การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
9974
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2554/06/21
 
รหัสในเว็บไซต์ fa849 รหัสสำเนา 14549
คำถามอย่างย่อ
เคยได้ยินฮะดีษที่ว่าท่านนบี(ซ.ล.)ได้บั่นศีรษะชัยฏอนไปแล้ว, ฮะดีษนี้เชื่อถือได้เพียงใด? แล้วการล่อลวงของชัยฏอนจะตีความอย่างไร?
คำถาม
ดิฉันเคยอ่านพบฮะดีษที่ว่าท่านอิมามอลี(อ)เคยรบพุ่งกับชัยฏอนมารร้าย เมื่อท่านเริ่มจะเพลี่ยงพล้ำและชัยฏอนกำลังจะกุมชัยชนะ ทันใดนั้นเองท่านศาสดา(ซ.ล.)ก็ลงมาจากฟากฟ้า ชัยฏอนเห็นเช่นนั้นจึงรีบวิ่งหนี แต่ท่านนบีสามารถตามไปบั่นศีรษะชัยฏอนได้สำเร็จ. ฮะดีษนี้เชื่อถือได้เพียงใด? และหากชัยฏอนถูกปลิดชีพแล้ว เหตุใดผู้คนจึงยังเชื่อว่าชัยฏอนล่อลวงจิตใจมนุษย์?
คำตอบโดยสังเขป

ฮะดีษที่ดังกล่าวมีอยู่จริงในขุมตำราฮะดีษของเรา อย่างไรก็ดี ฮะดีษดังกล่าวมีจุดประสงค์เพื่ออธิบายเกี่ยวกับ“เยามิล วักติล มะอ์ลูม”(วันเวลาที่กำหนดไว้)

ดังคำบอกเล่าของกุรอาน อิบลีสถูกเนรเทศออกไปจาก ณ พระองค์ แต่มันได้ขอให้ทรงประวิงเวลา อัลลอฮ์ตัดสินคาดโทษอิบลีสจนถึง“เยามิล วักติล มะอ์ลูม” ฮะดีษที่ถามมาต้องการจะเฉลยปริศนาเกี่ยวกับวันเวลาดังกล่าว โดยเชื่อว่าจะเกิดขึ้นในยุคแห่งร็อจอะฮ์(ยุคต่อจากกาลสมัยของอิมามมะฮ์ดี ที่บรรดาอิมามในอดีตจะหวลกลับมาบริหารรัฐอิสลามโลก) หาไช่วันสิ้นโลกหรือวันกิยามะฮ์ไม่.

สิ่งที่ต้องทำความเข้าใจเบื้องต้นคือ:
1.
ฮะดีษดังกล่าวไม่ได้ระบุว่าอิบลีสถูกสังหารไปแล้วในอดีต เนื่องจากความเชื่อดังกล่าวขัดกับเนื้อหาอัลกุรอาน และแน่นอนว่าความเห็นที่ขัดต่ออัลกุรอานย่อมไม่เป็นที่ยอมรับ.
จึงหมายความว่า ณ ขณะนี้ อิบลีสชัยฏอนยังมีชีวิตอยู่ และยังคงกระซิบกระซาบในจิตใจเพื่อล่อลวงให้มนุษย์หลงทาง

2. ฮะดีษดังกล่าวเล่าถึงสงครามระหว่างกองทัพอิบลีสกับกองทัพของอิมามอลี และแม้ว่าฮะดีษจะระบุว่ากองทัพของอิมามอลีล่าถอย แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าท่านอิมามอลีเพลี่ยงพล้ำชัยฏอนแต่อย่างใด.

3. ฮะดีษนี้อาจมีเนื้อหาที่ขัดต่อหลักความเชื่อพื้นฐานของอิมามียะฮ์ จึงจะต้องได้รับการตีความเพื่อให้มีความหมายที่ถูกต้อง.

คำตอบเชิงรายละเอียด

ประเด็นแรก: อิบลีสมีทายาท[1]และพลทหารที่ช่วยกันล่อลวงมนุษย์[2] ซึ่งในคำสอนอิสลามเรียกญินกลุ่มนี้ว่า “ชัยฏอน”[3]
ประเด็นที่สอง
: กุรอานระบุว่า หลังจากที่อิบลีสคัดค้านคำบัญชาของอัลลอฮ์ โดยไม่ยอมศิโรราบต่อท่านนบีอาดัมจนกระทั่งทำให้ถูกอัปเปหิแล้ว มันได้ขอต่อพระองค์ว่า “โอ้นายข้า ขอจงประวิงเวลาแก่ข้าฯตราบถึงวันฟื้นคืนชีพเถิด”[4] พระองค์ทรงรับคำขอของอิบลีสว่า“เจ้าได้รับการประวิงเวลา”[5] แม้ในอายะฮ์นี้จะไม่ระบุชัดเจนว่าพระองค์ประวิงเวลาถึงเมื่อใด แต่ในอายะฮ์ที่ 38 ซูเราะฮ์ ฮิจร์ ระบุว่า “เจ้าได้รับการประวิงเวลาถึงวันเวลาที่กำหนดไว้”[6] นั่นหมายความว่าอิบลีสไม่ได้รับการประวิงเวลาตามที่ขอทั้งหมด แต่ได้เพียงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น.[7]

ประเด็นที่สาม: ฮะดีษต่างๆให้คำอธิบายเกี่ยวกับ“เยามิล วักติล มะอ์ลูม”ไว้หลายทัศนะด้วยกัน อาทิเช่น:
   
