การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
6836
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2554/09/11
 
รหัสในเว็บไซต์ fa1283 รหัสสำเนา 16554
คำถามอย่างย่อ
การสมรสจะช่วยส่งเสริมหรือเป็นตัวยับยั้งพัฒนาการทางศีลธรรมกันแน่? ศาสนาอิสลามและคริสต์เห็นต่างในเรื่องนี้อย่างไรบ้าง?
คำถาม
การสมรสจะช่วยส่งเสริมหรือเป็นตัวยับยั้งพัฒนาการทางศีลธรรมกันแน่? ศาสนาอิสลามและคริสต์เห็นต่างในเรื่องนี้อย่างไรบ้าง?
คำตอบโดยสังเขป

การสมรสเปรียบดั่งศิลาฤกษ์ของสังคมซึ่งมีคุณประโยชน์มากมายอาทิเช่น เพื่อบำบัดกามารมณ์ สืบเผ่าพันธุ์มนุษย์ เสริมพัฒนาการของมนุษย์ ความร่มเย็น และระงับกิเลสตัณหา ฯลฯ
ในปริทรรศน์ของอิสลาม การสมรสได้รับการเชิดชูในฐานะเกราะป้องกันกึ่งหนึ่งของศาสนา
ในเชิงสังคม การสมรสมีคุณประโยชน์อย่างเอนกอนันต์ เนื่องจากจะเสริมสร้างครอบครัวให้เป็นดั่งรวงรังอันอบอุ่นที่คนรุ่นหลังสามารถพึ่งพิงได้ ความผาสุกของคนรุ่นหลังจึงขึ้นอยู่กับครอบครัวอย่างชัดเจน
พระผู้สร้างได้บันดาลให้เกิดความรักฉันสามีภรรยาและความรักฉันบุพการีและบุตรธิดา ทั้งนี้ก็เพื่อให้กำเนิด ปกปักษ์รักษา และอบรมสั่งสอนชนรุ่นหลังอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะมนุษยธรรมและจิตสำนึกต่อสังคมจะเกิดขึ้นในสภาวะแวดล้อมของบ้าน และความอบอุ่นที่พ่อและแม่มอบให้ลูกตามธรรมชาติจะส่งผลให้จิตวิญญาณของเด็กอ่อนโยน

แต่นักวิชาการคริสเตียนบางคนกลับมีความเชื่อที่ว่า การสมรสจะเป็นบ่อเกิดของความเสื่อมเสียในสังคม ส่วนบางกลุ่มยอมรับการสมรสอย่างไม่มีทางเลือก เนื่องจากต้องการคงไว้ซึ่งเผ่าพันธุ์มนุษย์

คำตอบเชิงรายละเอียด

แม้การสมรสจะเป็นประเด็นที่เกี่ยวข้องกับความสุขสมทางเพศ แต่ก็ถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิและเป็นอิบาดัตในมุมมองของอิสลาม
หนึ่งในเหตุผลของภาวะดังกล่าวก็คือ การสมรสนับเป็นก้าวแรกของการข้ามผ่านการปรนเปรอตนเองไปสู่การเสียสละให้ผู้อื่น ก่อนสมรสทุกคนเคยชินกับตัวฉันและเพื่อฉันแต่เมื่อสมรสแล้ว ก็ทำให้สามารถฝ่ากรอบความคิดดังกล่าวออกไปได้ โดยการมีผู้อื่นมาเคียงข้างและมีคุณค่าต่อเรา

หากสังเกตุจะพบว่าความเสื่อมทรามของสังคมปัจจุบันนี้เกิดขึ้นเนื่องจากความอ่อนแอของสถาบันครอบครัว นั่นเพราะพ่อแม่ก็ปล่อยปละละเลยบุตรหลาน ลูกๆไม่ให้เกียรติพ่อแม่ ความผูกพันระหว่างสามีภรรยานับวันจะขาดสะบั้นลง
อีกแง่มุมหนึ่ง อิสลามมองว่าการสมรสคือปัจจัยในการดำรงชีวิตอยู่ในศีลธรรม ท่านนบี(..)กล่าวแก่เซด บิน ฮาริษะฮ์ว่าจงสมรสเถิด เพื่อเธอจะดำรงอยู่ในศีลธรรมจรรยา[1] และอีกฮะดีษกล่าวว่าจงหาคู่ครองให้บุตรหลานเถิด เพื่อมารยาทของพวกเขาจะดีขึ้น ปัจจัยยังชีพจะกว้างขวางยิ่งขึ้น และความเป็นชายชาตรีจะเพิ่มมากขึ้น[2] อีกฮะดีษหนึ่ง ท่าน(..)กล่าวแก่สตรีนางหนึ่งที่ตั้งใจว่าจะไม่แต่งงานเด็ดขาดว่าการสมรสจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการรักนวลสงวนตัว[3]

