำนึกว่าถ้าเขาตายในสภาพที่เศร้าเสียใจ เขาก็จะได้พำนักอยู่ในนรก ฉะนั้น สถานพำนักของชาวนรกที่ถูกเตรียมไว้ให้ในสวรรค์ จะถูกมอบแก่ผู้กระทำความดีงาม ส่วนสถานพำนักของชาวสวรรค์ ที่ถูกสร้างไว้ในนรกจะถูกมอบแก่ผู้ประกอบกรรมชั่วทั้งหลาย และนี่คือการตีความโองการที่อัลลอฮฺ ตรัสแก่ชาวสวรรค์ทั้งหลายว่า พวกเธอได้รับมรดกตกทอดของพวกเธอแล้ว และพวกเธอจะพำนักในนั้นตลอดไป[3] อัลกุรอานกล่าวว่าพวกเขาจะได้รับมรดกสวนสวรรค์ชั้นฟริเดาส์ และพวกเขาจะพำนักอยู่ในนั้นตลอดกาล และขอสาบานว่า แน่นอนเราได้สร้างมนุษย์มาจากธาตุแท้ของดิน[4]

ด้วยเหตุนี้ สวรรค์และนรกในวันแห่งการฟื้นคืนชีพ คือสถานที่พำนักถาวรสำหรับมนุษย์ ซึ่งปัจจุบันมีอยุ่แล้วแต่จะสมบูรณ์ด้วยความคิด เนียต และการกระทำของมนุษย์ แต่จะไม่ปรากฏออกมาก่อนตราบจนกว่าจะถึงวันแห่งการฟื้นคืนชีพ ซึ่งไม่มีผู้ใดได้เห็นนอกจากท่านศาสดา (ซ็อล ) ซึ่งท่านได้เห็นขณะขึ้นมิอ์รอจญ์ ดังนั้น

1.สวรรค์ของท่านศาสดาอาดัม (.) และท่านหญิงฮะวา

2. สวรรค์และนรกซึ่งก่อนที่จะตายได้เคยเห็นขณะฝันหรือตื่นก็ตาม หรือเห็นขณะที่กำลังจะจากโลกไป หรือหลังจากตายจากโลกไปแล้วและอยู่ในโลกบัรซัค อันเป็นหลุมฝังศพสำหรับมนุษย์ สวรรค์และนรกในบัรซัคเป็นภาพหนึ่งของสวรรค์และนรกในวันแห่งการฟื้นคืนชีพ มิใช่สวรรค์และนรกดังกล่าวนั้น

แหล่งอ้างอิง

1. ฮุซัยนฺ เตหะรานี มุฮัมมัด ฮุซัยน์ มะอาดชะนอซีย์

2. มุฮัดดิซ กุมมี เชคอับบาซ มะนาซิลอุครอ หน้า 81-170

3. ชีรระวอนนีย์ อะลี แปลการรู้จักมะอาด ญะอฺฟัรซุบฮานีย์

4. กุรบานนีย์ ซัยนุลอาบิดีน เบะซูเยะญะฮอน อะบะดีย์

5. เราะฮีมพูร ฟุรูฆ อัซซาดาต มะอาดจากมุมมองของท่านอิมามโคมัยนี

6. เฏาะบาเฏาะบาอี มุฮัมมัด ฮุซัยนฺ ชีวิตหลังความตาย

7. เฏาะบาเฏาะบาอี มุฮัมมัด ฮุซัยนฺ วิเคราะห์ปัญหาอิสลาม หน้า 354, 382



[1] ฮุซัยนี เตหะรานี มุฮัมมัด ฮุซัยนฺ มะอาดชะนอซีย์ เล่ม 2 หน้า 157 และ 192

[2] อ้างแล้วเล่มเดิม หน้า 290,320 ตัฟซีรต่างๆ ตอนอธิบายโองการที่ 1 บทอัลอิสรอ

[3]  บิฮารุลอันวาร เล่ม 8 หน้า 125,287 คัดลอกมาจาก เชคอับบาสกุมมี มะนาซิลุลอาคิเราะฮฺ หน้า 129, 130

