การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
8277
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2554/11/24
 
รหัสในเว็บไซต์ fa1473 รหัสสำเนา 19085
คำถามอย่างย่อ
ฮะดีษนี้เศาะฮี้ห์หรือไม่? รายงานจากอิมามญะฟัร(อ.)ว่า "ก่อนท่านนบี(ซ.ล.)จะนอน ท่านจะแนบใบหน้าที่หว่างอกของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์(อ.)เสมอ" (บิฮารุลอันว้าร,เล่ม 43,หน้า 78)
คำถาม
ฮะดีษนี้เศาะฮี้ห์หรือไม่? รายงานจากอิมามญะฟัร(อ.)ว่า "ก่อนท่านนบี(ซ.ล.)จะนอน ท่านจะแนบใบหน้าที่หว่างอกของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์(อ.)เสมอ" (บิฮารุลอันว้าร,เล่ม 43,หน้า 78)
คำตอบโดยสังเขป

ฮะดีษแบ่งออกเป็นสองประเภท
.กลุ่มฮะดีษที่มีสายรายงานที่เชื่อถือได้ แข็งแรงและเศาะฮี้ห์
 กลุ่มฮะดีษที่มีสายรายงานที่ไม่น่าเชื่อถือ อ่อนแอและไม่เป็นที่รู้จัก.
ฮะดีษที่ยกมานั้น หนังสือบิฮารุลอันว้ารอ้างอิงจากหนังสือมะนากิ้บ ของอิบนิ ชะฮ์รอชู้บ แต่เนื่องจากไม่มีสายรายงานที่ชัดเจน จึงจัดอยู่ในกลุ่มฮะดีษที่ไม่น่าเชื่อถือ
แต่สมมติว่าฮะดีษดังกล่าวเศาะฮี้ห์ เราสามารถชี้แจงความไม่เหมาะสมของเนื้อหาได้ดังนี้
1.  ต้องคำนึงว่าท่านนบี(..)และอะฮ์ลุลบัยต์(.)ล้วนมีฐานะภาพที่สูงส่งและปราศจากราคะมลทิน ดังที่กุรอานก็กล่าวยืนยันความบริสุทธิของท่านเหล่านี้ไว้ในโองการ"ตัฏฮี้ร"
2.
ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์(.)มีคุณลักษณะเด่นที่แตกต่างจากบุตรีท่านอื่นๆของนบี(..) เนื่องจากท่านหญิงถือกำเนิดจากเหตุการณ์พิเศษที่เกิดขึ้นกับท่านนบี(..)
3.
สัมผัสที่เปี่ยมด้วยความรักและความเอื้ออาทรเป็นสิ่งที่พบเห็นได้ในครอบครัวทั่วไป ดังจะเห็นว่าลูกชายจะโอบกอดแม่ พ่อจะจุมพิตบุตรสาวหลังจากกลับมาจากการเดินทาง สัมผัสเหล่านี้ล้วนเกิดจากความความรู้สึกห่วงหา มิไช่กามารมณ์
4.
สันนิษฐานว่าอคติดังกล่าวเกิดจากการเข้าใจผิดคิดว่าท่านนบี(..)จุมพิตบริเวณที่กล่าวถึงโดยไม่มีอาภรณ์ปกปิด กรณีเช่นนี้ย่อมไม่เกิดขึ้นแน่นอน เนื่องจากปุถุชนคนทั่วไปก็รักษามารยาทและขอบเขตดังกล่าวตามปกติ การไม่ปกปิดบริเวณดังกล่าวย่อมเป็นเรื่องไม่เหมาะสมในแง่มารยาทขั้นพื้นฐานของครอบครัว เมื่อทราบดังนี้ ไฉนเราจึงจะมองปูชณียบุคคลอย่างอะฮ์ลุลบัยต์ในแง่ลบเช่นนั้น
สรุปก็คือ ในเมื่อสัมผัสอันเปี่ยมด้วยความรักและความเอ็นดูเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในทุกครัวเรือนตามปกติ ฉะนั้นหากท่านนบี(..)จะปฏิบัติกับบุตรีของตน (ตลอดจนกรณีอะฮ์ลุลบัยต์ท่านอื่นๆ) ก็มิไช่เรื่องแปลกประหลาด โดยเฉพาะเมื่อตระหนักว่าบุคคลเหล่านี้เป็นผู้ละซึ่งบาปกรรมทุกประการ

