การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
8193
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2554/11/24
 
รหัสในเว็บไซต์ fa1473 รหัสสำเนา 19085
คำถามอย่างย่อ
ฮะดีษนี้เศาะฮี้ห์หรือไม่? รายงานจากอิมามญะฟัร(อ.)ว่า "ก่อนท่านนบี(ซ.ล.)จะนอน ท่านจะแนบใบหน้าที่หว่างอกของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์(อ.)เสมอ" (บิฮารุลอันว้าร,เล่ม 43,หน้า 78)
คำถาม
ฮะดีษนี้เศาะฮี้ห์หรือไม่? รายงานจากอิมามญะฟัร(อ.)ว่า "ก่อนท่านนบี(ซ.ล.)จะนอน ท่านจะแนบใบหน้าที่หว่างอกของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์(อ.)เสมอ" (บิฮารุลอันว้าร,เล่ม 43,หน้า 78)
คำตอบโดยสังเขป

ฮะดีษแบ่งออกเป็นสองประเภท
.กลุ่มฮะดีษที่มีสายรายงานที่เชื่อถือได้ แข็งแรงและเศาะฮี้ห์
 กลุ่มฮะดีษที่มีสายรายงานที่ไม่น่าเชื่อถือ อ่อนแอและไม่เป็นที่รู้จัก.
ฮะดีษที่ยกมานั้น หนังสือบิฮารุลอันว้ารอ้างอิงจากหนังสือมะนากิ้บ ของอิบนิ ชะฮ์รอชู้บ แต่เนื่องจากไม่มีสายรายงานที่ชัดเจน จึงจัดอยู่ในกลุ่มฮะดีษที่ไม่น่าเชื่อถือ
แต่สมมติว่าฮะดีษดังกล่าวเศาะฮี้ห์ เราสามารถชี้แจงความไม่เหมาะสมของเนื้อหาได้ดังนี้
1.  ต้องคำนึงว่าท่านนบี(..)และอะฮ์ลุลบัยต์(.)ล้วนมีฐานะภาพที่สูงส่งและปราศจากราคะมลทิน ดังที่กุรอานก็กล่าวยืนยันความบริสุทธิของท่านเหล่านี้ไว้ในโองการ"ตัฏฮี้ร"
2.
ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์(.)มีคุณลักษณะเด่นที่แตกต่างจากบุตรีท่านอื่นๆของนบี(..) เนื่องจากท่านหญิงถือกำเนิดจากเหตุการณ์พิเศษที่เกิดขึ้นกับท่านนบี(..)
3.
สัมผัสที่เปี่ยมด้วยความรักและความเอื้ออาทรเป็นสิ่งที่พบเห็นได้ในครอบครัวทั่วไป ดังจะเห็นว่าลูกชายจะโอบกอดแม่ พ่อจะจุมพิตบุตรสาวหลังจากกลับมาจากการเดินทาง สัมผัสเหล่านี้ล้วนเกิดจากความความรู้สึกห่วงหา มิไช่กามารมณ์
4.
สันนิษฐานว่าอคติดังกล่าวเกิดจากการเข้าใจผิดคิดว่าท่านนบี(..)จุมพิตบริเวณที่กล่าวถึงโดยไม่มีอาภรณ์ปกปิด กรณีเช่นนี้ย่อมไม่เกิดขึ้นแน่นอน เนื่องจากปุถุชนคนทั่วไปก็รักษามารยาทและขอบเขตดังกล่าวตามปกติ การไม่ปกปิดบริเวณดังกล่าวย่อมเป็นเรื่องไม่เหมาะสมในแง่มารยาทขั้นพื้นฐานของครอบครัว เมื่อทราบดังนี้ ไฉนเราจึงจะมองปูชณียบุคคลอย่างอะฮ์ลุลบัยต์ในแง่ลบเช่นนั้น
สรุปก็คือ ในเมื่อสัมผัสอันเปี่ยมด้วยความรักและความเอ็นดูเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในทุกครัวเรือนตามปกติ ฉะนั้นหากท่านนบี(..)จะปฏิบัติกับบุตรีของตน (ตลอดจนกรณีอะฮ์ลุลบัยต์ท่านอื่นๆ) ก็มิไช่เรื่องแปลกประหลาด โดยเฉพาะเมื่อตระหนักว่าบุคคลเหล่านี้เป็นผู้ละซึ่งบาปกรรมทุกประการ

