การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
10322
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2554/06/21
คำถามอย่างย่อ
เคยได้ยินฮะดีษที่ว่าท่านนบี(ซ.ล.)ได้บั่นศีรษะชัยฏอนไปแล้ว, ฮะดีษนี้เชื่อถือได้เพียงใด? แล้วการล่อลวงของชัยฏอนจะตีความอย่างไร?
คำถาม
ดิฉันเคยอ่านพบฮะดีษที่ว่าท่านอิมามอลี(อ)เคยรบพุ่งกับชัยฏอนมารร้าย เมื่อท่านเริ่มจะเพลี่ยงพล้ำและชัยฏอนกำลังจะกุมชัยชนะ ทันใดนั้นเองท่านศาสดา(ซ.ล.)ก็ลงมาจากฟากฟ้า ชัยฏอนเห็นเช่นนั้นจึงรีบวิ่งหนี แต่ท่านนบีสามารถตามไปบั่นศีรษะชัยฏอนได้สำเร็จ. ฮะดีษนี้เชื่อถือได้เพียงใด? และหากชัยฏอนถูกปลิดชีพแล้ว เหตุใดผู้คนจึงยังเชื่อว่าชัยฏอนล่อลวงจิตใจมนุษย์?
คำตอบโดยสังเขป

ฮะดีษที่ดังกล่าวมีอยู่จริงในขุมตำราฮะดีษของเรา อย่างไรก็ดี ฮะดีษดังกล่าวมีจุดประสงค์เพื่ออธิบายเกี่ยวกับ“เยามิล วักติล มะอ์ลูม”(วันเวลาที่กำหนดไว้)

ดังคำบอกเล่าของกุรอาน อิบลีสถูกเนรเทศออกไปจาก ณ พระองค์ แต่มันได้ขอให้ทรงประวิงเวลา อัลลอฮ์ตัดสินคาดโทษอิบลีสจนถึง“เยามิล วักติล มะอ์ลูม” ฮะดีษที่ถามมาต้องการจะเฉลยปริศนาเกี่ยวกับวันเวลาดังกล่าว โดยเชื่อว่าจะเกิดขึ้นในยุคแห่งร็อจอะฮ์(ยุคต่อจากกาลสมัยของอิมามมะฮ์ดี ที่บรรดาอิมามในอดีตจะหวลกลับมาบริหารรัฐอิสลามโลก) หาไช่วันสิ้นโลกหรือวันกิยามะฮ์ไม่.

สิ่งที่ต้องทำความเข้าใจเบื้องต้นคือ:
1.
ฮะดีษดังกล่าวไม่ได้ระบุว่าอิบลีสถูกสังหารไปแล้วในอดีต เนื่องจากความเชื่อดังกล่าวขัดกับเนื้อหาอัลกุรอาน และแน่นอนว่าความเห็นที่ขัดต่ออัลกุรอานย่อมไม่เป็นที่ยอมรับ.
จึงหมายความว่า ณ ขณะนี้ อิบลีสชัยฏอนยังมีชีวิตอยู่ และยังคงกระซิบกระซาบในจิตใจเพื่อล่อลวงให้มนุษย์หลงทาง

2. ฮะดีษดังกล่าวเล่าถึงสงครามระหว่างกองทัพอิบลีสกับกองทัพของอิมามอลี และแม้ว่าฮะดีษจะระบุว่ากองทัพของอิมามอลีล่าถอย แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าท่านอิมามอลีเพลี่ยงพล้ำชัยฏอนแต่อย่างใด.

3. ฮะดีษนี้อาจมีเนื้อหาที่ขัดต่อหลักความเชื่อพื้นฐานของอิมามียะฮ์ จึงจะต้องได้รับการตีความเพื่อให้มีความหมายที่ถูกต้อง.

คำตอบเชิงรายละเอียด

ประเด็นแรก: อิบลีสมีทายาท[1]และพลทหารที่ช่วยกันล่อลวงมนุษย์[2] ซึ่งในคำสอนอิสลามเรียกญินกลุ่มนี้ว่า “ชัยฏอน”[3]
ประเด็นที่สอง
: กุรอานระบุว่า หลังจากที่อิบลีสคัดค้านคำบัญชาของอัลลอฮ์ โดยไม่ยอมศิโรราบต่อท่านนบีอาดัมจนกระทั่งทำให้ถูกอัปเปหิแล้ว มันได้ขอต่อพระองค์ว่า “โอ้นายข้า ขอจงประวิงเวลาแก่ข้าฯตราบถึงวันฟื้นคืนชีพเถิด”[4] พระองค์ทรงรับคำขอของอิบลีสว่า“เจ้าได้รับการประวิงเวลา”[5] แม้ในอายะฮ์นี้จะไม่ระบุชัดเจนว่าพระองค์ประวิงเวลาถึงเมื่อใด แต่ในอายะฮ์ที่ 38 ซูเราะฮ์ ฮิจร์ ระบุว่า “เจ้าได้รับการประวิงเวลาถึงวันเวลาที่กำหนดไว้”[6] นั่นหมายความว่าอิบลีสไม่ได้รับการประวิงเวลาตามที่ขอทั้งหมด แต่ได้เพียงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น.[7]

ประเด็นที่สาม: ฮะดีษต่างๆให้คำอธิบายเกี่ยวกับ“เยามิล วักติล มะอ์ลูม”ไว้หลายทัศนะด้วยกัน อาทิเช่น:
   
