การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
10064
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2554/12/21
 
รหัสในเว็บไซต์ fa11969 รหัสสำเนา 19930
หมวดหมู่ تاريخ کلام
คำถามอย่างย่อ
เมื่อยะซีดได้สั่งให้ทหารจุดไฟเผากะอฺบะ ถ้าได้กระทำแล้ว และเป็นเพราะเหตุใดจึงไม่ถูกลงโทษ?
คำถาม
เมื่อยะซีดได้สั่งให้ทหารจุดไฟเผากะอฺบะฮฺ ถ้าได้กระทำแล้ว และเป็นเพราะเหตุใดจึงไม่ถูกลงโทษ?
คำตอบโดยสังเขป

ในช่วงระยะเวลาการปกครองอันสั้นของยะซีด เขาได้ก่ออาชญากรรมอันเลวร้ายยิ่ง 3 ประการ กล่าวคือประการแรก เขาได้สังหารท่านอิมามฮุซัยนฺ (.), สอง เขาได้ก่อกรรมชั่วอิสระ, และสามเขาได้เผ่าวิหารกะอฺบะฮฺ เมื่อเราพิจารณาการอธรรมฉ้อฉลอันเลวร้ายยิ่ง 3 ประการนี้ เราจะพบว่าบนโลกนี้ อัลลอฮฺทรงลงโทษพวกเขาเช่นกัน, แต่มิได้ลงโทษเป็นกลุ่มหรือรวมกันเป็นหมู่คณะ ซึ่งจะกล่าวอธิบายในช่วงตอบคำถามโดยละเอียด บางทีวิทยปัญญของสิ่งนั้นอาจมีอยู่ใน 2 สิ่งต่อไปนี้

หนึ่ง : ปัญหาเรื่องการลงโทษและชนิดของโทษทัณฑ์ ขึ้นอยู่กับความประสงค์และอำนาจของอัลลอฮฺ, บางครั้งอัลลอฮฺ ทรงลงโทษโดยตรง หรือทรงลงโทษผ่านกองทัพลึกลับ เช่น การลงโทษที่มีต่อกองกำลังของ อัลเราะฮะฮฺ ฮะบะชียฺ ซึ่งบุคคลใดได้ศึกษาประวัติศาสตร์ส่วนนี้ เขาจะพบได้อย่างชัดเจนว่าตัวของวิหารกะอฺบะฮฺ ได้ถูกโจมตีและตกอยู่ในอันตรายจริง นอกจากนั้นยังไม่มีบุคคลใด สามารถยืนหยัดต่อต้านกองกำลังที่เรืองอำนาจของ อับเราะฮะฮฺ ในสมัยนั้นได้ ด้วยเหตุนี้เอง เราจะพบว่าเรื่องนี้ อัลลอฮฺ ทรงปกป้องรักษาบ้านของพระองค์ด้วยพระองค์เอง และสุดท้ายทรงประทานการลงโทษลงมายังหมู่ชนที่เป็นศัตรูจนพินาศย่อยยับไป, แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสมัยของยะซีดไม่ว่าเหล่าทหารของเขาจะจุดไฟเผากะอฺบะฮฺ ซึ่งสร้างความอัปยศให้เกิดขึ้นไม่น้อย อีกทั้งยังเป็นการลบลู่สถานที่ศักดิ์สิทธ์ของอิสลามและชาวมุสลิมทั้งหมด บรรดาพวกอธรรมได้ยึดครองมักกะฮฺ และสร้างกะอฺบะฮฺขึ้นใหม่อีก

สอง : ทุกเรื่องราวที่บ่งบอกถึงการช่วยเหลืออำนาจเร้นลับ ซึ่งเจ้าของการเคลื่อนไหวได้กระทำด้วย กะรอมัตของเขาวางอยู่บนความถูกต้อง และเมื่อพิจารณาว่าผู้บัญชากองกำลังปฏิวัติมักกะฮฺ ได้ลุกขึ้นต่อต้านยะซีด, ก็คืออับดุลลอฮฺ บุตรของซุเบร ซึ่งเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายว่า เขาได้พยายามทำทุกสิ่งเพื่อประโยชน์และความหวังของตัวเอง การสงครามและการสู้รบที่เขาทำนั้นไม่เกี่ยวข้องกับสัจธรรมความจริง หรือศาสนาแต่อย่างใดทั้งสิ้น นอกจากนั้นแล้วเขายังประกาศตัวเองว่า เขาคือศัตรูตัวฉกาจของท่านอิมามอะลี (.) จนถึงขั้นที่ว่าท่านอิมามอะลี (.) ได้กล่าวถึงเขาว่าซุเบรมาจากเราจนกระทั่งว่าบุตรชายเลวของเขา (อับดุลลอฮฺ) ได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ การงานที่ผ่านมือบุตรของซุเบร ตามความเป็นจริงแล้วเท่ากับให้โอกาสเขา ด้วยเหตุนี้อัลลอฮฺ ไม่ประสงค์จะลงโทษ จนกระทั่งการงานได้เป็นประโยชน์กับบุตรของซุเบร

