การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
9985
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2554/10/22
 
รหัสในเว็บไซต์ fa1004 รหัสสำเนา 17848
คำถามอย่างย่อ
จงอธิบายเหตุผลที่บ่งบอกว่าดนตรีฮะรอม
คำถาม
เพราะเหตุใดดนตรีจึงฮะรอม?
คำตอบโดยสังเขป

ดนตรีและเครื่องเล่นดนตรีตามความหมายของ ฟิกฮฺ มีความแตกต่างกัน. คำว่า ฆินา หมายถึง การส่งเสียงร้องจากลำคอออกมาข้างนอก โดยมีการเล่นลูกคอไปตามจังหวะ, ซึ่งทำให้ผู้ฟังเกิดประเทืองอารมณ์และมีความสุข ซึ่งมีความเหมาะสมกับงานประชุมที่ไร้สาระ หรืองานประชุมที่คร่าเวลาให้หมดไปโดยเปล่าประโยชน์

ส่วนเสียงดนตรี หมายถึงเสียงที่เกิดจากการเล่นเครื่องตรี หรือการดีดสีตีเป่าต่างๆ

เมื่อพิจารณาอัลกุรอานบางโองการและรายงานฮะดีซ ประกอบกับคำพูดของนักจิตวิทยาบางคน, กล่าวว่าการที่บางคนนิยมกระทำความผิดอนาจาร, หลงลืมการรำลึกถึงอัลลอฮฺ, ล้วนเป็นผลในทางไม่ดีที่เกิดจากเสียงดนตรีและการขับร้อง ซึ่งเสียงเหล่านี้จะครอบงำประสาทของมนุษย์ ประกอบกับพวกทุนนิยมได้ใช้เสียงดนตรีไปในทางไม่ดี ดังนั้น สิ่งเหล่านี้อาจเป็นเหตุผลหนึ่งในเชิงปรัชญาที่ทำให้เสียงดนตรีฮะรอม

เหตุผลหลักที่ชี้ว่าดนตรีฮะรอม (หรือเสียงดนตรีบางอย่างฮะลาล) คือโองการอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซจากท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) และอิมามผู้บริสุทธิ์ (อ.) ซึ่งโองการอัลกุรอานประกอบด้วย โองการที่ 72 บทฟุรกอน, โองการที่ 30 บทฮัจญฺ, โองการที่ 3 บทมุอฺมินูน, และโองการที่ 6 บทลุกมาน, ซึ่งบรรดาอิมาม (อ.) ได้อธิบายความหมายของโองการเหล่านั้นไว้ว่า วัตถุประสงค์ของคำว่า “เกาลุนซุร” “ละฮฺว์” และ “ลัฆวี” ในโองการหมายถึง “ฆินา” เสียงดนตรี

นอกจากนั้นยังมีรายงานฮะดีซที่พิสูจน์ว่า เสียงดนตรีฮะรอม, และรายงานฮะดีซอีกกลุ่มหนึ่งที่บ่งบอกว่าอุปกรณ์ดนตรี และการใช้ประโยชน์จากสิ่งเหล่านั้นฮะรอม, ซึ่งรายงานเหล่านี้ได้พิสูจน์ให้แล้วว่าเครื่องดนตรีบางประเภทฮะรอม

จากคำกล่าวที่ว่า ฆินา หมายถึงเสียงเพลงหรือเสียงที่ลากให้ยาว หรือใช้กับทุกการเปล่งเสียงร้อง, ด้วยเหตุนี้เองบรรดาฟุเกาะฮาส่วนใหญ่จึงถือว่า ความไร้สาระ นั่นเองทีเป็นเงื่อนไขของการเป็นฮะรอมของเสียงเพลง นอกจากนั้นบางท่านยังได้เสริมว่าแม้แต่ความดึงดูดใจของเสียงเพลงก็เป็นฮะรอมด้วย, และส่วนเสียงดนตรีก็เช่นกัน บรรดานักปราชญ์ส่วนใหญ่ถือว่าเป็นความไร้สาระประเภทหนึ่ง และเป็นฮะรอมด้วยเหมือนกัน นอกจากนั้นเสียงดนตรีที่ดึงดูดใจก็ถือว่าฮะรอมเหมือนกัน

คำตอบเชิงรายละเอียด

1.คำอธิบายความเข้าใจเสียงดนตรี :