คำตอบเชิงรายละเอียด

โดยทั่วไป ฮะดีษจะแบ่งออกเป็นสองประเภท ประเภทแรกคือฮะดีษที่น่าเชื่อถือเนื่องจากมีสายรายงานชัดเจน ซึ่งจะใช้สำนวนเช่น เศาะฮี้ห์, แข็งแรง ...ฯลฯ ส่วนอีกประเภทคือฮะดีษที่ไม่น่าเชื่อถือ โดยจะใช้สำนวนเช่น ฎ่ออี้ฟ (อ่อน), มัจฮู้ล (ไม่ทราบที่มา) ...ฯลฯ
ก่อนที่บรรดาอุละมาอ์จะนำฮะดีษใดมาศึกษา จะต้องวิเคราะห์สายรายงานเสียก่อน เพื่อที่จะทราบสถานะของผู้รายงานว่ามีคุณสมบัติครบถ้วนหรือไม่ หากพบว่าสายรายงานน่าเชื่อถือพอ ก็จะคัดเลือกและนำไปศึกษาเชิงเนื้อหา เพื่อใช้วินิจฉัยปัญหาศาสนาต่อไป แต่หากฮะดีษใดมีสายรายงานที่ไม่ต่อเนื่อง หรือมีสายรายงานที่อ่อนแอ ถือว่าฮะดีษดังกล่าวไม่น่าเชื่อถือ และอุละมาอ์จะไม่นำมาใช้อ้างอิงใดๆทั้งสิ้น

ฮะดีษนี้ปรากฏอยู่ในหนังสือบิฮารุลอันว้าร ซึ่งรายงานจากหนังสือมะนากิ๊บ อาลิอบีฏอลิบ ประพันธ์โดยอิบนิ ชะฮ์รอชู้บ

ตัวบทฮะดีษมีดังนี้

 "انه کان النبی (ص) لاینام حتی یقبل عرض وجه فاطمة و یضع وجهه بین ثدیی فاطمة و یدعولها، و فی روایة: حتی یقبل عرض وجنة فاطمة او بین ثدییها"

"รายงานจากอิมามบากิร(.)และอิมามศอดิก(.)ว่า:  ท่านนบี(..)จะไม่นอนจนกว่าจะจุมพิตใบหน้าของฟาฏิมะฮ์(.)และแนบใบหน้าของท่าน  หว่างอกของเธอ จากนั้นจึงดุอาให้เธอ" อีกฮะดีษกล่าวว่า "...จนกว่าจะจุมพิตที่ใบหน้าหรือหว่างอกของเธอ" [1]
ท่านชะฮ์รอชู้บกล่าวไว้ในอารัมภบทของหนังสือมะนากิ๊บว่า "ฉันได้รวบรวมฮะดีษในหนังสือเล่มนี้จากมิตรสหายและจากพี่น้องซุนหนี่" เขาได้ระบุสายรายงานของตำราอ้างอิงต่างๆที่ใช้ในการประพันธ์หนังสือของตน ไม่ว่าจะเป็นตำราซุนหนี่หรือชีอะฮ์

แต่กรณีของฮะดีษนี้ เขาไม่ได้ระบุสายรายงานใดๆ แต่กลับรายงานในลักษณะ"มุรซั้ล"(ข้ามสายรายงาน) ฉะนั้น จึงไม่สามารถเชื่อถือได้ร้อยเปอร์เซ็นต์

อย่างไรก็ดี สมมติว่าฮะดีษบทนี้เป็นฮะดีษเศาะฮี้ห์ ก็ต้องพิจารณาถึงข้อจำกัดต่อไปนี้ด้วย
1. ท่านนบี(..)และบรรดาอะฮ์ลุลบัยต์ล้วนมีสถานภาพอันสูงส่งโดยเฉพาะคุณสมบัติทางจิตวิญญาณ จึงไม่ควรจะนำไปเปรียบเทียบกับตาสีตาสาทั่วไป กุรอานได้ยืนยันถึงความบริสุทธิผุดผ่องอันไร้เทียมทานของบุคคลเหล่านี้ไว้ในโองการ"ตัฏฮี้ร"ที่ว่า 