1. วันสิ้นโลก: วันที่ทุกสิ่งมีชีวิตจะตายลง ทำให้หมดยุคแห่งศาสนกิจและบทบัญญัติศาสนา และพระองค์จะคงอยู่เพียงองค์เดียว.[8]
     2. วันกิยามะฮ์: อันหมายถึงวันฟื้นคืนชีพและพิพากษา[9]. หากเชื่อว่าอิบลีสจะอยู่ถึงวันนี้ก็ย่อมขัดกับความเข้าใจทั่วไปในอายะฮ์ดังกล่าว และขัดต่อความเชื่อที่ว่า ทุกสิ่งมีชีวิต(รวมทั้งชัยฏอน)ล้วนต้องตายก่อนวันสิ้นโลก ซึ่งเกิดขึ้นก่อนวันกิยามะฮ์.[10]
   
3. วันที่ไม่มีใครล่วงรู้ได้นอกจากพระองค์.[11]

ผู้ประพันธ์ตัฟซีรเนมูเนะฮ์เชื่อว่าทัศนะแรกมีความน่าเชื่อถือมากที่สุด นอกจากนี้ยังมีฮะดีษจากท่านอิมามศอดิกที่ระบุว่าชัยฏอนจะตายช่วงระหว่างการเป่าสังข์ครั้งแรกและครั้งที่สอง.[12]

มีการให้เหตุผลเสริมทัศนะดังกล่าวว่า การทำบาปจะมีอยู่เรื่อยไปตราบเท่าที่มีศาสนกิจภาคบังคับ และศาสนกิจจะมีจนถึงวันที่ทุกสิ่งมีชีวิตล้มตายจนหมดสิ้น นั่นคือวันเป่าสังข์ครั้งแรก และระยะเวลาระหว่างการเป่าสัญญาณตายและสัญญาณฟื้นคืนชีพนั้นห่างกัน 40/400 ปี(ต่างกันตามรายงาน) และนี่คือระยะห่างระหว่างเวลาที่อิบลีสขอประวิงเวลา และเวลาที่พระองค์ทรงอนุโลมให้.[13]

อัลลามะฮ์ ฏอบาฏอบาอี กล่าวว่า เหตุผลดังกล่าวฟังดูเข้าที แต่ประโยคที่ว่า ตราบใดที่คนเรามีหน้าที่ทางศาสนาย่อมมีการทำบาปนั้น ฟังดูไม่กระจ่างและไม่มีเหตุผลที่ชัดเจนยืนยัน ที่เป็นเช่นนี้เพราะนักตัฟซีรหลายท่านมักจะผูกโยงความเห็นดังกล่าวกับอายะฮ์ที่ระบุว่า การทำบาปของมนุษย์เป็นผลมาจากการล่อลวงของอิบลีส นอกจากนี้ยังมีอายะฮ์ 60 ยาซีน[14], 22 อิบรอฮีม[15] ที่บ่งชี้ว่าอิบลีสจะยังคงอยู่ตราบใดที่ยังมีศาสนกิจ และในเมื่อศาสนกิจยังคงบังคับใช้จวบจนมนุษย์คนสุดท้าย จึงสรุปเอาว่า อิบลีสจะอยู่ล่อลวงจนกระทั่งมนุษย์คนสุดท้าย

อย่างไรก็ดี ปฏิเสธไม่ได้ว่า อายะฮ์ที่อ้างมาทั้งหมดถือว่าการทำบาปเป็นผลจากการล่อลวงของอิบลีส แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น อายะฮ์เหล่านี้ต้องการยืนยันเพียงแค่ว่า อิบลีสจะยังคงมีชีวิตอยู่ตราบที่มนุษย์ยังทำบาป มิไช่ตราบเท่าที่มนุษย์ยังต้องประกอบศาสนกิจ เนื่องจากไม่สามารถฟันธงได้ว่าการประกอบศาสนกิจต้องคู่กับการทำบาปเสมอไป

ที่กล่าวเช่นนี้ก็เพราะฮะดีษและเหตุผลเชิงปัญญาต่างพิสูจน์ว่า มนุษย์กำลังมุ่งหน้าสู่ความผาสุก และท้ายที่สุดประชาคมโลกจะหันห่างจากความชั่วร้ายทั้งปวง โดยมุ่งหน้าสู่ความดีงามในระดับที่ทุกคนพร้อมใจภักดีต่ออัลลอฮ์แต่เพียงองค์เดียว รากเหง้าแห่งกุฟร์และการปฏิเสธจะถูกขจัดไป วิถีชีวิตมนุษย์จะดีขึ้น และโรคภัยทางจิตวิญญาณรวมทั้งการล่อลวงของชัยฏอนจะหมดไป[16]

จากอุดมคติดังกล่าวทำให้ทราบว่า“เยามิล วักติล มะอ์ลูม”มิไช่วันกิยามะฮ์ หรือวันสิ้นโลก ทว่าเป็นช่วงที่สิ่งมีชีวิตยังคงอยู่ และมนุษย์ยังต้องปฏิบัติศาสนกิจเช่นปกติ สิ่งที่สนับสนุนทัศนะนี้ก็คือฮะดีษที่เกี่ยวกับร็อจอะฮ์.[17]

ในตัฟซีรกุมี มีฮะดีษที่รายงานจาก มุฮัมมัด บิน ยูนุส รายงานจากชายคนหนึ่งว่าท่านอิมามญะฟัร กล่าวอธิบายอายะฮ์“เยามิล วักติล มะอ์ลูม”ว่า “วันดังกล่าวคือวันที่ศาสดาจะตัดคออิบลีสบนแท่นหิน ณ บัยตุลมักดิส”[18] ฮะดีษประเภทนี้มีรายงานมากมาย ซึ่งฮะดีษที่อ้างอิงในคำถามก็คือหนึ่งในนั้น.[19]