คำตอบเชิงรายละเอียด

โดยทั่วไป ฮะดีษจะแบ่งออกเป็นสองประเภท ประเภทแรกคือฮะดีษที่น่าเชื่อถือเนื่องจากมีสายรายงานชัดเจน ซึ่งจะใช้สำนวนเช่น เศาะฮี้ห์, แข็งแรง ...ฯลฯ ส่วนอีกประเภทคือฮะดีษที่ไม่น่าเชื่อถือ โดยจะใช้สำนวนเช่น ฎ่ออี้ฟ (อ่อน), มัจฮู้ล (ไม่ทราบที่มา) ...ฯลฯ
ก่อนที่บรรดาอุละมาอ์จะนำฮะดีษใดมาศึกษา จะต้องวิเคราะห์สายรายงานเสียก่อน เพื่อที่จะทราบสถานะของผู้รายงานว่ามีคุณสมบัติครบถ้วนหรือไม่ หากพบว่าสายรายงานน่าเชื่อถือพอ ก็จะคัดเลือกและนำไปศึกษาเชิงเนื้อหา เพื่อใช้วินิจฉัยปัญหาศาสนาต่อไป แต่หากฮะดีษใดมีสายรายงานที่ไม่ต่อเนื่อง หรือมีสายรายงานที่อ่อนแอ ถือว่าฮะดีษดังกล่าวไม่น่าเชื่อถือ และอุละมาอ์จะไม่นำมาใช้อ้างอิงใดๆทั้งสิ้น

ฮะดีษนี้ปรากฏอยู่ในหนังสือบิฮารุลอันว้าร ซึ่งรายงานจากหนังสือมะนากิ๊บ อาลิอบีฏอลิบ ประพันธ์โดยอิบนิ ชะฮ์รอชู้บ

ตัวบทฮะดีษมีดังนี้

 "انه کان النبی (ص) لاینام حتی یقبل عرض وجه فاطمة و یضع وجهه بین ثدیی فاطمة و یدعولها، و فی روایة: حتی یقبل عرض وجنة فاطمة او بین ثدییها"

"รายงานจากอิมามบากิร(.)และอิมามศอดิก(.)ว่า:  ท่านนบี(..)จะไม่นอนจนกว่าจะจุมพิตใบหน้าของฟาฏิมะฮ์(.)และแนบใบหน้าของท่าน  หว่างอกของเธอ จากนั้นจึงดุอาให้เธอ" อีกฮะดีษกล่าวว่า "...จนกว่าจะจุมพิตที่ใบหน้าหรือหว่างอกของเธอ" [1]
ท่านชะฮ์รอชู้บกล่าวไว้ในอารัมภบทของหนังสือมะนากิ๊บว่า "ฉันได้รวบรวมฮะดีษในหนังสือเล่มนี้จากมิตรสหายและจากพี่น้องซุนหนี่" เขาได้ระบุสายรายงานของตำราอ้างอิงต่างๆที่ใช้ในการประพันธ์หนังสือของตน ไม่ว่าจะเป็นตำราซุนหนี่หรือชีอะฮ์

แต่กรณีของฮะดีษนี้ เขาไม่ได้ระบุสายรายงานใดๆ แต่กลับรายงานในลักษณะ"มุรซั้ล"(ข้ามสายรายงาน) ฉะนั้น จึงไม่สามารถเชื่อถือได้ร้อยเปอร์เซ็นต์

อย่างไรก็ดี สมมติว่าฮะดีษบทนี้เป็นฮะดีษเศาะฮี้ห์ ก็ต้องพิจารณาถึงข้อจำกัดต่อไปนี้ด้วย
1. ท่านนบี(..)และบรรดาอะฮ์ลุลบัยต์ล้วนมีสถานภาพอันสูงส่งโดยเฉพาะคุณสมบัติทางจิตวิญญาณ จึงไม่ควรจะนำไปเปรียบเทียบกับตาสีตาสาทั่วไป กุรอานได้ยืนยันถึงความบริสุทธิผุดผ่องอันไร้เทียมทานของบุคคลเหล่านี้ไว้ในโองการ"ตัฏฮี้ร"ที่ว่า 