انما یرید الله لیذهب عنکم الرجس اهل البیت و یطهرکم تطهیراً

"แท้จริงพระองค์ทรงประสงค์ที่จะเปลื้องมลทินจากสูเจ้า โอ้ อะฮ์ลุลบัยต์ และชำระสูเจ้าให้สะอาดบริสุทธิ์" [2]
สำนวน "อินนะมา"ในภาษาอรับ จะใช้เพื่อจำกัดประเด็นใดประเด็นหนึ่งเป็นการเฉพาะ จึงแสดงว่ามหากรุณาธิคุณดังกล่าว(การชำระมลทิน)มีไว้เพื่อวงศ์วานนบี(..)เท่านั้น ด้วยเหตุนี้ ท่านเหล่านี้จึงสังวรตนเองกระทั่งพ้นจากบาปกรรมด้วยพระประสงค์ของอัลลอฮ์และความยำเกรงที่ตนมี

คำว่า"ริจส์" หมายถึงมลทินทั้งปวง ไม่ว่าจะมลทินในแง่รสนิยมมนุษย์ สติปัญญา หรือบทบัญญัติศาสนาก็ตาม
คำว่า"ตัฏฮี้ร" หมายถึงการชำระให้สะอาด ซึ่งเป็นการเน้นย้ำถึงการขจัดมลทินนั่นเอง
ส่วนคำว่า"อะฮ์ลุลบัยต์" ตามทัศนะของอุละมาอ์และนักตัฟซี้รทั่วไปหมายถึงวงศ์วานของท่านนบี(..) ซึ่งตำราของทั้งฝ่ายซุนหนี่และชีอะฮ์ล้วนระบุว่าเป็นบุคคลห้าท่านดังต่อไปนี้ : ท่านนบี(..),ท่านอิมามอลี(.), ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์(.), ท่านอิมามฮะซัน(.) และท่านอิมามฮุเซน(.) ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในนาม "ค็อมซะฮ์ ฏ็อยยิบะฮ์"(ห้าผู้บริสุทธิ์) และ "อัศฮาบุ้ลกิซาอ์"(ชาวผ้าคลุม)
อายะฮ์ตัฏฮี้รถือเป็นหลักฐานที่บ่งบอกถึงสภาวะไร้บาปของท่านนบี(..)และบรรดาอะฮ์ลุลบัยต์(.)ได้อย่างชัดเจน ทั้งนี้ก็เนื่องจากบาปทุกประเภทจัดอยู่ในประเภทของ"มลทิน"ทั้งสิ้น[3]

ในบทซิยารัตอันเลอค่าอย่าง"ญามิอะฮ์ กะบีเราะฮ์"ระบุว่า 

عصمکم الله من الزلل و آمنکم من الفتن و طهرکم من الدنس و اذهب عنکم الرجس و طهرکم تطهیراً

"อัลลอฮ์ทรงปกปักษ์พวกท่านให้พ้นจากความสั่นคลอนและฟิตนะฮ์ และทรงชำระพวกท่านให้สะอาดจากพฤติกรรมสกปรก และขจัดมลทินจากพวกท่านและชำระให้บริสุทธิ์[4]

2. ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์(.)มีฐานะภาพที่โดดเด่นที่สุดในบรรดาบุตรีของท่านนบี(..) ทั้งนี้ก็เนื่องจากเธอมีจุดเด่นทั้งในแง่ของการประสูติและการเลี้ยงดู
มีฮะดีษที่อิบนิ ชะฮ์รอชู้บบันทึกไว้โดยมีสายรายงานหลายสายด้วยกัน กล่าวว่า :
อบูอุบัยดะฮ์ ค็อดดา และท่านอื่นๆรายงานจากท่านอิมามศอดิก(.)ว่า ท่านนบี(..)มักจะจุมพิตฟาฏิมะฮ์เป็นประจำ ภรรยาของท่านบางคนท้วงติงพฤติกรรมดังกล่าวของท่าน ท่านนบี(..)ตอบว่า "เมื่อครั้งที่ฉันขึ้นเมี้ยะรอจ ญิบรออีลได้จูงมือฉันให้เข้าสู่สรวงสวรรค์ และได้มอบอินทผลัมเม็ดหนึ่งให้ (บางรายงานระบุว่าเป็นผลแอปเปิ้ล) หลังจากที่ฉันรับประทาน มันก็กลายเป็นอสุจิที่อยู่ในไขสันหลังของฉัน เมื่อกลับสู่พื้นดิน ฉันได้ร่วมหลับนอนกับคอดีญะฮ์ นางได้ตั้งครรภ์ฟาฏิมะฮ์ ฉะนั้นจึงกล่าวได้ว่าฟาฏิมะฮ์คือนางสวรรค์ที่อยู่ท่ามกลางมนุษย์ปุถุชน และเมื่อใดที่ฉันหวลรำลึกถึงกลิ่นอายสรวงสวรรค์ ฉันก็จะหอมลูกสาวของฉัน"[5]

