การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
10909
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2553/12/22
 
รหัสในเว็บไซต์ fa2235 รหัสสำเนา 11563
คำถามอย่างย่อ
ความตายคืออะไร และเราสามารถยึดเวลาความตายออกไปได้ไหม ?
คำถาม
ความตายคืออะไร และเราสามารถยึดเวลาความตายออกไปได้ไหม ?
คำตอบโดยสังเขป

ความตายในทัศนะของนักปรัชญาอิสลามหมายถึง จิตวิญญาณได้หยุดการบริหารและแยกออกจากร่างกาย แน่นอน ทัศนะดังกล่าวนี้ได้สะท้อนมาจากอัลกุรอานและรายงาน ซึ่งตัวตนของความตายไม่ใช่การสูญสิ้น

ส่วนในหลักการของอิสลามมีการตีความเรื่องความตายแตกต่างกันออกไป ซึ่งทั้งหมดมีจุดคล้ายเหมือนกันอยู่ประการหนึ่ง กล่าวคือความตายไม่ใช่ความสูญสิ้น หรือดับสูญแต่อย่างใด ทว่าหมายถึงการเปลี่ยนหรือการโยกย้ายจากบ้านหลังหนึ่งไปยังบ้านอีกหลังหนึ่ง เนื่องจากมนุษย์นั้นประกอบไปด้วยร่างกายและจิตวิญญาณ อีกอย่างหนึ่งความตายเท่ากับเป็นหยุดการทำงานของร่างกายภายนอก ส่วนจิตวิญญาณได้โยกย้ายเปลี่ยนไปอยู่ยังปรโลก ด้วยเหตุนี้ ความตายจึงได้ถูกสัมพันธ์ไปยังมนุษย์

ความตาย คือการรับมอบจิตวิญญาณโดยมลักผู้ควบคุมความตาย เหมือนการนอนหลับ ดังนั้น ความตายจึงเหมือนการนอนหลับที่ยาวนาน เป็นการตายในชั่วขณะหนึ่ง ฉะนั้น ความตายจึงไม่ใช่ความสูญสิ้นหรือการดับสลาย ความตายเสมือนเป็นการเกิดใหม่อีกครั้งจากครรภ์ของธรรมชาติ ซึ่งผลของการเกิดใหม่นี้ได้ทำให้เขาเข้าไปสู่อีกโลกหนึ่ง ซึ่งไม่อาจเปรียบเทียบได้กับโลกธรรมชาติ เหมือนโลกแห่งมดลูกที่ไม่สามารถเทียบเคียงกับโลกธรรมชาติได้

ความตายคือ สะพานทอดข้ามผ่านทาง ซึ่งหากเดินข้ามไปได้จะทำให้เขาพบกับสิ่งใหม่ และช่วยให้รอดพ้นจากความยากลำบากทั้งปวง นั่นหมายถึงเขาได้พัฒนาบ้านแห่งโลกนี้ให้เจริญก้าวหน้า ขณะเดียวกันก็ไม่ได้ทำลายปรโลกให้สูญสิ้นไป

ส่วนคำตอบสำหรับคำถามที่ว่า มนุษย์สมารถยืดระยะเวลาความตายให้ล่าช้าออกไปได้หรือไม่ : สามารถกล่าวได้ว่ารายงานและโองการอีกหลายโองการ บอกให้เราได้รู้จักกาลเวลาใน 2 ลักษณะกล่าวคือ ความตายที่รอ กับความตายแน่นอน ซึ่งในรายงานและโองการได้กล่าวด้วยนามอื่น

"ความตายที่รอเวลา" สำหรับทุกคนหมายถึง เขาได้ใช้เวลาอยู่บนโลกนี้ตามความเหมาะสมแล้ว แต่การรอเวลานั้นสามารถยืดหยุ่นให้ยาวออกไปหรือสั้นลงได้ ตัวอย่างเช่น การทำความดีกับเครือญาติหรือการให้ทาน สิ่งเหล่านี้สามารถยืดความตายให้ยาวนานออกไปได้ ขณะเดียวกันการไม่ทำดีกับผู้ปกครอง หรือการตัดสายสัมพันธ์ทางเครือญาติ สิ่งเหล่านี้เท่ากับเป็นการเร่งความตายให้เร็วขึ้น และนี่ก็คือความตายที่บันทึกไว้ในเลาฮุนมะฮฺฟูซ

ส่วน ความตายแน่นอน คือความตายที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ดังที่กล่าวไว้ในอัลกุรอาน

คำตอบเชิงรายละเอียด

ตามหลักการของอิสลาม มีการให้ความหมายความตายแตกต่างกันออกไปตามความเป็นจริง ซึ่งแต่ละคนก็ให้ความหมายอันเป็นแก่แท้ของความตายด้วยกันทั้งสิ้น แต่ก่อนที่จะพิจารณาอัลกุรอานและรายงาน จะกล่าวถึงบทนำซึ่งเป็นทัศนะของนักปราชญ์บางท่านในสายปรัชญา ที่แสดงทัศนะเกี่ยวกับความตายไว้ดังนี้

บูอะลี ซีนา กล่าวว่า ความตายไม่ใช่สิ่งใดอื่นเกินเลยไปจาก การที่จิตวิญญาณครั้งหนึ่งได้ใช้เครื่องมือและอุปกรณ์ต่างๆ แต่บัดนี้มันได้ละทิ้งทั้งหมดแล้ว จุดประสงค์ของอุปกรณ์และสื่อหมายถึง, อวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกายซึ่งทั้งหมดรวมเรียกว่าร่างกาย[1]