[4] อัลกุรอาน บทอัลมุอ์มินูน 10-11

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • มีข้อแนะนำใดบ้างที่คุณพ่อและคุณแม่ควรปฏิบัติก่อนคลอดบุตร?
    13215 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/21
    มีข้อแนะนำบางอย่างที่คุณพ่อและคุณแม่ควรปฏิบัติก่อนจะมีบุตรอาทิเช่นปฏิบัติศาสนกิจอย่างครบถ้วนปฏิบัติตามคำแนะนำเกี่ยวกับการร่วมหลับนอนบริโภคอาหารที่ฮะลาลและสะอาดโดยเฉพาะผลไม้นานาชนิดเข้ารับการตรวจโรคทางพันธุกรรมงดความเครียด  มองทิวทัศน์ที่สวยงามรักษาสุขอนามัยออกกำลังกายฯลฯหากปฏิบัติตามคำแนะนำเหล่านี้ได้ครบถ้วนก็จะทำให้มีสมาชิกครอบครัวที่มีสุขภาพดีและประสบความสำเร็จในชีวิตส่งผลให้สังคมก้าวสู่ความผาสุกในอุดมคติ ...
  • สตรีในทัศนะอิสลามมีสถานภาพสูงส่งเพียงใด ?พวกเธอมีสิทธิเท่าเทียมกับผู้ชายหรือ?
    12905 ปรัชญาของศาสนา 2554/10/22
    ในทัศนะอิสลาม, สตรีและบุรุษนั้นมีเป้าหมายร่วมกันนั่นคือ – การพัฒนาตนไปให้ถึงยังสถานอันสูงสุดของความเป็นมนุษย์ – และการไปถึงเป้าหมายดังกล่าว ทั้งสองจึงมีมาตรฐานอันเดียวกัน ซึ่งความต่างเรื่องเพศอันเป็นความจำเป็นของการสร้าง แทบจะไม่มีบทบาทอันใดทั้งสิ้นในการสร้าง หรือเพิ่มเติมศักยภาพและความสามารถดังกล่าวนั้น หรือคุณค่าในทางศาสนาเองก็มิได้มีบทบาทอันใดเช่นกัน ดังนั้น ความสมบูรณ์ของสตรีจึงมิได้อยู่ในฐานะภาพเดียวกันกับความสมบูรณ์ของบุรุษ หรือใช่ว่าบุรุษจะใช้ความเป็นเพศชาย มาควบคุมความเป็นสตรีก็หาไม่ดังนั้น ในทัศนะของอิสลาม :1.สตรี, จึงเป็นสถานที่ปรากฏความสวยงาม ความประณีต และความเงียบสงบ2.สตรี, คือที่มาแห่งความสงบมั่นของบุรุษ, ส่วนบุรุษนั่นเป็นสถานพำนักพักพิง ให้ความรับผิดชอบ และการเป็นผู้นำของสตรี
  • สถานะและบุคลิกภาพของซุรอเราะฮฺ ณ บรรดาอิมามเป็นอย่างไร?
    6831 تاريخ بزرگان 2555/05/17
    ซุรอเราะฮฺ เป็นหนึ่งในสหายของอิมามมะอฺซูม (อ.) ที่มีฐานะภาพและเกียรติยศอันยิ่งใหญ่ ณ อิมาม เขาถูกจัดว่าเป็นสหายอิจญฺมาอฺ หมายถึงความหน้าเชื่อถือ ความซื่อตรง และการพูดความจริงของเขา เป็นที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รับรู้กันดีในหมู่สหายของอิมาม (อ.) แม้ว่าจะมีรายงานกล่าววิจารณ์เขาอยู่บ้างก็ตาม, แต่เมื่อนำเอารายงานเหล่านั้นมารวมกันแล้ว สามารถสรุปให้เห็นถึงความถูกต้องของเขามากกว่า และจัดว่าเขาเป็นหนึ่งในสหายที่ยิ่งใหญ่ และมีเกียรติคนหนึ่งของอิมาม (อ.) ...
  • ประชาชนชาวเมืองกุมไม่ว่าจะกระทำผิดเพียงใดก็จะไม่ถูกลงโทษในไฟนรกกระนั้นหรือ?