การสมรสจะช่วยให้เกิดความสงบทางจิตใจ ดังที่กุรอานกล่าวว่าสัญลักษณ์หนึ่งของพระองค์ก็คือการที่ทรงสร้างคู่ครองเสมือนสูเจ้าเพื่อบังเกิดความสงบ และทรงบันดาลให้เกิดความรักและความเมตตาระหว่างสูเจ้า[4]
อิสลามถือว่ากามารมณ์เป็นสิ่งที่อัลลอฮ์ทรงประทานแก่มนุษย์เพื่อรองรับสถาบันครอบครัว อันเป็นหลักประกันการอยู่รอดของเผ่าพันธุ์มนุษย์
เมื่อพิจารณาจากหน้าประวัติศาสตร์จะพบว่า ไม่มีสัญชาตญาณใดที่เป็นจุดอ่อนสำหรับมนุษย์และส่อเค้าจะพลุ่งพล่านยิ่งไปกว่ากามารมณ์ ตรงนี้เองที่ชี้ให้เห็นว่ามนุษย์ต้องควบคุมสัญชาตญาณนี้อย่างเข้มงวดเพียงใด

และเนื่องจากกามารมณ์เป็นบ่อเกิดของภัยคุกคามต่างๆต่อสังคมมนุษย์ นักวิชาการจึงพยายามหาทางออกเกี่ยวกับเรื่องนี้
บางสำนักคิดเช่น พุทธศาสนา ศาสนามานี และแนวคิดของเลโอ ตอลสตอย เชื่อว่าจะต้องหยุดกามารมณ์เพื่อให้มนุษย์พ้นจากภัยคุกคาม โดยให้เหตุผลว่ากามารมณ์มักจะโน้มนำสู่ความต่ำทราม และเป็นบ่อเกิดของอาชญากรรมต่างๆ
เบอร์ทรานด์ รัสเซิ้ล ปรัชญาเมธีร่วมสมัยที่มีชื่อเสียงด้านสังคมเคยกล่าวไว้ว่าแนวคิดต้านกามารมณ์มีปรากฏตั้งแต่ยุคโบราณ ซึ่งจะมีอิทธิพลโดยเฉพาะในดินแดนที่คริสตศาสนาหรือพุทธศาสนาได้รับความนิยมเซอร์ ทาร์ค ได้ยกตัวอย่างที่ชี้ให้เห็นถึงแนวคิดที่เชื่อว่าเพศสัมพันธ์คละคลุ้งไปด้วยความสามานย์
ความเชื่อที่ว่าเพศหญิงคือตัวการแห่งความหายนะได้แพร่จากเปอร์เซียโบราณสู่ดินแดนทางตะวันออก ซึ่งก่อให้เกิดแนวคิดที่ว่าเพศสัมพันธ์เป็นเรื่องสกปรก ความคิดดังกล่าวเมื่อได้รับการปรับปรุงเล็กน้อยก็ตรงกับทัศนคติของคริสตจักรนั่นเอง ทัศนคติเชิงลบดังกล่าวกำราบจิตใต้สำนึกของคนจำนวนมากให้ต้องหวาดผวา นักจิตวิเคราะห์หลายท่านเชื่อว่าทัศนคติเช่นนี้ก่อให้เกิดความผิดปกติทางจิตได้

อีกกลุ่มหนึ่งเชื่อว่าไม่ควรปิดกั้นกามารมณ์ไม่ว่าจะกรณีใด เพื่อไม่ให้เกิดความพลุ่งพล่านอันนำไปสู่อาชญากรรมในสังคม การปฏิบัติตามทัศนคติเช่นนี้ทำให้ประชาคมตะวันตกจมปลักอยู่ในความต่ำทราม โดยที่ศาสนาคริสต์เหลือความสำคัญในเชิงสัญลักษณ์เท่านั้น

