การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
6785
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2554/11/09
 
รหัสในเว็บไซต์ fa1387 รหัสสำเนา 18281
คำถามอย่างย่อ
อะฮ์ลิสซุนนะฮ์จะต้องเชื่อเช่นไรจึงจะถือว่าเป็นชีอะฮ์แล้ว?
คำถาม
พี่น้องอะฮ์ลิสซุนนะฮ์จะต้องปรับตัวและยอมรับความเชื่ออย่างไรจึงจะถือว่าเป็นชีอะฮ์แล้ว?
คำตอบโดยสังเขป
ชีอะฮ์และซุนหนี่มีความเชื่อและหลักปฏิบัติที่คล้ายคลึงกันมากมาย อาจมีบางประเด็นที่เห็นต่างกัน ข้อแตกต่างสำคัญระหว่างชีอะฮ์กับซุนหนี่ก็คือประเด็นปัญหาเกี่ยวกับหลักอิมามัตและภาวะผู้นำของบรรดาอะฮ์ลุลบัยต์ของนบี(..) พี่น้องซุนหนี่จะรับสายธารชีอะฮ์ได้ก็ต่อเมื่อปรับเปลี่ยนทัศนคติต่อประเด็นอิมามัตเสียก่อน ทั้งนี้ก็เนื่องจากชีอะฮ์เชื่อว่าหากไม่นับรวมสถานภาพการรับวะฮีย์แล้ว บรรดาอิมามมะอ์ศูมก็จะมีสถานะใกล้เคียงท่านนบี(..) ชีอะฮ์เชื่อว่าบุคคลเหล่านี้ได้รับการแต่งตั้งจากอัลลอฮ์ และเป็นศูนย์กลางทางศาสนา(พิทักษ์และเผยแผ่ศาสนาและอรรถาธิบายอัลกุรอาน) อีกทั้งยังมีอำนาจต่อปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ เป็นนักปกครองและแกนกลางของสังคม มีความชอบธรรมในการพิพากษา และมีความรอบรู้เหนือผู้ใด ชีอะฮ์เชื่อว่าจะต้องปฏิบัติตามบุคคลเหล่านี้เท่านั้น แต่เป็นที่น่าเสียดายว่ามัซฮับอื่นๆกลับไม่ได้เชื่อเช่นนี้ เพียงแต่ยอมรับว่าจะต้องรักอิมามมะอ์ศูม และยกย่องในสถานะนักรายงานฮะดีษที่เชื่อถือได้เท่านั้น
แท้ที่จริงแล้ว ฮะดีษของซุนหนี่นอกจากจะพิสูจน์ได้ถึงความรักต่ออะฮ์ลุลบัยต์ ยังสามารถพิสูจน์ถึงความจำเป็นที่จะต้องปฏิบัติตามอะฮ์ลุลบัยต์(.)โดยดุษณี
ประเด็นหลักที่เป็นเส้นแบ่งระหว่างชีอะฮ์และซุนหนี่ก็คือประเด็นดังกล่าว และช่องว่างระหว่างชีอะฮ์และซุนหนี่ก็คือประเด็นอิมามัตนั่นเอง
คำตอบเชิงรายละเอียด

ข้อแตกต่างสำคัญระหว่างชีอะฮ์กับมัซฮับอื่นๆก็คือประเด็นปัญหาเกี่ยวกับหลักอิมามัตและภาวะผู้นำของบรรดาอะฮ์ลุลบัยต์ของนบี(..) ต่อไปนี้เป็นความเชื่อโดยสังเขปของชีอะฮ์เกี่ยวกับประเด็นอิมามัต
1. ชีอะฮ์เชื่อว่า อิมาม(.)สิบสองท่านที่ได้รับการระบุนามในฮะดีษนบี(..)[1] ปราศจากความผิดพลาด การหลงลืม ตลอดจนบาปกรรมทั้งมวล

2.  ชีอะฮ์เชื่อว่า อิมามมะอ์ศูม(.) หากไม่นับสถานะการรับวะฮีย์แล้ว  มีสถานะเทียบเคียงท่านนบี(..)