1. วันสิ้นโลก: วันที่ทุกสิ่งมีชีวิตจะตายลง ทำให้หมดยุคแห่งศาสนกิจและบทบัญญัติศาสนา และพระองค์จะคงอยู่เพียงองค์เดียว.[8]
     2. วันกิยามะฮ์: อันหมายถึงวันฟื้นคืนชีพและพิพากษา[9]. หากเชื่อว่าอิบลีสจะอยู่ถึงวันนี้ก็ย่อมขัดกับความเข้าใจทั่วไปในอายะฮ์ดังกล่าว และขัดต่อความเชื่อที่ว่า ทุกสิ่งมีชีวิต(รวมทั้งชัยฏอน)ล้วนต้องตายก่อนวันสิ้นโลก ซึ่งเกิดขึ้นก่อนวันกิยามะฮ์.[10]
   
3. วันที่ไม่มีใครล่วงรู้ได้นอกจากพระองค์.[11]

ผู้ประพันธ์ตัฟซีรเนมูเนะฮ์เชื่อว่าทัศนะแรกมีความน่าเชื่อถือมากที่สุด นอกจากนี้ยังมีฮะดีษจากท่านอิมามศอดิกที่ระบุว่าชัยฏอนจะตายช่วงระหว่างการเป่าสังข์ครั้งแรกและครั้งที่สอง.[12]

มีการให้เหตุผลเสริมทัศนะดังกล่าวว่า การทำบาปจะมีอยู่เรื่อยไปตราบเท่าที่มีศาสนกิจภาคบังคับ และศาสนกิจจะมีจนถึงวันที่ทุกสิ่งมีชีวิตล้มตายจนหมดสิ้น นั่นคือวันเป่าสังข์ครั้งแรก และระยะเวลาระหว่างการเป่าสัญญาณตายและสัญญาณฟื้นคืนชีพนั้นห่างกัน 40/400 ปี(ต่างกันตามรายงาน) และนี่คือระยะห่างระหว่างเวลาที่อิบลีสขอประวิงเวลา และเวลาที่พระองค์ทรงอนุโลมให้.[13]

อัลลามะฮ์ ฏอบาฏอบาอี กล่าวว่า เหตุผลดังกล่าวฟังดูเข้าที แต่ประโยคที่ว่า ตราบใดที่คนเรามีหน้าที่ทางศาสนาย่อมมีการทำบาปนั้น ฟังดูไม่กระจ่างและไม่มีเหตุผลที่ชัดเจนยืนยัน ที่เป็นเช่นนี้เพราะนักตัฟซีรหลายท่านมักจะผูกโยงความเห็นดังกล่าวกับอายะฮ์ที่ระบุว่า การทำบาปของมนุษย์เป็นผลมาจากการล่อลวงของอิบลีส นอกจากนี้ยังมีอายะฮ์ 60 ยาซีน[14], 22 อิบรอฮีม[15] ที่บ่งชี้ว่าอิบลีสจะยังคงอยู่ตราบใดที่ยังมีศาสนกิจ และในเมื่อศาสนกิจยังคงบังคับใช้จวบจนมนุษย์คนสุดท้าย จึงสรุปเอาว่า อิบลีสจะอยู่ล่อลวงจนกระทั่งมนุษย์คนสุดท้าย

อย่างไรก็ดี ปฏิเสธไม่ได้ว่า อายะฮ์ที่อ้างมาทั้งหมดถือว่าการทำบาปเป็นผลจากการล่อลวงของอิบลีส แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น อายะฮ์เหล่านี้ต้องการยืนยันเพียงแค่ว่า อิบลีสจะยังคงมีชีวิตอยู่ตราบที่มนุษย์ยังทำบาป มิไช่ตราบเท่าที่มนุษย์ยังต้องประกอบศาสนกิจ เนื่องจากไม่สามารถฟันธงได้ว่าการประกอบศาสนกิจต้องคู่กับการทำบาปเสมอไป

ที่กล่าวเช่นนี้ก็เพราะฮะดีษและเหตุผลเชิงปัญญาต่างพิสูจน์ว่า มนุษย์กำลังมุ่งหน้าสู่ความผาสุก และท้ายที่สุดประชาคมโลกจะหันห่างจากความชั่วร้ายทั้งปวง โดยมุ่งหน้าสู่ความดีงามในระดับที่ทุกคนพร้อมใจภักดีต่ออัลลอฮ์แต่เพียงองค์เดียว รากเหง้าแห่งกุฟร์และการปฏิเสธจะถูกขจัดไป วิถีชีวิตมนุษย์จะดีขึ้น และโรคภัยทางจิตวิญญาณรวมทั้งการล่อลวงของชัยฏอนจะหมดไป[16]

จากอุดมคติดังกล่าวทำให้ทราบว่า“เยามิล วักติล มะอ์ลูม”มิไช่วันกิยามะฮ์ หรือวันสิ้นโลก ทว่าเป็นช่วงที่สิ่งมีชีวิตยังคงอยู่ และมนุษย์ยังต้องปฏิบัติศาสนกิจเช่นปกติ สิ่งที่สนับสนุนทัศนะนี้ก็คือฮะดีษที่เกี่ยวกับร็อจอะฮ์.[17]

ในตัฟซีรกุมี มีฮะดีษที่รายงานจาก มุฮัมมัด บิน ยูนุส รายงานจากชายคนหนึ่งว่าท่านอิมามญะฟัร กล่าวอธิบายอายะฮ์“เยามิล วักติล มะอ์ลูม”ว่า “วันดังกล่าวคือวันที่ศาสดาจะตัดคออิบลีสบนแท่นหิน ณ บัยตุลมักดิส”[18] ฮะดีษประเภทนี้มีรายงานมากมาย ซึ่งฮะดีษที่อ้างอิงในคำถามก็คือหนึ่งในนั้น.[19]