คำว่า “มิวสิก” หรือ “มิวสิกิยา” เป็นคำพูดที่มาจากกรีก ซึ่งในสารานุกรมเทียบได้ตรงกับคำว่า ฆินา ส่วนในความเข้าใจด้านศาสนาหรือนิยามทางวิชาฟิกฮฺ,มีความแตกต่างกัน. คำว่า ฆินา ในคำจำกัดความของชัรอียฺหมายถึง การร้องโดยเปล่งเสียงออกมาจากลำคอ มีการเอื้อน หรือเล่นลูกคอไปตามจังหวะ สร้างความรื่นรมและความหรรษาให้แก่ผู้ฟัง ซึ่งมีความเหมาะสมกับงานประชุมที่ไร้สาระ หรืองานประชุมเพื่อคร่าเวลาให้หมดไปโดยเปล่าประโยชน์, ส่วนเสียงดนตรีนั้นหมายถึงเสียงที่เกิดจากการดีดสีตีเปล่าเครื่องดนตรี, บนพื้นฐานดังกล่าวนี้, ความสัมพันธ์ระหว่างมิวสิกที่รู้จักกันโดยทั่วไปกับมิวสิกทางฟิกฮฺ, อุมูลวะคุซูซมุฎลัก[1]

2. วิทยปัญญาการฮะรอมของเสียงดนตรีและเพลง

ถ้าหากพิจารณษอัลกุรอาน บางโองการ รายงานบางบท และคำพูดของนักจิตวิทยาบางคน สามารถกล่าวได้ว่าประเด็นดังต่อไปนี้คือวิทยปัญญาการเป็นฮะรอมของเสียงดนตรีและเพลง :

ก. การโน้มน้าวมนุษย์ไปสู่การทำความชั่วอนาจาร :

รายงานฮะดีซจากท่านนบี (ซ็อล ฯ) กล่าวว่า : “เสียงเพลงคือบันใดก้าวไปสู่การซินา”[2] ประสบการณ์ได้แสดงให้เห็นว่าผู้คนจำนวนมากมายได้ละทิ้งความสำรวมตน ไปสู่การก่อกรรมชั่วเนื่องจากอิทธิพลของเสียงเพลง. ห้องดนตรีส่วนใหญ่คือศูนย์กลางของความชั่วร้ายอนาจาร[3]

ข.เสียงเพลงทำให้มนุษย์ลืมการรำลึกถึงอัลลอฮฺ :

อัลกุรอาน กล่าวว่า :“มนุษย์บางกลุ่มซื้อคำพูดที่ไร้สาระ เพื่อหลอกลวงผู้คนที่ปราศจากความรู้ให้หลงออกจากทางของอัลลอฮฺ ถือเอาโองการของพระเจ้าเป็นเรื่องขบขัน พวกเขาจะได้รับการลงโทษอันอัปยศ”[4]  อัลกุรอาน โองการนี้กล่าวถึงตัวการสำคัญที่ทำให้มนุษย์หลงทางไปจากแนวทางของอัลลอฮฺ นั่นคือ “ละฮฺวุลฮะดีซ” คำว่า ละฮฺวุน หมายถึงสิ่งที่โน้มนำมนุษย์ให้หมกมุ่นกับตัวเอง จนเป็นสาเหตุทำให้หลงลืมและต้องละทิ้งการงานที่สำคัญ ซึ่งรายงานฮะดีซอธิบายว่าสิ่งนั้นหมายถึง เสียงเพลง[5]

ค. ผลที่ไม่ดีของเสียงเพลงและดนตรีที่มีต่อสภาพจิตใจและประสาท :

เสียงเพลงและเสียงดนตรีเป็นหนึ่งในยาเสพติดที่มอมเมาและทำลายระบบประสาท “ถ้าพิจารณาชีวประวัติของนักดนตรีที่มีชื่อเสียงบ่งบอกให้เห็นว่า ในช่วงชีวิตได้รับความทุกข์ทางจิตใจ,ซึ่งระบบประสาทของตนค่อยๆ หายไปที่ละน้อย และบางกลุ่มได้รับความทุกข์ทรมานและมีอาการป่วยทางจิต หรือบางกลุ่มได้สูญมือ, บางกลุ่มเป็นอัม

ง.ดนตรีคือสื่อและเป็นเครื่องมือของนักล่าอาณานิคม

นักล่าอาณานิคม บนโลกนี้ส่วนใหญ่แล้วมีความหวาดกลัวต่อการตื่นตัวของประชาชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเยาวชน, ด้วยเหตุนี้เองหนึ่งในนโยบายอันกว้างใหญ่ของพวกล่าอาณานิคมคือ การทำให้สังคมจมดิ่งปราศจากข่าวสารและข้อมูล ขณะเดียวกันก็มอมเมให้สังคมหมกมุ่นอยู่กับสิ่งไร้สาระ และเป็นพิษต่อสังคมอาทิเช่น การส่งเสริมเสียงเพลงและดนตรีให้ยิ่งใหญ่, พวกเขาได้จัดทำเครื่องดนตรีที่สำคัญเพื่อมอมเมาความคิดของประชาชนให้หมกมุ่นอยู่กับสิ่งนั้น[6]