    5848 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/11/21
    1.รายงานฮะดีซที่เกี่ยวข้องกับเมืองกุม, ที่ว่าประชาชนชาวกุมจะไม่ตกนรกนั้นไม่ถูกต้อง.2.การรู้จักมักคุ้นกับลูกหลานของท่านศาสดา (ซ็อล
  • ปรัชญาของการมีทาสในอิสลามคืออะไร? อิสลามมีวิธีการจัดการกับสิ่งเหล่าอย่างไร?
    12310 สิทธิและกฎหมาย 2555/08/22
    ถูกต้องบทบัญญัติเกี่ยวกับ การแต่งงานกับทาส, การเป็นมะฮฺรัมกับทาส, สัญญาซื้อขาย (ข้อตกลงที่จะปล่อยทาสเป็นไท) และ ...ได้ถูกกล่าวไว้ในอัลกุรอาน, การมีทาสได้รับการยืนยันว่ามีจริงในสมัยของท่านเราะซูล (ซ็อลฯ) และต้นยุคอิสลาม แต่จำเป็นต้องกล่าวว่าอิสลามมีโปรแกรมที่ละเอียดอ่อน และมีกำหนดเวลาในการปลดปล่อยทาสให้เป็นไท ซึ่งบั้นปลายสุดท้ายของทั้งหมดเหล่านั้นคือ การได้รับอิสรภาพเป็นไททั้งสิ้น ดังนั้นการเผชิญหน้าของอิสลามกับปัญหาเหล่านี้ จำเป็นต้องกล่าวถึงประเด็นสำคัญดังต่อไปนี้: 1-อิสลามมิเคยเริ่มต้นปัญหาเรื่องทาส 2-อิสลามถือว่าปัญหาชะตากรรม และความเจ็บปวดใจของทาสในอดีตที่ผ่านมาคือ ปัญหาความล้าหลังอันยิ่งใหญ่ของสังคม 3-อิสลามได้วางโครงการที่ละเอียดอ่อน เพื่อปลดปล่อยทาสให้เป็นไท, เนื่องจากครึ่งหนึ่งของพลเมืองในสมัยก่อนเป็นทาสทั้งสิ้น, พวกเขาไม่มีอิสรเสรีในการประกอบอาชีพการงาน, ไม่มีปัจจัยสำหรับการดำเนินชีวิตต่อไป.ถ้าหากอิสลามได้มีคำสั่งต่อสาธารณชนว่าให้ทั้งหมดปล่อยทาสให้เป็นไท, ซึ่งเป็นไปได้ว่าส่วนใหญ่ของพวกเขาจะต้องสูญเสียชีวิต หรือไม่ชนส่วนใหญ่ก็จะต้องว่างงานไร้อาชีพ หิวโหย ถูกกีดกัน และพวกเขาต้องได้รับแรงกดดันจนกระทั่งเข้าทำร้ายและโจมตีในทุกที่ การประจัญบาน การนองเลือด และการทำลายกฎระเบียบของสังคมก็จะทวีความรุนแรงขึ้น ด้วยเหตุนี้เอง อิสลามได้วางแผนการไว้อย่างละเอียด เพื่อดึงดูดสังคมให้ทาสเหล่านี้ได้รับอิสรภาพ และเป็นไทไปที่ละน้อย ซึ่งแผนการดังกล่าวมีองค์ประกอบหลายประการด้วยกัน ...
  • ความสำคัญและความพิเศษ และคำวิจารณ์หนังสือบิฮารุลอันวาร?
    7581 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2554/12/21
    กลุ่มฮะดีซจากหนังสือบิฮารุลอันวาร,ถือได้ว่าเป็นผลงานที่สำคัญที่สุดของอัลลามะฮฺมัจญิลิซซียฺ, หรืออาจกล่าวได้ว่าหนังสือเล่มนี้เป็นดาอิเราะตุลมะอาริฟฉบับใหญ่ของชีอะฮฺซึ่งได้รวบรวมเอาปัญหาศาสนาเกือบทั้งหมด,เช่นตัฟซีรกุรอาน, ประวัติศาสตร์, ฟิกฮฺ, เทววิทยา, และปัญหาอื่นๆอีกบางส่วนที่สำคัญที่สุดและเป็นความพิเศษของหนังสือบิฮารุลอันวารคือ:เริ่มต้นบทใหม่ทุกบทจะกล่าวถึงโองการอัลกุรอาน