انما یرید الله لیذهب عنکم الرجس اهل البیت و یطهرکم تطهیراً

"แท้จริงพระองค์ทรงประสงค์ที่จะเปลื้องมลทินจากสูเจ้า โอ้ อะฮ์ลุลบัยต์ และชำระสูเจ้าให้สะอาดบริสุทธิ์" [2]
สำนวน "อินนะมา"ในภาษาอรับ จะใช้เพื่อจำกัดประเด็นใดประเด็นหนึ่งเป็นการเฉพาะ จึงแสดงว่ามหากรุณาธิคุณดังกล่าว(การชำระมลทิน)มีไว้เพื่อวงศ์วานนบี(..)เท่านั้น ด้วยเหตุนี้ ท่านเหล่านี้จึงสังวรตนเองกระทั่งพ้นจากบาปกรรมด้วยพระประสงค์ของอัลลอฮ์และความยำเกรงที่ตนมี

คำว่า"ริจส์" หมายถึงมลทินทั้งปวง ไม่ว่าจะมลทินในแง่รสนิยมมนุษย์ สติปัญญา หรือบทบัญญัติศาสนาก็ตาม
คำว่า"ตัฏฮี้ร" หมายถึงการชำระให้สะอาด ซึ่งเป็นการเน้นย้ำถึงการขจัดมลทินนั่นเอง
ส่วนคำว่า"อะฮ์ลุลบัยต์" ตามทัศนะของอุละมาอ์และนักตัฟซี้รทั่วไปหมายถึงวงศ์วานของท่านนบี(..) ซึ่งตำราของทั้งฝ่ายซุนหนี่และชีอะฮ์ล้วนระบุว่าเป็นบุคคลห้าท่านดังต่อไปนี้ : ท่านนบี(..),ท่านอิมามอลี(.), ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์(.), ท่านอิมามฮะซัน(.) และท่านอิมามฮุเซน(.) ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในนาม "ค็อมซะฮ์ ฏ็อยยิบะฮ์"(ห้าผู้บริสุทธิ์) และ "อัศฮาบุ้ลกิซาอ์"(ชาวผ้าคลุม)
อายะฮ์ตัฏฮี้รถือเป็นหลักฐานที่บ่งบอกถึงสภาวะไร้บาปของท่านนบี(..)และบรรดาอะฮ์ลุลบัยต์(.)ได้อย่างชัดเจน ทั้งนี้ก็เนื่องจากบาปทุกประเภทจัดอยู่ในประเภทของ"มลทิน"ทั้งสิ้น[3]

ในบทซิยารัตอันเลอค่าอย่าง"ญามิอะฮ์ กะบีเราะฮ์"ระบุว่า 

عصمکم الله من الزلل و آمنکم من الفتن و طهرکم من الدنس و اذهب عنکم الرجس و طهرکم تطهیراً

"อัลลอฮ์ทรงปกปักษ์พวกท่านให้พ้นจากความสั่นคลอนและฟิตนะฮ์ และทรงชำระพวกท่านให้สะอาดจากพฤติกรรมสกปรก และขจัดมลทินจากพวกท่านและชำระให้บริสุทธิ์[4]

2. ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์(.)มีฐานะภาพที่โดดเด่นที่สุดในบรรดาบุตรีของท่านนบี(..) ทั้งนี้ก็เนื่องจากเธอมีจุดเด่นทั้งในแง่ของการประสูติและการเลี้ยงดู
มีฮะดีษที่อิบนิ ชะฮ์รอชู้บบันทึกไว้โดยมีสายรายงานหลายสายด้วยกัน กล่าวว่า :
อบูอุบัยดะฮ์ ค็อดดา และท่านอื่นๆรายงานจากท่านอิมามศอดิก(.)ว่า ท่านนบี(..)มักจะจุมพิตฟาฏิมะฮ์เป็นประจำ ภรรยาของท่านบางคนท้วงติงพฤติกรรมดังกล่าวของท่าน ท่านนบี(..)ตอบว่า "เมื่อครั้งที่ฉันขึ้นเมี้ยะรอจ ญิบรออีลได้จูงมือฉันให้เข้าสู่สรวงสวรรค์ และได้มอบอินทผลัมเม็ดหนึ่งให้ (บางรายงานระบุว่าเป็นผลแอปเปิ้ล) หลังจากที่ฉันรับประทาน มันก็กลายเป็นอสุจิที่อยู่ในไขสันหลังของฉัน เมื่อกลับสู่พื้นดิน ฉันได้ร่วมหลับนอนกับคอดีญะฮ์ นางได้ตั้งครรภ์ฟาฏิมะฮ์ ฉะนั้นจึงกล่าวได้ว่าฟาฏิมะฮ์คือนางสวรรค์ที่อยู่ท่ามกลางมนุษย์ปุถุชน และเมื่อใดที่ฉันหวลรำลึกถึงกลิ่นอายสรวงสวรรค์ ฉันก็จะหอมลูกสาวของฉัน"[5]

จะเห็นได้ว่าสัมพันธภาพระหว่างท่านนบี(..)และท่านหญิงฟาฏิมะฮ์(.)แน่นแฟ้นเพียงใด และนี่คือเหตุผลที่ท่านแสดงออกถึงความผูกพันได้เพียงนี้

3. สิ่งที่สัมผัสได้ในวิถีชีวิตของผู้ที่มีวุฒิภาวะทั่วไปก็คือ ความผูกพันระหว่างสมาชิกครอบครัว อันปราศจากกามารมณ์ ไม่ว่าจะเป็นการมอง การจับต้อง หรือแม้แต่การจุมพิต ตัวอย่างเช่นกรณีการจุมพิตแม่ น้องสาว หรือลูกสาวที่กลับมาจากพิธีฮัจย์หรือเยี่ยมเยียนกุโบร์ของนบี(..) และบรรดาอิมาม(.) แน่นอนว่าการจุมพิตเช่นนี้ย่อมมีจุดประสงค์เพื่อรับบะเราะกัตและผลบุญเท่านั้น
หรือกรณีที่บางคนมีลูกที่หน้าตาน่ารัก มีมารยาทงดงาม หากพ่อแม่จะหอมลูกคนนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าและรู้สึกผูกพันกับลูกคนนี้เป็นพิเศษก็มิไช่เรื่องแปลก เนื่องจากเป็นสัมพันธภาพฉันพ่อแม่ลูกที่พบเห็นได้ทั่วไปในครอบครัวต่างๆ โดยที่ไม่มีใครคิดจะตำหนิพ่อแม่ที่กระทำเช่นนี้กับลูกของตน

4. สันนิษฐานว่าอคติดังกล่าวเกิดจากการเข้าใจผิดคิดว่าท่านนบี(..)จุมพิตบริเวณหว่างอกโดยไม่มีอาภรณ์ปกปิด กรณีเช่นนี้ย่อมไม่เกิดขึ้นแน่นอน เนื่องจากปุถุชนคนทั่วไปก็มักจะรักษามารยาทและขอบเขตดังกล่าวตามปกติ การไม่ปกปิดบริเวณดังกล่าวย่อมเป็นเรื่องไม่เหมาะสมในแง่มารยาทขั้นพื้นฐานของครอบครัว เมื่อทราบดังนี้ ไฉนเราจึงจะมองปูชณียบุคคลอย่างอะฮ์ลุลบัยต์ในแง่ลบเช่นนั้น
ในเมื่อสัมผัสอันเปี่ยมด้วยความรักและเอ็นดูเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตามปกติในครอบครัว ฉะนั้นในกรณีของปูชณียบุคคลผู้ปราศจากบาปอย่างท่านนบี(..) และอะฮ์ลุลบัยต์(.)ก็มิไช่เรื่องแปลกประหลาดแต่อย่างใด