3.มีหลายประเด็นที่ถูกกล่าวถึงวิทยปัญญาของการฮะรอมของเสียงเพลงและดนตรี ซึ่งมิใช่เหตุผลสมบูรณ์ ด้วยเหตุนี้เอง,ในบางประเด็นที่ผลของดนตรีไม่ฮะรอม แต่ก็ยังมีกฎเกณฑ์ที่ฮะรอม

4. เหตุผลหลักที่เสียงเพลงและดนตรีฮะรอม (หรือฮะลาลบางประเภท) คือโองการอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซจากท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) บรรดาอิมามผู้บริสุทธิ์ (อ.) ซึ่งสิ่งเหล่านี้ได้รับการพิจารณาและวิเคราะห์โดยฝ่ายนิติศาสตร์อิสลามแล้ว ซึ่งในบทความนี้จะกล่าวเฉพาะบางประเด็นเท่านั้น อาทิเช่น

ก. โองการอัลกุรอาน แม้ว่าจะไม่ได้อธิบายถึงเสียงเพลงและดนตรีโดยตรงก็ตาม เฉกเช่น บทบัญญัติที่ได้กล่าวถึงหลักสำคัญและหลักทั่วไปเอาไว้, แต่บางโองการซึ่งได้รับการตีความไว้โดยท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) และบรรดาอิมามผู้บริสุทธิ์ (อ.) ซึ่งได้ตีความเทียบตรงกับเพลงและดนตรี,ซึ่งจะขอนำเสนอสักสองสามโองการดังต่อไปนี้ :

1. ท่านอิมามซอดิก (อ.) กล่าวอธิบายโองการที่กล่าวว่า “และบรรดาผู้ไม่เป็นพยานในการเท็จ และเมื่อพวกเขาผ่านเรื่องไร้สาระ พวกเขาผ่านไปอย่างมีเกียรติ”[7] “พวกเขาหลีกเลี่ยงคำพูดไร้สาระ”[8] โดยกล่าวว่า “วัตถุประสงค์หมายถึงงานเลื้ยงที่ไร้สาระและเสียงเพลง”[9]

2.ท่านอิมามซอดิก (อ.) กล่าวถึงโองการที่กล่าวว่า “และพวกเขาที่เป็นผู้ผินหลังให้เรื่องไร้สาระต่าง ๆ”[10] โดยกล่าวว่า “วัตถุประสงค์จากเรื่องไร้สาระต่างๆ” ของโองการข้างต้นหมายถึง ดนตรีและสิ่งไร้สาะทั้งหลาย”[11]

3.ท่านอิมามบากิร (อ.) และอิมามซอดิก (อ.) กล่าวถึงโองการที่กล่าวว่า “มนุษย์บางกลุ่มซื้อคำพูดที่ไร้สาระ เพื่อหลอกลวงผู้คนที่ปราศจากความรู้ให้หลงออกจากทางของอัลลอฮฺ ถือเอาโองการของพระเจ้าเป็นเรื่องขบขัน พวกเขาจะได้รับการลงโทษอันอัปยศ”[12] โดยกล่าวว่า “วัตถุประสงค์ของคำพูดไร้สาระคือ เพลง”[13]

ประเด็นสำคัญ : แม้ว่ารายงานส่วนใหญ่และโองการที่กล่าวมาจะไม่ได้กล่าวถึงเพลงโดยตรง แต่บางรายงานก็ได้กล่าวถึงเพลงโดยตรงก็มี[14] บรรดานักปราชญ์ทั้งหลายถือว่าบางโองการเหล่านี้บ่งชี้ถึงเรื่องเพลงและดนตรี[15]

ข) เหตุผลที่สำคัญที่สุดเรื่องดนตรีฮะรอม,คือรายงานจากท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) และอิมามผู้บริสุทธิ์ (อ.) ที่ได้ตกทอดมาถึงเรา และรายงานเหล่านั้นได้บ่งบอกให้เห็นว่า ดนตรีเป็นฮะรอม ซึ่งจะขอหยิบยกบางรายงานมากล่าวในที่นี้ อาทิเช่น :

ท่านอิมามบากิร (อ.) กล่าวว่า : “ดนตรีคือสิ่งหนึ่งซึ่งอัลลอฮฺทรงจุดไฟนรกเตรียมไว้แล้ว”[16] ท่านอิมามมซอดิก (อ.) กล่าวว่า “จงออกห่างจากเสียงดนตรี”[17]

ค) เกี่ยวกับการเป็นฮะรอมของเสียงเพลง มีรายงานจากท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) และอิมามผู้บริสุทธิ์ (อ.) ซึ่งจะขอหยิบยกบางรายงานมากล่าวในที่นี้ อาทิเช่น :