มัรฮูมมุลลา ซ็อดรอ อธิบายว่า : ความตายคือการแยกจากกันของร่างกายและจิตวิญญาณ ซึ่งจิตวิญญาณได้ก้าวไปสู่ขั้นตอนของการเคลื่อนไหวในลักษณะที่เป็นภาวะนามธรรม ซึ่งต่อไปนี้ไม่ต้องอาศัยอุปกรณ์และสื่ออย่างอื่นจากร่างกายอีกต่อไป ร่างกายเปรียบเสมือนเป็นเรือที่จิตวิญญาณได้โดยสาร เพื่อเดินทางไปสู่พระเจ้าซึ่งจิตวิญญาณได้อาศัยร่างกายเพื่อเดินทางผ่านทั้งทางบกและทางทะเล เมื่อผ่านการขั้นตอนเหล่านั้นไปแล้ว ก็ไม่มีจำเป็นต้องใช้สื่อเหล่านั้นอีกต่อไป ด้วยเหตุผลนี้เองความตายจึงเกิดขึ้น และเนื่องจากความตายได้ผ่านพ้นไปทำให้พลังแห่งธรรมชาติก็สิ้นแรงตามไปด้วย ไม่ใช่ดั่งที่การแพทย์เข้าใจว่าความตายคือการสิ้นชีวิต สิ้นความร้อนอันเป็นความปรารถนาโดยธรรมชาติหรือสิ่งอื่น ทว่าความตายเป็นธรรมชาติสำหรับชีวิต เป็นเชื้อแห่งความดีและความสมบูรณ์แบบ เป็นสิ่งดีและสมบูรณ์แบบสำหรับจิตวิญญาณ เป็นสิทธิของเขา ดังนั้น ความตายคือสิทธิของเขาโดยตรง[2] ในตรงนี้พวกเหตุผลนิยมกล่าวว่า ความตายคือ : การแยกกันระหว่างจิตวิญญาณกับร่างกาย เป็นการยุติบทบาทการบริหารร่างกาย[3] อย่างไรก็ตามนักปราชญ์อิสลามได้พย่ายามอธิบายความตายจากความหมายของอัลกุรอาน และฮะดีซ ด้วยเหตุนี้ เมื่อเราได้ย้อนกลับไปดูโองการและรายงานต่างๆ แล้วจะพยายามตีความคำว่า ตาย บนพื้นฐานของความหมายเหล่านั้น

1. บางครั้งอัลกุรอาน กล่าวว่าความตายคือ การสูญเสียชีวิตซึ่งผลของความตายก็เหมือนกับ ความรู้สึกและความปรารถนา แน่นอน การปราศจากชีวิตในสิ่งหนึ่งมีความหมายว่า สิ่งนั้นต้องมีศักยภาพในการมีชีวิตด้วย

อัลกุรอานกล่าวว่า

"و کنتم امواتاً فاحیاکم ثم یمیتکم"

พวกจ้านั้นเคยปราศจากชีวิตมาก่อนแล้วพระองค์ก็ทรงให้เจ้ามีชีวิตขึ้น[4]

หรือเกี่ยวกับรูปปั้นทั้งหลายกล่าวว่า "พวกมันตาย ปราศจากชีวิต และพวกมันไม่รู้ด้วยว่า เมื่อใดจะถูกให้ฟื้นขึ้นมาอีก[5]

ความตายหมายถึงการสูญเสียของชีวิตเมื่อสัมพันธ์ไปยังมนุษย์ ด้วยเหตุนี้เอง จึงกล่าวว่ามนุษย์มีองค์ประกอบอยู่ 2 ประการเมื่อร่างกายอยู่ในมิติของชีวิต หลังจากนั้นก็จะขาดชีวิตชีวิต, จึงสามารถกล่าวได้ว่าความตายได้ครอบงำเหนือมนุษย์ มิเช่นนั้นต้องกล่าวไว้ในอัลกุรอานแล้วว่า จิตวิญญาณได้ตาย เช่นเดียวกับที่ทูตสวรรค์ (มลัก) ไม่ได้ถูกกล่าวว่าตายเช่นกัน[6]

2. ประโยคหนึ่งของอัลกุรอานที่กล่าวถึงความตายโดยชึ้คำว่า ตะวัฟฟา[7] คำๆ นี้มาจากรากศัพท์คำว่า วะฟา ซึ่งหมายถึงการได้รับมอบสิ่งหนึ่งโดยปราศจากความขาดตกบกพร่อง ซึ่งกล่าวว่า เตาฟียะตุลมาล หมายถึง ได้รับทรัพย์พอดิบพอดีไม่ขาดไม่เกิน มีโองการอัลกุรอานประมาณ 14 โองการกล่าวถึงความตาย ซึ่งเป็นการบ่งชี้ให้เห็นแก่นแท้ความจริงที่ว่า ประการแรก: มนุษย์นั้นมีองค์ประกอบอื่นที่นอกเหนือจากวัตถุธาตุ และภายใต้มิติดังกล่าวนั้นจะไม่ตายและไม่สูญสิ้น อีกทั้งเมื่อถึงกำหนดวาระสิ่งนั้นจะถูกมอบแก่เจ้าหน้าที่อย่างคราบสมบูรณ์ ไม่มีสิ่งใดขาดหรือเกินเลย ซึ่งเจ้าหน้าที่จะได้รับมอบมิติของจิตวิญญาณ แน่นอน มิติดังกล่าวนี้ไม่ได้อยู่ในภาวะของวัตถุ ดังที่อัลกุรอานหลายโองการกล่าวเรียกสิ่งนั้นว่า จิตวิญญาณ และในมิติของจิตวิญญาณ หรือมิติแห่งพระเจ้าจะทำให้มนุษย์พบกับชีวิตใหม่หลังจากตายไปแล้ว