จะเห็นได้ว่าสัมพันธภาพระหว่างท่านนบี(..)และท่านหญิงฟาฏิมะฮ์(.)แน่นแฟ้นเพียงใด และนี่คือเหตุผลที่ท่านแสดงออกถึงความผูกพันได้เพียงนี้

3. สิ่งที่สัมผัสได้ในวิถีชีวิตของผู้ที่มีวุฒิภาวะทั่วไปก็คือ ความผูกพันระหว่างสมาชิกครอบครัว อันปราศจากกามารมณ์ ไม่ว่าจะเป็นการมอง การจับต้อง หรือแม้แต่การจุมพิต ตัวอย่างเช่นกรณีการจุมพิตแม่ น้องสาว หรือลูกสาวที่กลับมาจากพิธีฮัจย์หรือเยี่ยมเยียนกุโบร์ของนบี(..) และบรรดาอิมาม(.) แน่นอนว่าการจุมพิตเช่นนี้ย่อมมีจุดประสงค์เพื่อรับบะเราะกัตและผลบุญเท่านั้น
หรือกรณีที่บางคนมีลูกที่หน้าตาน่ารัก มีมารยาทงดงาม หากพ่อแม่จะหอมลูกคนนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าและรู้สึกผูกพันกับลูกคนนี้เป็นพิเศษก็มิไช่เรื่องแปลก เนื่องจากเป็นสัมพันธภาพฉันพ่อแม่ลูกที่พบเห็นได้ทั่วไปในครอบครัวต่างๆ โดยที่ไม่มีใครคิดจะตำหนิพ่อแม่ที่กระทำเช่นนี้กับลูกของตน

4. สันนิษฐานว่าอคติดังกล่าวเกิดจากการเข้าใจผิดคิดว่าท่านนบี(..)จุมพิตบริเวณหว่างอกโดยไม่มีอาภรณ์ปกปิด กรณีเช่นนี้ย่อมไม่เกิดขึ้นแน่นอน เนื่องจากปุถุชนคนทั่วไปก็มักจะรักษามารยาทและขอบเขตดังกล่าวตามปกติ การไม่ปกปิดบริเวณดังกล่าวย่อมเป็นเรื่องไม่เหมาะสมในแง่มารยาทขั้นพื้นฐานของครอบครัว เมื่อทราบดังนี้ ไฉนเราจึงจะมองปูชณียบุคคลอย่างอะฮ์ลุลบัยต์ในแง่ลบเช่นนั้น
ในเมื่อสัมผัสอันเปี่ยมด้วยความรักและเอ็นดูเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตามปกติในครอบครัว ฉะนั้นในกรณีของปูชณียบุคคลผู้ปราศจากบาปอย่างท่านนบี(..) และอะฮ์ลุลบัยต์(.)ก็มิไช่เรื่องแปลกประหลาดแต่อย่างใด

อย่างไรก็ดี หากปูชณียบุคคลผู้ปราศจากบาปเหล่านี้จะมีวัตรปฏิบัติเช่นที่กล่าวมา นั่นก็เป็นเพราะท่านเหล่านั้นมีเหตุผลรองรับ ซึ่งแน่นอนว่าเหตุผลดังกล่าวสามารถชี้แจงฮะดีษที่มีเนื้อหาดังที่ถามมาได้อย่างแน่นอน



[1] อิบนิ ชะฮ์รอชู้บ,อัลมะนากิ๊บ,เล่ม 3,หน้า 334, และ บิฮารุลอันว้าร,เล่ม 43,หน้า 42