4. อาจเกิดข้อสงสัยว่า หลังจากอิบลีสถูกสังหารก่อนวันสิ้นโลก มนุษย์ก็จะไม่มีกิเลสตัณหาหลงเหลืออยู่ในใจไช่หรือไม่?
คำตอบก็คือ วิธีการของชัยฏอนคือการสร้างภาพกิเลสตัณหาให้แลดูเพริดพริ้งชวนหลงใหล[20] ซึ่งหากผู้ใดถูกชัยฏอนบิดเบือนวิสัยทัศน์ไว้แล้ว ก็ย่อมเดินหน้ากระทำบาปต่อไปได้โดยไม่ต้องมีชัยฏอนผลักดัน[21]

5. ดูเหมือนว่าฮะดีษที่อ้างอิงในคำถามจะเป็นฮะดีษที่ปรากฏอยู่ในตำราฮะดีษของเรา[22] อย่างไรก็ดี[23]ต้องคำนึงว่า:
    1.
ฮะดีษนี้กล่าวถึงเหตุการณ์ในยุคแห่งร็อจอะฮ์  ไม่มีส่วนใดระบุว่าอิบลีสถูกฆ่าตายไปแล้วในอดีต[24] ทั้งนี้ก็เพราะกุรอานยืนยันชัดเจนว่าอิบลีสจะมีชีวิตอยู่จนถึง“เยามิล วักติล มะอ์ลูม” และตามกฏแล้ว ฮะดีษใดที่ขัดกับกุรอานย่อมขาดความน่าเชื่อถือ[25] สรุปคือ ปัจจุบันอิบลีสยังมีชีวิตอยู่ และยังสาละวนกับการล่อลวงมนุษย์ให้หลงทาง.
  
2. ฮะดีษนี้กล่าวถึงการทำสงครามระหว่างกองทัพอิบลีสกับกองทัพของอิมามอลี หากฮะดีษระบุว่ามีการล่าถอยเพื่อตั้งหลัก นั่นหมายถึงการล่าถอยของกองทัพของท่านโดยรวม มิไช่ว่าท่านอิมามอลีเพลี่ยงพล้ำเสียทีอิบลีสแต่อย่างใด[26]
  
3. บางประโยคในฮะดีษนี้ขัดต่อหลักความเชื่อพื้นฐานของอิมามียะฮ์ และต้องได้รับการตีความเพื่อให้ได้ความหมายที่ถูกต้อง.[27]



[1] ซูเราะฮ์ อัลกะฮ์ฟิ,50.

[2] ดัชนี: ชัยฏอนและทายาทของมัน, คำถามที่565 (ไซต์: 618).

[3] ดู: ดัชนีต่อไปนี้: ชัยฏอน,มะลาอิกะฮ์หรือญิน?,คำถามที่ 100 (ไซต์: ) และ การไม่ศิโรราบของอิบลีส, เหตุการณ์หรือสัญลักษณ์, คำถามที่ 137(ไซต์ 891) และ ความสามารถของชัยฏอนและญิน, คำถามที่ 138 (ไซต์ 883).

[4] قالَ رب أَنْظِرْنی‏ إِلى‏ یَوْمِ یُبْعَثُونซูเราะฮ์ อะอ์รอฟ, 14.

[5] "قالَ إِنَّکَ مِنَ الْمُنْظَرِینَ".

[6] "فانک من المنظرین،الی یوم الوقت المعلوم" อัลฮิจร์, 37,38. กาลเวลาที่กำหนดไว้อาจหมายถึงวันปรากฏกายของอิมามมะฮ์ดี หรืออาจหมายถึงวันกิยามะฮ์.

[7] ตัฟซีร เนมูเนะฮ์, เล่ม 6, หน้า 109

[8] ดังที่ปรากฏในอายะฮ์ที่ 88 ซูเราะฮ์ก่อศ็อศ ว่า “کُلُّ شَیْ‏ءٍ هالِکٌ إِلَّا وَجْهَهُ

[9] เพราะตามทัศนะนี้ อิบลีสต้องการมีชีวิตจวบจนวันนั้นเพื่อจะได้มีชีวิตอมตะ และคำขอของมันได้รับการตอบรับ, โดยที่สำนวน
یَوْمِ الْوَقْتِ الْمَعْلُومِ ในอายะฮ์ 50 ซูเราะฮ์วากิอะฮ์ก็หมายถึงวันกิยามะฮ์.

[10] ดู: ตัฟซีรอัลมีซานฉบับแปลฟารซี, เล่ม 12,หน้า 235.

[11] เพราะหากอัลลอฮ์ทรงเผยให้รู้ว่าวันนั้นคือวันใด อิบลีสก็ยิ่งจะลำพองใจทำบาปมากยิ่งขึ้น, มัจมะอุ้ล บะยาน, เล่ม 6, หน้า 337. ทว่าทัศนะที่หักล้าง ดู: ตัฟซีรอัลมีซานฉบับแปลฟารซี, เล่ม 6,หน้า 337

[12] ตัฟซีร บุรฮาน, เล่ม 2, หน้า 342 และ ตัฟซีร นูรุษษะเกาะลัยน์, เล่ม 13, หน้า 45 และ อ้างแล้ว, เล่ม 11, หน้า 72.

[13] ดู: ตัฟซีรอัลมีซานฉบับแปลฟารซี, เล่ม 12,หน้า 237.

[14] "أَ لَمْ أَعْهَدْ إِلَیْکُمْ یا بَنِی آدَمَ أَنْ لا تَعْبُدُوا الشَّیْطانَ إِنَّهُ لَکُمْ عَدُوٌّ مُبِینٌ" โอ้ลูกหลานอาดัมเอ๋ย ข้ามิได้สัญญากับสูเจ้ามิให้บูชาชัยฏอนหรืออย่างไร แท้จริงมันคือศัตรูตัวฉกาจของสูเจ้า”

[15] "وَ قالَ الشَّیْطانُ لَمَّا قُضِیَ الْأَمْرُ إِنَّ اللَّهَ وَعَدَکُمْ وَعْدَ الْحَقِّ وَ وَعَدْتُکُمْ فَأَخْلَفْتُکُمْ ..." และเมื่อ(การพิพากษา)เสร็จสิ้น ชัยฏอนกล่าวว่า อัลลอฮ์สัญญาในสิ่งที่สัจจริง ทว่าข้าสัญญาแล้วบิดพริ้วพวกเจ้า”

[16] ตัฟซีรอัลมีซานฉบับแปลฟารซี, เล่ม 12,หน้า 237. และ ดู: หมวดนุบูวัต, ในเล่มที่สอง และ เรื่องราวนบีนูห์, เล่มที่สิบ.