ท่ามกลางสองขั้วความสุดโต่งนี้ อิสลามเชื่อว่ากามารมณ์มิไช่สิ่งเลวร้ายโดยสิ้นเชิงที่จะต้องกำราบให้หมดไป แต่ก็ไม่ควรปล่อยอิสระ ทางออกก็คือจะต้องควบคุมให้อยู่ในทำนองคลองธรรม และจะต้องอยู่ใต้อาณัติของมนุษย์ มิไช่มีอิทธิพลเหนือมนุษย์ โดยอิสลามเชื่อว่าวิธีบำบัดกามารมณ์ที่ถูกต้องตามธรรมชาติก็คือ การสมรส
ทีนี้เราจะมาดูกันว่าคริสตศาสนาในฐานะที่ไม่เห็นด้วยกับการสนองกามารมณ์ จะมีทัศนคติอย่างไรเกี่ยวกับการสมรส
มีความเป็นไปได้ที่ทัศนคติเชิงลบของคริสตจักรเกี่ยวกับการบำบัดความไคร่ เกิดจากการตีความสถานะโสดของพระเยซู โดยถือว่าพระเยซูครองโสดก็เพราะเพศสัมพันธ์เป็นสิ่งต่ำทราม ด้วยเหตุนี้เองที่นักบุญและบาทหลวงคริสต์(หลายนิกาย)เชื่อว่าการไม่แตะต้องอิสตรีตลอดชีวิตถือเป็นเงื่อนไขสำหรับพัฒนาการทางจิตวิญญาณ ซึ่งโป๊ปก็ได้รับเลือกจากบุคคลเหล่านี้เท่านั้น

การครองโสดของบาทหลวงและพระคาร์ดินัลทำให้เริ่มเกิดทัศนคติที่ว่าสตรีเป็นเพศแห่งราคะและการเย้ายวนและถือเป็นซาตานขั้นเบื้องต้น โดยทั่วไปแล้วบุรุษเพศจะไม่ทำบาป แต่เพราะการยั่วยวนของอิสตรีจึงทำให้บุรุษเพศกระทำบาป คนกลุ่มนี้เล่าเรื่องนบีอาดัมกับพระนางเฮาวาว่า จริงๆแล้วซาตานไม่อาจจะยุแหย่อาดัมได้ จึงได้เกลี้ยกล่อมอีฟก่อน แล้วให้อีฟเกลี้ยกล่อมอาดีมอีกทอดหนึ่ง ฉะนั้นซาตานตัวจริงจะหลอกล่อสตรี แล้วให้สตรีหลอกล่อบุรุษ แต่คัมภีร์อัลกุรอานได้สวนทัศนคติเช่นนี้ โดยมิได้ถือว่าเพศใดเป็นหลักและอีกเพศเป็นเสมือนกาฝาก ทั้งนี้ก็เพราะกุรอานปรารภว่าเราได้บัญชาแก่ทั้งสองว่าเธอทั้งสองจงอย่าเข้าใกล้ต้นไม้ต้นนี้และยังกล่าวอีกว่าชัยฏอนได้หลอกลวงเขาทั้งสองมิได้กล่าวว่าหลอกลวงสตรีหนึ่งและนางหลอกลวงสามีอีกทอดหนี่ง นบีอาดัมพลาดพลั้งหลงเชื่อชัยฏอนเท่าๆกับที่พระนางเฮาวาหลงเชื่อ และอาจเป็นเพราะต้องการพิทักษ์สถานะของสตรีเพศกระมังที่กุรอานนับว่าท่านหญิงมัรยัมเป็นหนึ่งในนักบุญผู้ยิ่งใหญ่