คำตอบเชิงรายละเอียด

จากคำถามที่ได้ถามมานั้น เข้าใจได้ว่าการเผาวิหารกะอฺบะฮฺ ถูกกระทำโดยตำสั่งของ ยะซีดนั้นยังมีข้อคลางแคลงใจอยู่ ด้วยเหตุนี้เอง อันดับแรกต้องพิจารณาสองสามประเด็นดังต่อไปนี้

1.การรู้จักยะซีดและความห่างไกลของเขาอย่างมากจากการอบรมสั่งสอนคุณค่าของอิสลาม

2.เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในยุคการปกครองของท่าน

3.คำพูดของนักปราชญ์เกี่ยวกับยะซีด และเป็นไปได้อย่างไรที่อัลลอฮฺ ทรงให้หมู่ชนที่เรียกร้องการทวงหนี้เลือดให้ท่านอิมามฮุซัยน (.) และหมู่สหาย ลุกขึ้นยืนหยัดต่อต้านเขาและกองทัพ

ส่วนประเด็นเกี่ยวกับ ยะซีด บุตร ของมุอาวิยะฮฺ (ขออัลลอฮฺ ทรงสาปแช่งเขาและครอบครัว) นักประวัติศาสตร์รวมทั้งบุคคลที่ศึกษาประวัติของเขา ต่างกล่าวเหมือนกันซึ่งแสดงให้เห็นว่า ยะซีด ตามความเป็นจริงแล้วคือ คนเลวและชั่วร้ายยิ่ง เป็นผู้ดื่มสุรา สร้างความอัปยศอดสู เล่นการพนัน ทำซินา และเขาจะเป็นผู้มีบุคลิกภาพของศาสนาได้อย่างไร

คำพูดที่ 1: เกี่ยวกับยะซีดซึ่งมัสอูดดี ได้กล่าวไว้ในหนังสือ มุรูญุลซะฮับ ว่า : ยะซีดคือผู้ชอบการละเล่นไร้สาระ, ชอบเล่นกับสุนัข, ลิง, เสือชีต้า, ขณะเดียวกันก็ดื่มสุรา เล่นการพนัน และ ...ในสมัยการปกครองของเขานั่นเองที่ ดนตรี ได้ถูกบรรเลงอย่างเปิดเผยทั้งในมักกะฮฺ และมะดีนะฮฺ การพนันได้ถูกฟื้นฟูอีกครั้ง และประชาชนได้ดื่มสุราอย่างเปิดเผย...[1]

คำพูดที่ 2 :  ฏ็อบรียฺ และนักประวัติศาสตร์ท่านอื่น กล่าวว่า : มีประชาชนชาวมะดีนะฮฺกลุ่มหนึ่ง ซึ่งในหมู่พวกเขามี อับดุลลอฮฺ บุตรของฮันเซาะละฮฺ อันซอรียฺ อยู่ด้วย พวกเขาได้ไปหายะซีดและเวลาต่อมาพวกเขาทั้งหมดได้กลับมายังมะดีนะฮฺอีกครั้งหนึ่ง พวกเขาได้ปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชน และแจ้งถึงความเลวร้ายและความชั่วของยะซีดให้ประชาชนฟัง[2] สิ่งที่พวกเขาพูด เช่น : เราได้มาจากบุคคลผู้ซึ่งไร้ศาสนา ดื่มสุรา ขับร้องเพลง, พวกเราได้ถอนสัตยาบันจากเขาแล้ว, และประชาชนก็ได้ทำตามพวกเขา