[17] มัรฮูม อัลลามะฮ์ ฏอบาฏอบาอีได้ประมวลทัศนะเหล่านี้ว่า“โองการที่เกี่ยวกับวันกิยามะฮ์ มักจะได้รับการตีความในสายของอะฮ์ลุลบัยต์(อ)ว่าเป็นวันปรากฏกายอิมามมะฮ์ดีก็,วันแห่งร็อจอะฮ์ และวันกิยามะฮ์ ทั้งนี้ก็เพราะว่าทั้งสามวันนี้นับเป็นวันแห่งการเผยสัจธรรม แม้ว่าระดับความเข้มข้นของสัจธรรมทั้งสามจะไม่เท่ากัน ฉะนั้น คุณสมบัติของวันกิยามะฮ์ก็สามารถนำมาเทียบกับอีกสองเหตุการณ์ข้างต้นได้. ตัฟซีรอัลมีซานฉบับแปลฟารซี, เล่ม 12,หน้า 258.

[18] ตัฟซีรกุมี, เล่ม 1, หน้า 349. ส่วนตัฟซีรอัยยาชีย์รายงานจากวะฮับ บิน ญะมี้อ์ และตัฟซีรบุรฮานรายงานจาก ชะรอฟุดดีน นะญะฟี รายงานจากวะฮับโดยไม่เอ่ยถึงสายรายงานว่า ฉันถามอิมามศอดิกเกี่ยวกับอิบลีส และคำว่า“วันเวลาที่กำหนดไว้”ดังปรากฏในอายะฮ์กุรอาน อิมามตอบว่า “โอ้วะฮับ ท่านคิดหรือว่านั่นหมายถึงวันแห่งการฟื้นคืนชีพ? หามิได้ อัลลอฮ์จะทรงประวิงเวลาให้มันจนกระทั่งมะฮ์ดีของเราปรากฏกาย ในวันนั้น อิบลีสจะถูกกระชากผมเพื่อบั่นศีรษะ ไช่แล้ว! วันนั้นคือวันที่กำหนดไว้.” อัลบุรฮาน, เล่ม 2, หน้า 343 ฮะดีษที่ 7. ตัฟซีรอัยยาชี, เล่ม 2, หน้า 242. ฮะดีษ 14.

[19] ดู: ณ บทเรียนของอัลลามะฮ์ ฏอบาฏอบาอี, คำถามที่ 75,หน้า 42.

[20] ฮิจร์, 39.

[21] ดู: ณ บทเรียนของอัลลามะฮ์ ฏอบาฏอบาอี, คำถามที่ 76,หน้า 47.

[22] ดู: บิฮารุลอันว้าร เล่ม 53, หน้า 42,ฮะดีษที่ 12:

 سَعْدٌ عَنِ ابْنِ أَبِی الْخَطَّابِ عَنْ مُوسَى بْنِ سَعْدَانَ عَنْ عَبْدِ اللَّهِ بْنِ الْقَاسِمِ الْحَضْرَمِیِّ عَنْ عَبْدِ الْکَرِیمِ بْنِ عَمْرٍو الْخَثْعَمِیِّ قَالَ سَمِعْتُ أَبَا عَبْدِ اللَّهِ ع یَقُولُ إِنَّ إِبْلِیسَ قَالَ أَنْظِرْنِی إِلى‏ یَوْمِ یُبْعَثُونَ فَأَبَى اللَّهُ ذَلِکَ عَلَیْهِ قالَ فَإِنَّکَ مِنَ الْمُنْظَرِینَ إِلى‏ یَوْمِ الْوَقْتِ الْمَعْلُومِ فَإِذَا کَانَ یَوْمُ الْوَقْتِ الْمَعْلُومِ ظَهَرَ إِبْلِیسُ لَعَنَهُ اللَّهُ فِی جَمِیعِ أَشْیَاعِهِ مُنْذُ خَلَقَ اللَّهُ آدَمَ إِلَى یَوْمِ الْوَقْتِ الْمَعْلُومِ وَ هِیَ آخِرُ کَرَّةٍ یَکُرُّهَا أَمِیرُ الْمُؤْمِنِینَ ع فَقُلْتُ وَ إِنَّهَا لَکَرَّاتٌ قَالَ نَعَمْ إِنَّهَا لَکَرَّاتٌ وَ کَرَّاتٌ مَا مِنْ إِمَامٍ فِی قَرْنٍ إِلَّا وَ یَکُرُّ مَعَهُ الْبَرُّ وَ الْفَاجِرُ فِی دَهْرِهِ حَتَّى یُدِیلَ اللَّهُ الْمُؤْمِنَ مِنَ الْکَافِرِ فَإِذَا کَانَ یَوْمُ الْوَقْتِ الْمَعْلُومِ کَرَّ أَمِیرُ الْمُؤْمِنِینَ ع فِی أَصْحَابِهِ وَ جَاءَ إِبْلِیسُ فِی أَصْحَابِهِ وَ یَکُونُ مِیقَاتُهُمْ فِی أَرْضٍ مِنْ أَرَاضِی الْفُرَاتِ یُقَالُ لَهُ الرَّوْحَاءُ قَرِیبٌ‏ مِنْ کُوفَتِکُمْ فَیَقْتَتِلُونَ قِتَالًا لَمْ یُقْتَتَلْ مِثْلُهُ مُنْذُ خَلَقَ اللَّهُ عَزَّ وَ جَلَّ الْعَالَمِینَ فَکَأَنِّی أَنْظُرُ إِلَى أَصْحَابِ عَلِیٍّ أَمِیرِ الْمُؤْمِنِینَ ع قَدْ رَجَعُوا إِلَى خَلْفِهِمُ الْقَهْقَرَى مِائَةَ قَدَمٍ وَ کَأَنِّی أَنْظُرُ إِلَیْهِمْ وَ قَدْ وَقَعَتْ بَعْضُ أَرْجُلِهِمْ فِی الْفُرَاتِ فَعِنْدَ ذَلِکَ یَهْبِطُ الْجَبَّارُ عَزَّ وَ جَلَّ فِی ظُلَلٍ مِنَ الْغَمامِ وَ الْمَلائِکَةُ وَ قُضِیَ الْأَمْرُ رَسُولُ اللَّهِ ص أَمَامَهُ بِیَدِهِ حَرْبَةٌ مِنْ نُورٍ فَإِذَا نَظَرَ إِلَیْهِ إِبْلِیسُ رَجَعَ الْقَهْقَرَى نَاکِصاً عَلَى عَقِبَیْهِ فَیَقُولُونَ لَهُ أَصْحَابُهُ أَیْنَ تُرِیدُ وَ قَدْ ظَفِرْتَ فَیَقُولُ إِنِّی أَرى‏ ما لا تَرَوْنَ إِنِّی أَخافُ اللَّهَ رَبَّ الْعالَمِینَ فَیَلْحَقُهُ النَّبِیُّ ص فَیَطْعُنُهُ طَعْنَةً بَیْنَ کَتِفَیْهِ فَیَکُونُ هَلَاکُهُ وَ هَلَاکُ جَمِیعِ أَشْیَاعِهِ فَعِنْدَ ذَلِکَ یُعْبَدُ اللَّهُ عَزَّ وَ جَلَّ وَ لَا یُشْرَکُ بِهِ شَیْئاً وَ یَمْلِکُ أَمِیرُ الْمُؤْمِنِینَ ع أَرْبَعاً وَ أَرْبَعِینَ أَلْفَ سَنَةٍ حَتَّى یَلِدَ الرَّجُلُ مِنْ شِیعَةِ عَلِیٍّ ع أَلْفَ وَلَدٍ مِنْ صُلْبِهِ ذَکَراً وَ عِنْدَ ذَلِکَ تَظْهَرُ الْجَنَّتَانِ الْمُدْهَامَّتَانِ عِنْدَ مَسْجِدِ الْکُوفَةِ وَ مَا حَوْلَهُ بِمَا شَاءَ اللَّهُ

[23] น่าสังเกตุว่าในบิฮารุลอันว้ารเล่ม 14 และ 27 มีฮะดีษอีกกลุ่มหนึ่งที่รายงานเหตุการณ์ปะทะกันระหว่างกองทัพของอิมามอลีและพลพรรคอิบลีส โดยมีเนื้อหาแตกต่างจากฮะดีษที่ถามถึงอย่างสิ้นเชิง. ดู: ตำราฟากฟ้าและโลกา, อายะตุลลอฮ์ คูฮ์ โคมเรอี, หน้า 160, บทแปลบิฮารุลอันว้าร เล่ม 14.

[24] การสังหารทหารของอิบลีสมิไช่เรื่องแปลก เนื่องจากทั้งอิบลีสและทหารของมันล้วนเป็นญินทั้งสิ้น และเอาลิยาอ์ของอัลลอฮ์มีวิธีที่จะสังหารญิน อย่างไรก็ดี การฆ่าทหารอิบลีสมิได้หมายความว่าจะไม่มีชัยฏอนหลงเหลืออยู่อีกเลยบนโลกนี้

[25] ดังที่กล่าวไปแล้ว อัลลอฮ์ทรงคาดโทษอิบลีสจนถึง“วันที่กำหนดไว้” ซึ่งฮะดีษมากมายได้อธิบายถึงวันดังกล่าว ทั้งหมดนี้ก็เนื่องจากการเห็นสมควรของอัลลอฮ์ที่จะไว้ชีวิตอิบลีสเพื่อทดสอบความศรัทธาของมนุษย์. ดู: ดัชนี: ปรัชญาการสร้างชัยฏอน, เลขที่232 และการสร้างอิบลีส, คำถามที่ 333. นอกจากนี้ในอายะฮ์ 5,6 ซูเราะฮ์ อันนาส พระองค์ตรัสว่า “...ผู้ที่กำลังล่อลวงในใจมนุษย์”, , สังเกตุว่ากุรอานใช้กริยาปัจจุบันกาล อันแปลว่าผู้ที่ล่อลวงอยู่อย่างต่อเนื่องถึงตอนนี้.

[26] کَأَنِّی أَنْظُرُ إِلَى أَصْحَابِ عَلِیٍّ أَمِیرِ الْمُؤْمِنِینَ ع قَدْ رَجَعُوا إِلَى خَلْفِهِمُ الْقَهْقَرَى مِائَةَ قَدَمٍ

[27] อัลลามะฮ์ มัจลิซี ตีความเกี่ยวกับข้อเคลือบแคลงในฮะดีษว่า:

"هبوط الجبار تعالى کنایة عن نزول آیات عذابه و قد مضى تأویل الآیة المضمنة فی هذا الخبر فی کتاب التوحید و قد سبق الروایة عن الرضا ع هناک أنها هکذا نزلت إلا أن یأتیهم الله بالملائکة فی ظلل من الغمام و على هذا یمکن أن یکون الواو فی قوله و الملائکة هنا زائدا من النساخ."