[2] อะห์ซาบ,33

[3] ตัฟซี้รเนมูเนะฮ์,เล่ม 17,หน้า 292

[4] มะฟาตีฮุ้ลญินาน,หน้า 902

[5] อัลมะนากิ๊บ,เล่ม 3,หน้า 334

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • วะฮฺยูคืออะไร ประทานลงมาแก่ศาสดาอย่างไร
    21406 อัล-กุรอาน 2553/10/21
    วะฮฺยู (วิวรณ์) "ในเชิงภาษาความถึง การบ่ชี้อย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจเป็นไปได้ที่เป็นชนิดหนึ่งของคำ หรือเป็นรหัสหรืออาจเป็นเสียงอย่างเดียวปราศจากการผสม หรืออาจเป็นการบ่งชี้และสิ่งที่คล้ายคลึงกัน ความหมายและการนำไปใช้ที่แตกต่างกันของคำนี้ในพระคัมภีร์กุรอาน ทำให้เราได้พบหลายประเด็นที่สำคัญ : อันดับแรก วะฮฺยูไม่ได้เฉพาะพิเศษสำหรับมนุษย์เท่านั้น ทว่าหมายรวมถึงพืช สัตว์ และสิ่งไม่มีชีวิตอื่นด้วย .... (วะฮฺยู เมื่อสัมพันธ์ไปยังสิ่งมีชีวิตก็คือ การชี้นำอาตมันและสัญชาติญาณ หรือเรียกอีกอย่างว่าเป็นการชี้นำในเชิงตักวีนีของพระเจ้า เพื่อชี้นำพวกเขาไปยังเป้าหมายของพวกเขา) แต่ระดับชั้นที่สูงที่สุดของวะฮฺยู เฉพาะเจาะจงสำหรับบรรดาศาสดา และหมู่มวลมิตรของพระองค์เท่านั้น ซึ่งจุดประสงค์ในที่นี้หมายถึง การดลความหมายนบหัวใจของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) หรือการสนทนาของพระเจ้ากับท่านเหล่านั้น บทสรุปก็คือโดยหลักการแล้วการดลอื่นๆ ...
  • มีดุอาอฺขจัดความเกลียดคร้านและความเฉื่อยชาบ้างไหม?
    11763 จริยธรรมปฏิบัติ 2555/05/17
    ภารกิจบางอย่างที่คำสอนศาสนาปฏิเสธไม่ยอมรับคือ ความเกลียดคร้านและความเฉื่อยชา, บรรดาอิมามมะอฺซูม (อ.) กล่าวตำหนิคุณสมบัติทั้งสองนี้ และขอความคุ้มครองจากพระเจ้าให้พ้นไปจากทั้งสอง ดังจะเห็นว่าบทดุอาอฺบางบทจากบรรดาอิมามผู้บริสุทธิ์ (อ.) ได้กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้ เช่น : 1. มุสอิดะฮฺ บุตรของ ซิดเกาะฮฺ กล่าวว่า : ฉันได้วอนขอให้ท่านอิมามซอดิก (อ.) ดุอาอฺต่ออัลลอฮฺเกี่ยวกับภารกิจการงานใหญ่ๆ ท่านอิมาม (อ.) กล่าวว่า ฉันจะสอนดุอาอฺของคุณปู่ของฉันท่านอิมามซัจญาด (อ.) แก่เธอ ซึ่งดุอาอฺของท่านอิมามซัจญาด (อ.) ได้วอนขอความคุ้มครองต่ออัลลอฮฺ เพื่อให้พ้นไปจากความความเกลียดคร้าน กล่าวว่า : : "...وَ أَعُوذُ بِكَ مِنَ ...
  • ในสังคมอิสลามมีสตรีศึกษาในสถาบันศาสนาแล้วถึงขั้นมุจญฺตะฮิดมีบ้างหรือไม่?
    6386 تاريخ بزرگان 2554/09/25
    การให้ความร่วมมือกันของนักปราชญ์และนักวิชาการอิสลาม, ประกอบกับเป็นข้อบังคับเหนือตัวมุสลิมทั้งชายและหญิง, สิ่งนี้กลายเป็นสาเหตุทำให้สตรีได้เข้าศึกษาศาสนาจนถึงระดับชั้นของการอิจญฺติฮาดหรือมุจญตะฮิดตัวอย่างสุภาพสตรีที่ศึกษาถึงขั้นอิจญฺติฮาดมุจญฺตะฮิดะฮฺอะมีนเสียชีวิตในปีฮ.ศ. 1403 (1362) หรือมุจญฺตะฮิดะฮฺซะฟอตียฺซึ่งปัจจุบันท่านยังเป็นอาจารย์สอนหนังสือในสถาบันสอนศาสนาเฉพาะสตรีซึ่งสองท่านนี้ถือได้ว่าเป็นตัวอย่างของสตรีที่ประสบความสำเร็จสูง ...