ประการที่สอง : บุคลิกภาพที่แท้จริงของมนุษย์ไม่ได้ขึ้นอยู่กับร่างกาย เพราะร่างกายจะค่อยๆ ถูกทำลายและสลายไป[8] ซึ่งจะไม่ถูกมอบไปที่ใดทั้งสิ้น สิ่งที่สนับสนุนประเด็นดังกล่าวอีกประการหนึ่งคือ โองการเหล่านี้การกระทำบางอย่างของชีวิต เช่น การพูดคุยกับมวลมลัก ความหวัง การต่อรอง ซึ่งได้สัมพันธ์ไปยังมนุษย์หลังจากที่เขาตายไปแล้ว ซึ่งบ่งบอกให้เห็นความจริงว่า แก่นแท้ของมนุษย์ทั้งหมดไม่ใช่ร่างกายที่ปราศจากความรู้สึก มิเช่นนั้นแล้ว การพูดคุย และอื่นๆ ที่เกิดขึ้นจะไร้ความหมาย และสิ่งนี้คือ บุคลิกภาพที่แท้จริงของมนุษย์ ซึ่งหลังจากตายไปแล้วจะอยู่ภายใต้การควบคลุมของเจ้าหน้าที่แห่งความตาย (มะลาอิกะตุลเมาต์) ฉะนั้น จำเป็นต้องกล่าวว่าความตายคือ การเปลี่ยนสภาพ ไม่ใช่การสูญสิ้น[9] ดังนั้น ความตายจึงเป็นสิ่งมีอยู่สามารถสร้างให้เกิดขึ้นได้ ด้วยเหตุผลดังกล่าวนี้เอง อัลกุรอานจึงเรียกความตายว่าเป็น สิ่งถูกสร้างหนึ่ง[10]

อัลกุรอานบทซุมัร โองการที่ 42 กล่าวว่า:

اللَّهُ یَتَوَفَّى الْأَنفُسَ حِینَ مَوْتِهَا وَالَّتِی لَمْ تَمُتْ فِی مَنَامِهَا فَیُمْسِکُ الَّتِی قَضَى عَلَیْهَا الْمَوْتَ وَیُرْسِلُ الْأُخْرَى إِلَى أَجَلٍ مُسَمًّى إِنَّ فِی ذَلِکَ لَآیَاتٍ لِّقَوْمٍ یَتَفَکَّرُونَ

อัลลอฮฺ ทรงปลิดชีวิตทั้งหลายเมือครบกำหนดความตายของเขา และชีวิตที่ยังไม่ตายพระองค์จะปลิดขณะนอนหลับ แล้วจะทรงปลิดชีวิตที่ได้ถูกำหนดให้ตายแล้ว และทรงยืดชีวิตออกไปจนถึงเวลาที่ถูกกำหนดไว้ แท้จริงในการนั้นมีสัญญาณสำหรับกลุ่มชนผู้ใคร่ครวญ

คำสรรพนามในคำว่า เมาติฮา และ มะนามิฮา แม้ว่าภายนอกคำสรรพนามทั้งสองจะย้อนกลับไปหาคำว่า อันฟุซะ ก็ตาม แต่ในความเป็นจริงบ่งชี้ให้เห็นถึง ร่างกายของมนุษย์ทั้งหลาย เนื่องจากสิ่งที่ตายคือ ร่างกาย ไม่ใช่จิตวิญญาณ ดังนั้น ความตายเปรียบเสมือนการนอนหลับที่ยาวนาน การนอนหลับคือความตายชั่วคราว อีกนัยหนึ่งอาจกล่าวได้ว่าความตายกับการนอนหลับไม่มีสิ่งใดแตกต่างกัน เว้นเสียแต่ว่าการนอนหลับคือความตายที่ไม่สมบูรณ์ กล่าวอนุญาตให้วิญญาณกลับเข้าสู่ร่างกายอีกครั้งหนึ่ง[11]

อัลกุรอานบทอัลวากิอะฮฺ โองการที่ 60 และ 61 เข้าใจได้ว่าการเสียชีวิตคือการโยกย้ายจากบ้านหลังหนึ่งไปยังบ้านอีกหลังหนึ่ง หรือเป็นการเปลี่ยนการสร้างหนึ่งไปสู่อีกการสร้างหนึ่งไม่ใช่การสูญสลาย หรือการดับสูญแต่อย่างใด[12] ซึ่งสรุปได้ว่า ความตายคือ การเกิดใหม่ หรือการเกิดรอบสองนั่นเอง