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • บุตรีของมุสลิม บิน อะกีลมีชื่อว่าอะไร?
    7676 تاريخ کلام 2554/06/22
    หลังจากได้ศึกษาหนังสือหลายเล่มเกี่ยวกับชีวประวัติของท่านมุสลิมบินอะกีลเข้าใจได้ว่าท่านมุสลิมมีบุตรี 2 คนนามว่าอาติกะฮฺและฮะมีดะฮฺซึ่งอาติกะฮฺอยู่ในเหตุการณ์กัรบะลาอฺด้วยและเธอได้ชะฮีดในวันอาชูรอขณะศัตรูได้บุกโจมตีเต็นท์ต่างๆส่วนฮะมีดะฮฺได้ถูกจับตัวเป็นเชลยพร้อมกับเชลยแห่งกัรบะลาอฺซึ่งตระกูลของมุสลิมได้สืบเชื้อสายมาจากนาง ...
  • เพราะเหตุใดท่านศาสดา (ซ็อลฯ) จึงไม่ลงโทษบรรดาพวกกลับกลอกเสียตั้งแต่แรก ทั้งที่ทราบถึงแผนการ การก่อกรรมชั่วของพวกเขาเป็นอย่างดี? ขณะที่ท่านคิเฎรสังหารเด็กผู้ชายคนหนึ่ง ด้วยเหตุผลที่ว่าเมื่อโตขึ้นเขาจะก่อความเสียหาย?
    7022 เทววิทยาดั้งเดิม 2555/08/22
    ถ้าหากท่านเราะซูล (ซ็อลฯ) สังหารพวกเขาตั้งแต่วันนั้นให้หมดไป ก่อนที่แผนการของพวกเขาจะถูกปฏิบัต และวันนี้ก็จะไม่มีคำพูดว่า แล้วทำไมท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ก่อนที่จะดำเนินการไม่ประณาม หรือไม่ตักเตือนพวกเขาเสียก่อน ทำไมไม่ให้โอกาสพวกเขา บางทีพวกเขาอาจเปลี่ยนแปลงก็ได้ นอกจากนั้นแล้วท่านศาสดา (ซ็อลฯ) มีหน้าที่ปฏิบัติไปตามกฎภายนอก และท่านมิได้รับอนุญาตจากอัลลอฮฺให้ทำการเข้มงวดกับบุคคลที่เป็นผู้กลับกลอก หรือปฏิบัติกับพวกเขาโดยความเข้มงวดอย่างเปิดเผย ดั่งที่บางตอนของคำเทศนาเฆาะดีรได้กล่าวว่า »ขอสาบานต่ออัลลอฮฺว่า วัตถุประสงค์ของอัลลอฮฺ จากโองการดังกล่าวคือ เซาะฮาบะฮฺกลุ่มหนึ่ง ซึ่งท่านรู้จักทั้งนามและสถานภาพของเขา, แต่ท่านมีหน้าที่ปกปิดพวกเขาไปตามสภาพ« ...
  • มีฮะดีษระบุว่า การปัสสาวะอย่างไม่ระวังจะทำให้ถูกบีบอัดในมิติแห่งบัรซัค กรุณาอธิบายให้กระจ่างด้วยค่ะ
    7019 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2555/01/15
    ในตำราฮะดีษมีบางรายงานระบุว่าท่านนบีเคยกล่าวไว้ว่า “จงระมัดระวังในการชำระปัสสาวะเถิดเพราะการลงโทษส่วนใหญ่ในสุสานเกิดจากการปัสสาวะ”[1] ท่านอิมามศอดิกก็เคยกล่าวว่า “การลงทัณฑ์ในสุสานส่วนใหญ่มีสาเหตุเนื่องมาจากปัสสาวะ”[2]อย่างไรก็ดีต้องชี้แจงเกี่ยวกับปรัชญาของอะห์กามว่าถึงแม้ฮุกุ่มทุกประเภทจะอิงคุณและโทษในฐานะที่เป็นเหตุผลก็ตามแต่เป็นเรื่องยากที่จะสามารถแจกแจงเหตุและผลของฮุก่มแต่ละข้ออย่างละเอียดละออได้ที่สุดแล้วก็ทำได้เพียงแจกแจ้งทีละข้อซึ่งหลักเกณฑ์ที่ว่าสามารถครอบคลุมส่วนใหญ่เท่านั้นมิไช่ทั้งหมดจึงทำให้อาจจะมีข้อยกเว้นบางกรณี[3]ประเด็นการไม่ระมัดระวังนะญิสของปัสสาวะนั้นสติปัญญาของคนเราเข้าใจได้เพียงระดับที่ว่าพฤติกรรมดังกล่าวจะทำลายน้ำนมาซอันเป็นเงื่อนไขของอิบาดะฮ์อย่างเช่นการนมาซ แต่ไม่อาจจะเข้าถึงสัมพันธภาพเชิงเหตุและผลระหว่างการปัสสาวะอย่างไม่ระวังกับการถูกลงโทษในสุสานได้อย่างไรก็ตามสติปัญญายอมรับในภาพรวมว่าการกระทำของมนุษย์จะส่งผลถึงโลกนี้และโลกหน้า[1]บิฮารุลอันว้าร,เล่ม
  • อัลลอฮฺ ทรงอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ธรรมชาติด้วยหรือไม่?
    6182 เทววิทยาดั้งเดิม 2555/04/07