  • เมืองมะดีนะถูกสร้างขึ้นเมื่อใด?
    10729 ประวัติสถานที่ 2557/02/16
    นครมะดีนะฮ์ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของคาบสมุทรอรับ และตั้งอยู่ทางทิศเหนือของนครมักกะฮ์อันทรงเกียรติ โอบล้อมด้วยหินกรวดทางทิศตะวันออกและตะวันตก เมืองนี้มีภูเขาหลายลูก อาทิเช่น ภูเขาอุฮุดทางด้านเหนือ ภูเขาอัยร์ทางใต้ ภูเขาญะมะรอตทางทิศตะวันตก มะดีนะฮ์มีหุบเขาในเมืองสามแห่งด้วยกัน คือ 1. อะกี้ก 2. บัฏฮาต 3. เกาะน้าต[1] เกี่ยวกับการสถาปนานครมะดีนะฮ์นั้น สามาถวิเคราะห์ได้สองช่วง 1. ก่อนยุคอิสลาม 2. หลังยุคอิสลาม 1. ก่อนยุคอิสลาม กล่าวกันว่าภายหลังจากเหตุการณ์น้ำท่วมโลกในยุคของท่านนบีนู้ห์ (อ.) มีผู้อยู่อาศัยในนครยัษริบ (ชื่อเดิมของมะดีนะฮ์) สี่กลุ่มด้วยกัน 1.1. ลูกหลานของอะบีล ซึ่งเป็นผู้รอดชีวิตจากสำเภาของท่านนบีนูห์ที่เทียบจอด ณ ภูเขาอารารัต ได้ตั้งถิ่นฐาน ณ เมืองยัษริบ ซึ่งเมืองยัษริบเองก็มาจากชื่อของบรรพชนรุ่นแรกที่ตั้งรกราก นามว่า ยัษริบ บิน อะบีล บิน เอาศ์ ...
  • อิบนิอะเราะบีมีทัศนะเกี่ยวกับอิมามมะฮ์ดี(อ.)อย่างไรบ้าง?
    7005 تاريخ بزرگان 2554/07/16
     หากได้ศึกษาผลงานของอิบนิอะเราะบีก็จะทราบว่าเขามีความคิดเห็นเกี่ยวกับอิมามมะฮ์ดี(อ.)อย่างไร อิบนิอะเราะบีกล่าวไว้ในหนังสือ“ฟุตูฮาตอัลมักกียะฮ์”บทที่ 366 (เกี่ยวกับกัลญาณมิตรและมุขมนตรีของอิมามมะฮ์ดีในยุคสุดท้าย)ว่า“อัลลอฮ์ทรงกำหนดไว้ซึ่งตัวแทนซึ่งยังมีชีวิตอยู่ท่านจะเผยกายในยุคสมัยที่โลกนี้คราคร่ำไปด้วยการกดขี่และอบายมุขท่านจะเติมเต็มความยุติธรรมแก่โลกทั้งผองและแม้ว่าโลกนี้จะเหลืออายุขัยเพียงวันเดียวอัลลอฮ์ก็จะขยายวันนั้นให้ยาวนานจนกว่าท่านจะขึ้นปกครองท่านสืบเชื้อสายจากท่านรอซู้ล(ซ.ล.) และฮุเซนบินอลี(อ.)คือปู่ทวดของท่าน”อิบนิอะเราะบีมีตำราเล่มหนึ่งที่ชื่อว่า “อัลวิอาอุ้ลมัคตูมอะลัซซิรริลมักตูม”ซึ่งเนื้อหาในนั้นล้วนเกี่ยวกับอิมามมะฮ์ดีในฐานะผู้ปกครองเหนือเงื่อนไขใดๆท่านสุดท้ายและยังกล่าวถึงเหตุการณ์ช่วงการเผยกายของท่านอีกด้วยทัศนะของอิบนิอะเราะบีมีส่วนคล้ายคลึงชีอะฮ์เป็นอย่างยิ่งดังที่เขายืนยันว่า“ท่านมะฮ์ดี(อ.)คือบุตรของท่านฮะซันอัลอัสกะรี(อ.) ถือกำเนิดกลางเดือนชะอ์บานในปี255ฮ.ศ. และท่านจะยังมีชีวิตอยู่ตราบจนท่านนบีอีซาเข้าร่วมสมทบกับท่าน”นอกจากนี้อิบนิอะเราะบียังเชื่อว่าอิมามมะฮ์ดีอยู่ในสถานะผู้ปราศจากบาปกรรมและเชื่อว่าความรู้ของอิมามมะฮ์ดี(อ.)ได้รับมาจากการดลใจของพระองค์. ...
  • จะเชิญชวนชาวคริสเตียนให้รู้จักอิสลามด้วยรหัสยนิยมอิสลาม(อิรฟาน)ได้อย่างไร?
    10714 รหัสยทฤษฎี 2554/08/14