ท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อล ) กล่าวว่าเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า: สูเจ้าไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อการดับสูญ (ตาย) ทว่าได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อการดำรงอยู่ เพียงแต่โยกย้ายจากบ้านหลังหนึ่งไปยังบ้านอีกหลังหนึ่งเท่านั้น[13]

ท่นอิมามอะลี (.) กล่าวถึงความตายว่า ความตายคือการแยกออกจากบ้านที่สูญสลาย และอนิจกรรมไปยังบ้านที่ดำรงอยู่นิรันดร ดังนั้น ปวงผู้มีสติต้องตระเตรียมความพร้อมยังชาญฉลาด[14]  ท่านอิมามฮะซัน (.) ได้เปรียบเทียบความตายไว้ว่า เหมือกับสะพานและทางผ่าน โดยกล่าวว่า ปวงผู้ศรัทธาจะต้องผ่านสิ่งนั้นไปด้วยความทุกข์ทรมาน เพื่อไปสู่สถานที่กว้างไพศาล[15]

แต่มีคำถามว่าเราสามารถยืดเวลาความตายให้ล่าช้าออกไปได้หรือไม่ ? สามารถกล่าวได้ว่าตามหลักการของอิสลามได้กล่าวถึงความตายไว้ 2 ลักษณะด้วยกัน[16] อัลกุรอานกล่าวว่า : พระองค์คือผู้ ..ทรงกำหนดเวลาแห่งความตายไว้ และกำหนดที่ถูกระบุไว้อีกกำหนดหนึ่งอยู่ที่พระองค์[17] หมายถึงมนุษย์ยังมีความตายที่คลุมเครืออีกหนึ่งความตาย ซึ่งอยู่  พระองค์ความตายนั้นไม่มีการเปลี่ยนแปลงอันใดทั้งสิ้น ซึ่งอัลกุรอาน บทยูนุส โองการที่ 49 กล่าวเมื่อเวลาของพวกเขามาถึง พวกเขาจะขอผ่อนผันให้ล่าช้าซักระยะหนึ่งไม่ได้ และจะร่นเวลาให้เร็วเข้าก็ไม่ได้"

แน่นอนว่า ความสัมพันธ์ระหว่างความตายที่ถูกกำหนด กับความตายที่ไม่ได้กำหนด เป็นความสัมพันธ์แบบสมบูรณ์แบบมีเงื่อนไข ด้วยเหตุนี้ เป็นไปได้ที่ว่าความตายนั้นจะไม่เกิดขึ้น ถ้าหากไม่มีเงือนไข ซึ่งต่างไปจาก มุฏลักมุนัจญิซ ที่ว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่เกิดขึ้น อัลกุรอานบท อัรเราะอ์ดุ โองการที่ 39 กล่าวว่า

"لکل اجل کتاب یمحو الله ما یشاء و یثبت و عنده ام الکتاب"،

อัลลอฮทรงยกเลิกสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์ และทรงยืนหยัดให้มั่น (สิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์) และที่พระองค์คือแม่บทแห่งคัมภีร์(อัลลูฮุลมะฮฟูซ)”

โองการกล่าวว่า ความตายแน่นอน ก็คือสิ่งที่พระองค์บันทึกไว้ใน อัลลูฮุลมะฮฟูซ

คำว่า อุมมุลกิตาบ สามารถนำไปเทียบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแน่นอน หมายถึงเหตุการณ์เมื่อสัมพันธ์ไปยังสาเหตุโดยทั่วไปแล้ว ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ส่วนคำว่า แผ่นบันทึกที่ทรงยกเลิกและทรงยึดมั่น สามารถนำไปเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ที่มีสาเหตุไม่สมบูรณ์ ซึ่งอาจเกิดขึ้นหรือไม่เกิดก็ได้ หรืออาจมีอุปสรรคอย่างอื่นขัดขวางไม่ให้เกิด ด้วยเหตุนี้ บางครั้งความตายที่ถูกำหนดกับไม่ถูกกำหนดอาจจะเข้ากัน หรืออาจไม่เข้ากันก็ได้ ส่วนความตายที่เกิดขึ้นจริงเรียกว่า ความตายที่ถูกำหนด[18]

อย่างไรก็ตาม ความตายที่รอเวลา นั้นมีศักยภาพพอที่จะยืดเวลาให้ล่าช้าออกไปได้ โดยมีอุปสรรคอย่างอื่นมาขัดขวาง ดังจะเห็นได้ว่ารายงานบางบทกล่าวว่า การกระทำภารกิจบางอย่าง จะทำให้อายุขัยของมนุษย์ยืนยาวนานออกไป ซึ่งชี้ให้เห็นประเด็นดังกล่าวนี้เอง ดังนั้น จะเห็นได้ว่าการงานดังกล่าวนั้นได้เป็นอุปสรรคกีดขวางไม่ให้ความตายเกิดขึ้น

รายงานกล่าวว่า

"یعیش الناس باحسانهم اکثر مما یعیشون باعمارهم و یموتون بذنوبهم اکثر مما یموتون بآجالهم"؛

ประชาชนได้ดำรงชีวิตด้วยความดีงามต่างๆ ของตน จะมีอายุขัยยืนยาวกว่าบุคคลที่ดำรงชีวิตด้วยอายุขัยธรรมชาติ และมีประชาชนบางกลุ่มตายเนื่องจากบาปกรรมของตน พวกเขาจะมีอายุขัยสั้นกว่าบุคคลที่ตายในเวลากำหนด[19]

