การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
7902
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2553/10/21
 
รหัสในเว็บไซต์ fa317 รหัสสำเนา 10187
คำถามอย่างย่อ
ศาสนามีความเหมาะสมกับความเสรีของเราหรือว่าไม่เข้ากัน
คำถาม
ศาสนามีความเหมาะสมกับความเสรีของเราหรือว่าไม่เข้ากัน
คำตอบโดยสังเขป

เสรีภาพในการศาสนานั้นสามารถตรวจสอบได้จาก เสรีภาพทางจิตวิญญาณ และเสรีภาพทางสังคมการเมือง ในมุมมองจิตวิญญาณ, แก่นแท้ของมนุษย์คือ นัฟซ์มุญัรร็อด (หมายถึงสภาพที่เป็น อรูป ไม่ต้องอาศัยร่างกายและวัตถุหรืออาการทางกายภาพ) เพราะเป็นอาณาจักรแห่งความเร้นลับมีแนวโน้มของความคิดเห็นที่มีต่อแหล่งกำเนิดของตน และนั่นเป็นเพราะว่าชีวิตของเราขึ้นอยู่กับร่างกาย ซึ่งมีพันธผูกพันอยู่กับกิจการทางโลก มนุษย์ไม่มีทางหลีกเลี่ยงที่ต้องสร้างความสมบูรณ์แบบของตน โดยการปฏิบัติภารกิจบนโลกนี้ซึ่งโลกนั้นเป็นเพียงเรือกสวนไร่นาสำหรับปรโลก แต่บางคนเนื่องจากใส่ใจต่อความเป็นอิสรเสรี เขาจึงตกหลุมพรางการละเล่นและความสวยงามภายนอกของโลก และสิ่งนี้กลายเป็นสาเหตุสำคัญที่เขาไม่สามารถพัฒนาจิตใจให้สูงส่งได้ และแทนที่จะคิดถึงแก่นแท้ความจริงของภารกิจ หรือของสรรพสิ่งที่มีอยู่ แต่คิดถึงเฉพาะเปลือกนอกเหล่านั้นและคิดว่านั้นเป็นแก่นความจริง เขาจึงหลงลืมแก่นแท้ความจริงโดยสิ้นเชิง มีความเพลิดเพลินต่อโลกหรือหลงโลกนั่นเอง พวกเขาตั้งความหวังกับโลกไว้อย่างสวยหรู และไม่มีข้อจำกัดในการใช้ประโยคทางโลก พวกเขาได้ให้ความอิสระชนิดปราศจากเงื่อนไขแก่ตัวเอง ขณะที่เสรีภาพคือการปลดปล่อยตนเองให้รอดพ้นจากราชประสงค์ของความเป็นสัตว์ โลก และอำนาจฝ่ายต่ำ และนี่คือเสรีภาพที่เป็นความต้องการของศาสนา จากมุมมองของศาสนาไม่ใช่เรื่องแปลกที่บุคคลหนึ่งอาจเป็นมหาจักรพรรดิที่มีอำนาจ แต่เขาขัดเกลาจิตวิญญาณเพื่อความสมบูรณ์แบบ ประหนึ่งผู้ยากจนไร้ซึ่งสมบัติ ขณะที่เขาเป็นกษัตริย์ปกครองประเทศ

สรุป : สิ่งที่ผู้หลงโลกทั้งหลายกำลังค้นหาคือ อิสรภาพจอมปลอมอันปราศจากเงื่อนไข แต่เสรีภาพที่ศาสนาต้องการคือ เสรีภาพที่แท้จริง ทั้งในมิติทางสังคมก็อยู่ในกรอบความคิดทางศาสนา ตลอดจนการคิดทางการเมืองและสังคมอิสลามก็อยู่ในกรอบเช่นกัน ไม่ใช่ความเสรีชนิดสุดโต่ง และไม่ใช่ทั้งการบีบบังคับให้ยอมจำนนในเงื่อนไขภายนอก และยอมรับการปกครองของทุกรัฐบาลที่อยุติธรรม ซึ่งได้ทำลายเกียรติยศของเขา ดังนั้น เราจึงสามารถกล่าวได้ว่า มีเสรีภาพส่วนบุคคลและของสังคมอยู่ในศาสนาอิสลาม แต่มีความแตกต่างกันระหว่างวิสัยทัศน์ในอิสลามและตะวันตก เสรีภาพทางศาสนาก็เหมือนดังเช่นความเชื่อที่มีพื้นฐานการพัฒนาของทุกสิ่งอยู่ที่พระเจ้า ด้วยเหตุนี้ ทุกภารกิจการงานของมนุษย์จึงควรมาจากพระเจ้า และอยู่ในทิศทางที่แสวงหาความโปรดปรานของพระองค์ ในแง่ของการพัฒนาคุณธรรมและวัฒนธรรม ซึ่งได้เชิญชวนสังคมมนุษย์ความยุติธรรม และละเว้นการฝ่าฝืนและการละเมิดสิทธิของผู้อื่น และอีกด้านหนึ่งได้เชิญชวนให้ศาสนิกไปสู่การศึกษาและการเรียนรู้วิชาการในศาสตร์ต่างๆ เพื่อการใช้ประโยชน์อย่างถูกต้อง และเหมาะสม