    คุณสามารถกระทำได้โดยการแนะนำให้รู้จักคุณสมบัติเด่นของอิรฟาน(รหัสยนิยมอิสลาม) และเล่าชีวประวัติของบรรดาอาริฟที่มีชื่อเสียงของอิสลามและสำนักคิดอะฮ์ลุลบัยต์1). อิรฟานแบ่งออกเป็นสองประเภทด้วยกันอิรฟานเชิงทฤษฎีและอิรฟานภาคปฏิบัติเนื้อหาหลักของวิชาอิรฟานเชิงทฤษฎีก็คือก. แจกแจงเกี่ยวกับแก่นเนื้อหาของเตาฮี้ด(เอกานุภาพของอัลลอฮ์)ข. สาธยายคุณลักษณะของมุวะฮ์ฮิด(ผู้ยึดถือเตาฮี้ด)ที่แท้จริงเตาฮี้ดในแง่อิรฟานหมายถึงการเชื่อว่านอกเหนือจากพระองค์แล้วไม่มีสิ่งใดที่“มีอยู่”โดยตนเองทั้งหมดล้วนเป็นภาพลักษณ์ของอัลลอฮ์ในฐานะทรงเป็นสิ่งมีอยู่เพียงหนึ่งเดียวทั้งสิ้น
  • จุดประสงค์ของประโยคที่อัลกุรอาน กล่าว่า “สตรีคือไร่นาของบุรุษ” หมายถึงอะไร?
    10731 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/09/08
    ความหมายของประโยคดังกล่าวที่ว่า “สตรีคือไร่นาของบุรุษ” หมายถึงเป็นการอุปมาสตรีเมื่อสัมพันธ์ไปยังสังคมมนุษย์ ประหนึ่งไร่นาของสังคมมนุษย์นั่นเอง ดั่งประที่ประจักษ์ว่าถ้าหากสังคมปราศจากซึ่งไร่นาแล้วไซร้ พืชพันธ์ธัญญาหาร ต่างๆ ก็จะไม่มีและสูญเสียจนหมดสิ้น สังคมจะปราศจากซึ่งอาหาร สำหรับการดำรงชีพ เวลานั้นพงศ์พันธ์ของมนุษย์ก็จะไม่มีหลงเหลือสืบต่อไปอีกเช่นกัน ดังนั้น ถ้าหากโลกนี้ไม่มีสตรี เผ่าพันธุ์มนุษย์ก็ไม่อาจสืบสานสายตระกูลต่อไปอีกได้ เชื้อสายมนุษย์จะสิ้นสุดลงในที่สุด[1] ตามความเป็นจริงแล้ว อัลกุรอาน ต้องการที่จะแสดงให้สังคมได้เห็นว่า การมีอยู่ของสตรีนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อสังคม อย่าเข้าใจผิดว่าสตรีคือที่ระบายความใคร่ หรือกามรมย์ของบุรุษแต่เพียงอย่างเดียว ดังที่บางสังคมเข้าใจเช่นนั้น พวกเขาจึงใช้สตรีไปในวิถีทางที่ผิด ฉะนั้น อัลกุรอานต้องการแสดงให้เห็นว่า ความน่ารักของสตรีมิใช่ที่ระบายตัณหาราคะของผู้ชาย ทว่าพวกนางคือสื่อสำหรับปกป้องเผ่าพันธุ์มนุษย์ให้ดำรงสืบต่อไป[2] ดังนั้น โองการข้างต้นคือตัวอธิบายให้เห็นถึงความสัมพันธ์อันลึกซึ้งระหว่างบุรุษและสตรี ดั่งเช่นที่ไร่นาสาโทถ้าปราศจากเมล็ดพันธ์พืช จะไม่มีประโยชน์อันใดอีกต่อไป ในทำนองเดียวกันเมล็ดพันธ์ ถ้าปราศจากไร่นาก็ไม่มีประโยชน์เช่นกัน มีคำพูดกล่าวว่า จากโองการข้างต้นเข้าใจความหมายได้ว่า หน้าที่ของบุรุษคือ ต้องใส่ใจและดูแลภรรยาของตนอย่างดี เพื่อการได้รับประโยชน์ และขณะเดียวกันก็เป็นการสร้างประโยชน์ให้เกิดแก่สังคม
  • การนำเอาเด็กเล็กไปร่วมงานอ่านฟาติฮะฮฺ ณ กุบูร เป็นมักรูฮฺหรือไม่?
    6601 จริยธรรมปฏิบัติ 2555/05/17
    การนำเด็กๆ เข้าร่วมในมัจญฺลิซ งานประชุมศาสนา พิธีกรรมทางศาสนา, การนำเด็กๆ ไปมัสญิด, หรือพิธีกรรมรำลึกถึงท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) ในเดือนมุฮัรรอม หรืองานเทศกาลอื่นๆ ทางศาสนา, เช่น เข้าร่วมนมาซอีดฟิฏร์ อีดกุรบาน หรือพิธีกรรมต่างๆ ทางศาสนา เพื่อเป็นการกระตุ้นความรักผูกพันกับศาสนาของพวกเขา ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีมีประโยชน์อย่างยิ่ง ส่วนการนำเด็กๆ ไปร่วมพิธีอ่านฟาติฮะฮฺ ณ สถานฝังศพ ซึ่งได้ค้นหารายงานจากตำราต่างๆ ด้านฟิกฮฺอิสลามแล้ว ไม่พบรายงานที่ระบุว่าการกระทำดังกล่าวเป็นมักรูฮฺ ถ้าหากมีรายงานหรือเหตุผลอันเฉพาะเจาะจงจากสามีหรือภรรยาของคุณ กรุณาชี้แจงรายละเอียดมากกว่านี้แก่เราเพื่อเป็นประโยชน์สำหรับการค้นคว้าต่อไป ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับคำถามของคุณ สามารถกล่าวสรุปได้ดังนี้ : 1.รายงานที่กล่าวถึงผลบุญในการกล่าวแสดงความเสียใจกับเจ้าของงาน และการไปยังสถานฝังศพ เป็นรายงานทั่วไปกว้างๆ แน่นอนย่อมครอบคลุมถึงเด็กและเยาวชนด้วย 2.จากแนวทางการปฏิบัติของรรดาอิมามมะอฺซูม (อ.) ...
  • วจนะอันหนักอึ้งในโองการ إِنَّا سَنُلْقِی عَلَیْکَ قَوْلاً ثَقِیلاً (อัลมุซซัมมิล: 5) หมายถึงอะไร?
    8990 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/18
    วจนะอันหนักอึ้งในโองการ إِنَّا سَنُلْقِی عَلَیْکَ قَوْلاً ثَقِیلاً หมายถึงกุรอาน แม้ว่านักอรรถาธิบายจะตีความคำว่าวจนะอันหนักอึ้งแตกต่างกันไปตามแต่ละแง่มุมของโองการ แต่สันนิษฐานว่าความเป็นวจนะอันหนักอึ้ง (อันหมายถึงกุรอานอย่างมิต้องสงสัย)  เกิดจากแง่มุมต่างๆอันได้แก่ ความหนักอึ้งในแง่เนื้อหาโองการ ในแง่การแบกรับด้วยหัวใจ ในแง่การเผยแพร่คำสอน ในแง่การวางแผนและปฏิบัติ ฯลฯ ...
  • มีวิธีใดบ้างที่จะทำให้สามีภรรยาเข้าใจกันและกัน
    8344 จริยธรรมทฤษฎี 2555/09/15
    ความซื่อสัตย์คือต้นทุนที่สำคัญที่สุดของชีวิตคู่ ในทางตรงกันข้าม ภัยคุกคามที่ร้ายแรงที่สุดที่ก่อให้เกิดความร้าวฉานระหว่างคู่รักก็คือความไม่ไว้วางใจและการหลอกลวงกัน จากที่คุณถามมา พอจะสรุปได้ว่าคุณสองคนขาดความไว้วางใจต่อกัน ขั้นแรกจึงต้องทำลายกำแพงดังกล่าวเสียก่อน วิธีก็คือ จะต้องหาต้นตอของความไม่ไว้วางใจให้ได้ แล้วจึงสะสางให้เป็นที่พึงพอใจทั้งสองฝ่าย ซึ่งหากเสริมสร้างความไว้วางใจได้สำเร็จ ไม่ว่าคุณไสยหรือเวทมนตร์คาถาใดๆก็ไม่อาจจะทำลายความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับภรรยาได้อีก ...

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60321 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    57858 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42420 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    39679 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    39085 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    34166 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    28202 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    28145 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    28071 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    26023 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...