คำพูดที่ 3: คำพูดของฏ็อบรียฺ และอิบุอะษีร ซึ่งกล่าวไว้ในหนังสือ กามิล โดยกล่าวว่า : เมื่อมุอาวะยะฮฺต้องการเอาสัตยาให้ยะซีด เขาได้เขียนจดหมายถึง ซิยาด บุตรของอุบัยฮฺ เพื่อขอคำปรึกษาจากเขา และซิยาดก็ได้ส่งสาส์นไปหา อุบัยดิลลาฮฺ บุตรของ อะอับ โดยกล่าวว่า : อมีรุลมุอฺมินีน (มุอาวิยะฮฺ) ได้ส่งจดหมายมาหาฉัน ฉันคิดว่าเขาต้องตัดสินใจอะไรบางอย่างเกี่ยวกับการขอสัตยาบันให้ยะซด, แต่สิ่งที่ฉันกลัวคือ ประชาชนเกลียดเขามาก, ขณะที่ยะซีดเป็นคนที่ขี้เกลียดและไร้ความรู้สึก[3]

คำพูดที่ 4: คำพูดจจากอิบนุ กุตัยบะฮฺ ในหนึ่งสือ อิมามัตวะซิยาซัต เล่าจากท่านอิมามฮุซัยนฺ (.) ว่า ช่วงเวลาที่มุอาวิยะฮฺต้องการขอให้ท่านให้สัตยาบันกับยะซีด ฉันได้กล่าวกับเขาว่า : ไม่มีทาง ไม่มีทาง โอ้ มุอาวิยะฮฺเอ๋ย ... ประหนึ่งเขาได้พูดจากหลังม่าน หรือแอบพูด หรือพูดแทนบุคคลซึ่งเหมือนกับว่าเพิ่งจะรู้จักเขา การกระทำของยะซีดย่อมบ่งบอกถึงบุคลิกภาพและความเหมาะสมของเขาอยู่แล้ว, เกี่ยวกับยะซีดเพียงแค่พูดว่า, เขาเล่นอยู่กับสุนัข, หมกมุ่นอยู่กับนกพิราบ ตีกลองร้องเพลง และชอบเล่นไร้สาระตลอดเวลา ซึ่งพวกท่านทั้งหลายก็เห็นอยู่แล้วว่าเขาเป็นคนมีอุปนิสัยอย่างไร ดังนั้น จงหลีกเลี่ยงคำพูดเหล่านี้[4] 

คำพูดที่ 5 : คำพูดจากซุยูฏียฺ ในหนังสือตารีคคุละฟาอฺเขาได้อธิบายว่า, เขากล่าวว่า : การที่ชาวมะดีนะฮฺ ได้ปลดยะซีดก็เนื่องจากว่า เขาก่ออาชญากรรมและประพฤติชั่ว

สิ่งที่กล่าวมาเป็นคำพูดเกี่ยวกับบุคลิกภาพของคนๆ หนึ่งที่ไร้ค่า และไร้ศักดิ์ศรีของยะซีด ในของสังคมและศาสนา

เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงสมัยปกครองของยะซีด (ขออัลลอฮฺทรงสาปแช่งเขา)

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าในช่วงระยะเวลาอันสั้นแห่งการปกครองของยะซีด ได้มีเหตุการณ์เลวร้ายและชั่วที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์เกิดขึ้นในสมัยของเขา ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ การทำชะฮีดท่านอิมามฮุซัยนฺ (.) พร้อมครอบครัว และสหายของท่าน, เหตุการณ์ดังกล่าวนี้ไม่มีบุคคลใดสงสัยในความเลวร้ายอีกต่อไป แม้แต่ประชาชนคนธรรมดาทั่วไป แล้วจะนับประสาอะไรกับชนชั้นผู้ปกครอง หรือนักวิชาการและนักประวัติศาสตร์

เหตุการณ์ที่สอง เขาได้ก่อกรรมชั่วเสรี

และนี่เป็นอีกเหตุการณ์หนึ่งที่รับรู้กันดีโดยทั่วๆ ไปว่า มันเกิดขึ้นในช่วงการปกครองของซะซีด บุตรของมุอาวิยะฮฺ, เหตุการณ์ดังกล่าวนักประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่บันทึกเอาไว้ และทั้งหมดเห็นพร้องต้องกันว่า ชาวเมืองชามจำนวนไม่น้อยที่พวกเขาได้ร่วมกันสังหาร เหล่าเซาะฮาบะฮฺทั้งจากหมู่อันซอรและมุฮาญิรีนเป็นจำนวนมาก เขาได้รับอนุญาตจากยะซีดให้นำกองกำลังเข้ากวาดล้างมะดีนะฮฺเป็นเวลา 3 วัน[5]