4. อาจเกิดข้อสงสัยว่า หลังจากอิบลีสถูกสังหารก่อนวันสิ้นโลก มนุษย์ก็จะไม่มีกิเลสตัณหาหลงเหลืออยู่ในใจไช่หรือไม่?
คำตอบก็คือ วิธีการของชัยฏอนคือการสร้างภาพกิเลสตัณหาให้แลดูเพริดพริ้งชวนหลงใหล[20] ซึ่งหากผู้ใดถูกชัยฏอนบิดเบือนวิสัยทัศน์ไว้แล้ว ก็ย่อมเดินหน้ากระทำบาปต่อไปได้โดยไม่ต้องมีชัยฏอนผลักดัน[21]

5. ดูเหมือนว่าฮะดีษที่อ้างอิงในคำถามจะเป็นฮะดีษที่ปรากฏอยู่ในตำราฮะดีษของเรา[22] อย่างไรก็ดี[23]ต้องคำนึงว่า:
    1.
ฮะดีษนี้กล่าวถึงเหตุการณ์ในยุคแห่งร็อจอะฮ์  ไม่มีส่วนใดระบุว่าอิบลีสถูกฆ่าตายไปแล้วในอดีต[24] ทั้งนี้ก็เพราะกุรอานยืนยันชัดเจนว่าอิบลีสจะมีชีวิตอยู่จนถึง“เยามิล วักติล มะอ์ลูม” และตามกฏแล้ว ฮะดีษใดที่ขัดกับกุรอานย่อมขาดความน่าเชื่อถือ[25] สรุปคือ ปัจจุบันอิบลีสยังมีชีวิตอยู่ และยังสาละวนกับการล่อลวงมนุษย์ให้หลงทาง.
  
2. ฮะดีษนี้กล่าวถึงการทำสงครามระหว่างกองทัพอิบลีสกับกองทัพของอิมามอลี หากฮะดีษระบุว่ามีการล่าถอยเพื่อตั้งหลัก นั่นหมายถึงการล่าถอยของกองทัพของท่านโดยรวม มิไช่ว่าท่านอิมามอลีเพลี่ยงพล้ำเสียทีอิบลีสแต่อย่างใด[26]
  
3. บางประโยคในฮะดีษนี้ขัดต่อหลักความเชื่อพื้นฐานของอิมามียะฮ์ และต้องได้รับการตีความเพื่อให้ได้ความหมายที่ถูกต้อง.[27]



[1] ซูเราะฮ์ อัลกะฮ์ฟิ,50.

[2] ดัชนี: ชัยฏอนและทายาทของมัน, คำถามที่565 (ไซต์: 618).

[3] ดู: ดัชนีต่อไปนี้: ชัยฏอน,มะลาอิกะฮ์หรือญิน?,คำถามที่ 100 (ไซต์: ) และ การไม่ศิโรราบของอิบลีส, เหตุการณ์หรือสัญลักษณ์, คำถามที่ 137(ไซต์ 891) และ ความสามารถของชัยฏอนและญิน, คำถามที่ 138 (ไซต์ 883).

[4] قالَ رب أَنْظِرْنی‏ إِلى‏ یَوْمِ یُبْعَثُونซูเราะฮ์ อะอ์รอฟ, 14.

[5] "قالَ إِنَّکَ مِنَ الْمُنْظَرِینَ".

[6] "فانک من المنظرین،الی یوم الوقت المعلوم" อัลฮิจร์, 37,38. กาลเวลาที่กำหนดไว้อาจหมายถึงวันปรากฏกายของอิมามมะฮ์ดี หรืออาจหมายถึงวันกิยามะฮ์.

[7] ตัฟซีร เนมูเนะฮ์, เล่ม 6, หน้า 109

[8] ดังที่ปรากฏในอายะฮ์ที่ 88 ซูเราะฮ์ก่อศ็อศ ว่า “کُلُّ شَیْ‏ءٍ هالِکٌ إِلَّا وَجْهَهُ

[9] เพราะตามทัศนะนี้ อิบลีสต้องการมีชีวิตจวบจนวันนั้นเพื่อจะได้มีชีวิตอมตะ และคำขอของมันได้รับการตอบรับ, โดยที่สำนวน
یَوْمِ الْوَقْتِ الْمَعْلُومِ ในอายะฮ์ 50 ซูเราะฮ์วากิอะฮ์ก็หมายถึงวันกิยามะฮ์.

[10] ดู: ตัฟซีรอัลมีซานฉบับแปลฟารซี, เล่ม 12,หน้า 235.

[11] เพราะหากอัลลอฮ์ทรงเผยให้รู้ว่าวันนั้นคือวันใด อิบลีสก็ยิ่งจะลำพองใจทำบาปมากยิ่งขึ้น, มัจมะอุ้ล บะยาน, เล่ม 6, หน้า 337. ทว่าทัศนะที่หักล้าง ดู: ตัฟซีรอัลมีซานฉบับแปลฟารซี, เล่ม 6,หน้า 337

[12] ตัฟซีร บุรฮาน, เล่ม 2, หน้า 342 และ ตัฟซีร นูรุษษะเกาะลัยน์, เล่ม 13, หน้า 45 และ อ้างแล้ว, เล่ม 11, หน้า 72.

[13] ดู: ตัฟซีรอัลมีซานฉบับแปลฟารซี, เล่ม 12,หน้า 237.