ท่านอิมามซอดิก (อ.) กล่าวว่า : “ชิ้นส่วนอุปกรณ์และเสียงเป็นการงานของชัยฎอน ดังนั้น ทุกสิ่งบนพื้นดินถ้ามีของประเภทนี้ ถือว่ามาจากชัยฏอนมารร้าย”[18] ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) กล่าวว่า : “ฉันขอสั่งห้ามพวกเจ้าจากชิ้นส่วนอุปกรณ์และเสียงเพลง”[19]

ง) จากการอธิบายที่กล่าวถึงคำว่า ฆินา หมายถึง “การลากเสียงยาว” ทว่าหมายถึงทุกเสียงที่เปล่งร้องทำนองออกไป[20] ท่านเชคอันซอรีย์ กล่าวว่า “เป็นที่ชัดเจนว่าไม่มีสิ่งใดเป็นฮะรอม”[21] ด้วยเหตุนี้เองบรรดานักปราชญ์จึงถือว่า “ความไร้สาระ” คือเงื่อนไขสำคัญที่ว่าดนตรีเป็นฮะรอม กล่าวคือ ดนตรีไร้สาระและเป็นฮะรอม.[22]

คำว่า “ละฮฺวุน” ได้ให้ความหมายว่าสื่อที่นำไปสู่การลืมรำลึกถึงพระเจ้า และการจมดิ่งไปสู่ความหยาบคาย[23] กล่าวว่า เสียงเพลงคือการร้องลำนำที่ฮะรอม เหมาะสมกับงานชุมนุมที่ไร้สาระ อนาจาร ปล่อยตัวปล่อยใจเพื่อแสวงความสุขชนิดไร้สาระ[24]

นักปราชญ์บางท่านนอกจากจะถือ ความไร้สาระ แล้วยังได้เพิ่มเรื่อง การประเทืองอารมณ์ เข้าไปอีก[25] ความหรรษาหรือประเทืองอารมณ์ เป็นสภาพหนึ่งที่เกิดจากผลของการได้ยินเสียงขับร้อง หรือเสียงดนตรีที่ฝังเข้าไปในจิตใจ และทำให้เขาออกนอกความสมดุลของตัวเอง ส่วนเรื่องเสียงดนตรี (เสียงที่เกิดจากการดีดสีตีเป่าเครื่องดนตรี) ก็เช่นเดียวกันนักปราชญ์ส่วนใหญ่ถือว่า ถ้าเป็นเรื่องไร้สาระแล้วละก็ เป็นฮะรอมทั้งสิ้น และบางคนยังถือว่า การฟังเสียงดนตรีที่ก่อให้เกิดความหรรษาและประเทืองอารมณ์แล้วเป็น ฮะรอม[26]

ประเด็นสุดท้าย : ดังที่กล่าวไปแล้วว่าการวิพากษ์วิจารณ์ปัญหาดังกล่าว เป็นหน้าที่ของนักปราชญ์ผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งบุคคลที่ไม่มีศักยภาพเพียงพอในการอิจญฺติฮาด (วินิจฉัย) แล้วละก็ ควรจะปฏิบัติตามทัศนะของมัรญิอฺตักลีด



[1] ซัยยิด มุจญฺตะบา ฮุซัยนี, (คำถามตอบต่างๆ สำหรับนักศึกษา) หน้า 169, อิมามโคมัยนี, อัลมะกาซิบมุฮัรเราะมะฮฺ, เล่ม 1 หน้า 198 – 224,ฮุซัยนี, อะลี, อัลมิวสิกกี, หน้า 16, 17, ตับรีซีย์, อิสติฟตาอาต, คำถามที่ 10, 46, 47, 1048, ฟาฎิล, ญามิอุลมะซาอิล, เล่ม 1, คำถามที่ 974, 978, 979.

[2] الغناء رقیة الزنا؛, บิฮารุลอันวาร, เล่ม 76, หมวด 99, อัลฆินาอ์

[3] อิทธิพลของเสียงเพลงที่มีต่อระบบประสาทและจิตใจ, หน้า 29, ตัฟซีรรูฮุลมะอานี, เล่ม 21 , หน้า 6, ตัฟซีรเนะมูเนะฮฺ, เล่ม 17, หน้า 25, 26.

[4] อัลกุรอาน บทลุกมาน, โองการที่ 6 กล่าวว่า :

ومن الناس من یشتری لهو الحدیث لیضل عن سبیل الله بغیرعلم و یتخذها هزوا اولئک لهم عذاب مهین؛

[5] วะซาอิลุชชีอะฮฺ, เล่ม 12, หมวดที่ 99, - ابواب ما یکتسب به-

[6] ตัฟซีรเนะมูเนะฮฺ, เล่ม 17, หน้า 27.