อิบนุ อะษีร ได้บันทึกไว้ในหนังสือ กามิล ของตัวเองว่า : เหตุการณ์ก่อกรรมชั่วเสรี อันดับแรกได้เริ่มต้นจากการที่ประชาชนชาวมะดีนะฮฺ ได้ถอนสัตยาบันของพวกเขาจากยะซีด ...ยะซีดได้มอบให้ มุสลิม บิน อุกบะฮฺ มุรรียฺ ด้วยเหตุผลที่ว่า เขาได้สังหารคนจำนวนมากมายจึงเรียกเขาว่า คนกินคน เขาเป็นชายค่อนข้างมีอายุสูงแล้ว และมีโรคประจำตัว ยะซีดได้มอบหมายภาระหน้าที่แก่เขาโดยให้เขามุ่งหน้าไปยังมะดีนะฮฺ ซึ่งมุสลิมได้ขอกับยะซีดว่า อนุญาตให้เขานำกองกำลังเข้ากวาดล้างมะดีนะฮฺสัก 3 วัน แล้วยึดทรัพย์สินแก้วแหวนเงินทอง สัตว์ ข้าวของ และอาวุธต่างๆ เป็นของกองกำลังของเขา หลังจากสามวันไปแล้วเขาก็จะยุติการสังหารผู้คน ..ในเหตุการณ์ดังกล่าวนี้ประชาชนเป็นฝ่ายพ่ายแพ้..มุสลิมได้นำกองกำลังเข้ากวาดล้างมะดีนะฮฺอยู่ 3 วัน และในช่วงสามวันนั้นเขาได้สังหารประชาชนเป็นจำนวนมาก และได้ยึดข้าวของเครื่องใช้ และทรัพย์สินของประชาชน เขาได้สร้างความอัปยศอดสูและความวิบัติแก่ประชาชนและหมู่สหายอย่างใหญ่หลวงยิ่ง ... เขาได้เรียกร้องให้ประชาชนมอบสัตยาบันแก่ยะซีดในฐานะของ ทาส ซึ่งยะซีดมีสิทธิ์กระทำทุกอย่างกับพวกเขาไม่ว่าจะเป็นชีวิต ทรัพย์สิน หรือแม้แต่ครอบครัว และหากผู้ใดไม่ยินยอมก็จะถูกสังหารชีวิตทั้งหมด ดังนั้น จะเห็นว่ามีผู้คนจำนวนไม่น้อยถูกสังหารชีวิต

การก่อกรรมชั่วเสรีในปี ..ที่ 63 ชวงปลายเดือนซุลฮิจญฺ ซึ่งเหลือเวลาอีก 2 วันจะสิ้นเดือนพอดี[6]

ใจความใกล้เคียงกันนี้ ฏ็อบรียฺ ได้บันทึกไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์ของตนด้วยเช่นกัน[7]

แต่เรามิได้มีหน้าที่สาธยายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดหรือการก่อกรรมชั่วเสรีของยะซีด, ทว่าเพียงพอแล้วสำหรับสองสามตัวอย่าง อันเป็นความชั่วร้ายที่ได้ยกตัวอย่างมา, นอกจากเรื่องราวที่กล่าวได้ก่อนหน้านี้แล้ว อิบนุกุตัยบะฮฺ ยังได้กล่าวอีกว่า : ในช่วงเกิดเหตุการณ์ก่อกรรมชั่วเสรีนั้นวันหนึ่งพวกเขาได้สังหารชีวิต เหล่าบรรดาสหายของท่านศาสดา (ซ็อล ) ไปถึง 80 คนด้วยกัน ซึ่งไม่เคยมีความชั่วร้ายขั้นนี้มาก่อนหน้านี้เลย นอกจากนั้นแล้วยังได้สังหารชาวกุเรชและชาวอันซอรอีก 700 คน ที่เหลือเป็นประชาชนทั่วไปทั้งจาก มะวาลี ชาวอาหรับ และบรรดาตาบิอีนอีกราว 10,000 คน[8]

และยังมีคำอธิบายที่เลวยิ่งไปกว่านี้อีก ซึ่งยะอฺกูบียฺ บันทึกไว้ว่า : ในวันก่อกรรมชั่วเสรี คือความอัปยศสิ้นดีสำหรับชาวมะดีนะฮฺ ... เมืองของท่านศาสดา (ซ็อล ) ได้ถูกทำให้ฮะลาลด้วยกลุ่มคนชั่ว ชนิดที่ว่าสาวบริสุทธิ์จำนวนมากมายได้คลอดบุตรออกมา โดยไม่รู้ว่าใครเป็นพ่อ[9]

เหตุการณ์ที่สาม : ทำสงครามกับมักกะฮฺมุกัรเราะมะฮฺและได้เผาวิหารกะอฺบะฮฺ

และนี่เป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ซึ่ง ได้มีคำถามเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นมากมาย เหตุการณ์นี้เป็นเหตุการณ์สุดท้ายแห่งชีวิตอันชั่วร้าย อัปยศอดสู และมากด้วยความเลวของยะซีด