[14] "أَ لَمْ أَعْهَدْ إِلَیْکُمْ یا بَنِی آدَمَ أَنْ لا تَعْبُدُوا الشَّیْطانَ إِنَّهُ لَکُمْ عَدُوٌّ مُبِینٌ" โอ้ลูกหลานอาดัมเอ๋ย ข้ามิได้สัญญากับสูเจ้ามิให้บูชาชัยฏอนหรืออย่างไร แท้จริงมันคือศัตรูตัวฉกาจของสูเจ้า”

[15] "وَ قالَ الشَّیْطانُ لَمَّا قُضِیَ الْأَمْرُ إِنَّ اللَّهَ وَعَدَکُمْ وَعْدَ الْحَقِّ وَ وَعَدْتُکُمْ فَأَخْلَفْتُکُمْ ..." และเมื่อ(การพิพากษา)เสร็จสิ้น ชัยฏอนกล่าวว่า อัลลอฮ์สัญญาในสิ่งที่สัจจริง ทว่าข้าสัญญาแล้วบิดพริ้วพวกเจ้า”

[16] ตัฟซีรอัลมีซานฉบับแปลฟารซี, เล่ม 12,หน้า 237. และ ดู: หมวดนุบูวัต, ในเล่มที่สอง และ เรื่องราวนบีนูห์, เล่มที่สิบ.

[17] มัรฮูม อัลลามะฮ์ ฏอบาฏอบาอีได้ประมวลทัศนะเหล่านี้ว่า“โองการที่เกี่ยวกับวันกิยามะฮ์ มักจะได้รับการตีความในสายของอะฮ์ลุลบัยต์(อ)ว่าเป็นวันปรากฏกายอิมามมะฮ์ดีก็,วันแห่งร็อจอะฮ์ และวันกิยามะฮ์ ทั้งนี้ก็เพราะว่าทั้งสามวันนี้นับเป็นวันแห่งการเผยสัจธรรม แม้ว่าระดับความเข้มข้นของสัจธรรมทั้งสามจะไม่เท่ากัน ฉะนั้น คุณสมบัติของวันกิยามะฮ์ก็สามารถนำมาเทียบกับอีกสองเหตุการณ์ข้างต้นได้. ตัฟซีรอัลมีซานฉบับแปลฟารซี, เล่ม 12,หน้า 258.

[18] ตัฟซีรกุมี, เล่ม 1, หน้า 349. ส่วนตัฟซีรอัยยาชีย์รายงานจากวะฮับ บิน ญะมี้อ์ และตัฟซีรบุรฮานรายงานจาก ชะรอฟุดดีน นะญะฟี รายงานจากวะฮับโดยไม่เอ่ยถึงสายรายงานว่า ฉันถามอิมามศอดิกเกี่ยวกับอิบลีส และคำว่า“วันเวลาที่กำหนดไว้”ดังปรากฏในอายะฮ์กุรอาน อิมามตอบว่า “โอ้วะฮับ ท่านคิดหรือว่านั่นหมายถึงวันแห่งการฟื้นคืนชีพ? หามิได้ อัลลอฮ์จะทรงประวิงเวลาให้มันจนกระทั่งมะฮ์ดีของเราปรากฏกาย ในวันนั้น อิบลีสจะถูกกระชากผมเพื่อบั่นศีรษะ ไช่แล้ว! วันนั้นคือวันที่กำหนดไว้.” อัลบุรฮาน, เล่ม 2, หน้า 343 ฮะดีษที่ 7. ตัฟซีรอัยยาชี, เล่ม 2, หน้า 242. ฮะดีษ 14.

[19] ดู: ณ บทเรียนของอัลลามะฮ์ ฏอบาฏอบาอี, คำถามที่ 75,หน้า 42.

[20] ฮิจร์, 39.

[21] ดู: ณ บทเรียนของอัลลามะฮ์ ฏอบาฏอบาอี, คำถามที่ 76,หน้า 47.

[22] ดู: บิฮารุลอันว้าร เล่ม 53, หน้า 42,ฮะดีษที่ 12:

 سَعْدٌ عَنِ ابْنِ أَبِی الْخَطَّابِ عَنْ مُوسَى بْنِ سَعْدَانَ عَنْ عَبْدِ اللَّهِ بْنِ الْقَاسِمِ الْحَضْرَمِیِّ عَنْ عَبْدِ الْکَرِیمِ بْنِ عَمْرٍو الْخَثْعَمِیِّ قَالَ سَمِعْتُ أَبَا عَبْدِ اللَّهِ ع یَقُولُ إِنَّ إِبْلِیسَ قَالَ أَنْظِرْنِی إِلى‏ یَوْمِ یُبْعَثُونَ فَأَبَى اللَّهُ ذَلِکَ عَلَیْهِ قالَ فَإِنَّکَ مِنَ الْمُنْظَرِینَ إِلى‏ یَوْمِ الْوَقْتِ الْمَعْلُومِ فَإِذَا کَانَ یَوْمُ الْوَقْتِ الْمَعْلُومِ ظَهَرَ إِبْلِیسُ لَعَنَهُ اللَّهُ فِی جَمِیعِ أَشْیَاعِهِ مُنْذُ خَلَقَ اللَّهُ آدَمَ إِلَى یَوْمِ الْوَقْتِ الْمَعْلُومِ وَ هِیَ آخِرُ کَرَّةٍ یَکُرُّهَا أَمِیرُ الْمُؤْمِنِینَ ع فَقُلْتُ وَ إِنَّهَا لَکَرَّاتٌ قَالَ نَعَمْ إِنَّهَا لَکَرَّاتٌ وَ کَرَّاتٌ مَا مِنْ إِمَامٍ فِی قَرْنٍ إِلَّا وَ یَکُرُّ مَعَهُ الْبَرُّ وَ الْفَاجِرُ فِی دَهْرِهِ حَتَّى یُدِیلَ اللَّهُ الْمُؤْمِنَ مِنَ الْکَافِرِ فَإِذَا کَانَ یَوْمُ الْوَقْتِ الْمَعْلُومِ کَرَّ أَمِیرُ الْمُؤْمِنِینَ ع فِی أَصْحَابِهِ وَ جَاءَ إِبْلِیسُ فِی أَصْحَابِهِ وَ یَکُونُ مِیقَاتُهُمْ فِی أَرْضٍ مِنْ أَرَاضِی الْفُرَاتِ یُقَالُ لَهُ الرَّوْحَاءُ قَرِیبٌ‏ مِنْ کُوفَتِکُمْ فَیَقْتَتِلُونَ قِتَالًا لَمْ یُقْتَتَلْ مِثْلُهُ مُنْذُ خَلَقَ اللَّهُ عَزَّ وَ جَلَّ الْعَالَمِینَ فَکَأَنِّی أَنْظُرُ إِلَى أَصْحَابِ عَلِیٍّ أَمِیرِ الْمُؤْمِنِینَ ع قَدْ رَجَعُوا إِلَى خَلْفِهِمُ الْقَهْقَرَى مِائَةَ قَدَمٍ وَ کَأَنِّی أَنْظُرُ إِلَیْهِمْ وَ قَدْ وَقَعَتْ بَعْضُ أَرْجُلِهِمْ فِی الْفُرَاتِ فَعِنْدَ ذَلِکَ یَهْبِطُ الْجَبَّارُ عَزَّ وَ جَلَّ فِی ظُلَلٍ مِنَ الْغَمامِ وَ الْمَلائِکَةُ وَ قُضِیَ الْأَمْرُ رَسُولُ اللَّهِ ص أَمَامَهُ بِیَدِهِ حَرْبَةٌ مِنْ نُورٍ فَإِذَا نَظَرَ إِلَیْهِ إِبْلِیسُ رَجَعَ الْقَهْقَرَى نَاکِصاً عَلَى عَقِبَیْهِ فَیَقُولُونَ لَهُ أَصْحَابُهُ أَیْنَ تُرِیدُ وَ قَدْ ظَفِرْتَ فَیَقُولُ إِنِّی أَرى‏ ما لا تَرَوْنَ إِنِّی أَخافُ اللَّهَ رَبَّ الْعالَمِینَ فَیَلْحَقُهُ النَّبِیُّ ص فَیَطْعُنُهُ طَعْنَةً بَیْنَ کَتِفَیْهِ فَیَکُونُ هَلَاکُهُ وَ هَلَاکُ جَمِیعِ أَشْیَاعِهِ فَعِنْدَ ذَلِکَ یُعْبَدُ اللَّهُ عَزَّ وَ جَلَّ وَ لَا یُشْرَکُ بِهِ شَیْئاً وَ یَمْلِکُ أَمِیرُ الْمُؤْمِنِینَ ع أَرْبَعاً وَ أَرْبَعِینَ أَلْفَ سَنَةٍ حَتَّى یَلِدَ الرَّجُلُ مِنْ شِیعَةِ عَلِیٍّ ع أَلْفَ وَلَدٍ مِنْ صُلْبِهِ ذَکَراً وَ عِنْدَ ذَلِکَ تَظْهَرُ الْجَنَّتَانِ الْمُدْهَامَّتَانِ عِنْدَ مَسْجِدِ الْکُوفَةِ وَ مَا حَوْلَهُ بِمَا شَاءَ اللَّهُ

[23] น่าสังเกตุว่าในบิฮารุลอันว้ารเล่ม 14 และ 27 มีฮะดีษอีกกลุ่มหนึ่งที่รายงานเหตุการณ์ปะทะกันระหว่างกองทัพของอิมามอลีและพลพรรคอิบลีส โดยมีเนื้อหาแตกต่างจากฮะดีษที่ถามถึงอย่างสิ้นเชิง. ดู: ตำราฟากฟ้าและโลกา, อายะตุลลอฮ์ คูฮ์ โคมเรอี, หน้า 160, บทแปลบิฮารุลอันว้าร เล่ม 14.

[24] การสังหารทหารของอิบลีสมิไช่เรื่องแปลก เนื่องจากทั้งอิบลีสและทหารของมันล้วนเป็นญินทั้งสิ้น และเอาลิยาอ์ของอัลลอฮ์มีวิธีที่จะสังหารญิน อย่างไรก็ดี การฆ่าทหารอิบลีสมิได้หมายความว่าจะไม่มีชัยฏอนหลงเหลืออยู่อีกเลยบนโลกนี้

[25] ดังที่กล่าวไปแล้ว อัลลอฮ์ทรงคาดโทษอิบลีสจนถึง“วันที่กำหนดไว้” ซึ่งฮะดีษมากมายได้อธิบายถึงวันดังกล่าว ทั้งหมดนี้ก็เนื่องจากการเห็นสมควรของอัลลอฮ์ที่จะไว้ชีวิตอิบลีสเพื่อทดสอบความศรัทธาของมนุษย์. ดู: ดัชนี: ปรัชญาการสร้างชัยฏอน, เลขที่232 และการสร้างอิบลีส, คำถามที่ 333. นอกจากนี้ในอายะฮ์ 5,6 ซูเราะฮ์ อันนาส พระองค์ตรัสว่า “...ผู้ที่กำลังล่อลวงในใจมนุษย์”, , สังเกตุว่ากุรอานใช้กริยาปัจจุบันกาล อันแปลว่าผู้ที่ล่อลวงอยู่อย่างต่อเนื่องถึงตอนนี้.