3. ชีอะฮ์เชื่อว่า อิมามมะอ์ศูม(.) มีอำนาจตักวีนี และมีอิทธิพลต่อปรากฏการณ์ธรรมชาติ

4 . ชีอะฮ์เชื่อว่า อิมามมะอ์ศูม(.) เป็นนักปกครองทางการเมื่องและเป็นแกนกลางของสังคม

5. ชีอะฮ์เชื่อว่า อิมามมะอ์ศูม(.) มีความชอบธรรมในการพิพากษา และวาญิบจะต้องปฏิบัติตามบุคคลเหล่านี้

6. ชีอะฮ์เชื่อว่า อิมามมะอ์ศูม(.) มีความรู้มากที่สุด
แต่เป็นที่น่าเสียดายว่ามัซฮับอื่นๆมิได้เชื่อเช่นนี้ เพียงแต่ยอมรับว่าจะต้องรักอิมามมะอ์ศูม และเชื่อถือเพียงในสถานะนักรายงานฮะดีษที่เชื่อถือได้เท่านั้น

คุณสมบัติสำคัญข้อหนึ่งของชีอะฮ์ก็คือ จะต้องเชื่อฟังท่านอิมามอลี(.)และอะฮ์ลุลบัยต์(.)โดยดุษณี หลักการนี้สำคัญเป็นอย่างยิ่ง มีฮะดีษจากสายพี่น้องอะฮ์ลิสซุนนะฮ์มากมายระบุว่า อัลลอฮ์จะทรงยอมรับอะมั้ลอิบาดะฮ์ของมวลมนุษย์ต่อเมื่อพวกเขายอมรับภาวะผู้นำของท่านอิมามอลี(.)เท่านั้น[2]

8. ชีอะฮ์เชื่อว่าอิมามัตคือกิจของอัลลอฮ์ และบรรดาอิมามมะอ์ศูม(.)ทุกท่านล้วนได้รับการแต่งตั้งจากอัลลอฮ์(ผ่านท่านนบี)ทั้งสิ้น
ท่านนบี(..) กล่าวว่า "การมองใบหน้าอลี(.) และการระลึกถึงอลี(.)ถือเป็นอิบาดะฮ์  อีหม่านของบุคคลจะไม่ได้รับการยอมรับเว้นแต่จะสานมิตรภาพกับเขาและหลีกห่างศัตรูของเขา"[3]

นอกจากนี้ อุละมาอ์ฝ่ายซุนหนี่ยังรายงานอีกว่า
"
ท่านนบี(..)กล่าวว่า โอ้ อลี หากผู้ใดบำเพ็ญอิบาดัตยาวนานเท่าอายุขัยของนบีนู้ฮ์ และบริจาคทองเท่าภูเขาอุฮุด และมีอายุยืนยาวกระทั่งเดินเท้าไปทำฮัจย์ถึงพันครั้ง และถูกสังหารระหว่างเขาศ่อฟาและมัรวะฮ์ แต่ทว่าไม่ยอมรับวิลายะฮ์ของเธอ โอ้ อลี เขาจะไม่ได้สูดแม้กลิ่นอายและไม่มีวันได้เชยชมสวรรค์เป็นอันขาด"[4] นัยยะของฮะดีษบทนี้ก็คือ การยอมรับวิลายะฮ์ของอิมามอลี และการหลีกห่างศัตรูของท่าน นั้น ถือเป็นเงื่อนไขของการยอมรับ"อีหม่าน" (ซึ่งย่อมมาก่อนอะมั้ลอิบาดะฮ์)

หากต้องการทราบว่าวิลายะฮ์หมายถึงอะไร จำเป็นต้องพิจารณาคำๆนี้ในสำนวนโองการกุรอานที่กล่าวถึงท่านอิมามอลี(.) กุรอานกล่าวว่า "ผู้ปกครองเหนือสูเจ้ามีเพียงอัลลอฮ์ และเราะซู้ลของพระองค์ และบรรดาผู้ศรัทธาที่ดำรงนมาซ และบริจาคทานขณะโค้งรุกูอ์"[5]
เป็นที่แน่ชัดว่าคำว่า "วะลีย์"ในโองการนี้มิได้แปลว่าเพื่อนหรือผู้ช่วยเหลือ ทั้งนี้ก็เพราะวิลายะฮ์ที่แปลว่ามิตรภาพและการช่วยเหลือนั้น หาได้จำกัดเฉพาะผู้ที่ดำรงนมาซโดยบริจาคทานขณะโค้งรุกูอ์ไม่ มิตรภาพระหว่างมุสลิมต้องมีอยู่ และมุสลิมทุกคน ไม่ว่าอยู่ในสถานะที่ต้องบริจาคทานหรือไม่ ก็ควรสานมิตรภาพซึ่งกันและกันอยู่แล้ว ไม่มีเหตุจำเป็นที่จะต้องเฉพาะเจาะจงผู้ที่บริจาคทานขณะโค้งรุกูอ์แต่อย่างใด