บางครั้งกล่าวว่า การบริจาค (เซาะดะเกาะฮฺ) จะหยุดยั้งความตายที่รอคอย หมายถึงยืดเวลาความตายให้ล่าช้าออกไป[20] ซึ่งจะทำให้อายุขัยของมนุษย์ยืนยาวนานขึ้น ในอีกที่หนึ่งกล่าวว่า การทำความดีกับเครือญาติก็จะเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้อายุขัยของมนุษย์ยืนยาวนานออกไป[21]

สำหรับการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวนี้ (อายุขัยที่ยืนยาวนาน) สามารถศึกษาได้จากหนังมีซานุลฮิกมะฮฺ[22] ภายใต้หัวข้อว่า "ما یدفع الاجل المعلق" و یا "ما یزید فى العمر"



[1] เชค อัรเราะอีส ริซาละตุชชิฟาอ์ มินเคาฟิลเมาต์, หน้า. 340-345

[2] มุลลาซ็อดรอ อัซฟาร เล่ม 9 หน้า 238

[3] ถ้าหากความสัมพันธ์ระหว่างจิตวิญญาณกับร่างกายถูกตัดขาด ซึ่งต่อไปจะไมมีการควบคุมร่างกายอีก เราเรียกสิ่งนั้นว่า ความตาย

[4] อัลกุรอานบทบะเกาะเราะฮฺ โองการที่ 28

[5] อัลกุรอานบทอันนะฮฺลุ โองการที่ 21

[6] ตัฟซีรมีซาน เล่ม 14 หน้า 286

[7]  อัลกุรอานบทอันนะฮฺลุ 32, บทอันฟาล 50, บทอันอาม 60, บทซุมัร 42

[8]  อัลกุรอาน บทอันอาม โองการที่ 60 กล่าวว่าพระองค์คือผู้ที่ทรงให้พวกเจ้าตายคำว่า พวกเจ้า ก็คือสิ่งที่มาจากพระองค์ ที่เรียกว่า ฉัน หรือตัวเอง ซึ่งสิ่งนี้จะคงอยู่ตลอดไป

[9] ญะวาดออมูลี อับดุลลอฮฺ ตัฟซีรเมาฏูอีกุรอาน เล่ม 3 หน้า 388 , 397, เล่ม 2 หน้า 497, 509

[10] อัลกุรอาน บทมุลก์ โองการที่ 1,2 กล่าวว่า พระผู้ทรงให้มีความตายและให้มีความเป็น ,พัยยอมกุรอาน เล่ม 5 หน้า 430

[11]  ฟัยยอมกุรม เล่ม 5 หน้า 433

[12]  ตัฟซีรอัลมีซาน เล่ม 19 หน้า 133, เล่ม 20 หน้า 356

[13] บิฮารุลอันวาร เล่ม 6 หน้า 249

[14]  นะฮฺญุลบะลาเฆาะฮฺ ซุบฮิ ซอลิฮฺ หน้า 493, โลกคือทางผ่านไปสู่ปรโลก ซึ่งเจ้าถูกเตรียมพร้อมเพื่อโยกย้ายไปที่นั่นตลอดเวลา, อัลกุรอานบทกิยามะฮฺ 26-30

[15] บิฮารุลอันวาร เล่ม 6 หน้า 154, มะอานี อัลอัคบาร หน้า 274, มีซานอัลฮิกมะฮ เล่ม 9 หน้า 234,