อย่างไรก็ดี หากปูชณียบุคคลผู้ปราศจากบาปเหล่านี้จะมีวัตรปฏิบัติเช่นที่กล่าวมา นั่นก็เป็นเพราะท่านเหล่านั้นมีเหตุผลรองรับ ซึ่งแน่นอนว่าเหตุผลดังกล่าวสามารถชี้แจงฮะดีษที่มีเนื้อหาดังที่ถามมาได้อย่างแน่นอน



[1] อิบนิ ชะฮ์รอชู้บ,อัลมะนากิ๊บ,เล่ม 3,หน้า 334, และ บิฮารุลอันว้าร,เล่ม 43,หน้า 42

[2] อะห์ซาบ,33

[3] ตัฟซี้รเนมูเนะฮ์,เล่ม 17,หน้า 292

[4] มะฟาตีฮุ้ลญินาน,หน้า 902

[5] อัลมะนากิ๊บ,เล่ม 3,หน้า 334

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • มีข้อแนะนำใดบ้างที่คุณพ่อและคุณแม่ควรปฏิบัติก่อนคลอดบุตร?
    13215 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/21
    มีข้อแนะนำบางอย่างที่คุณพ่อและคุณแม่ควรปฏิบัติก่อนจะมีบุตรอาทิเช่นปฏิบัติศาสนกิจอย่างครบถ้วนปฏิบัติตามคำแนะนำเกี่ยวกับการร่วมหลับนอนบริโภคอาหารที่ฮะลาลและสะอาดโดยเฉพาะผลไม้นานาชนิดเข้ารับการตรวจโรคทางพันธุกรรมงดความเครียด  มองทิวทัศน์ที่สวยงามรักษาสุขอนามัยออกกำลังกายฯลฯหากปฏิบัติตามคำแนะนำเหล่านี้ได้ครบถ้วนก็จะทำให้มีสมาชิกครอบครัวที่มีสุขภาพดีและประสบความสำเร็จในชีวิตส่งผลให้สังคมก้าวสู่ความผาสุกในอุดมคติ ...
  • สตรีในทัศนะอิสลามมีสถานภาพสูงส่งเพียงใด ?พวกเธอมีสิทธิเท่าเทียมกับผู้ชายหรือ?
    12905 ปรัชญาของศาสนา 2554/10/22
    ในทัศนะอิสลาม, สตรีและบุรุษนั้นมีเป้าหมายร่วมกันนั่นคือ – การพัฒนาตนไปให้ถึงยังสถานอันสูงสุดของความเป็นมนุษย์ – และการไปถึงเป้าหมายดังกล่าว ทั้งสองจึงมีมาตรฐานอันเดียวกัน ซึ่งความต่างเรื่องเพศอันเป็นความจำเป็นของการสร้าง แทบจะไม่มีบทบาทอันใดทั้งสิ้นในการสร้าง หรือเพิ่มเติมศักยภาพและความสามารถดังกล่าวนั้น หรือคุณค่าในทางศาสนาเองก็มิได้มีบทบาทอันใดเช่นกัน ดังนั้น ความสมบูรณ์ของสตรีจึงมิได้อยู่ในฐานะภาพเดียวกันกับความสมบูรณ์ของบุรุษ หรือใช่ว่าบุรุษจะใช้ความเป็นเพศชาย มาควบคุมความเป็นสตรีก็หาไม่ดังนั้น ในทัศนะของอิสลาม :1.สตรี, จึงเป็นสถานที่ปรากฏความสวยงาม ความประณีต และความเงียบสงบ2.สตรี, คือที่มาแห่งความสงบมั่นของบุรุษ, ส่วนบุรุษนั่นเป็นสถานพำนักพักพิง ให้ความรับผิดชอบ และการเป็นผู้นำของสตรี
  • สถานะและบุคลิกภาพของซุรอเราะฮฺ ณ บรรดาอิมามเป็นอย่างไร?
    6831 تاريخ بزرگان 2555/05/17
    ซุรอเราะฮฺ เป็นหนึ่งในสหายของอิมามมะอฺซูม (อ.) ที่มีฐานะภาพและเกียรติยศอันยิ่งใหญ่ ณ อิมาม เขาถูกจัดว่าเป็นสหายอิจญฺมาอฺ หมายถึงความหน้าเชื่อถือ ความซื่อตรง และการพูดความจริงของเขา เป็นที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รับรู้กันดีในหมู่สหายของอิมาม (อ.) แม้ว่าจะมีรายงานกล่าววิจารณ์เขาอยู่บ้างก็ตาม, แต่เมื่อนำเอารายงานเหล่านั้นมารวมกันแล้ว สามารถสรุปให้เห็นถึงความถูกต้องของเขามากกว่า และจัดว่าเขาเป็นหนึ่งในสหายที่ยิ่งใหญ่ และมีเกียรติคนหนึ่งของอิมาม (อ.) ...