[7] อัลกุรอาน บทฟุรกอน, 72. (والذین لا یشهدون الزور)

[8] อัลกุรอาน บทฮัจญฺ, 30. (واجتنبوا قول الزور)

[9] วะซาอิลุชชิอะฮฺ, เล่ม 12, หมวด 99, ฮะดีซที่ 2, 3, 5, 9, 26.

[10] อัลกุรอาน บทมุอฺมินูน, 3, กล่าวว่า (والذین عن اللغو معرضون)

[11] ตัฟซีรอะลี บินอิบรอฮีม, เล่ม 2 , หน้า 88.

[12] อัลกุรอาน บทลุกมาน, 6.

[13] วะซาอิลุชชีอะฮฺ, เล่ม 12, หมวด 99, ฮะดีซที่ 6, 7, 11, 16, 25.

[14] อ้างแล้วเล่มเดิม, หมวดที่ 100, ฮะดีซที่ 3.

[15] อัลมะกาซิบ อัลมุฮัรเราะมะฮฺ, อิมามโคมัยนี (รฎ.) เล่ม 1,หน้า 2.

[16] วะซาอิลุชชีอะฮฺ, เล่ม 12, หมวด 99, ฮะดีซที่ 6.

[17] อ้างแล้วเล่มเดิม, ฮะดีซที่ 23 – 24.

[18] อ้างแล้วเล่มเดิม, หมวดที่ 100, ฮะดีซที่ 5 – 6

[19]อางแล้วเล่มเดิม 

[20] อัลมะกาซิบ อัลมุฮัรเราะมะฮฺ, อิมามโคมัยนี (รฎ.) เล่ม 1,หน้า 229.

[21] อัลมะกาซิบ เชคอันซอรีย์, เล่ม 1, หน้า 292

[22] ริซาละฮฺ ดอเนชญู, หน้า 171.

[23] อะฮฺมัด ชัรมะคอนี, อินซาน, ฆินา, มิวสิก, หน้า 14

[24] ริซาละ ดอเนชญู, หน้า 171, อย่างไรก็ตามข้อห้าม (ฮะรอม) เด็ดขาดของทุกเสียงร้องที่มีความไพเราะ ไม่เข้ากับธรรมชาติและสติปัญญาของมนุษย์ และยังขัดแย้งกับบางรายงานอีกด้วยที่ระบุว่า ให้อ่านอัลกุรอานด้วยท่วงทำนองและเสียงที่ไพเราะ, ด้วยเหตุนี้เอง วัตถุประสงค์จึงหมายถึงเป็นบางอย่างอันเฉพาะ ซึ่งสามารถตีความตามมาตรฐานของข้อห้ามที่การกล่าวว่า "เท็จ" หรือ "ไร้สาระ"

[25] อ้างแล้วเล่มเดิม

[26] เตาฎีฮุล มะซาอิล มะรอญิอ์ตักลีด, เล่ม 2, หน้า 813 – 819, มะซาอิลญะดีด, เล่ม 1, หน้า 47.

ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • แถวนมาซญะมาอะฮฺควรตั้งอย่างไร? การเคลื่อนในนมาซทำให้บาฎิลหรือไม่?
    7110 สิทธิและกฎหมาย 2554/06/21
    เกี่ยวกับคำถามของท่านในเรื่องการจัดแถวนมาซญะมาอะฮฺมีกล่าวไว้แล้วในหนังสือฟิกฮต่างๆ :1. มะอฺมูมต้องไม่ยืนล้ำหน้าอิมามญะมาอะฮฺ[1]2. มุสตะฮับถ้าหากมะอฺมูม,เป็นชายเพียงคนเดียว, ให้ยืนด้านขวามือของอิมามญะมาอะฮฺ[2], และเป็นอิฮฺติยาฏวาญิบให้ยืนถอยไปด้านหลังของอิมามญะมาอะฮฺแต่ถ้ามีมะอฺมูมหลายคนให้ยืนด้านหลังของอิมามญะมาอะฮฺ[3]ดังนั้นโดยทั่วไปของเรื่องนี้ต้องการให้แต่ละคนจากมะอฺมูมคนที่ 1 และ 2 ปฏิบัติหน้าที่ของตนส่วนคำตอบสำหรับคำถามที่ว่ามะอฺมูมคนที่สองเป็นสาเหตุทำให้มะอฺมูมคนแรกต้องเคลื่อนที่ในนมาซญะมาอะฮฺอันเป็นสาเหตุทำให้นมาซของเขาบาฏิลหรือไม่นั้น, ต้องกล่าวว่า: การกระทำใดก็ตามที่ทำให้รูปแบบของมนาซต้องสูญเสียไปถือว่านมาซบาฏิล, เช่นการกอดอกหรือการกระโดดและฯลฯ[4]มัรฮูมซัยยิดกาซิมเฎาะบาเฏาะบาอียัซดีกล่าวว่า[5]ขณะนมาซ,ถ้าได้เคลื่อนเพื่อหันให้ตรงกับกิบละฮฺ[6]ถือว่าถูกต้อง,แม้ว่าจะถอยไปสองสามก้าวหรือมากกว่านั้น, เนื่องจากการเคลื่อนเพียงเท่านี้ไม่นับว่าเป็นอากับกริยาเพิ่มในนมาซทั้งที่มิได้มีการเคลื่อนมากมายและไม่ถือเป็นการทำลายรูปลักษณ์ของนมาซหรือเคลื่อนมากไปกว่านั้นก็ยังไม่ถือว่าทำลายรูปลักณ์ของนมาซอยู่ดีด้วยเหตุนี้มีรายงานอนุญาตให้กระทำเช่นนั้นด้วย
  • เมื่อพิจารณาโองการต่างๆ และรายงานฮะดีซแล้ว ช่วยชี้แนะด้วยว่าระหว่างเกียรติยศและความประเสริฐของอัลกุรอานกับอะฮฺลุลบัยตฺ สิ่งไหนสูงกว่ากัน?
    7003 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/12/21
    รายงานต่างๆจำนวนมากมายเช่นฮะดีซซะเกาะลัยนฺและอิตรัต, ได้ถูกแนะนำว่าเป็นสองสิ่งหนักที่มีความเสมอภาคกัน, ใช่แล้วบางรายงานฮะดีซเฉกเช่นสิ่งที่กล่าวไว้ในฮะดีซซะเกาะลัยนฺ
  • สามารถอธิบาย ปฏิสัมพันธ์ระหว่างสิทธิมนุษยชน ระหว่างแพทย์กับคนไข้ตามบทบัญญัติของอิสลามได้หรือไม่?
    6650 สิทธิและกฎหมาย 2555/04/07
    ด้านหนึ่ง บทบัญญัติของพระเจ้านั้น สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ส่วน ดังนี้, ก) บทบัญญัติอิมฎออีย์, ข) บทบัญญัติตะอฺซีซียฺ อะฮฺกามอิมฎออียฺ หมายถึง บทบัญญัติซึ่งมีมาก่อนอิสลาม, แต่อิสลามได้ปรับปรุงและรับรองกฎนั้น เช่น การค้าขายประเภทต่างๆ มากมาย, อะฮฺกามตะอฺซีซียฺ หมายถึง บทบัญญัติที่ไม่เคยมีมาก่อน ทว่าอิสลามได้กำหนดกฎเกณฑ์เหล่านั้นขึ้นมา เช่น บทบัญญัติเกี่ยวกับการอิบาดะฮฺทั้งหลาย สิทธิซึ่งกันและกัน ระหว่างมนุษย์ด้วยกันมิได้มีเฉพาะแต่ในอิสลามเท่านั้น, ทว่าระหว่างศาสนาต่างๆ ของพระเจ้า, หรือแม้แต่ศาสนาที่มิได้นับถือพระเจ้าก็กล่าวถึงสิ่งนี้ไว้เช่นเดียวกัน ด้วยทัศนะที่ว่า มนุษย์มีภาคประชาสังคม และการตามโดยธรรมชาติ, ดังนั้น เพื่อรักษาระเบียบของสังคม จำเป็นต้องวางกฎเกณฑ์ และกำหนดสิทธิขึ้นสำหรับประชาคมทั้งหลาย ซึ่งพลเมืองทั้งหมดต่างมีหน้าที่รับผิดชอบและต้องรักษากฎระเบียบเหล่านั้น ซึ่งสิ่งนี้เรียกอีกอย่างว่า สิทธิของบุคคล เกี่ยวกับสิทธิซึ่งกันและกัน ...
  • การประทานอัลกุรอานลงมาคราวเดียวและการทยอยประทานลงมาผ่านพ้นไปตั้งแต่เมื่อใด?
    18781 วิทยาการกุรอาน 2554/04/21