คริสตจักรอนุมัติให้สมรสได้ก็เนื่องจากต้องคงไว้ซึ่งเผ่าพันธุ์มนุษย์ ในขณะที่อิสลามถือว่าการสมรสคือจารีตของศาสดา โดยเชื่อว่าหากผู้ใดทำการสมรส ถือว่าครึ่งหนึ่งของศาสนาของเขาได้รับการเติมเต็มแล้ว ส่วนผู้ที่ยังไม่มีโอกาสสมรสก็ให้สำรวมตนเพื่อควบคุมกามารมณ์ไปก่อน
ท้ายนี้ขอนำเสนอฮะดีษที่น่าสนใจดังต่อไปนี้
ท่านอิมามริฎอ(.)กล่าวว่าหากแม้ไม่มีคำสั่งให้ผู้คนต้องสมรสกัน เพียงพอแล้วที่คุณานุประโยชน์ที่พระองค์ทรงกำหนดไว้สำหรับการนี้จะโน้มนำผู้มีความคิดให้แสวงหาการสมรส”(อย่างเช่นคุณประโยชน์ด้านสังคมอาทิเช่นการกระชับสัมพันธ์กับผู้อื่น)
ท่านนบี(..)กล่าวว่าจงหาคู่ครองให้ชายโสดเถิด เพื่อมารยาทของพวกเขาจะดีขึ้น ปัจจัยยังชีพจะกว้างขวางยิ่งขึ้น และความเป็นชายชาตรีจะเพิ่มมากขึ้น[5]
มีหญิงคนหนึ่งกล่าวต่อท่านอิมามศอดิก(.)ว่า ดิฉันเป็นหญิงที่สละแล้วซึ่งโลกย์ ท่านอิมามถามว่า เธอหมายความว่าอย่างไร? นางตอบว่า ดิฉันไม่คิดจะแต่งงาน อิมามถามว่า เพราะอะไรหรือ? นางตอบว่า เพราะดิฉันหวังจะได้รับผลบุญ อิมามกล่าวว่า จงกลับไปเถิด หากการครองโสดถือเป็นความประเสริฐแล้วล่ะก็ ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ที่มีความประเสริฐเหนือสตรีทั้งมวลย่อมจะปฏิบัติเช่นนี้ก่อนเธอเป็นแน่!
มีรายงานจากท่านนบี(..)ว่า ประตูแห่งฟากฟ้าจะเปิดกว้างในสี่เวลา 1. ขณะฝนตก 2. ขณะที่บุตรมองใบหน้าบิดา 3. ขณะที่ประตูกะอ์บะฮ์เปิดออก 4. ขณะที่มีการอักด์สมรส[6]
ท่านอิมามศอดิก(.)กล่าวว่านมาซเพียงสองร่อกะอัตของชายที่มีภรรยาเหนือกว่านมาซของชายโสดกว่าเจ็ดสิบร่อกะอัต[7]
มีฮะดีษระบุว่า ผู้ใดไม่ยอมสมรสเนื่องจากกลัวความยากจน แสดงว่าเขาดูแคลนพระองค์ เพราะพระองค์ทรงตรัสว่า หาก(ชาย)เป็นผู้ยากไร้ พระองค์จะทรงประทานความโปรดปรานแก่เขาให้สมปรารถนา[8]
ฮะดีษมากมายที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ชี้ให้เห็นว่า ไม่เพียงแต่อิสลามจะไม่รังเกียจการสมรสเท่านั้น แต่ยังรณรงค์ให้กระทำในฐานะที่เป็นมุสตะฮับ(ซุนนัต)

อย่างไรก็ดี ไม่ได้หมายความว่าอิสลามจะอนุมัติให้สมรสโดยไม่พิจารณาความเหมาะสมใดๆเลย เนื่องจากสังคมที่ดีย่อมเกิดจากครอบครัวที่ดี และครอบครัวที่ดีย่อมเกิดจากการสมรสที่เหมาะสมและตั้งอยู่บนการพิจารณาอย่างถี่ถ้วนเท่านั้น[9]
กล่าวคือ อิสลามได้นำเสนอมาตรฐานและหลักเกณฑ์ที่ดีเยี่ยมแก่เรา โดยได้ประมวลคุณลักษณะที่คู่ครองพึงมีไว้ซึ่งจะขอนำเสนอโดยสังเขปดังนี้
1. ควรมีศรัทธาที่แท้จริง เนื่องจากผู้ที่มีปฏิสัมพันธ์กับพระเจ้าย่อมมีความน่าเชื่อถือมากกว่า
2. ควรมีจรรยามารยาทในชีวิต เพื่อเพิ่มความสุขและความชื่นฉ่ำใจแก่สมาชิกครอบครัว มีฮะดีษระบุว่าการมีคู่ครองที่นิสัยดุร้ายจะทำให้บุคคลแก่กว่าวัย
3. ควรมีครอบครัวที่ดีและเหมาะสม ท่านนบี(..)กล่าวว่าจงหลีกเลี่ยงต้นกล้าที่งอกเงยจากกองขยะ อันหมายถึงสตรีเลอโฉมที่เติบโตในครอบครัวที่ไม่ดีและกุรอานระบุว่า เราได้สร้างบุรุษและสตรีเพื่อกันและกัน และเป็นแหล่งพักพิงอันสงบของกันและกัน และถือว่าสตรีถือเป็นสิ่งดีๆในชีวิตบุรุษเพศ
4. ไม่ควรกำหนดมะฮัรมากเกินไป ท่านนบี(..)กล่าวว่าสตรีที่ประเสริฐสุดในประชาชาติของฉันคือสตรีที่เลอโฉมกว่าแต่ตกมะฮัรน้อยกว่า
5. ไม่ควรเน้นพิธีรีตองที่ไม่จำเป็น หรือมีการรื่นเริงเกินขอบเขต อันจะทำให้ประตูแห่งความพิโรธของพระองค์จะเปิดออกแก่คู่สมรสแทนความโปรดปราน ซึ่งหากเป็นเช่นนี้ก็อาจทำให้ชีวิตคู่อาจไม่ได้รับความราบรื่นในอนาคต