เพราะฉะนั้น "วะลีย์"ในบริบทของโองการดังกล่าวจึงหมายถึงการปกครอง การถือครอง และภาวะผู้นำทั้งทางกายและจิตใจเท่านั้น สังเกตุได้จากการที่วิลายะฮ์ดังกล่าวเชื่อมต่อเข้ากับวิลายะฮ์ของท่านนบี(..)ตลอดจนวิลายะฮ์ของอัลลอฮ์อย่างต่อเนื่องในประโยคเดียวกัน

ตำรับตำราฝ่ายซุนหนี่หลายเล่มบันทึกฮะดีษที่ระบุชัดเจนว่า โองการดังกล่าวมีเนื้อหาเกี่ยวกับท่านอิมามอลี(.) โดยฮะดีษบางบทสาธยายถึงรายละเอียดที่ว่าท่านบริจาคแหวน แต่บางบทก็มิได้ให้รายละเอียดใดๆ แต่กล่าวเพียงว่าโองการนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับท่านอิมามอลี(.)[6]

หากผู้ใดมีทัศนคติต่อประเด็นอิมามัตเสมือนชีอะฮ์ แน่นอนว่าวิถีชีวิตของเขาจะพลิกผันไปจากเดิม เขาจะไม่สอบถามปัญหาศาสนาจากคนทั่วไป จะไม่ยอมอยู่ใต้อาณัติของตาสีตาสา แต่จะเชื่อฟังและภักดีต่ออิมามมะอ์ศูมีน(.)เท่านั้น

อย่างไรก็ดี แม้ผู้ดำเนินตามมัซฮับอื่นๆจะรักและให้เกียรติท่านอิมามอลี(.)และวงศ์วาน(อิมามมะอ์ศูม)เพียงใด แต่ทว่าวิลายะฮ์ตามความหมายที่สมบูรณ์อันตรงตามนัยยะของกุรอานและวจนะท่านนบี(..) มีการถือปฏิบัติในสายธารชีอะฮ์สิบสองอิมามเท่านั้น ทั้งนี้ มุสลิมทุกคนมีหน้าที่จะต้องเลือกเฟ้นแนวทางที่ใกล้เคียงวิถีของกุรอานและท่านนบี(..)มากที่สุด ฉะนั้น หากพี่น้องซุนหนี่เลื่อมใสในหลักการดังกล่าว ซึ่งก็คือการน้อมรับคำสอนของกุรอานและฮะดีษที่รณรงค์ให้ยอมรับวิลายะฮ์ทุกด้านของบรรดาอิมาม ไม่ว่าในแง่วิชาการก็ดี การเมืองก็ดี หรือทางศาสนาก็ตาม หากเป็นเช่นนี้ได้ ช่องว่างระหว่างอุมมัตอิสลามก็จะได้รับการเติมเต็ม

หากพิจารณาในหน้าประวัติศาสตร์จะพบว่ามุสลิมบางกลุ่มยึดแนว ก็อดรี บางกลุ่มยึดแนวตัฟวีฎี[7] การแบ่งก๊กแบ่งเหล่าเช่นนี้เกิดจากการหันห่างจากแนวทางของบรรดาอิมามทั้งสิ้น หาไม่แล้วความเชื่อผิดๆเหล่านี้ย่อมไม่เกิดขึ้นในหมู่มุสลิม อันจะส่งผลให้เกิดความเบี่ยงเบนเช่นนี้เป็นแน่

ฉะนั้น หากพี่น้องซุนหนี่เห็นพ้องกับความเชื่อของชีอะฮ์ในประเด็นอิมามัตและนำสู่ภาคปฏิบัติ ก็จะถือว่ารับสายธารชีอะฮ์แล้ว และแน่นอนว่าพวกเขาจะต้องเรียนรู้ว่าอะฮ์ลุลบัยต์(.)มีคำสอนสำหรับการดำเนินชีวิตอย่างไรบ้าง และจะต้องปฏิบัติตัวอย่างไรในแง่ชะรีอัต.