    การประทานอัลกุรอานในคราวเดียวกันบนจิตใจของท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อลฯ) ได้เกิดขึ้นเมื่อค่ำคืนแห่งอานุภาพ (ลัยละตุลก็อดฺร์) อันเป็นหนึ่งในค่ำคืนสำคัญยิ่งแห่งเดือนรอมฏอนและเมื่อได้ศึกษารายงานฮะดีซบางบทและอัลกุรอานบางโองการแล้วจะเห็นว่ารายงานและโองการเหล่านั้นได้สนับสนุนความเป็นไปได้ดังกล่าวว่าค่ำคืนแห่งอานุภาพนั้นก็คือค่ำคืนที่ 23 ของเดือนรอมฎอน
  • การทำความผิดซ้ำซาก เป็นให้ถูกลงโทษรุนแรงหรือ?
    11730 จริยธรรมปฏิบัติ 2555/08/22
    การทำความผิดซ้ำซากมีความหมาย 2 อย่าง กล่าวคือ 1-ทำความผิดซ้ำบ่อยครั้ง, 2- กระทำผิดโดยไม่ได้คิดลุแก่โทษ หรือไม่เคยกลับตัวกลับใจ การทำความผิดซ้ำซากนั้น จะมีผลติดตามมาซึ่งหนักหนาสาหัสมาก ทั้งโองการอัลกุรอานและรายงานฮะดีซ ได้กล่าวตำหนิไว้อย่างรุนแรง และยังได้กล่าวเตือนอีกว่าผลของการกระทำความผิดนั้น เช่น การเปลื่ยนจากความผิดเล็กเป็นความผิดใหญ่, การออกนอกวงจรของผู้มีความสำรวมตน, ความอับโชคเฮงซวยทั้งหลาย, อิบาดะฮฺไม่ถูกตอบรับ, ลากพามนุษย์ไปสู่เขตแดนของผู้ปฏิเสธศรัทธาและพระเจ้า และ ... หนึ่งในผลของการทำความผิดซ้ำซากคือ การได้รับโทษทัณฑ์อันรุนแรงทั้งโลกนี้และโลกหน้า เหมือนกับบุคคลที่ได้ทำบาปใหญ่ ถ้าเป็นครั้งที่สองเขาจะถูกลงโทษและถูกเฆี่ยนตี ถ้าเป็นครั้งที่สามประหารชีวิต ...
  • ชาวอะฮ์ลิสซุนนะฮ์มีทัศนะอย่างไรเกี่ยวกับท่านบิล้าล?
    7199 تاريخ بزرگان 2554/08/08
    หนังสืออ้างอิงทางประวัติศาสตร์ของชาวอะฮ์ลิสซุนนะฮ์กล่าวถึงท่านบิล้าลผู้เป็นอัครสาวกว่าท่านได้รับการไถ่ตัวโดยท่านอบูบักร์ท่านเป็นผู้ศรัทธาที่อดทนต่อการทรมานโดยกาเฟรมุชริกีนและเป็นนักอะซานประจำของท่านนบี(ซ.ล.) อีกทั้งยังเป็นนักต่อสู้เพื่ออิสลามในสมรภูมิต่างๆเคียงข้างท่านนบี(ซ.ล.) ทว่าหลังจากที่นบีละสังขารท่านก็จากเมืองมะดีนะฮ์มุ่งสู่แคว้นชามและเสียชีวิตณที่นั่น ...
  • การนั่งจำสมาธิคืออะไร? ชีอะฮฺมีทัศนะอย่างไรเกี่ยวกับการนั่งจำสมาธิ?
    9334 รหัสยปฏิบัติ 2557/05/20
    วัตถุประสงค่ของการนั่งจำสมาธิ (การอิบาดะฮฺ 40 วัน) คือการเดินจิตด้านใน, การจาริกจิต, การคอยระมัดระวังตนเองภายใน 40 วัน, เพื่อยกระดับและพัฒนาจิตด้านในของบุคคล เพื่อเตรียมพร้อมที่จำเป็น สำหรับการรองรับวิทยญาณและวิชาการของพระเจ้า ซึ่งนักเดินจิตด้านใน และปราชญ์ฝ่ายชีอะฮฺส่วนใหญ่จะให้ความสำคัญกับประเด็นดังกล่าว ซึ่งวางอยู่บนพื้นฐานของโองการและรายงานฮะดีซ ด้วยเหตุนี้ การอิบาดะฮฺและการตั้งเจตนาด้วยความจริงใจและบริสุทธิ์ใจ ภายใน 40 วัน จึงถือว่าเป็นการปฏิบัติที่ดีที่สุด แต่สิ่งที่นักเดินจิตด้านในตักเตือนไว้คือ จงอย่าให้การนั่งจำสมาธิกลายเป็นเครื่องมือละทิ้งสังคม ปลีกวิเวกจนกลายเป็นความสันโดษ ...
  • จุดประสงค์ของการสร้างคืออะไร จงอธิบายเหตุผลในเชิงเหตุผลนิยม ถ้าเป้าหมายคือความสมบูรณ์แล้วทำไมพระเจ้าไม่ทรงสร้างมนุษย์ให้สมบูรณ์แบบ
    14000 เทววิทยาดั้งเดิม 2553/10/21