ศึกษาเพิ่มเติมได้จากหนังสือต่อไปนี้
1. จริยธรรมทางเพศในอิสลามและโลกอรับ,ชะฮีดมุเฏาะฮะรี
2. การแต่งงานในทัศนะอิสลาม,แปลโดยอะห์มัด ญันนะตี
3. ท่านหญิงซะฮ์รอ, ฟัฎลุลลอฮ์ โคมพอนี



[1] วะซาอิลุชชีอะฮ์,เชคฮุร อามิลี,เล่ม 20,หน้า 35

[2] บิอารุ้ลอันว้าร,มุฮัมมัดบากิร มัจลิซี,เล่ม 103,หน้า 222

[3] วะซาอิลุชชีอะฮ์,เชคฮุร อามิลี,เล่ม 20,หน้า 166

[4] ซูเราะฮ์ อัรรูม, 21
و من آیاته ان خلق لکم من انفسکم ازواجا لتسکنوا الیها و جعل بینکم مودة و رحمة ان فی ذلک ‏لآیات لقوم ‏یتفکرون

[5] อันนะวาดิร,รอวันดี,หน้า 36

[6] บิอารุ้ลอันว้าร,เล่ม 100,หน้า 221, หมวด 1 کراهة العزوبة و الحث على...

[7] อ้างแล้ว

[8] อัลกาฟี,เล่ม 5,หน้า 331

[9] ดู: บทความ: ความสำคัญของการสมรสในทัศนะอิสลามและศึกษาเปรียบเทียบกับทัศนคติของคริสเตียน,พู้รซัยยิดี