    อัลลอฮฺ คือพระผู้ทรงกำหนดกฎเกณฑ์ต่างๆ ทางธรรมชาติ อาตมันสากลของพระองค์มิได้อยู่ภายใต้อำนาจของสิ่งใดทั้งสิ้น นอกจากความต้องการของพระองค์ หรือเว้นเสียแต่ว่าความประสงค์ของพระองค์ต้องการที่จะปฏิบัติภารกิจหนึ่ง ซึ่งทรงเป็นสาเหตุของการเกิดสิ่งนั้น ขณะเดียวกันการละเมิดกฎต่างๆในโลกที่ต่ำกว่า โดยพลังอำนาจที่ดีกว่าของพระองค์ถือเป็น กฎเกณฑ์อันเฉพาะ และเป็นประกาศิตที่มีความเป็นไปได้เสมอ ซึ่งเราเรียกสิ่งนั้นว่า ปาฏิหาริย์,แน่นอน ปาฏิหาริย์มิได้จำกัดอยู่ในสมัยของบรรดาศาสดาเท่านั้น ทว่าสามารถเกิดขึ้นได้ในทุกสมัย เพียงแต่ว่าปาฏิหาริย์ได้ถูกมอบแก่บุคคลที่เฉพาะเท่านั้น เป็นความถูกต้องที่ว่าความรู้มีความจำกัดและขึ้นอยู่ยุคสมัยและสภาพแวดล้อม ไม่มีความรู้ใดยอมรับหรือสนับสนุนเรื่องมายากล และเวทมนต์ แต่คำพูดที่ถูกต้องยิ่งกว่าคือ เจ้าของความรู้เหล่านั้นบางครั้ง ได้แสดงสิ่งที่เลยเถิดไปจากนิยามของความรู้หรือที่เรียกว่า มายากล เวทมนต์เป็นต้น อีกนัยหนึ่งกล่าวได้ว่า สิ่งนั้นคือการมุสาและการเบี่ยงเบนนั่นเอง ...
  • ภารกิจของท่านอิมามมะฮฺดียฺ (อ.) หลังจากปรากฏกายแล้วคืออะไร? แล้วเป็นไปได้ไหมที่ท่านจะถูกทำชะฮาดัตโดยน้ำมือของสตรีชราที่มีนวดเครา?
    6354 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/04/21
    ในเวลานั้นท่านอิมามมะฮฺดียฺ (อ.) จะได้รับอนุญาตจากอัลลอฮฺให้จัดตั้งทั้งด้านวัตถุปัจจัยและด้านคุณธรรมมโนธรรมเพื่อจะได้จัดตั้งรัฐบาลแห่งความยุติธรรมขึ้นมาปกครองโลกซึ่งถือว่าเป็นรัฐบาลที่ใหญ่ที่สุดบนโลกนี้ ท่านจะเป็นผู้สนับสนุนส่งเสริมเกียรติและคุณค่าของความเป็นมนุษย์พร้อมกับเรียกร้องไปสู่ความปลอดภัยชีวิตมนุษย์จะกลายเป็นชีวิตแห่งพระเจ้าในเวลานั้นท่านอิมามมะฮฺดียฺ (อ.)
  • ฮัมมาดะฮ์เป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย และมีบุคลิกอย่างไร?
    7389 تاريخ بزرگان 2555/03/08
    ตำราวิชาสายรายงานฮะดีษระบุว่ามีสตรีที่ชื่อ “ฮัมมาดะฮ์” สองคน คนหนึ่งชื่อ “ฮัมมาดะฮ์ บินติ เราะญาอ์” ส่วนอีกคนคือ “ฮัมมาดะฮ์ บินติ ฮะซัน” แต่สันนิษฐานว่าสองรายนี้คือคนๆเดียวกัน สุภาพสตรีท่านนี้เป็นสาวิกาของท่านอิมามศอดิก(อ.) ซึ่งกุลัยนีและเชคเศาะดู้กได้รายงานฮะดีษของอิมามศอดิกจากนาง[1] ท่านนะญาชีระบุว่าพี่ชายของนางชื่อซิยาด บิน อีซา อบูอุบัยดะฮ์ ฮิซาอ์ ส่วนเชคฏูซีระบุว่าพี่ชายของนางชื่อ เราะญาอ์ บิน ซิยาด จะเห็นได้ว่ามีทัศนะที่ขัดแย้งกันในเรื่องชื่อของพี่ชายและบิดาของนาง ทำให้เข้าใจได้ว่าน่าจะมีสตรีสองคนที่ชื่อฮัมมาดะฮ์ อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาถึงสำนวนของนะญาชีทำให้สามารถสันนิษฐานได้ว่าสองคนนี้แท้ที่จริงก็คือสตรีคนเดียวกัน เหตุผลที่นำมาชี้แจงก็คือ[2] อบูอุบัยดะฮ์ ฮิซาอ์ มีชื่อจริงว่า ซิยาด บิน อบีเราะญาอ์ (มิไช่แค่เราะญาอ์) ส่วนชื่อจริงของอบูเราะญาอ์คือ มุนซิร หรือซิยาด ผลที่ได้ก็คือ ...
  • อิมามมะฮ์ดีสมรสแล้วหรือยัง?
    8213 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/11/09
    แม้จะเป็นไปได้ว่าท่านอิมามมะฮ์ดี(อ.)อาจมีคู่ครองและบุตรหลาน เนื่องจากภาวะการเร้นกายมิได้จำกัดว่าจะท่านต้องงดกระทำการสมรสอันเป็นซุนนะฮ์แต่อย่างใด แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เราไม่พบเหตุผลใดๆที่ชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องนี้ สันนิษฐานว่าสาเหตุที่ประเด็นดังกล่าวไม่เป็นที่เปิดเผยนั้น อาจเป็นผลพวงมาจากความจำเป็นที่พระองค์ทรงเร้นกายท่านจากสายตาผู้คนนั่นเอง ...
  • ความสัมพันธ์ระหว่างวิญญาณกับตัวอ่อนมนุษย์เป็นไปในรูปแบบใด ทารกเจริญเติบโตก่อนวิญญาณจะสถิตได้อย่างไร?
    8884 เทววิทยาดั้งเดิม 2555/03/11