[16] บิฮารุลอันวาร เล่ม 5 หน้า 139

[17]  อัลกุรอานบทอันอาม โองการที่ 2

[18] อัลมีซาน เฎาะบาเฎาะบาอี เล่ม 7 หน้า 8, 10

[19]  บิฮารุลอันวาร เล่ม 5 หน้า 140, มีซานุลฮิกมะฮฺ เล่ม 1 หน้า 30

[20]  มุฮัมมัดเรย์ ชะฮฺริ,มีซานุลฮิกมะฮฺ เล่ม 1 หน้า 30

[21] มุฮัมมัดเรย์ ชะฮฺริ,มีซานุลฮิกมะฮฺ บาบ 1464 และบาบ 1467

[22] มุฮัมมัดเรย์ ชะฮฺริ,มีซานุลฮิกมะฮฺ เล่ม 6 หน้า 549 บาบ 2932

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • เอทานอลซึ่งเป็นแอลกอฮอล์ชนิดหนึ่ง ไม่ถือเป็นนะญิสและสามารถกินได้ไช่หรือไม่?
    12701 สิทธิและกฎหมาย 2554/09/20
    แอลกอฮอล์แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักหนึ่งคือแอลกอฮอล์ที่ได้มาจากอุตสาหกรรมน้ำมันและปิโตรเคมีและประเภทที่สองคือแอลกอฮอล์ที่ได้มาจากการกลั่นระเหยของเหล้าและเนื่องจากเอทานอลเป็นหนึ่งในแอลกอฮอล์อุตสาหกรรมประเภทต่างๆดังนั้นเราจึงต้องมาวิเคราะห์ประเด็นแอลกอฮอล์อุตสาหกรรมเสียก่อน
  • คำว่า “ฮุจซะฮ์”ในฮะดีษของมุฮัมมัด บิน ฮะนะฟียะฮ์ หมายความว่าอย่างไร?
    7811 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2555/02/12
    คำว่าฮุจซะฮ์ที่ปรากฏในฮะดีษบทต่างๆแปลว่าการยึดเหนี่ยวสื่อกลางในโลกนี้ระหว่างเรากับอัลลอฮ์ท่านนบีและบรรดาอิมาม(อ.) ซึ่งก็หมายถึงศาสนาจริยธรรมและความประพฤติที่ดีงามหากบุคคลยึดถืออิสลาม
  • ท่านสุลัยมาน (อ.) หลังจากได้สูญเสียบุตรชายไป จึงได้วอนขออำนาจการปกครอง แต่ท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) กล่าว่า โอ้ อะลีหลังจากเจ้าแล้วโลกจะพบกับความหายนะ?
    10830 การตีความ (ตัฟซีร) 2556/08/19
    เหตุการณ์แห่งกัรบะลาอฺ เราได้เห็นท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) คือแบบอย่างของความอดทน และการยืนหยัด ขณะที่ท่านมีความประเสริฐและฐานันดรที่สูงส่ง เมื่อเทียบกับบรรดาศาสดาทั้งหลาย (อ.) หรือแม้แต่ศาสดาที่เป็นเจ้าบทบัญญัติก็ตาม แต่ท่านได้กล่าวขณะท่านอิมามอะลี (อ.) ชะฮาดัตว่า “โอ้ อะลีเอ๋ย หลังจากเจ้าแล้วโลกจะพบกับหายนะ” ถ้าพิจารณาตามอัลกุรอาน โองการที่กล่าวถึงสอนให้รู้ว่า ทั้งคำพูดและความประพฤติของท่านศาสดาสุลัยมาน (อ.) เป็นความประเสริฐหนึ่ง ดังนั้น เรามีคำอธิบายอย่างไรกับคำกล่าวอย่างสิ้นหวังของท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) กรุณาหักล้างคำพูดดังกล่าวด้วยเหตุผลเชิงสติปัญญา แม้ว่าคำพูดของท่านศาสดาสุลัยมาน (อ.) จะชี้ให้เห็นถึง ฐานะภาพความยิ่งใหญ่ของท่านก็ตาม และความโปรดปรานอันอเนกอนันต์จากอัลลอฮฺ ซึ่งเมือเทียบกับสามัญชนทั่วไปแล้ว ดีกว่ามากยิ่งนัก แต่เมื่อเทียบกับฐานะภาพเฉพาะของท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) ไม่อาจเทียบเทียมกันได้ เนื่องจากโองการเหล่านี้ หนึ่ง,แสดงให้เห็นว่าท่านศาสดาสุลัยมาน ในชั่วขณะหนึ่งเกิดความลังเล แต่มิได้ละทิ้งสิ่งที่ดีกว่า และการที่ท่านได้สูญเสียบุตรชายไปนั้น ถือว่าเป็นหนึ่งในชะตากรรม สอง, บุตรชายที่ท่านได้สูญเสียไปนั้นเป็นเด็กที่ไม่สมบูรณ์ และคลอดเร็วเกินกว่ากำหนด ดังนั้น โดยปรกติการสูญเสียบุตรลักษณะนี้ จะไม่เป็นสาเหตุทำให้ผู้เป็นบิดามารดาต้องเสียใจหรือระทมทุกข์อย่างหนัก แต่ท่านอิมามฮุซัยนฺ ...
  • มนุษย์สามารถเข้าถึงเรื่องจิตวิญญาณโดยปราศจากศาสนาได้หรือไม่?
    11241 จริยธรรมทฤษฎี 2555/09/08
    รูปภาพของจิตวิญญาณสมัยที่โจทย์ขานกันอยู่ในปัจจุบัน มีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงกับภาพทางจิตวิญญาณ ในความคิดของเราในฐานะมุสลิมหนึ่ง เนื่องจากความก้าวหน้าทางจิตวิญญาณของมุสลิมนั้น มีความสัมพันธ์อย่างลึกซึ้งกับคำสอนศาสนา จิตวิญญาณทางศาสนา, วางอยู่บนพื้นฐานของการปฏิบัติตามตำแนะนำสั่งสอนของศาสนา จึงจะก่อให้เกิดสถานดังกล่าว คำแนะนำและความรู้เกี่ยวกับความจริงที่พ้นญาณวิสัย เหนือโลกวัตถุและความจริงที่วางอยู่บนพื้นฐานดังกล่าว จะพบว่ามนุษย์ในระบบของการสร้างสรรค์ มีสถานภาพพิเศษ กำลังดำเนินชีวิตไปในหนทางพิเศษ อันเป็นหนทางที่ต้องอาศัยพฤติกรรมอันเฉพาะบางอย่าง อีกนัยหนึ่ง จิตวิญญาณทางศาสนา เป็นความรู้สึกหนึ่งที่มนุษย์มีต่อข้อเท็จจริง ซึ่งจะพบว่าความรู้สึกนั้นตั้งอยู่เหนือโลกของวัตถุ ขณะเดียวกันก็วางอยู่บนข้อตกลงและเงื่อนไขอันเฉพาะ ถ้าหากพิจารณาสติปัญญาที่มีขอบเขตของจำกัด ในการรู้จักมิติต่างๆ ของการมีอยู่ของมนุษย์ การรับรู้ถึงความต้องการที่แท้จริงของเขา และในที่สุดการเลือกวิธีการต่างๆ ว่าจะดำเนินไปอย่างไร เพื่อไปให้ถึงสิ่งที่ธรรมชาติของมนุษย์ถวิลหา ดังนั้น ตรงนี้จึงไม่อาจพึงความรู้ในเชิงของเหตุผล หรือสติปัญญาได้เพียงอย่างเดียว ทว่าต้องพึ่งคำแนะนำและผู้ชี้นำทาง ซึ่งการทำความเข้าใจ และการครอบคลุมของสิ่งนั้นต้องเหนือกว่า สติปัญญา และสิ่งนั้นก็คือ วะฮฺยู ของพระเจ้า ซึ่งได้มาถึงสังคมมนุษย์โดยผ่านขบวนการของบรรดาเราะซูล ซึ่งได้แนะนำมนุษย์ให้เดินไปสู่สัจธรรมความจริงสูงสุด อัลลอฮฺ (ซบ.) ได้ประทานเราะซูลลงมาคนแล้วคนเล่า ทรงทำให้ศาสนาของพระองค์สมบูรณ์ มนุษย์มีหน้าที่ตรวจสอบโดยละเอียด ...
  • ฐานะภาพของบรรดาอิมามสูงส่งกว่าบรรดานบีจริงหรือ?
    7489 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/12/20
    ฮะดีษมากมายระบุว่าบรรดาอิมามมีความสูงส่งเหนือบรรดานบีทั้งนี้ก็เนื่องจากรัศมีทางจิตใจของบรรดาอิมามหลอมรวมกับท่านนบีมุฮัมมัด (ซ.ล.) ฉะนั้นในเมื่อท่านนบีมีศักดิ์เหนือบรรดานบีท่านอื่นๆวุฒิภาวะที่บรรดาอิมามได้รับการถ่ายทอดจากนบีมุฮัมมัด (ซ.ล.) จึงเหนือกว่านบีทุกท่าน ประเด็นที่ว่ามนุษย์มีศักดิ์ที่สูงกว่ามลาอิกะฮ์นั้นถือเป็นสิ่งที่อิสลามยอมรับฉะนั้นการที่อิมามผู้ไร้บาปจะมีศักดิ์เหนือกว่ามลาอิกะฮ์จึงไม่ไช่เรื่องที่เหนือความคาดหมายแต่อย่างใด ...
  • อัลลอฮฺ ทรงพึงพอพระทัยผู้ใด? บุคคลใดที่พระองค์ทรงพึงพอพระทัย, ผู้นั้นจะได้เป็นเจ้าของสรวงสวรรค์แห่งความโปรดปรานหรือ? ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว โองการที่ 28 บทอันบิยาอฺที่กล่าวว่า : และพวกเขาจะมิให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ใด, นอกจากผู้ที่พระองค์ทรงพอพระทัย จะไม่ขัดแย้งกันดอกหรือ? อีกนัยหนึ่ง : เจ้าของสรวงสวรรค์แห่งความพึงพอพระทัย จะเข้ากันได้อย่างไรกับชะฟาอะฮฺ?
    10087 การตีความ (ตัฟซีร) 2554/10/22
    อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงพึงพอพระทัยบุคคลที่มีศรัทธาและพึงปฏิบัติคุณงามความดี, เพียงแต่ว่าความศรัทธาและคุณงามความดีนั้นมีทั้งเข้มแข็งมั่นคงและอ่อนแอ อีกทั้งมีระดับชั้นที่แตกต่างกันออกไป, ความพึงพอพระทัยของอัลลอฮฺที่มีต่อพวกเขาจึงแตกต่างกันออกไปด้วยสรวงสวรรค์ ก็เช่นเดียวกันถูกแบ่งไปตามระดับชั้นของความศรัทธา คุณภาพ และปริมาณของคุณงามความดีที่ชาวสวรรค์ได้สั่งสม ซึ่งระดับชั้นของสวรรค์ก็มีความแตกต่างกันออกไป ส่วน “สวรรค์ชั้นริฎวาน” คือสวรรค์ชั้นสูงที่สุด เจ้าของสวรรค์ชั้นนี้ได้แก่ บรรดาศาสดาทั้งหลาย, บรรดาตัวแทนและบรรดาหมู่มิตรของอัลลอฮฺ (ซบ.), ตลอดจนบรรดาผู้ใกล้ชิดอัลลอฮฺ ชนกลุ่มนี้ไม่ต้องการชะฟาอะฮฺแต่อย่างใด เนื่องจากพวกเขาคือผู้ให้ชะฟาอะฮฺ และยังเป็นสักขีพยานในวันแห่งการฟื้นคืนชีพอีกต่างหาก. ด้วยเหตุนี้เอง วัตถุประสงค์ของประโยคที่ว่า “มะนิรตะฎอ” (ผู้ที่ได้รับความพึงพอพระทัยจากอัลลอฮฺ) ในโองการอัลกุรอานจึงไม่ใช่บุคคลที่เป็นเจ้าของสวรรค์ชั้นริฏวาน เพื่อว่าระหว่างตำแหน่งชั้นของพวกเขากับโองการจะได้ไม่ขัดแย้งกันอัลกุรอาน โองการดังกล่าวอยู่ในฐานะของการขจัดความสงสัยและความเข้าใจผิด ของบรรดาผู้ปฏิเสธที่วางอยู่บนความเข้าใจที่ว่า มลาอิกะฮฺจะให้ชะฟาอะฮฺแก่พวกเขา, เนื่องจากมลาอิกะฮฺคือเจ้าหน้าที่ของอัลลอฮฺ ซึ่งพวกเขาจะไม่ปฏิบัติสิ่งใดที่ขัดแย้งต่อบัญชาของพระองค์, พวกเขาจะให้ชะฟาอะฮฺแก่บุคคลผู้ซึ่ง ...