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • การนอนในศาสนสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เช่นบริเวณฮะร็อมมีฮุกุมอย่างไร?
    5764 สิทธิและกฎหมาย 2554/11/19
    ฮะร็อม(บริเวณสุสาน)ของบรรดาอิมามตลอดจนศาสนสถานถือเป็นสถานที่ที่มุสลิมให้เกียรติมาโดยตลอดเนื่องจากการแสดงความเคารพสถานที่เหล่านี้ถือเป็นการให้เกียรติบรรดาอิมามและบุคคลสำคัญต่างๆที่ฝังอยู่ณสุสานดังกล่าวฉะนั้นควรหลีกเลี่ยงการกระทำที่ส่อไปในทางลบหลู่ดูหมิ่นสถานที่เหล่านี้เท่าที่จะทำได้แต่ทว่าในแง่ของฟิกฮ์การนอนในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เช่นมัสยิด, ฮะร็อมฯลฯถือว่าไม่เป็นที่ต้องห้ามนอกจากคนทั่วไปจะมองว่าการนอนในสถานที่ดังกล่าวเป็นการไม่ให้เกียรติสถานที่ซึ่งในกรณีนี้เนื่องจากวิถีประชาเห็นว่าการกระทำนี้เป็นสิ่งที่ไม่บังควรก็จะถึอว่าไม่ควรกระทำไม่ว่าสถานที่เหล่านั้นจะเป็นมัสยิดหรือฮะร็อมของบรรดาอาอิมมะฮ์ฯลฯก็ตาม
  • คำว่า “ฮุจซะฮ์”ในฮะดีษของมุฮัมมัด บิน ฮะนะฟียะฮ์ หมายความว่าอย่างไร?
    7730 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2555/02/12
    คำว่าฮุจซะฮ์ที่ปรากฏในฮะดีษบทต่างๆแปลว่าการยึดเหนี่ยวสื่อกลางในโลกนี้ระหว่างเรากับอัลลอฮ์ท่านนบีและบรรดาอิมาม(อ.) ซึ่งก็หมายถึงศาสนาจริยธรรมและความประพฤติที่ดีงามหากบุคคลยึดถืออิสลาม
  • เพราะสาเหตุใดที่ ปรัชญาอันเป็นแบบฉบับของอิสลาม ไม่สามารถยกสถานภาพของตนให้กับ ปรัชญาใหม่แห่งตะวันตกได้ พร้อมกันนั้นปรัชญาอิสลาม ยังคงดำเนินต่อไปตามแบบอย่างของตน?
    9219 آراء شناسی 2557/05/20
    การยอมรับทุกทฤษฎีความรู้นั้นสิ่งจำเป็นคือ ต้องมีพื้นฐานของเหตุผลเป็นหลัก ดังนั้น บนพื้นฐานดังกล่าวนี้ ถ้าหากว่าสมมติฐานต่างๆ ในอดีตบางอย่าง ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า ไม่ถูกต้องหรือเป็นโมฆะนั่นก็มิได้หมายความว่า ทฤษฎีความรู้ทั้งหมดเหล่านั้น จะโมฆะไปด้วย แต่ปรัชญาอิสลามนั้นแตกต่างไปจากทฤษฎีความรู้ดังกล่าวมา ตรงที่ว่าปรัชญาอิสลามมีความเชื่อ ที่วางอยู่บนเหตุผลในเชิงตรรกะ และสติปัญญา ดังนั้น เมื่อถูกปรัชญาตะวันตกเข้าโจมตี นอกจากจะไม่ยอมสิโรราบแล้ว ยังสามารถใช้เหตุผลโต้ตอบปรัชญาตะวันตกได้อย่างองอาจ นักปรัชญาอิสลามส่วนใหญ่มีการศึกษาปรัชญาตะวันตก และนักปรัชญาตะวันตก พร้อมกับมีการหักล้างอย่างจริงจัง ...
  • ฮะดีษร็อฟอ์ (เพิกถอน) คืออะไร?
    7705 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2555/02/04
    ฮะดีษร็อฟอ์เป็นชื่อเรียกของฮะดีษสองบทจากท่านนบี(ซ.ล.) ซึ่งหนึ่งในสองบทกล่าวถึงการผ่อนผันข้อบังคับหรือสถานะนานาประเภทรวมทั้งผลต่อเนื่องต่างๆในอิสลามให้พ้นจากผู้บรรลุนิติภาวะในลักษณะบทเฉพาะกาล อีกบทหนึ่งกล่าวถึงการผ่อนผันข้อบังคับบางประการเฉพาะสำหรับบุคคลบางกลุ่มฮะดีษแรกแม้จะมีข้อแตกต่างเกี่ยวกับรายละเอียดของภาระที่ผ่อนผันอยู่บ้างแต่ก็ปรากฏอยู่ในตำราที่มีชื่อเสียงส่วนใหญ่ของชีอะฮ์ทั้งยุคแรกและยุคหลังโดยอิมามศอดิก(อ.) และอิมามริฎอ(อ.)รายงานจากท่านนบี(ซ.ล.) และถือว่ามีสายรายงานที่เศาะฮี้ห์เนื้อหาเบื้องต้นของฮะดีษที่คัดเฉพาะบทที่มีรายละเอียดสมบูรณ์ที่สุดมีดังนี้ “ประชาชาติมุสลิมได้รับการผ่อนผันเก้าสิ่งต่อไปนี้หนึ่ง. ความผิดพลาดสอง.