บรรดานักประวัติศาสตร์ได้อธิบายว่า หลังจากอัมรฺ บิน สะอีด อัชดัก และอุบัยดิลลาฮฺ บิน ซิยาด ไม่ยอมรับคำสั่งของยะซีด บินมุอายะฮฺ ที่สั่งให้ยกกองกำลังเข้าโจมตีมักกะฮฺ ยะซีดจึงได้สั่งให้ มุสลิม บิน อุกบะฮฺ รับหน้าที่แทน และสั่งให้เขาโจมตีมักกะฮฺ[10] 

อิบนุ อะษีร ได้บันทึกเหตุการณ์ไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์ของท่าน โดยบันทึกไว้เช่นนี้ว่า : หลังจากมุสลิมได้สิ้นสุดการสังหารและยึดทรัพย์สินของประชาชนในมะดีนะฮฺแล้ว พวกเขาได้มุ่งหน้าสู่มักกะฮฺ เพื่อไล่ล่าบุตรของซุเบร...เมื่อเขาเคลื่อนพลมาถึงยังสถานที่หนึ่งนามว่ามัชลัลความตายได้ไล่ล่าเขาและไม่ยอมปล่อยเขาไป จนในที่สุดเขาได้เสียชีวิต  ที่นั้นเอง, หลังจากเขาสิ้นชีวิตไปแล้ว ฮะซีน บุตรของ นะมีร ได้เข้าคุ