หากต้องการศึกษาเพิ่มเติม กรุณาอ่านหนังสือ "ชีอะฮ์" (การเสวนาระหว่างศาสตราจารย์ อองรี กอร์บิง กับ อัลลามะฮ์ มุฮัมมัด ฮุเซน เฏาะบาเฏาะบาอี) และคำถามหมายเลข 1000



[1] บิฮารุลอันว้าร, เล่ม 36,หน้า 362

[2] มะนากิ๊บ คอรัซมี,หน้า 19, 252

[3] อ้างแล้ว, หน้า 19, 212 และ กิฟายะตุฏฏอลิบ, กันญี ชาฟิอี,หน้า 214, «... النظر الی وجه امیرالمؤمنین علی بن ابیطالب عبادة و ذکره عبادة ولایقبل الله ایمان عبد الا بولایته والبرائة من اعدائ

[4] " ثم لم یوالیک یا علی لم یشم رائحة الجنة ولم یدخلها"مناقب، خطیب خوارزمی ค่อฏี้บ คอรัซมี, มักตะลุ้ลฮุเซน(.), เล่ม 1, หน้า 37 

[5] ซูเราะฮ์มาอิดะฮ์, 55  انَّما وَلِیُّکُمُ اللَّهُ وَ رَسُولُهُ وَ الَّذِینَ آمَنُوا الَّذِینَ یُقِیمُونَ الصَّلاةَ وَ یُؤْتُونَ الزَّکاةَ وَ هُمْ راکِعُونَ

[6] ตัฟซี้ร เนมูเนะฮ์, เล่ม 4, หน้า 424,425

[7] ในยุคแรกเริ่มของอิสลาม อะฮ์ลิสซุนนะฮ์มีสองทัศนะหลักเกี่ยวกับการกระทำของมนุษย์ กลุ่มหนึ่งเชื่อว่าในเมื่อการกระทำของมนุษย์ขึ้นอยู่กับพระประสงค์ของอัลลอฮ์เสมอ จึงถือว่าการกระทำของมนุษย์ถูกกำหนดไว้แล้ว การตัดสินใจของมนุษย์จึงไม่มีคุณค่าใดๆ ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งถือว่ามนุษย์มีอิสระที่จะเลือกกระทำ โดยไม่ติดพันอยู่กับพระประสงค์ของพระเจ้า จึงหลุดจากบ่วงก่อดัรของพระองค์
แต่ในคำสอนของอะฮ์ลุลบัยต์นบี(..)อันสอดคล้องกับตัวบทกุรอานนั้น มนุษย์มีเสรีภาพที่จะเลือกกระทำ ทว่าไม่มีอิสรภาพโดยสมบูรณ์ ทั้งนี้เพราะอัลลอฮ์จุติการกระทำของมนุษย์ให้เกิดขึ้นพร้อมกับเสรีภาพในการเลือกกระทำ กล่าวคือ อัลลอฮ์ได้บันดาลการกระทำของมนุษย์ขึ้นมาโดยกำหนดให้มีองค์ประกอบหลายประการ ซึ่งเสรีภาพของมนุษย์ในการเลือกกระทำก็คือหนึ่งในองค์ประกอบดังกล่าว ทำให้การกระทำนั้นๆจุติขึ้นตามพระประสงค์ของพระองค์ ขณะเดียวกัน มนุษย์ก็มีเสรีภาพในการเลือกด้วย
สรุปคือ การกระทำที่เกิดขึ้น ถือว่าจะ"ต้อง"เกิดขึ้นเนื่องจากครบองค์ประกอบแล้ว แต่หากมองจากมุมของมนุษย์ผู้กระทำ(ซึ่งเป็นหนึ่งในองค์ประกอบ) ก็จะมองได้ว่าเป็นการกระทำตามใจปรารถนาของมนุษย์
มุฮัมมัด ฮุเซน เฏาะบาเฏาะบาอี, ชีอะฮ์ในอิสลาม, หน้า 79
หนังสือที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้
. มนุษยศึกษา, มะฮ์มู้ด เราะญะบี, บทที่ 5,6, สถาบันศึกษาและวิจัย อิมามโคมัยนี (.)
. บทเรียนปรัชญา, .มิศบาฮ์ ยัซดี, เล่ม 2, บทเรียนที่ 69, องค์กรเผยแพร่อิสลาม
. ความเที่ยงธรรมของพระเจ้า, .ชะฮีด มุรตะฎอ มุเฏาะฮะรี, สำนักพิมพ์อิสลามี