การหลงลืมสาม. สิ่งที่ไม่รู้สี่. สิ่งที่ไม่สามารถกระทำได้ห้า. สิ่งที่กระทำโดยไม่มีทางเลือกหก. สิ่งที่ถูกบังคับให้กระทำเจ็ด. การกระทำที่ฤกษ์ไม่ดีแปด. ความคิดฟุ้งซ่านเกี่ยวกับการสร้างโลกเก้า. ความริษยาตราบเท่าที่ยังไม่สำแดงออก”[i]ฮะดีษชุดนี้นอกจากจะได้รับการอรรถาธิบายโดยผู้เชี่ยวชาญด้านวิชาอุศูลุลฟิกห์แล้ว (เกี่ยวกับหลักมุจมั้ลและมุบัยยันในตำราของพี่น้องซุนนะฮ์ยุคแรก) ยังได้รับการศึกษาอย่างละเอียดถี่ถ้วนโดยผู้เชี่ยวชาญวิชาอุศู้ลในสายอิมามียะฮ์อีกด้วย (ใช้ตัวบทที่ว่าمالایعلمون เพื่อพิสูจน์หลักบะรออะฮ์ในข้อสงสัยเชิงฮุก่มหักห้าม)ฮะดีษอีกบทหนึ่งที่เป็นที่รู้จักในนาม (ร็อฟอุ้ลเกาะลัม) เป็นสายรายงานของฝ่ายอะฮ์ลิสซุนนะฮ์ที่รายงานจากท่านนบีผ่านท่านอิมามอลี(อ.) และอาอิชะฮ์
  • ตัฟซีรอิมามฮะซัน อัสการีย์ (อ.) »อัลฮัมดุลลิลฮิร็อบบิลอาละมีน« หมายถึงอะไร?
    11592 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/05/17
    ตัฟซีรอิมามฮะซัน อัสการียฺ (อ.) เป็นหนึ่งในตัฟซีรที่กล่าวว่าเป็นของท่านอิมาม ซึ่งมีเหตุผลบางประการพาดพิงว่าตัฟซีรดังกล่าวเป็นของท่านอิมาม แต่เป็นเหตุผลที่เชื่อถือไม่ได้แน่นอน ตัฟซีรชุดนี้ได้มีการตีความอัลกุรอาน บทฟาติฮะฮฺ (ฮัม) และบทบะเกาะเราะฮฺ โองการ 282 โดยรายงานฮะดีซ ซึ่งในวิชาอุลูมกุรอานเรียกว่าตัฟซีร »มะอฺซูเราะฮฺ« อย่างไรก็ตาม, ท่านอิมามฮะซันอัสการียฺ (อ.) ได้อธิบายถึงประโยคที่ว่า «اَلْحَمْدُ لِلَّهِ رَبِّ الْعالَمِين» ไว้ในหลายประเด็น, เนื่องจาการขอบคุณอัลลอฮฺ เพราะความโปรดปรานต่างๆ อันไม่อาจคำนวณนับได้, การสนับสนุนสรรพสิ่งถูกสร้าง, ความประเสริฐ และความดีกว่าของชีอะฮฺ เนื่องจากการยอมรับวิลายะฮฺ และอิมามะฮฺของท่านอิมามอะลี (อ.) และกล่าวว่า เนื่องจากจำเป็นต้องขอบคุณอัลลอฮฺ เพราะความโปรดปรานของพระองค์ จึงได้กล่าวว่า «اَلْحَمْدُ لِلَّهِ رَبِّ الْعالَمِين» ...
  • โปรดอธิบาย ปรัชญาของการกล่าวข้อผูกมัดนิกาห์ คืออะไร?
    9025 จริยศาสตร์ 2555/06/30
    ตามคำสอนของอิสลามการแต่งงานถือเป็นข้อตกลงที่ศักดิ์สิทธิ์ สำหรับการจัดตั้งครอบครัวและสิ่งที่ติดตามมาคือ, ระบบสังคม ซึ่งแน่นอนว่าย่อมมีผลสะท้อนและบทสรุปอย่างมากมาย เช่น : เพื่อตอบสนองความต้องการทางกามรมย์, ผลิตสายเลือดและรักษาเผ่าพันธุ์, สร้างความสมบูรณ์ในความเป็นมนุษย์, สร้างความสงบมั่นแก่จิตใจ, เป็นการรักษาความสะอาดบริสุทธิ์, เป็นการส่งเสริมความผูกพันให้มั่นคง และประเด็นอื่นๆ อีกมากมาย, ดังนั้น การจัดการข้อตกลงศักดิ์สิทธิ์นี้ให้สมประสงค์ได้, มีเพียงการปฏิบัติไปตามกฎเกณฑ์พื้นฐาน และเงื่อนไขอันเฉพาะที่อัลลอฮฺ ทรงกำหนดไว้เท่านั้น จึงจะเป็นไปได้. เช่น เงื่อนที่ว่านั้นได้แก่การกล่าวข้อผูกมัดนิกาห์ ด้วยคำพูดเฉพาะ (ดังกล่าวไว้ในหนังสือริซาละฮฺต่างๆ) พระผู้อภิบาลผู้ทรงเกรียงไกรในฐานะของ พระเจ้าผู้ทรงกำหนดกฎระเบียบ พระองค์คือผู้ทรงกำหนดคำพูดอันทรงเกียรติยิ่งนี้ และให้ความน่าเชื่อถือ พร้อมกับการเกิดขึ้นของคำพูดดังกล่าวในฐานะ อักดฺนิกาห์, จึงเป็นสาเหตุทำให้เกิดการเป็นสามีภรรยา ระหว่างชายกับหญิงขึ้น. การแต่งงานมิได้หมายถึง ความพอใจของสองฝ่ายเท่านั้น ทว่าเป็นความพึงพอใจและการยินยอมของทั้งสองฝ่าย อันถือว่าเป็นเงื่อนไขสำคัญยิ่งสำหรับการแต่งงาน ที่จะเกิดขึ้นพร้อมกับการอ่านอักดฺนิกาห์ปัจจุบันนี้ เพื่อให้การแต่งงานนั้นถูกต้องสมบูรณ์ตามหลักการชัรอียฺ. การแต่งงาน มิได้หมายถึงความพอใจของสองฝ่ายเท่านั้น ทว่าเป็นความพึงพอใจและยินยอมของทั้งสองฝ่าย อันถือว่าเป็นเงื่อนไขสำคัญสำหรับการแต่งงาน ...
  • การนำเอาเด็กเล็กไปร่วมงานอ่านฟาติฮะฮฺ ณ กุบูร เป็นมักรูฮฺหรือไม่?
    6845 จริยธรรมปฏิบัติ 2555/05/17