    พระเจ้าคือผู้ดำรงอยู่ที่ไม่มีความจำกัด พระองค์ทรงมีความสมบูรณ์แบบทุกประการ การสร้าง (บังเกิด) เป็นความงดงาม และพระองค์คือผู้มีความงดงามความงดงามอันสมบูรณ์แบบของพระองค์ เป็นตัวกำหนดว่าพระองค์ทรงสร้างทุกอย่างขึ้นตามคุณค่าของมัน ดังนั้น พระเจ้าทรงสร้างเป็นเพราะพระองค์คือผู้งดงาม หมายถึงจุดประสงค์และเป้าหมายในการสร้างของพระองค์นั้นงดงาม อีกด้านหนึ่งคุณลักษณะอาตมันของพระเจ้าไม่ได้แยกออกจากอาตมันของพระองค์ จึงสามารถกล่าวได้ว่าจุดประสงค์ของการสร้างคือ อาตมันของพระเพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์มาโดยให้มีแนวโน้มที่ดีและความชั่วร้ายภายใน และทรงประทานผู้เชิญชวนภายนอก 2 ท่าน ที่ดีได้แก่ศาสดา (นบี) และความชั่วร้ายได้แก่ชัยฎอน (ปีศาจ), ทั้งนี้มนุษย์สามารถบรรลุความสมบูรณ์สูงสุดของสรรพสิ่งที่อยู่หรือก้าวไปสู่ความชั่วช้าที่ต่ำทรามที่สุดก็เป็นได้ ทั้งที่มนุษย์นั้นมีพลังของเดรัจฉานและการลวงล่อของซาตานที่ล่อลวงอยู่ตลอดเวลา ...
  • มีการประทานโองการที่เกี่ยวกับอิมามอลี(อ.)ในเดือนใดมากที่สุด?
    7960 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/03/07
    เพื่อไขปัญหาดังกล่าว ในเบื้องต้นควรทราบข้อสังเกตุดังต่อไปนี้ 1. โดยทั่วไปแล้ว ฮะดีษที่กล่าวถึงเหตุแห่งการประทานโองการกุรอานมีสองประเภท หนึ่ง. เล่าถึงเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นในยุคของท่านนบี(ซ.ล.) โดยอ้างถึงโองการที่ประทานลงมาเกี่ยวกับเหตุการณ์นั้นๆ สอง. เล่าถึงโองการที่ประทานลงมาเกี่ยวกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยมิได้กล่าวถึงรายละเอียดเหตุการณ์ อย่างเช่นโองการที่เกี่ยวกับฐานันดรภาพของท่านอิมามอลี(อ.)และอิมาม(อ.)ท่านอื่นๆ[1] 2. โองการกุรอานประทานลงมาสู่ท่านนบี(ซ.ล.)เป็นระยะๆตามแต่เหตุการณ์ วันเวลาและสถานที่ที่แตกต่างกัน ทว่ามีบางโองการเท่านั้นที่มีฮะดีษช่วยระบุถึงปัจจัยต่างๆดังกล่าว หรืออาจจะมีฮะดีษที่ระบุไว้แต่มิได้ตกทอดถึงยุคของเรา 3. มีโองการมากมายที่กล่าวถึงฐานันดรภาพของท่านอิมามอลี(อ.)และมะอ์ศูมีน(อ.)ท่านอื่นๆ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นการพิสูจน์และตีแผ่หลักการสำคัญอย่างเช่นหลักอิมามะฮ์ (ภาวะผู้นำภายหลังนบี) หากพิจารณาเหตุแห่งการประทานโองการต่างๆอย่างถี่ถ้วนแล้ว จะพบว่าโองการที่กล่าวถึงฐานันดรภาพและภาวะผู้นำของท่านอิมามอลี(อ.)มักจะประทานลงมาในเดือนซุลฮิจญะฮ์เป็นส่วนใหญ่ อาทิเช่นโองการต่อไปนี้ หนึ่ง. يا أَيُّهَا الرَّسُولُ بَلِّغْ ما أُنْزِلَ إِلَيْكَ مِنْ رَبِّكَ وَ إِنْ ...
  • การทำหมันแมวเพื่อป้องกันมิให้จรจัด แต่ก็มีผลกระทบไม่ดีด้านความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม ฮุกุ่มเป็นอย่างไรบ้าง?
    8660 สิทธิและกฎหมาย 2555/01/23
    สำนักฯพณฯท่านผู้นำอายะตุลลอฮฺอัลอุซมาคอเมเนอี (ขออัลลอฮฺทรงคุ้มครองท่าน):

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60519 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    58100 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42634 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    39996 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    39253 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    34371 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    28435 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    28356 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    28280 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    26214 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...