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • อัลกุรอานที่อยู่ในมือของเรา ณ ปัจจุบันนี้ ได้ถูกรวบรวมตั้งแต่เมื่อใด?
    9180 วิทยาการกุรอาน 2553/10/21
    คำถามนี้ไม่มีคำตอบแบบสั้น โปรดเลือกปุ่มคำตอบที่สมบูรณ์ ...
  • อิมามฮุเซน (อ.) เคยเขียนจดหมายถึงฮะบีบบินมะซอฮิรโดยมีความว่า من الغریب الی الحبیب ไช่หรือไม่?
    6266 تاريخ بزرگان 2554/12/10
    เราไม่เจอประโยคที่กล่าวว่าمن الغریب الی الحبیب (จากผู้พลัดถิ่นถึงฮะบีบ)ในหนังสือฮาดีษหรือตำราที่เกี่ยวกับการไว้อาลัยของชีอะฮ์เช่นลุฮูฟของซัยยิดอิบนิฏอวูสแต่อย่างใดจึงไม่สามารถยืนยันได้ว่าอิมามฮุเซน (อ.)กล่าวประโยคดังกล่าวสิ่งที่ยืนยันได้ก็คือฮะบีบบินมะซอฮิรเป็นหนึ่งในสาวกที่มีความซื่อสัตย์ต่ออิมามฮุเซน (อ.) เขาเข้าร่วมในการรบและเป็นชะฮีด[1]
  • กรุณาแจกแจงความสำคัญของฮะดีษกิซาอ์
    9222 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2554/12/21
    ฮะดีษกิซาอ์ที่ปรากฏในตำราฮะดีษและหนังสือมะฟาตีฮุลญินานของเชคอับบาสกุมีมีความสำคัญเป็นพิเศษในแง่อิมามัตและอิศมัต(ภาวะไร้บาป)ตำแหน่งอิมามและวิลายะฮ์ของอะฮ์ลุลบัยต์ได้รับการพิสูจน์จากเบาะแสในฮะดีษบทนี้เนื่องจากกริยาและวาจาของท่านนบี(ซ.
  • มนุษย์นั้นมีสิทธิที่จะพูดจาจาบจ้วงพี่น้องในศาสนาของตนได้ไหม – เนื่องจากการทะเลาะวิวาทหรือความขัดแย้งระหว่างพวกเขา- อันเป็นสาเหตุของการกลั่นแกล้งและทำให้การโกรธเกลียดกัน, ทั้งๆ ที่เขาได้กล่าวขออภัยแล้ว?
    6634 จริยธรรมทฤษฎี 2554/12/20
    การอภัยและการยกโทษเป็นคุณสมบัติพิเศษของบุรุษผู้มีความยิ่งใหญ่และยังเป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงความยิ่งใหญ่แห่งจิตวิญญาณของเขาอีกด้วย, ตามคำสอนของอิสลามคุณลักษณะเหล่านี้ถือว่าเป็นความประเสริฐด้านคุณธรรมและจริยธรรม, ศาสนาซึ่งท่านศาสดาประจำศาสนาได้ถูกคัดเลือกขึ้นมาเพื่อเติมเต็มความสมบูรณ์และความประเสริฐของจริยธรรม
  • มีฮะดีษบทใดบ้างที่กล่าวถึงบุตรซินา?
    8746 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2555/01/19
    อิสลามถือว่าบุตรที่เกิดจากการผิดประเวณี (บุตรซินา) มีสถานะเฉพาะตัวซึ่งท่านนบี(ซ.ล.)และบรรดาอิมาม(อ.)ได้กล่าวไว้เกี่ยวกับเรื่องนี้ตามแหล่งอ้างอิงดังต่อไปนี้1. มรดกของบุตรซินาวะซาอิลุชชีอะฮ์,เล่ม 26,หน้า 274, بَابُ أَنَّ وَلَدَ الزِّنَا لَا یَرِثُهُ الزَّانِی وَ لَا الزَّانِیَةُ وَ لَا مَنْ تَقَرَّبَ بِهِمَا وَ لَا یَرِثُهُمْ بَلْ مِیرَاثُهُ لِوُلْدِهِ أَوْ نَحْوِهِمْ وَ مَعَ عَدَمِهِمْ لِلْإِمَامِ وَ أَنَّ مَنِ ادَّعَى ابْنَ جَارِیَتِهِ وَ لَمْ یُعْلَمْ کَذِبُهُ قُبِلَ قَوْلُهُ وَ لَزِمَهُ