[26] کَأَنِّی أَنْظُرُ إِلَى أَصْحَابِ عَلِیٍّ أَمِیرِ الْمُؤْمِنِینَ ع قَدْ رَجَعُوا إِلَى خَلْفِهِمُ الْقَهْقَرَى مِائَةَ قَدَمٍ

[27] อัลลามะฮ์ มัจลิซี ตีความเกี่ยวกับข้อเคลือบแคลงในฮะดีษว่า:

"هبوط الجبار تعالى کنایة عن نزول آیات عذابه و قد مضى تأویل الآیة المضمنة فی هذا الخبر فی کتاب التوحید و قد سبق الروایة عن الرضا ع هناک أنها هکذا نزلت إلا أن یأتیهم الله بالملائکة فی ظلل من الغمام و على هذا یمکن أن یکون الواو فی قوله و الملائکة هنا زائدا من النساخ."

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • อัลกุรอานที่อยู่ในมือของเรา ณ ปัจจุบันนี้ ได้ถูกรวบรวมตั้งแต่เมื่อใด?
    9348 วิทยาการกุรอาน 2553/10/21
    คำถามนี้ไม่มีคำตอบแบบสั้น โปรดเลือกปุ่มคำตอบที่สมบูรณ์ ...
  • เหตุใดกุรอานจึงใช้สำนวน فبشّرهم بعذاب الیم ทั้งๆที่คำว่าข่าวดีมีความหมายเชิงบวก?
    8610 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    กุรอานใช้คำว่า “บิชาเราะฮ์” เพื่อสื่อความหมายถึงทั้งข่าวดีและข่าวร้ายแต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับสำนวนแวดล้อมจะกำหนดความหมายใดกุรอานใช้คำว่าบิชาเราะฮ์ในความหมายเชิงลบในลักษณะอุปลักษณ์เพื่อสื่อว่าไม่มีสิ่งใดจะมอบแก่พวกเขาแล้วนอกจากการลงทัณฑ์ทั้งนี้ก็เพราะเหล่ากาฟิรมุชริกีนไม่ฟังคำตักเตือนใดๆทั้งสิ้นอัลลอฮ์จึงบัญชาให้ท่านนบี(ซ.ล.)แจ้งว่าพวกเขาจะถูกลงทัณฑ์อย่างแสนสาหัส ...
  • อุมัรได้ทำทานบนหรือลงโทษอบูฮุร็อยเราะฮฺหรือไม่ ในฐานะที่อุปโลกน์ฮะดีซขึ้นมา?
    8026 ริญาลุลฮะดีซ 2555/04/07
    บุคอรียฺ,มุสลิม,ซะฮะบียฺ, อิมามอบูญะอฺฟัร อัสกาฟียฺ, มุตตะกียฺ ฮินดียฺ และคนอื่นๆ กล่าวว่า เคาะลิฟะฮฺที่ 2 ได้ลงโทษเฆี่ยนตีอบูฮุร็อยเราะฮฺอย่างหนักจนสิ้นยุคการปกครองของเขา เนื่องจากอบูฮุร็อยเราะฮฺ ได้ปลอมแปลงฮะดีซของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) จำนวนมากและกล่าวพาดพิงไปยังเราะซูล (ซ็อล ฯ) สามารถกล่าวได้ว่า สาเหตุที่อุมัรคิดไม่ดีต่ออบูฮุร็อยเราะฮฺ อาจเป็นเพราะปัจจัยเหล่านี้ หนึ่ง เขาชอบนั่งประชุมเสวนากับ กะอฺบุลอะฮฺบาร ยะฮูดียฺคนหนึ่ง และรายงานฮะดีซจากเขา สอง เขาได้รายงานฮะดีซโดยไม่มีรากที่มา ซึ่งโดยปกติแล้วจะตรงกับฮะดีซที่อุปโลกน์ขึ้นมา และในความเป็นจริงแล้วก็ไม่มีสิ่งใดนอกจากการอุปโลกน์ สาม รายงานฮะดีซที่ขัดแย้งกับฮะดีซที่เล่าโดยเซาะฮาบะฮฺ สี่ เซาะฮาบะฮฺ บางคนเช่นอบูบักร์ และอิมามอะลี (อ.) จะขัดแย้งกับเขาเสมอ ...
  • ใครคือกลุ่มอัคบารีและอุศูลี?
    7281 ปรัชญาประวัติศาสตร์ 2555/04/09
    อัคบารีก็คือกลุ่ม“อัศฮาบุลฮะดีษ”ซึ่งในแวดวงชีอะฮ์มักเรียกกันว่าอัคบารี กลุ่มนี้ปฏิเสธวิธีอิจติฮ้าด(วินิจฉัย) และยึดถือเฉพาะอัคบ้าร (ฮะดีษ) เท่านั้น ส่วนกลุ่มอุศูลีประกอบไปด้วยฟุเกาะฮาอ์(นักนิติศาสตร์อิสลาม)มากมายที่มีทัศนะตรงข้ามกับกลุ่มอัคบารี อุศูลีเชื่อว่าสามารถวินิจฉัยบทบัญญัติศาสนาได้โดยอาศัยหลักฐานจากอัลกุรอาน ฮะดีษ สติปัญญา และอิจมาอ์ นอกจากนี้ยังนำวิชาอุศูลุลฟิกฮ์มาใช้ อาทิเช่นหลักการบะรออะฮ์ อิสติศฮ้าบ ตัคยี้ร ข้อแตกต่างระหว่างสองกลุ่มนี้ได้แก่ การที่กลุ่มอุศูลียึดมั่นในหลักอิจติฮ้าด(วินิจฉัยปัญหาศาสนา) และเชื่อว่าผู้ที่มิไช่มุจตะฮิดจะต้องตักลี้ด(ปฏิบัติตาม)ผู้ที่เป็นมุจตะฮิดในฐานะผู้สันทัดกรณี ในขณะที่กลุ่มอัคบารีปฏิเสธการอิจติฮ้าดและตักลี้ด นอกจากนี้ กลุ่มอุศลูลีไม่อนุญาตให้ตักลี้ดเบื้องแรกกับมุจตะฮิดที่เสียชีวิตไปแล้ว ในขณะที่กลุ่มอัคบารีถือว่าความตายไม่ส่งผลใดๆต่อการปฏิบัติตามผู้เชี่ยวชาญทางศาสนา กลุ่มอัคบารียังเชื่ออีกว่าตำราทั้งสี่ของชีอะฮ์ล้วนเศาะฮี้ห์ทั้งหมด เนื่องจากผู้เรียบเรียงได้คัดเฉพาะฮะดีษที่เศาะฮี้ห์เท่านั้น ในขณะที่กลุ่มอุศูลีคัดค้านความเห็นดังกล่าว ฯลฯ ...