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • เหตุใดศาสนาจึงขัดต่อหลักสติปัญญา?
    6980 เทววิทยาใหม่ 2554/09/04
    สติปัญญาถือเป็นเครื่องพิสูจน์สัจธรรมจากภายในส่วนชะรีอัต(ศาสนา)ก็ถือเป็นเครื่องพิสูจน์สัจธรรมจากภายนอกทั้งสองมีหน้าที่นำพามนุษย์สู่ความผาสุกและความสมบูรณ์แบบซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่เครื่องพิสูจน์สัจธรรมจากภายในและภายนอกจะขัดแย้งกันเองจากการที่สติปัญญานับเป็นปรากฏการณ์หนึ่งและการที่ทุกปรากฏการณ์มีข้อจำกัดศักยภาพของสติปัญญาก็มิอาจอยู่เหนือกฏเกณฑ์นี้ได้จึงมีศักยภาพประมวลผลในระดับของสรรพสิ่งถูกสร้างเท่านั้นโดยไม่อาจที่จะหยั่งรู้ถึงสถานภาพที่แท้จริงของพระเจ้าได้อย่างถี่ถ้วนเนื่องจากทรงปราศจากข้อจำกัด
  • ฮะดีษนี้เศาะฮี้ห์หรือไม่: การภักดีต่ออลี(อ.)คือสัมมาคารวะที่แท้จริง และการไม่ภักดีต่อท่าน คือการปฏิเสธพระเจ้า
    7308 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2554/11/09
    ฮะดีษนี้มีเนื้อหาที่ถูกต้องเนื่องจากมีรายงานอย่างเป็นเอกฉันท์กล่าวคือมีฮะดีษมากมายที่ถ่ายทอดถึงเนื้อหาดังกล่าวอย่างไรก็ดีการปฏิเสธในที่นี้ไม่ไช่การปฏิเสธอิสลามแต่เป็นการปฏิเสธอีหม่านที่แท้จริงแน่นอนว่าการปฏิเสธอีหม่านที่แท้จริงย่อมมิได้ทำให้บุคคลผู้นั้นอยู่ในฮุก่มของกาเฟรทั่วไปในแง่ความเป็นนะญิส ...ฯลฯต้องเข้าใจว่าที่เชื่อว่าการไม่จงรักภักดีต่อท่านอิมามอลี(อ.)เท่ากับปฏิเสธอีหม่านที่แท้จริงนั้นเป็นเพราะการจงรักภักดีต่อท่านคือแนวทางสัจธรรมที่พระองค์ทรงกำหนดฉะนั้นผู้ที่ฝ่าฝืนคำสั่งของท่านก็เท่ากับฝ่าฝืนคำสั่งของพระองค์
  • “ฟาฏิมะฮ์”แปลว่าอะไร? และเพราะเหตุใดท่านนบีจึงตั้งชื่อนี้ให้บุตรีของท่าน?
    23536 ชีวประวัติมะอฺซูม (อ.) 2554/06/12
    ไม่จำเป็นที่ชื่อของคนทั่วไปจะต้องสื่อความหมายพิเศษหรือแสดงถึงบุคลิกภาพของเจ้าของชื่อเสมอไปขอเพียงไม่สื่อความหมายถึงการตั้งภาคีหรือขัดต่อศีลธรรมอิสลามก็ถือว่าเพียงพอแต่กรณีปูชณียบุคคลที่ได้รับการขนานนามจากอัลลอฮ์เช่นท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ซะฮ์รอ(ส) นามของเธอย่อมมีความหมายสอดคล้องกับคุณลักษณะเฉพาะตัวอย่างแน่นอนนาม “ฟาฏิมะฮ์”มาจากรากศัพท์ “ฟัฏมุน” ...
  • การสู่ขออดีตภรรยาของอับดุลลอฮ์ บิน สะลามที่ชื่ออุร็อยนับโดยอิมามฮุเซน(อ.)และยะซีดในเวลาเดียวกัน มีผลต่อเหตุการณ์กัรบะลาอย่างไร?
    7756 تاريخ بزرگان 2554/12/21
    ตำราประวัติศาสตร์บางเล่มระบุว่าแม้ยะซีดจะมีสิ่งบำเรอกามารมณ์อย่างครบครันแต่ก็ยังอยากจะเชยชมหญิงที่มีสามีแล้วอย่างอุร็อยนับบินติอิสฮ้ากภรรยาของอับดุลลอฮ์บินสะลามมุอาวิยะฮ์ผู้เป็นพ่อของยะซีดจึงคิดอุบายที่จะพรากหญิงสาวคนนี้จากสามีเพื่อให้ลูกชายของตนสมหวังในกามราคะอิมามฮุเซน(อ.) ทราบเรื่องนี้เข้าจึงคิดขัดขวางแผนการดังกล่าวโดยใช้บทบัญญัติอิสลามทำลายอุบายของมุอาวิยะฮ์และปล่อยให้อุร็อยนับคืนสู่อับดุลลอฮ์บินสะลามผู้เป็นสามีอีกครั้งหนึ่งทำให้ยะซีดหมดโอกาสที่จะย่ำยีครอบครัวนี้ได้อีกต่อไปแม้รายงานทางประวัติศาสตร์ชิ้นนี้จะมีข้อกังขามากพอสมควรแต่สมมติว่าเป็นเรื่องจริงก็มิไช่เรื่องเสียหายสำหรับอิมามฮุเซนแต่อย่างใดกลับจะชี้ให้เห็นถึงความเฉลียวฉลาดและเมตตาธรรมของท่านในการรักษาเกียรติยศครอบครัวมุสลิมได้เป็นอย่างดีอนึ่งไม่มีตำราที่มีชื่อเสียงเล่มใดระบุว่าเรื่องราวดังกล่าวเป็นสาเหตุให้ยะซีดแค้นฝังใจและก่อเหตุนองเลือดที่กัรบะลา ...
  • เหตุใดจึงไม่อนุญาตให้นำทองใหม่(รูปพรรณ)ไปแลกเปลี่ยนกับทองเก่าที่มีน้ำหนักมากกว่า?