  • ทั้งที่พจนารถของอิมามบากิรและอิมามศอดิกมีมากมาย เหตุใดจึงไม่มีการรวบรวมไว้ในหนังสือสักชุดหนึ่ง?
    6799 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2555/01/07
    หากจะพิจารณาถึงสังคมและยุคสมัยของท่านอิมามบากิร(อ.)และอิมามศอดิก(อ.)ก็จะเข้าใจได้ว่าเหตุใดจึงไม่มีการรวบรวมตำราดังกล่าวขึ้นอย่างไรก็ดีฮะดีษของทั้งสองท่านได้รับการรวบรวมไว้ในบันทึกที่เรียกว่า “อุศู้ลสี่ร้อยฉบับ” จากนั้นก็บันทึกในรูปของ”ตำราทั้งสี่” ต่อมาก็ได้รับการเรียบเรียงเป็นหมวดหมู่ฟิกเกาะฮ์ในหนังสือวะซาอิลุชชีอะฮ์กว่าสามสิบเล่มโดยท่านฮุรอามิลีแต่กระนั้นก็ต้องทราบว่าแม้ว่าฮะดีษของอิมามสองท่านดังกล่าวจะมีมากกว่าท่านอื่นๆก็ตามแต่หนังสือดังกล่าวก็มิได้รวบรวมเฉพาะฮะดีษของท่านทั้งสองแต่ยังรวมถึงฮะดีษของอิมามท่านอื่นๆอีกด้วย ทว่าปัจจุบันมีการเรียบเรียงหนังสือในลักษณะเจาะจงอยู่บ้างอาทิเช่นมุสนัดอิมามบากิร(อ.) และมุสนัดอิมามศอดิก(
  • ฮัมมาดะฮ์เป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย และมีบุคลิกอย่างไร?
    7473 تاريخ بزرگان 2555/03/08
    ตำราวิชาสายรายงานฮะดีษระบุว่ามีสตรีที่ชื่อ “ฮัมมาดะฮ์” สองคน คนหนึ่งชื่อ “ฮัมมาดะฮ์ บินติ เราะญาอ์” ส่วนอีกคนคือ “ฮัมมาดะฮ์ บินติ ฮะซัน” แต่สันนิษฐานว่าสองรายนี้คือคนๆเดียวกัน สุภาพสตรีท่านนี้เป็นสาวิกาของท่านอิมามศอดิก(อ.) ซึ่งกุลัยนีและเชคเศาะดู้กได้รายงานฮะดีษของอิมามศอดิกจากนาง[1] ท่านนะญาชีระบุว่าพี่ชายของนางชื่อซิยาด บิน อีซา อบูอุบัยดะฮ์ ฮิซาอ์ ส่วนเชคฏูซีระบุว่าพี่ชายของนางชื่อ เราะญาอ์ บิน ซิยาด จะเห็นได้ว่ามีทัศนะที่ขัดแย้งกันในเรื่องชื่อของพี่ชายและบิดาของนาง ทำให้เข้าใจได้ว่าน่าจะมีสตรีสองคนที่ชื่อฮัมมาดะฮ์ อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาถึงสำนวนของนะญาชีทำให้สามารถสันนิษฐานได้ว่าสองคนนี้แท้ที่จริงก็คือสตรีคนเดียวกัน เหตุผลที่นำมาชี้แจงก็คือ[2] อบูอุบัยดะฮ์ ฮิซาอ์ มีชื่อจริงว่า ซิยาด บิน อบีเราะญาอ์ (มิไช่แค่เราะญาอ์) ส่วนชื่อจริงของอบูเราะญาอ์คือ มุนซิร หรือซิยาด ผลที่ได้ก็คือ ...
  • คำพูดทั้งหมดของพระศาสดา (ซ็อล ฯ) ถือว่าเป็นวะฮฺยูหรือไม่?
    7865 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/21