  • ในอายะฮ์ "وَمَنْ عَادَ فَینتَقِمُ اللّهُ مِنْهُ وَاللّهُ عَزِیزٌ ذُو انْتِقَامٍ"، สาเหตุของการชำระโทษคืออะไร
    7514 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/05
    อายะฮ์ที่ได้ยกมาในคำถามข้างต้นนั้นเป็นอายะฮ์ที่ถัดจากอายะฮ์ก่อนๆในซูเราะฮ์อัลมาอิดะฮ์ซึ่งมีเนื้อหาว่าการล่าสัตว์ขณะที่กำลังครองอิฮ์รอมถือเป็นสิ่งต้องห้ามในที่นี่อัลลอฮ์ (ซ.บ.) ได้กล่าวว่าผู้ใดที่ได้ละเมิดขอบเขตของอัลลอฮ์ (ซ.บ.) กล่าวคือไม่ยี่หระสนใจเกี่ยวกับข้อห้ามในการล่าสัตว์ในขณะที่ครองอิฮ์รอมอยู่โดยได้ล่าสัตว์ขณะที่กำลังทำฮัจญ์  อัลลอฮ์ (ซ.บ.) ก็จะชำระโทษพวกเขาดังนั้นสาเหตุของการชำระโทษในที่นี้ก็คือการดื้อดึงที่จะทำบาปนั้นเอง[1]ใครก็ตามที่ได้กระทำสิ่งต้องห้าม (ล่าสัตว์ขณะครองอิฮ์รอม) พระองค์ย่อมจะสำเร็จโทษเขาอายะฮ์ดังกล่าวต้องการแสดงให้เห็นว่าบาปนี้เป็นบาปที่ใหญ่หลวงถึงขั้นที่ว่าผู้ที่ดื้อแพ่งจะกระทำซ้ำไม่อาจจะชดเชยบาปดังกล่าวได้ในอันดับแรกสามารถชดเชยบาปได้โดยการจ่ายกัฟฟาเราะฮ์และเตาบะฮ์แต่ถ้าหากได้กระทำบาปซ้ำอีกอัลลอฮ์จะชำระโทษผู้ที่ฝ่าฝืนเนื่องจากพระองค์ทรงเป็นผู้มีชัยและเป็นจ้าวแห่งการชำระโทษและสำนวนอายะฮ์นี้แสดงให้เห็นว่าบาปดังกล่าวเป็นบาปที่ใหญ่หลวงสำหรับปวงบ่าวนั่นเอง[2]คำถามนี้ไม่มีคำตอบเชิงรายละเอียด[1]มัฆนียะฮ์, มุฮัมหมัดญะวาด
  • มีบทบัญญัติทางฟิกเกาะฮ์ในสวรรค์หรือไม่?
    7709 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    ก่อนอื่นต้องคำนึงเสมอว่าเราไม่สามารถล่วงรู้ถึงสภาวะของปรโลกและสวรรค์-นรกได้นอกจากจะศึกษาจากวะฮยู (กุรอาน)และคำบอกเล่าของเหล่าผู้นำศาสนาที่ได้รับการยืนยันความน่าเชื่อถือเสียก่อน.แม้ตำราทางศาสนาจะไม่ได้ระบุคำตอบที่ชัดเจนสำหรับคำถามดังกล่าวแต่จากการพิจารณาถึงข้อคิดที่ระบุไว้ในตำราทางศาสนาก็สามารถกล่าวได้ว่าในสวรรค์ไม่มีบทบัญญัติและกฏเกณฑ์จำเพาะใดๆอีกต่อไปหรือหากมีก็ย่อมแตกต่างจากข้อบังคับต่างๆในโลกนี้ทั้งนี้ก็เพราะการบังคับใช้บทบัญญัติของพระเจ้าในสังคมมนุษย์มีไว้เพื่อสร้างเสริมให้มนุษย์บรรลุถึงความเจริญและความสมบูรณ์สูงสุดซึ่งก็เป็นผลจากการปฏิบัติหน้าที่ทางศาสนาในโลกนี้นั่นเอง
  • น้ำยาบ้วนปากซึ่งโดยปกติแล้วจะมีแอลกอฮอล์เป็นส่วนผสมอยู่ จะมีฮุกุ่มอย่างไร?
    8844 สิทธิและกฎหมาย 2554/08/08
    แอลกอฮอล์ชนิดที่ยังคลางแคลงใจว่าเป็นน้ำเมา[1]แต่เดิมหรือไม่นั้นให้ถือว่าสะอาดและสามารถค้าขายหรือใช้ผลิตพันธ์ที่มีแอลกอฮอล์ดังกล่าวเป็นส่วนผสมได้ตามปกติ[2]
  • ในทัศนะอิสลาม บาปของฆาตกรที่เข้ารับอิสลามจะได้รับการอภัยหรือไม่?
    8667 สิทธิและกฎหมาย 2554/06/12
    อิสลามมีบทบัญญัติเฉพาะสำหรับผู้ที่เพิ่งเข้ารับอิสลามอาทิเช่นหากก่อนรับอิสลามเคยละเมิดสิทธิของอัลลอฮ์เช่นไม่ทำละหมาดหรือเคยทำบาปเป็นอาจินเขาจะได้รับอภัยโทษภายหลังเข้ารับอิสลามทว่าในส่วนของการล่วงละเมิดสิทธิเพื่อนมนุษย์เขาจะไม่ได้รับการอภัยใดๆเว้นแต่คู่กรณีจะยอมประนีประนอมและให้อภัยเท่านั้นฉะนั้นหากผู้ใดเคยล่วงละเมิดสิทธิของผู้อื่นเมื่อครั้งที่ยังมิได้รับอิสลามการเข้ารับอิสลามจะส่งผลให้เขาได้รับการอนุโลมโทษทัณฑ์จากอัลลอฮ์ก็จริงแต่ไม่ทำให้พ้นจากกระบวนการพิจารณาโทษในโลกนี้