  • ถ้าหากมุสลิมคนหนึ่งหลังจากการค้นคว้าแล้วได้ยอมรับศาสนาคริสต์ ถือว่าตกศาสนาโดยกำเนิด และต้องประหารชีวิตหรือไม่?
    10969 ปรัชญาของศาสนา 2555/04/07
    แม้ว่าศาสนาอิสลามอันชัดแจ้งได้เชิญชวนมนุษย์ทั้งหมดไปสู่การเคารพภักดีต่ออัลลอฮฺ, แต่ก็มิได้หมายความว่าบังคับให้ทุกคนต้องยอมรับเช่นนั้น, เนื่องจากอีมานและความเชื่อศรัทธาต้องไม่เกิดจากการบีบบังคับ, แน่นอน แต่สิ่งนี้ก็มิได้หมายความว่าเป็นการเปิดโอกาสให้ขัดแย้งต่อรากหลักของศาสนา, เนื่องจากรากหลักของอิสลามวางอยู่บน หลักความเป็นเอกภาพของพระเจ้า และปฏิเสธการตั้งภาคีเทียบเทียมโดยสิ้นเชิง, และในทัศนะของอิสลามบุคคลใดที่ยอมรับอิสลามแล้ว และเจริญเติบโตขึ้นมาในครอบครัวอิสลาม, ต่อมาเขาได้ปฏิเสธรากศรัทธาของอิสลาม และเป็นปรปักษ์ซึ่งปัญหาความเชื่อส่วนตัวได้ลามกลายเป็นปัญหาสังคม และได้เผชิญหน้ากับศาสนา หรือสร้างฟิตนะฮฺ (ความเสื่อมทราม) ให้เกิดขึ้นทางความคิดของสังคมส่วนรวม และบังเกิดความลังเลใจในการตัดสินใจระหว่างสิ่งถูกกับสิ่งผิด, เท่ากับเขากลายเป็นอาชญากรของสังคม ดังนั้น จำเป็นต้องแบกรับบทลงโทษที่ได้ก่อขึ้น บทลงโทษของบุคคลที่ออกนอกศาสนาโดยกำเนิด ก็เนื่องจากเหตุผลที่ว่าเขาเป็นอาชญากร กระทำความผิดให้เกิดแก่สังคม มิใช่เพราะความผิดส่วนตัว ด้วยเหตุนี้เอง การลงโทษบุคคลที่ตกศาสนา จะไม่ครอบคลุมถึงบุคคลที่ออกนอกศาสนาไปแล้ว, แต่ไม่ได้เปิดเผยให้เกิดความเสียหายแก่คนอื่น อีกนัยหนึ่ง, สมมุติว่าบุคคลหนึ่งได้พยายามทุ่มเทค้นคว้าหาความจริงด้วยตัวเองว่า ฉะนั้น การตกศาสนาของเขาย่อมได้รับการอภัย ณ อัลลอฮฺ, แน่นอนว่า บุคคลเช่นนี้ในแง่ของบทบัญญัติส่วนตัวเขามิได้กระทำความผิดแต่อย่างใด, แต่ถ้าเขาเพิกเฉยต่อการค้นคว้าหาความจริงละก็ ในแง่ของบทบัญญัติที่ว่าด้วยเรื่องส่วนตัวถือว่า เขาได้กระทำผิด, ส่วนการตกศาสนานั้นไม่ถือว่าเป็นความผิดส่วนตัว เนื่องจากการออกนอกศาสนานั้น เท่ากับได้ทำลายจิตวิญญาณศาสนาของสังคมไปจนหมดสิ้นแล้ว นอกจากนั้นยังได้ทำลายและเป็นการคุกคามความสำรวมของประชาชน ...
  • "การซิยารัตอิมามฮุเซนเสมือนการซิยารัตอัลลอฮ์ ณ อะรัช" หมายความว่าอย่างไร?
    9558 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/12/07
    ท่านฮุเซนบินอลี (อิมามที่สามของชีอะฮ์) ได้รับฐานะภาพอันสูงส่งจากอัลลอฮ์เนื่องจากมีเป้าหมายวัตรปฏิบัติการเสียสละ