    มุมมองของผู้เชี่ยวชาญ,ในประเด็นที่กำลังกล่าวถึงแตกต่างกันบางคนได้พิจารณาการตีความของโองการที่ 3,4 ของอัลกุรอานบทนัจมฺ[i]ซึ่งเชื่อว่าคำพูดทั้งหมดของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ตลอดจนการกระทำต่างๆของท่านมาจากวะฮฺยูทั้งสิ้นบางคนเชื่อว่าโองการที่ 4 ของบทอันนัจมฺนั้นกล่าวถึงอัลกุรอานกะรีมและบรรดาโองการต่างๆที่ประทานให้แก่ท่านศาสดา,แม้ว่าซุนนะฮฺ (แบบฉบับ) ของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) จะเป็นข้อพิสูจน์และเป็นเหตุผลก็ตามซึ่งคำพูดการกระทำและการนิ่งเฉยของท่านมิได้เกิดจากอารมณ์อย่างแน่นอนสิ่งที่เข้าใจได้จากสิ่งที่กล่าวถึงในตรงนี้คือสามารถกล่าวได้อย่างมั่นใจว่าทั้งความประพฤติและแบบอย่างของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) มิได้กระทำลงไปโดยปราศจากวะฮียฺอย่างแน่นอนดังเช่นคำพูดของท่านก็เป็นเช่นนี้ด้วยแม้ว่าจะเป็นคำพูดประจำวันคำพูดสามัญทั่วไปตลอดการดำรงชีวิตของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ก็ตามสิ่งนั้นก็จะไม่เกิดจากอารมณ์อย่างเด็ดขาดซึ่งตามความเป็นจริงแล้วเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้แน่นอนว่าท่านศาสดา (ซ็อลฯ) จะล่วงละเมิดกระทำความผิด[i]
  • ท่านอิมามฮุเซน(อ.)มีบุตรสาวชื่อรุก็อยยะฮ์หรือสะกีนะฮ์ไช่หรือไม่ ที่เสียชีวิตที่ดามัสกัสขณะอายุได้สามหรือสี่ขวบ?
    7410 تاريخ بزرگان 2554/12/21
    แม้ว่านักประวัติศาสตร์จะมิได้กล่าวถึงบุตรสาวตัวน้อยของอิมามฮุเซน(อ.) ที่มีนามว่ารุก็อยยะฮ์หรือฟาฏิมะฮ์ศุฆรอฯลฯแต่ตำราบางเล่มก็สาธยายเรื่องราวอันน่าเวทนาของเด็กหญิงคนนี้ณซากปรักหักพังในแคว้นชามเราพบว่ามีเบาะแสเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวปรากฏในตำราประวัติศาสตร์บางเล่มอาทิเช่นก. เมื่อท่านหญิงซัยนับ(ส.) ได้เห็นศีรษะของอิมามฮุเซน(อ.) ผู้เป็นพี่ชายนางได้รำพึงรำพันบทกวีที่มีเนื้อหาว่า “โอ้พี่จ๋าโปรดคุยกับฟาฏิมะฮ์น้อยสักนิดเถิดเพราะหัวใจนางกำลังจะสูญสลาย”

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60417 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    57988 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42516 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    39813 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    39167 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    34277 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    28327 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    28252 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    28186 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    26125 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...