  • เพราะเหตุใดฉันต้องเป็นมุสลิมด้วย? โปรดตอบคำถามของฉันด้วยเหตุผลของวิทยปัญญา
    7706 เทววิทยาใหม่ 2554/10/22
    แม้ว่าความสัตย์จริงของศาสนาต่างๆในปัจจุบันบนโลกนี้ยังคงปรากฏให้เห็นอยู่บ้างก็ตาม, แต่รูปธรรมโดยสมบูรณ์และความจริงแท้แห่งความเป็นเอกะของพระเจ้ามีเฉพาะในศาสนาอิสลามเท่านั้นหรืออีกนัยหนึ่งท่านสามารถพบสิ่งนี้เฉพาะในคำสอนของอิสลาม, เหตุผลหลักสำหรับการพิสูจน์คำกล่าวอ้างข้างต้น,คือการไม่มีหลักฐานที่เชื่อถือได้, ประกอบกับการสังคายนาและภาพความขัดแย้งกันทางสติปัญญาที่ปรากฏในคำสอนของศาสนาอื่น
  • เมืองมะดีนะถูกสร้างขึ้นเมื่อใด?
    11129 ประวัติสถานที่ 2557/02/16
    นครมะดีนะฮ์ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของคาบสมุทรอรับ และตั้งอยู่ทางทิศเหนือของนครมักกะฮ์อันทรงเกียรติ โอบล้อมด้วยหินกรวดทางทิศตะวันออกและตะวันตก เมืองนี้มีภูเขาหลายลูก อาทิเช่น ภูเขาอุฮุดทางด้านเหนือ ภูเขาอัยร์ทางใต้ ภูเขาญะมะรอตทางทิศตะวันตก มะดีนะฮ์มีหุบเขาในเมืองสามแห่งด้วยกัน คือ 1. อะกี้ก 2. บัฏฮาต 3. เกาะน้าต[1] เกี่ยวกับการสถาปนานครมะดีนะฮ์นั้น สามาถวิเคราะห์ได้สองช่วง 1. ก่อนยุคอิสลาม 2. หลังยุคอิสลาม 1. ก่อนยุคอิสลาม กล่าวกันว่าภายหลังจากเหตุการณ์น้ำท่วมโลกในยุคของท่านนบีนู้ห์ (อ.) มีผู้อยู่อาศัยในนครยัษริบ (ชื่อเดิมของมะดีนะฮ์) สี่กลุ่มด้วยกัน 1.1. ลูกหลานของอะบีล ซึ่งเป็นผู้รอดชีวิตจากสำเภาของท่านนบีนูห์ที่เทียบจอด ณ ภูเขาอารารัต ได้ตั้งถิ่นฐาน ณ เมืองยัษริบ ซึ่งเมืองยัษริบเองก็มาจากชื่อของบรรพชนรุ่นแรกที่ตั้งรกราก นามว่า ยัษริบ บิน อะบีล บิน เอาศ์ ...
  • ทำไมอิมามฮุซัยน (อ.) จึงไม่ลุกขึ้นยืนในสมัยของมุอาวิยะฮ ?
    7986 ชีวประวัติมะอฺซูม (อ.) 2554/03/08
    สำหรับคำตอบที่ว่าเพราะเหตุใดท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) จึงไม่ลุกขึ้นยืนต่อสู้ในสมัยมุอาวิยะฮฺนั้นสามารถกล่าวได้ว่าอาจเป็นเพราะประเด็นเหล่านี้ :1. เป็นเพราะการให้เกียรติและเคารพในสนธิสัญญาของพี่ชายและอิมามของท่าน
  • ควรจะตอบคำถามเด็กๆ อย่างไร เมื่อถามเกี่ยวกับอัลลอฮฺ?
    8181 เทววิทยาดั้งเดิม 2555/06/30
    ไม่สมควรหลีกเลี่ยงคำถามต่างๆ ที่เด็กๆ ได้ถามเกี่ยวกับอัลลอฮฺ, ทว่าจำเป็นต้องตอบคำถามเหล่านั้นด้วยความถูกต้อง เข้าใจง่าย และมั่นคง,โดยอาศัยข้อพิสูจน์เรื่องความเป็นระบบระเบียบของโลก พร้อมคำอธิบายง่ายๆ ขณะเดียวกันด้วยคำอธิบายที่ง่ายนั้นต้องกล่าวถึงความโปรดปรานของพระเจ้าชนิดคำนวณนับมิได้ ซึ่งอยู่ร่ายรอบตัวเอรา นอกจากนั้นยังสามารถพิสูจน์คุณลักษณะบางประการของพระองค์ เช่น ความปรีชาญาณ, พลานุภาพ, และความเมตตาแก่เด็กๆ ...

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60711 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    58360 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42813 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    40329 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    39430 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    34561 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    28624 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    28534 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    28483 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    26402 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...