คำตอบเชิงรายละเอียด

จิตวิญญาณของเราเนื่องจากเป็น (นัฟซ์มุญัรร็อด) หมายถึงมีสภาพที่เป็น อรูป ไม่ต้องอาศัยร่างกายและวัตถุหรืออาการทางกายภาพ สำหรับจิตวิญญาณของมนุษย์นั้นไม่มีความยาว ความกว้าง ความลึก คุณภาพ ความร้อน ความเย็น ไม่มีทิศทั้งเบื้องสูงและเบื้องต่ำ ข้างหน้าและข้างหลัง[1] เพราะเป็นอาณาจักรแห่งความเร้นลับมีแนวโน้มของความคิดเห็นที่มีต่อแหล่งกำเนิดของตน

มวลสรรพสิ่งมีชีวิตในจักรวาล บางครั้งเป็นสรรพสิ่งถูกสร้างขึ้นมาโดยมีสรีระและเรือนร่างและกายภาพ หรืออยู่ใน โลกเร้นลับที่เป็นอรูปซึ่งมีอยู่ในอีกลักษณะหนึ่ง (ด้านบนของโลกแห่งกายภาพซึ่งประกอบด้วยระบบที่ค่อยเป็นค่อยไปแล้ว ยังมีอีกโลกหนึ่งซึ่งครอบคลุมทั้งสิ่งมีชีวิตที่นอกเหนือไปจากการเจริญเติบโตที่ละน้อย และนอกเหนือไปจากเวลา) ซึ่งเรียกโลกนั้นว่า "อาลัมอัมร์” ซึ่งสรรพสิ่งในโลกนั้นครอบคลุมเหนือโลกแห่งการสร้างสรรค์[2] ซึ่งทั้งอาลัมอัมร์และการสร้างสรรค์ทั้งหมดมาจากพระเจ้าทั้งสิ้น อัลกุรอานกล่าวว่า : พึงรู้ไว้เถิดว่า การสร้างและกิจการทั้งหลายนั้นเป็นสิทธิของพระองค์เท่านั้น มหาบริสุทธิ์แด่อัลลอฮ์ผู้เป็นพระเจ้าแห่งสากลโลก”[3] อีกด้านหนึ่งจะเห็นว่า จิตวิญญาณของเราต้องอาศัยสรีระและเรือนร่าง เพื่อการพัฒนาและการเจริญเติบโตในเงื่อนไขอันจำกัด

มนุษย์ไม่มีหนอื่นใดอีกแล้วนอกจากต้องผ่านโลกเพื่อก้าวไปสู่ความสมบูรณ์สูงสุดของตน  ต้องผ่านความยากลำบาก ภยันตรายนานัปการและอุปสรรคอีกมากมาย เพื่อฝึกปรือตนให้กล้าแกร่งทั้งด้านคุณธรรมและศีลธรรม (โลกคือสถานเพราะปลูกสำหรับปรโลก.[4]) แต่เนื่องจากความเสรีจึงทำให้มีความหวังต่อโลกเป็นปัจจัยสำคัญทำให้ลืมการขัดเกลาจิตใจตนเอง และการโบยบินไปสู่อาณาจักรแห่งความจริง โลกได้ตบแต่งและประดับประดาภายนอกของตนอย่างสวยงาม เมื่อมนุษย์ได้พบเห็นต่างคิดว่าโลกเป็นสถานที่อมตะและนิรันดร ท่านอิมามอะลี (อ.) กล่าวว่า : “ผู้ใดมองโลกด้วยตาใจโลกก็จะทำให้เขามองเห็น ส่วนผู้ที่จ้องมองโลกด้วยตาเนื้อ โลกจะทำให้เขาตาบอด”[5]