    การนำเด็กๆ เข้าร่วมในมัจญฺลิซ งานประชุมศาสนา พิธีกรรมทางศาสนา, การนำเด็กๆ ไปมัสญิด, หรือพิธีกรรมรำลึกถึงท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) ในเดือนมุฮัรรอม หรืองานเทศกาลอื่นๆ ทางศาสนา, เช่น เข้าร่วมนมาซอีดฟิฏร์ อีดกุรบาน หรือพิธีกรรมต่างๆ ทางศาสนา เพื่อเป็นการกระตุ้นความรักผูกพันกับศาสนาของพวกเขา ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีมีประโยชน์อย่างยิ่ง ส่วนการนำเด็กๆ ไปร่วมพิธีอ่านฟาติฮะฮฺ ณ สถานฝังศพ ซึ่งได้ค้นหารายงานจากตำราต่างๆ ด้านฟิกฮฺอิสลามแล้ว ไม่พบรายงานที่ระบุว่าการกระทำดังกล่าวเป็นมักรูฮฺ ถ้าหากมีรายงานหรือเหตุผลอันเฉพาะเจาะจงจากสามีหรือภรรยาของคุณ กรุณาชี้แจงรายละเอียดมากกว่านี้แก่เราเพื่อเป็นประโยชน์สำหรับการค้นคว้าต่อไป ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับคำถามของคุณ สามารถกล่าวสรุปได้ดังนี้ : 1.รายงานที่กล่าวถึงผลบุญในการกล่าวแสดงความเสียใจกับเจ้าของงาน และการไปยังสถานฝังศพ เป็นรายงานทั่วไปกว้างๆ แน่นอนย่อมครอบคลุมถึงเด็กและเยาวชนด้วย 2.จากแนวทางการปฏิบัติของรรดาอิมามมะอฺซูม (อ.) ...
  • นามอันเป็นมักนูนและมุสตะอ์ษิ้รของอัลลอฮ์หมายความว่าอย่างไร?
    7190 รหัสยทฤษฎี 2554/10/23
    จากฮะดีษและบทดุอาทำให้ทราบว่าอัลลอฮ์มีพระนามที่ทรงคัดสรรด้วยพระองค์เองโดยที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้พระนามเหล่านี้เรียกว่า"อัสมาอ์มุสตะอ์ษิเราะฮ์" ซึ่งตามคำบอกเล่าของฮะดีษพระนามเหล่านี้คือมิติเร้นลับของอิสมุลอะอ์ซ็อมอันเป็นพระนามแรกของพระองค์พระนามประเภทนี้ยังเรียกขานกันว่าอิสมุ้ลมักนูนหรืออิสมุ้ลมัคซูนอีกด้วย ...
  • เมื่อสามีและภรรยาหย่าขาดจากกัน ใครคือผู้มีสิทธิในการเลี้ยงดูบุตร?
    13370 สิทธิและกฎหมาย 2554/08/17
    ในทัศนะของอิสลามบิดามีหน้าที่จะต้องจ่ายนะฟาเกาะฮ์ (ค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดู) แก่บุตรทุกคนแต่ทว่าสิทธิในการดูแลและอบรมเลี้ยงดูบุตรนั้นแตกต่างกันไปตามอายุและเพศของลูกๆท่านอิมามโคมัยนีได้ให้คำตอบเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวว่า “มารดาถือครองสิทธิในการดูแลเลี้ยงดูบุตรชายจนถึงอายุ๒
  • ตามทัศนะของท่านอายะตุลลอฮฺ อัลอุซมา อะลี คอเมเนอี การปรากฏตัวของสตรีที่เสริมสวยแล้ว (ถอนคิว,เขียนตาและอื่นๆ) ต่อหน้าสาธารณชน ท่ามกลางนามะฮฺรัมทั้งหลาย ถือว่าอนุญาตหรือไม่? และถ้าเสริมสวยเพียงเล็กน้อย มีกฎเกณฑ์ว่าอย่างไรบ้าง?
    11160 หลักกฎหมาย 2556/01/24
    คำถามข้อ 1, และ 2. ถือว่าไม่อนุญาต ซึ่งกรณีนี้ไม่มีความแตกต่างกันในเรื่องอุปกรณ์ที่ใช้เสริมสวย คำถามข้อ 3. ถ้าหากสาธารณถือว่านั่นเป็นการเสริมสวย ถือว่าไม่อนุญาต[1] [1] อิสติฟตาอาต จากสำนักฯพณฯท่านอายะตุลลอฮฺ อัลอุซมา คอเมเนอี (ขออัลลอฮฺทรงปกป้อง) ...

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60602 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    58215 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42718 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    40168 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    39345 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    34453 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    28529 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    28438 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    28375 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    26313 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...