  • ประชาชนชาวเมืองกุมไม่ว่าจะกระทำผิดเพียงใดก็จะไม่ถูกลงโทษในไฟนรกกระนั้นหรือ?
    5848 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/11/21
    1.รายงานฮะดีซที่เกี่ยวข้องกับเมืองกุม, ที่ว่าประชาชนชาวกุมจะไม่ตกนรกนั้นไม่ถูกต้อง.2.การรู้จักมักคุ้นกับลูกหลานของท่านศาสดา (ซ็อล
  • ปรัชญาของการมีทาสในอิสลามคืออะไร? อิสลามมีวิธีการจัดการกับสิ่งเหล่าอย่างไร?
    12310 สิทธิและกฎหมาย 2555/08/22
    ถูกต้องบทบัญญัติเกี่ยวกับ การแต่งงานกับทาส, การเป็นมะฮฺรัมกับทาส, สัญญาซื้อขาย (ข้อตกลงที่จะปล่อยทาสเป็นไท) และ ...ได้ถูกกล่าวไว้ในอัลกุรอาน, การมีทาสได้รับการยืนยันว่ามีจริงในสมัยของท่านเราะซูล (ซ็อลฯ) และต้นยุคอิสลาม แต่จำเป็นต้องกล่าวว่าอิสลามมีโปรแกรมที่ละเอียดอ่อน และมีกำหนดเวลาในการปลดปล่อยทาสให้เป็นไท ซึ่งบั้นปลายสุดท้ายของทั้งหมดเหล่านั้นคือ การได้รับอิสรภาพเป็นไททั้งสิ้น ดังนั้นการเผชิญหน้าของอิสลามกับปัญหาเหล่านี้ จำเป็นต้องกล่าวถึงประเด็นสำคัญดังต่อไปนี้: 1-อิสลามมิเคยเริ่มต้นปัญหาเรื่องทาส 2-อิสลามถือว่าปัญหาชะตากรรม และความเจ็บปวดใจของทาสในอดีตที่ผ่านมาคือ ปัญหาความล้าหลังอันยิ่งใหญ่ของสังคม 3-อิสลามได้วางโครงการที่ละเอียดอ่อน เพื่อปลดปล่อยทาสให้เป็นไท, เนื่องจากครึ่งหนึ่งของพลเมืองในสมัยก่อนเป็นทาสทั้งสิ้น, พวกเขาไม่มีอิสรเสรีในการประกอบอาชีพการงาน, ไม่มีปัจจัยสำหรับการดำเนินชีวิตต่อไป.ถ้าหากอิสลามได้มีคำสั่งต่อสาธารณชนว่าให้ทั้งหมดปล่อยทาสให้เป็นไท, ซึ่งเป็นไปได้ว่าส่วนใหญ่ของพวกเขาจะต้องสูญเสียชีวิต หรือไม่ชนส่วนใหญ่ก็จะต้องว่างงานไร้อาชีพ หิวโหย ถูกกีดกัน และพวกเขาต้องได้รับแรงกดดันจนกระทั่งเข้าทำร้ายและโจมตีในทุกที่ การประจัญบาน การนองเลือด และการทำลายกฎระเบียบของสังคมก็จะทวีความรุนแรงขึ้น ด้วยเหตุนี้เอง อิสลามได้วางแผนการไว้อย่างละเอียด เพื่อดึงดูดสังคมให้ทาสเหล่านี้ได้รับอิสรภาพ และเป็นไทไปที่ละน้อย ซึ่งแผนการดังกล่าวมีองค์ประกอบหลายประการด้วยกัน ...
  • ความสำคัญและความพิเศษ และคำวิจารณ์หนังสือบิฮารุลอันวาร?
    7581 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2554/12/21
    กลุ่มฮะดีซจากหนังสือบิฮารุลอันวาร,ถือได้ว่าเป็นผลงานที่สำคัญที่สุดของอัลลามะฮฺมัจญิลิซซียฺ, หรืออาจกล่าวได้ว่าหนังสือเล่มนี้เป็นดาอิเราะตุลมะอาริฟฉบับใหญ่ของชีอะฮฺซึ่งได้รวบรวมเอาปัญหาศาสนาเกือบทั้งหมด,เช่นตัฟซีรกุรอาน, ประวัติศาสตร์, ฟิกฮฺ, เทววิทยา, และปัญหาอื่นๆอีกบางส่วนที่สำคัญที่สุดและเป็นความพิเศษของหนังสือบิฮารุลอันวารคือ:เริ่มต้นบทใหม่ทุกบทจะกล่าวถึงโองการอัลกุรอาน