    9551 ปรัชญาของศาสนา 2554/10/23
    กุรอานและฮะดีษห้ามปรามธุรกรรมที่เกี่ยวกับดอกเบี้ยอย่างชัดเจนโดยได้อธิบายเหตุผลไว้อย่างสังเขปอาทิเช่นทำลายช่องทางการกู้ยืมเป็นการขูดรีดผู้เดือดร้อนและเป็นเหตุให้สูญเสียการลงทุนในด้านที่สังคมขาดแคลนเหตุผลข้างต้นล้วนเกี่ยวข้องกับดอกเบี้ยประเภทกู้ยืมทั้งสิ้นส่วนดอกเบี้ยประเภทซื้อขายแลกเปลี่ยนนั้นเราไม่พบเหตุผลใดๆทั้งในกุรอานและฮะดีษทำให้เราไม่อาจจะทราบถึงเหตุผลได้อย่างไรก็ดีเรายังต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติที่ท่านนบีและบรรดาอิมามกล่าวไว้แต่ก็มิได้หมายความว่าไม่มีเหตุผลหรือปรัชญาใดๆแฝงอยู่ในเรื่องนี้ ผู้รู้บางท่านสันนิษฐานเกี่ยวกับเหตุผลของการห้ามดอกเบี้ยประเภทแลกเปลี่ยนว่าอาจเป็นเพราะธุรกรรมดังกล่าวจะถูกใช้เป็นช่องทางหลบเลี่ยงดอกเบี้ยประเภทกู้ยืมหรือกล่าวได้ว่าดอกเบี้ยประเภทแลกเปลี่ยนคือประตูไปสู่ดอกเบี้ยประเภทกู้ยืมนั่นเอง ...
  • เราสามารถที่จะใช้เงินคุมุสที่เกิดขึ้นจากการออมทรัพย์เพื่อการซื้อบ้านได้หรือไม่?
    5902 สิทธิและกฎหมาย 2554/08/08
    ก่อนที่จะตอบคำถามของคุณจะต้องกล่าวว่า: ตามทัศนะของท่านอายาตุลลอฮ์อุซมาคอเมเนอีเงินออมจากกำไรของผลประกอบการนั้นแม้จะเป็นการออมเพื่อใช้ชำระในชีวิตประจำวันแต่เมื่อถึงปีคุมุสแล้วจะต้องชำระคุมุสนอกจากได้มีการออมเพื่อซื้อของใช้จำเป็นในชีวิตหรือค่าใช้ชำระจำเป็น
  • โปรดอธิบาย ปรัชญาของการกล่าวข้อผูกมัดนิกาห์ คืออะไร?
    8883 จริยศาสตร์ 2555/06/30
    ตามคำสอนของอิสลามการแต่งงานถือเป็นข้อตกลงที่ศักดิ์สิทธิ์ สำหรับการจัดตั้งครอบครัวและสิ่งที่ติดตามมาคือ, ระบบสังคม ซึ่งแน่นอนว่าย่อมมีผลสะท้อนและบทสรุปอย่างมากมาย เช่น : เพื่อตอบสนองความต้องการทางกามรมย์, ผลิตสายเลือดและรักษาเผ่าพันธุ์, สร้างความสมบูรณ์ในความเป็นมนุษย์, สร้างความสงบมั่นแก่จิตใจ, เป็นการรักษาความสะอาดบริสุทธิ์, เป็นการส่งเสริมความผูกพันให้มั่นคง และประเด็นอื่นๆ อีกมากมาย, ดังนั้น การจัดการข้อตกลงศักดิ์สิทธิ์นี้ให้สมประสงค์ได้, มีเพียงการปฏิบัติไปตามกฎเกณฑ์พื้นฐาน และเงื่อนไขอันเฉพาะที่อัลลอฮฺ ทรงกำหนดไว้เท่านั้น จึงจะเป็นไปได้. เช่น เงื่อนที่ว่านั้นได้แก่การกล่าวข้อผูกมัดนิกาห์ ด้วยคำพูดเฉพาะ (ดังกล่าวไว้ในหนังสือริซาละฮฺต่างๆ) พระผู้อภิบาลผู้ทรงเกรียงไกรในฐานะของ พระเจ้าผู้ทรงกำหนดกฎระเบียบ พระองค์คือผู้ทรงกำหนดคำพูดอันทรงเกียรติยิ่งนี้ และให้ความน่าเชื่อถือ พร้อมกับการเกิดขึ้นของคำพูดดังกล่าวในฐานะ อักดฺนิกาห์, จึงเป็นสาเหตุทำให้เกิดการเป็นสามีภรรยา ระหว่างชายกับหญิงขึ้น. การแต่งงานมิได้หมายถึง ความพอใจของสองฝ่ายเท่านั้น ทว่าเป็นความพึงพอใจและการยินยอมของทั้งสองฝ่าย อันถือว่าเป็นเงื่อนไขสำคัญยิ่งสำหรับการแต่งงาน ที่จะเกิดขึ้นพร้อมกับการอ่านอักดฺนิกาห์ปัจจุบันนี้ เพื่อให้การแต่งงานนั้นถูกต้องสมบูรณ์ตามหลักการชัรอียฺ. การแต่งงาน มิได้หมายถึงความพอใจของสองฝ่ายเท่านั้น ทว่าเป็นความพึงพอใจและยินยอมของทั้งสองฝ่าย อันถือว่าเป็นเงื่อนไขสำคัญสำหรับการแต่งงาน ...
  • คำพูดทั้งหมดของพระศาสดา (ซ็อล ฯ) ถือว่าเป็นวะฮฺยูหรือไม่?
    7900 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/21