  • ความสำคัญ และปรัชญาของการจัดพิธีกรรมรำลึกถึงท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) คืออะไร?
    8004 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/12/20
    สำหรับการติดตามผลอย่างมีนัยของการให้ความสำคัญและปรัชญาของการจัดพิธีกรรมรำลึกถึงท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) จำเป็นต้องพิจารณาประเด็นสำคัญดังต่อไปนี้:1. ...
  • ผู้ที่เป็นวากิฟ (คนวะกัฟ) สามารถสั่งปลดอิมามญะมาอัตได้หรือไม่?
    8641 ข้อมูลน่ารู้ 2557/01/30
    ผู้วะกัฟหลังจากวะกัฟทรัพย์สินแล้ว เขาไม่มีสิทธิใด ๆ ในทรัพย์สินนั้นอีกต่อไป, เว้นเสียแต่ว่าผู้วะกัฟจะเป็นผู้ดูแลรับผิดชอบ ทรัพย์วะกัฟด้วยตัวเอง ส่วนกรณีเกี่ยวกับอำนาจของผู้ดูแลทรัพย์วะกัฟจะมีหรือไม่ มีทัศนะแตกต่างกัน บางคนกล่าวว่า ผู้ดูแลไม่มีสิทธิ์อันใดทั้งสิ้น บางกลุ่มเชื่อว่าผู้ดูแลนั้นสามารถกระทำการตามที่ถามมาได้ ถ้าใส่ใจเรื่องความเหมาะสม ...
  • การจ่ายคุมซ์เป็นทรัพย์สินเพียงครั้งเดียว แล้วต่อไปไม่วาญิบต้องจ่ายคุมซ์อีกใช่หรือไม่?
    5917 สิทธิและกฎหมาย 2554/06/22
    ดั่งเป็นที่ทราบกันดีว่าคุมซ์คือหนึ่งในการบริจาคทรัพย์อันเป็นวาญิบสำคัญในอิสลามเป็นหนึ่งในหลักการอิสลามและเป็นอิบาดะฮฺด้วยด้วยสาเหตุนี้เองจำเป็นต้องเนียต (ตั้งเจตคติ) เพื่อแสวงความใกล้ชิดต่ออัลลอฮฺ (ซบ.)ทรัพย์สินและเงินทุนต่างๆที่ต้องจ่ายคุมซ์ถ้าหากจ่ายคุมซ์ไปแล้วเพียงครั้งเดียวไม่วาญิบต้องจ่ายคุมซ์อีกแม้ว่ากาลเวลาจะผ่านพ้นไปนานหลายปีก็ตามแต่ถ้าเป็นทรัพย์ที่เติบโตหรือมีราคาสูงขึ้นกว่าเดิมทุนเดิมไม่ต้องจ่ายคุมซ์แต่ส่วนที่เป็นผลกำไรงอกเงยอออกมาวาญิบต้องจ่ายคุมซ์[1][1]  เตาฏีฮุลมะซาอิลมะริญิอฺ

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60602 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    58213 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42715 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    40164 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    39342 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    34450 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    28527 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    28436 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    28374 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    26309 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...