  • ทั้งที่พจนารถของอิมามบากิรและอิมามศอดิกมีมากมาย เหตุใดจึงไม่มีการรวบรวมไว้ในหนังสือสักชุดหนึ่ง?
    6799 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2555/01/07
    หากจะพิจารณาถึงสังคมและยุคสมัยของท่านอิมามบากิร(อ.)และอิมามศอดิก(อ.)ก็จะเข้าใจได้ว่าเหตุใดจึงไม่มีการรวบรวมตำราดังกล่าวขึ้นอย่างไรก็ดีฮะดีษของทั้งสองท่านได้รับการรวบรวมไว้ในบันทึกที่เรียกว่า “อุศู้ลสี่ร้อยฉบับ” จากนั้นก็บันทึกในรูปของ”ตำราทั้งสี่” ต่อมาก็ได้รับการเรียบเรียงเป็นหมวดหมู่ฟิกเกาะฮ์ในหนังสือวะซาอิลุชชีอะฮ์กว่าสามสิบเล่มโดยท่านฮุรอามิลีแต่กระนั้นก็ต้องทราบว่าแม้ว่าฮะดีษของอิมามสองท่านดังกล่าวจะมีมากกว่าท่านอื่นๆก็ตามแต่หนังสือดังกล่าวก็มิได้รวบรวมเฉพาะฮะดีษของท่านทั้งสองแต่ยังรวมถึงฮะดีษของอิมามท่านอื่นๆอีกด้วย ทว่าปัจจุบันมีการเรียบเรียงหนังสือในลักษณะเจาะจงอยู่บ้างอาทิเช่นมุสนัดอิมามบากิร(อ.) และมุสนัดอิมามศอดิก(
  • ฮัมมาดะฮ์เป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย และมีบุคลิกอย่างไร?
    7473 تاريخ بزرگان 2555/03/08
    ตำราวิชาสายรายงานฮะดีษระบุว่ามีสตรีที่ชื่อ “ฮัมมาดะฮ์” สองคน คนหนึ่งชื่อ “ฮัมมาดะฮ์ บินติ เราะญาอ์” ส่วนอีกคนคือ “ฮัมมาดะฮ์ บินติ ฮะซัน” แต่สันนิษฐานว่าสองรายนี้คือคนๆเดียวกัน สุภาพสตรีท่านนี้เป็นสาวิกาของท่านอิมามศอดิก(อ.) ซึ่งกุลัยนีและเชคเศาะดู้กได้รายงานฮะดีษของอิมามศอดิกจากนาง[1] ท่านนะญาชีระบุว่าพี่ชายของนางชื่อซิยาด บิน อีซา อบูอุบัยดะฮ์ ฮิซาอ์ ส่วนเชคฏูซีระบุว่าพี่ชายของนางชื่อ เราะญาอ์ บิน ซิยาด จะเห็นได้ว่ามีทัศนะที่ขัดแย้งกันในเรื่องชื่อของพี่ชายและบิดาของนาง ทำให้เข้าใจได้ว่าน่าจะมีสตรีสองคนที่ชื่อฮัมมาดะฮ์ อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาถึงสำนวนของนะญาชีทำให้สามารถสันนิษฐานได้ว่าสองคนนี้แท้ที่จริงก็คือสตรีคนเดียวกัน เหตุผลที่นำมาชี้แจงก็คือ[2] อบูอุบัยดะฮ์ ฮิซาอ์ มีชื่อจริงว่า ซิยาด บิน อบีเราะญาอ์ (มิไช่แค่เราะญาอ์) ส่วนชื่อจริงของอบูเราะญาอ์คือ มุนซิร หรือซิยาด ผลที่ได้ก็คือ ...
  • คำพูดทั้งหมดของพระศาสดา (ซ็อล ฯ) ถือว่าเป็นวะฮฺยูหรือไม่?
    7865 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/21