    มุมมองของผู้เชี่ยวชาญ,ในประเด็นที่กำลังกล่าวถึงแตกต่างกันบางคนได้พิจารณาการตีความของโองการที่ 3,4 ของอัลกุรอานบทนัจมฺ[i]ซึ่งเชื่อว่าคำพูดทั้งหมดของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ตลอดจนการกระทำต่างๆของท่านมาจากวะฮฺยูทั้งสิ้นบางคนเชื่อว่าโองการที่ 4 ของบทอันนัจมฺนั้นกล่าวถึงอัลกุรอานกะรีมและบรรดาโองการต่างๆที่ประทานให้แก่ท่านศาสดา,แม้ว่าซุนนะฮฺ (แบบฉบับ) ของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) จะเป็นข้อพิสูจน์และเป็นเหตุผลก็ตามซึ่งคำพูดการกระทำและการนิ่งเฉยของท่านมิได้เกิดจากอารมณ์อย่างแน่นอนสิ่งที่เข้าใจได้จากสิ่งที่กล่าวถึงในตรงนี้คือสามารถกล่าวได้อย่างมั่นใจว่าทั้งความประพฤติและแบบอย่างของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) มิได้กระทำลงไปโดยปราศจากวะฮียฺอย่างแน่นอนดังเช่นคำพูดของท่านก็เป็นเช่นนี้ด้วยแม้ว่าจะเป็นคำพูดประจำวันคำพูดสามัญทั่วไปตลอดการดำรงชีวิตของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ก็ตามสิ่งนั้นก็จะไม่เกิดจากอารมณ์อย่างเด็ดขาดซึ่งตามความเป็นจริงแล้วเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้แน่นอนว่าท่านศาสดา (ซ็อลฯ) จะล่วงละเมิดกระทำความผิด[i]
  • เคยได้ยินฮะดีษที่ว่าท่านนบี(ซ.ล.)ได้บั่นศีรษะชัยฏอนไปแล้ว, ฮะดีษนี้เชื่อถือได้เพียงใด? แล้วการล่อลวงของชัยฏอนจะตีความอย่างไร?
    10068 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/21
    ฮะดีษที่ดังกล่าวมีอยู่จริงในขุมตำราฮะดีษของเรา อย่างไรก็ดี ฮะดีษดังกล่าวมีจุดประสงค์เพื่ออธิบายเกี่ยวกับ“เยามิล วักติล มะอ์ลูม”(วันเวลาที่กำหนดไว้)ดังคำบอกเล่าของกุรอาน อิบลีสถูกเนรเทศออกไปจาก ณ พระองค์ แต่มันได้ขอให้ทรงประวิงเวลา อัลลอฮ์ตัดสินคาดโทษอิบลีสจนถึง“เยามิล วักติล มะอ์ลูม” ฮะดีษที่ถามมาต้องการจะเฉลยปริศนาเกี่ยวกับวันเวลาดังกล่าว โดยเชื่อว่าจะเกิดขึ้นในยุคแห่งร็อจอะฮ์(ยุคต่อจากกาลสมัยของอิมามมะฮ์ดี ที่บรรดาอิมามในอดีตจะหวลกลับมาบริหารรัฐอิสลามโลก) หาไช่วันสิ้นโลกหรือวันกิยามะฮ์ไม่.
  • ท่านนบี(ซ.ล.)เคยกล่าวไว้ดังนี้หรือไม่? “หากผู้คนล่วงรู้ถึงอภินิหารของอลี(อ.) จะทำให้พวกเขาปฏิเสธพระเจ้าเพราะจะโจษขานว่าอลีก็คือพระเจ้านั่นเอง(นะอูซุบิลลาฮ์)”
    9480 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2555/01/19
    เราไม่พบฮะดีษที่คุณยกมาในหนังสือเล่มใดแต่มีฮะดีษชุดที่มีความหมายคล้ายคลึงกันปรากฏอยู่ในตำราหลายเล่มซึ่งขอหยิบยกฮะดีษบทหนึ่งจากหนังสืออัลกาฟีมานำเสนอพอสังเขปดังนี้อบูบะศี้รเล่าว่าวันหนึ่งขณะที่ท่านนบี(ซ.ล.)นั่งพักอยู่ท่านอิมามอลี(อ.)ก็เดินมาหาท่านท่านนบีกล่าวแก่อิมามอลี(อ.)ว่า “เธอคล้ายคลึงอีซาบุตรของมัรยัมและหากไม่เกรงว่าจะมีผู้คนบางกลุ่มยกย่องเธอเสมือนอีซาแล้วฉันจะสาธยายคุณลักษณะของเธอกระทั่งผู้คนจะเก็บดินใต้เท้าของเธอไว้เพื่อเป็นสิริมงคล ...

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60456 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    58040 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42567 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    39900 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    39207 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    34318 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    28371 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    28292 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    28224 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    26170 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...