    วิญญาณเป็นสิ่งที่พ้นญาณวิสัย ซึ่งจะสถิตหรือจุติในทารกที่อยู่ในครรภ์ และจะเจริญงอกงามทีละระดับ วิญญาณก็เป็นสิ่งถูกสร้างของพระองค์เฉกเช่นร่างกาย ส่วนการที่พระองค์ทรงตรัสว่า “เราได้เป่าวิญญาณของเราเข้าไปในเขา”นั้น เป็นการสื่อถึงความยิ่งใหญ่และความสูงส่งของวิญญาณมนุษย์ด้วยการเชื่อมคำว่าวิญญาณเข้ากับพระองค์เอง กรณีเช่นนี้ในทางภาษาอรับเรียกกันว่าการเชื่อมแบบ “ลามี” อันสื่อถึงการยกย่องให้เกียรติ ดังกรณีของการเชื่อมโยงวิหารกะอ์บะฮ์เข้ากับพระองค์เองด้วยสำนวนที่ว่า “บัยตี” หรือ บ้านของฉัน การที่ทารกระยะตัวอ่อนยังไม่มีวิญญาณนั้น มิได้ขัดต่อการมีสัญญาณชีวิตก่อนที่วิญญาณจะสถิตแต่อย่างใด เนื่องจากมนุษย์มีปราณสามระยะด้วยกัน ได้แก่ ปราณวิสัยพืช, ปราณวิสัยสัตว์, ปราณวิสัยมนุษย์ ปราณวิสัยพืชถือเป็นปราณระดับล่างสุดของมนุษย์ ซึ่งมีการบริโภคและสามารถเจริญเติบโตได้ แต่ไม่มีความรู้สึก ประสาทสัมผัสและการเคลื่อนไหวตามต้องการ เสมือนพืชที่เจริญงอกงามทว่าไร้ความรู้สึก ประสาทสัมผัสและการเคลื่อนไหวตามต้องการ และเนื่องจากทารกระยะแรกมีปราณประเภทนี้ก่อนวิญญาณจะสถิต จึงทำให้มีชีวิตและเจริญเติบโตได้ ...
  • ได้ยินว่าผู้บริจาคเศาะดะเกาะฮ์จะพ้นจากภยันตรายต่างๆ ถามว่าผู้รับเศาะดะเกาะฮ์จะประสบกับภยันตรายเหล่านั้นแทนหรือไม่?
    10994 بیشتر بدانیم 2557/02/12
    “เศาะดะเกาะฮ์” ในแง่ภาษาอรับแล้ว ถือเป็นอาการนาม ให้ความหมายว่า “การมอบให้เพื่อจะได้รับผลบุญ” และมีรากศัพท์จากคำว่า “ศิดกุน” พหูพจน์ของเศาะดะเกาะฮ์คือ “เศาะดะกอต” [1] นิยามของเศาะดะเกาะฮ์ เศาะดะเกาะฮ์หมายถึง สิ่งที่บุคคลมอบให้ผู้ขัดสน ผู้ยากไร้ เพื่ออัลลอฮ์ อันเป็นการพิสูจน์ความจริงใจในแนวทางของพระองค์[2] บทบัญญัติเกี่ยวกับเศาะดะเกาะฮ์ และผลบุญที่จะได้รับ อิสลามมีบทบัญญัติเกี่ยวกับเศาะดะเกาะฮ์สองประเภทด้วยกัน 1. เศาะดะเกาะฮ์ภาคบังคับ (วาญิบ) ซึ่งก็หมายถึง “ซะกาต” นั่นเอง ดังโองการที่กล่าวว่า خُذْ مِنْ أَمْوَالِهِمْ صَدَقَةً تُطَهِّرُهُمْ وَ تُزَکِّیهِمْ بِهَا وَ صَلِّ عَلَیْهِمْ إِنَّ صَلاَتَکَ سَکَنٌ ...
  • ฮะดีซต่างๆ ในหนังสือกาฟียฺ สามารถอธิบายความอัลกุรอานได้หรือไม่?
    8275 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2555/07/16
    นักรายงานฮะดีซผู้ยิ่งใหญ่ท่านหนึ่งคือ มุฮัมมัด บิน ยะอฺกูบ กุลัยนียฺ (รฮ.) เป็นหนึ่งในปราชญ์ผู้อาวุโสฝ่ายชีอะฮฺ และเป็นหนึ่งในนักรายงานฮะดีซที่เชื่อถือได้มากที่สุดของฝ่ายอิมามียะฮฺ ท่านอยู่ในยุคสมัยการเร้นกายระยะสั้นของท่านอิมามมะฮฺดียฺ (อ.) และยังเป็นผู้ประพันธ์หนังสือ อุซูลกาฟียฺ อันเป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดี ด้วยเหตุนี้เอง จะเห็นว่ารายงานส่วนใหญ่ในหนังสือกาฟียฺล้วนเป็นที่เชื่อถือ แต่หนังสือกาฟียฺก็เหมือนกับหนังสือฮะดีซทั่วไปที่มีรายงานอ่อนแอ และไม่น่าเชื่อถืออยู่บ้าง ตามทัศนะของชีอะฮฺและอะฮฺลุซซุนนะฮฺ มีฮะดีซที่ถูกต้องจำนวนมากมายจากท่านศาสดา (ซ็อลฯ) และอิมามผู้บริสุทธิ์ บันทึกอยู่ในหนังสือญะวามิอฺริวายะฮฺ ซึ่งฮะดีซจำนวนมากเหล่านั้นได้ตัฟซีรโองการอัลกุรอาน ซึ่งหนึ่งในฮะดีซทรงคุณค่าเหล่านั้นคือ หนังสือกาฟียฺ ...

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60318 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    57856 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42418 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    39676 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    39081 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    34164 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    28200 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    28143 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    28068 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    26022 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...