    มุมมองของผู้เชี่ยวชาญ,ในประเด็นที่กำลังกล่าวถึงแตกต่างกันบางคนได้พิจารณาการตีความของโองการที่ 3,4 ของอัลกุรอานบทนัจมฺ[i]ซึ่งเชื่อว่าคำพูดทั้งหมดของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ตลอดจนการกระทำต่างๆของท่านมาจากวะฮฺยูทั้งสิ้นบางคนเชื่อว่าโองการที่ 4 ของบทอันนัจมฺนั้นกล่าวถึงอัลกุรอานกะรีมและบรรดาโองการต่างๆที่ประทานให้แก่ท่านศาสดา,แม้ว่าซุนนะฮฺ (แบบฉบับ) ของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) จะเป็นข้อพิสูจน์และเป็นเหตุผลก็ตามซึ่งคำพูดการกระทำและการนิ่งเฉยของท่านมิได้เกิดจากอารมณ์อย่างแน่นอนสิ่งที่เข้าใจได้จากสิ่งที่กล่าวถึงในตรงนี้คือสามารถกล่าวได้อย่างมั่นใจว่าทั้งความประพฤติและแบบอย่างของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) มิได้กระทำลงไปโดยปราศจากวะฮียฺอย่างแน่นอนดังเช่นคำพูดของท่านก็เป็นเช่นนี้ด้วยแม้ว่าจะเป็นคำพูดประจำวันคำพูดสามัญทั่วไปตลอดการดำรงชีวิตของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ก็ตามสิ่งนั้นก็จะไม่เกิดจากอารมณ์อย่างเด็ดขาดซึ่งตามความเป็นจริงแล้วเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้แน่นอนว่าท่านศาสดา (ซ็อลฯ) จะล่วงละเมิดกระทำความผิด[i]
  • ท่านอิมามฮุเซน(อ.)มีบุตรสาวชื่อรุก็อยยะฮ์หรือสะกีนะฮ์ไช่หรือไม่ ที่เสียชีวิตที่ดามัสกัสขณะอายุได้สามหรือสี่ขวบ?
    7410 تاريخ بزرگان 2554/12/21
    แม้ว่านักประวัติศาสตร์จะมิได้กล่าวถึงบุตรสาวตัวน้อยของอิมามฮุเซน(อ.) ที่มีนามว่ารุก็อยยะฮ์หรือฟาฏิมะฮ์ศุฆรอฯลฯแต่ตำราบางเล่มก็สาธยายเรื่องราวอันน่าเวทนาของเด็กหญิงคนนี้ณซากปรักหักพังในแคว้นชามเราพบว่ามีเบาะแสเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวปรากฏในตำราประวัติศาสตร์บางเล่มอาทิเช่นก. เมื่อท่านหญิงซัยนับ(ส.) ได้เห็นศีรษะของอิมามฮุเซน(อ.) ผู้เป็นพี่ชายนางได้รำพึงรำพันบทกวีที่มีเนื้อหาว่า “โอ้พี่จ๋าโปรดคุยกับฟาฏิมะฮ์น้อยสักนิดเถิดเพราะหัวใจนางกำลังจะสูญสลาย”

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60417 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    57988 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42516 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    39813 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    39167 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    34277 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    28327 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    28252 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    28186 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    26125 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...