  • ในประโยคคำปฏิญาณ (อัชฮะดุ อันลา อิลาฮะ อิลลัลลอฮฺ) ได้นำเอาประโยคปฏิเสธขึ้นหน้าก่อนการปฏิญาณ (ในความเป็นเอกะของพระองค์) มีเหตุผลอันใดหรือ?
    25303 ادله نقلی 2557/10/06
    คำว่า ชะฮาดะตัยนฺ คือการผนวกสองประโยคเข้าด้วยกันคือ คำปฏิญาณประโยคแรกคือ (อัชฮะดุ อันลา อิลาฮะ อิลลัลลอฮฺ) เพื่อพิสูจน์และสารภาพถึงความเป็นหนึ่งเดียวของพระเจ้า ซึ่งเฉพาะเจาะจงและคู่ควรยิ่งแก่การเคารพภักดี สำหรับองค์พระผู้อภิบาลแห่งสากลโลก ส่วนคำปฏิญาณที่สอง (อัชฮะดุ อันนะ มุฮัมมะดัน เราะซูลลุลอฮฺ) เพื่อพิสูจน์และปฏิญาณว่า ท่านนะบีมุฮัมมัดคือ ศาสนทูตแห่งอิสลาม มิได้พิสูจน์การเป็นศาสนทูตคู่ควรแก่ท่านนะบี ด้วยเหตุนี้ ชะฮาดัตแรก จึงเป็นเน้นอันเฉพาะเจาะจงสำหรับพระองค์ ประโยคจึงเริ่มต้นด้วย “การปฏิเสธ” ลานะฟีญินซฺ เพื่อเน้นให้เห็นความสำคัญของคำว่า “อิลาฮะ” ซึ่งถือว่าเป็นคำนามที่เป็นนักกิเราะฮฺ (มิได้ระบุเจาะจง) แน่นอน บริบทของการปฏิเสธนี้ ให้ประโยชน์ในแง่รวมทั้งหมด โดยปฏิเสธพระเจ้าที่มีทั้งหมดบนโลก และปฏิเสธการมีส่วนร่วมในความเป็นพระเจ้า ของพระเจ้าที่แท้จริง ดังนั้น การที่กล่าวว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใด “นอกจาก” อิลลา นั่นเป็นจำกัดให้เห็นถึงความสำคัญอันเฉพาะสำหรับ อัลลอฮฺ เพื่อประกาศให้รู้ว่าไม่มีใคร หรือสิ่งใดมีส่วนร่วมในการเป็นพระผู้อภิบาลของพระองค์ ดังนั้น ในความเป็นจริงจึงพิสูจน์ด้วยประโยคที่กล่าวว่า “นอกจากอัลลอฮฺ” ...
  • จะชี้แจงความแตกต่างระหว่างคริสเตียนและอิสลามกรณีพระเจ้ามีบุตรอย่างไร?
    13246 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/07/31
    เมื่อพิจารณาถึงเนื้อหาซูเราะฮ์กุ้ลฮุวัลลอฮ์จะเข้าใจว่ามุสลิมเชื่อว่าอัลลอฮ์มิได้ถือกำเนิดจากผู้ใดและมิได้ให้กำเนิดผู้ใดศาสนาเอกเทวนิยมล้วนเชื่อเช่นนี้ซึ่งแนวทางของพระเยซูก็อยู่ในเกณฑ์เดียวกันเหตุเพราะศาสนาเทวนิยมล้วนตั้งอยู่บนพื้นฐานของสติปัญญาและธรรมชาติอันบริสุทธิ์ของมนุษย์สติปัญญาก็สามารถพิสูจน์ได้ว่าพระผู้สร้างทุกสรรพสิ่งย่อมไม่ต้องพึ่งพาสิ่งใดแน่นอนว่าผู้มีคุณลักษณะเช่นนี้ย่อมไม่ต้องมีบิดาหรือบุตรเพราะการมีบิดาหรือบุตรบ่งบอกถึงการมีสรีระเชิงวัตถุซึ่งย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องพึ่งพาอวัยวะและแน่นอนว่าพระเจ้าปราศจากข้อบกพร่องเหล่านี้ส่วนความเชื่อที่แพร่หลายในหมู่ชาวคริสเตียนในปัจจุบันนั้นชี้ให้เห็นว่ามีการบิดเบือนคำสอนอันทำให้ผิดเพี้ยนไปจากศาสนาคริสต์ดั้งเดิม ...

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60826 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    58520 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42924 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    40563 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    39538 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    34681 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    28758 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    28634 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    28611 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    26519 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...