ชีวิตทางโลก : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงสาธยายถึงชีวิตทางโลกเอาไว้ว่า : แน่นอน การใช้ชีวิตบนโลกนี้เป็นเพียงการละเล่นและความสนุกร่าเริงเท่านั้น”[6] คำว่า ละอิบ คือการกระทำหนึ่งที่ไม่มีที่สิ้นสุดยกเว้นการจินตนาการ ส่วนคำว่า ละฮ์วุน หมายถึง ทุกสิ่งที่ทำให้มนุษย์หมกมุ่นอยู่กับตนอันเป็นสาเหตุทำให้ลืมคนอื่น ดังนั้น จะเห็นว่าโองการกำลังชี้ให้เห็นความจริงที่ว่า การใช้ชีวิตบนโลกนี้ก็เหมือนกับ จิตวิญญาณมนุษย์ที่ขึ้นอยู่กับร่างกายและผ่านระบบทางร่างกายทำให้จิตวิญญาณมีความสมบูรณ์, โลกจะทำให้มนุษย์หมกมุ่นอยู่กับตนเองจนกระทั่งหลงลืมคนอื่น จุดเริ่มต้นของความหลงลืมคือ ชีวิตทางโลก โลกจะหลอกลวงจิตวิญญาณเพื่อให้รวมกับร่างกาย หลังจากนั้นจะแนะนำให้ท่านตัดขาดความสัมพันธ์กับโลกที่มิใช่กายภาพ และทุกสิ่งที่เป็นความงาม ความสูงส่ง และความสุขร่างเริงซึ่งมีอยู่ในโลกก่อนหน้าโลกแห่งวัตถุ (อาลัมอัมร์) ถูกลืมเลือนไปจนหมดสิ้น ความภาคภูมิใจตำแหน่งแห่งความใกล้ชิด การได้อยู่ร่วมกับผู้สะอาดบริสุทธิ์ บรรยากาศและความคุ้นเคย และความศักดิ์สิทธิ์มิได้อยู่ในความทรงจำของเขาอีกต่อไป ดังนั้น ชีวิตของเขาจึงทุ่มเทให้แก่ความสนุกสนานและการละเล่น ทุกสรรพสิ่งที่พวกเขาหันหน้าไปสู่ จะไม่มีสิ่งใดเกินเลยไปจากการจินตนาการ และความหวังลมๆ แล้งๆ เมื่อเขาได้สัมพันธ์กับสิ่งเหล่านั้นเขาก็จะไม่พบความจริงอันใดทั้งสิ้น[7]

อัลลอฮฺ ตรัสว่า : “และบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาการงานของพวกเขาเปรียบเสมือนภาพลวงตาในที่ราบโล่งเตียน คนกระหายน้ำคิดว่ามันเป็นแอ่งน้ำ เมื่อเขามาถึงมันเขาจะไม่พบสิ่งใดเลย” [8]

ความเป็นแก่นแท้ของภายนอกและภายใน : มนุษย์คือสรรพสิ่งถูกสร้างประเภทหนึ่งที่มี้เนื้อหนังมังสา มีร่างกายและจิตวิญญาณ ในความคิดของเขาสิ่งนั้นคือ ความจริง  เขาจึงได้ทุ่มเทความสนใจไปในเรื่องที่เป็นรูปธรรม และเรื่องทั่วไปของจิตสำนึก โดยได้ละเลยเรื่องราวด้านในและภารกิจอันเป็นความเร้นลับ (เรื่องจิตด้านใน) บุคคลจุพวกนี้จึงมีความสุขอยู่กับการรับประทานอาหาร การดื่ม การนอนหลับและการดำรงชีวิตไปวันๆ หนึ่งเท่านั้น ดังที่อัลกุรอานกล่าวว่า : “พวกเขารู้แต่เพียงผิวเผินในเรื่องการดำรงชีวิตในโลกนี้ แต่พวกเขาไม่คำนึงถึงการมีชีวิตในปรโลก”[9]

แต่สำหรับบุคคลที่ใส่ถวิลหาข้อเท็จจริง จะเข้าใจในความจริงและแก่แท้ของกิจการต่างๆ เขารู้ดีว่าภายนอกของสรรพสิ่งคือ ตัวแทนของสิงที่อยู่ข้างใน ด้วยเหตุนี้ ภาพภายนอกสำหรับพวกเขาเป็นเพียงเปลือก ส่วนภายในคือแก่นหรือสมองของสิ่งนั้น และเป็นธรรมดาว่าสมองนั้นจะไม่เสียสละตัวเองเพื่อผิวเน่นอน ท่นอิมามอะลี (อ.) กล่าวว่า : แท้จริงหมู่มวลมิตรของอัลลอฮฺคือ บุคคลที่มองดูภายในของโลก ขณะที่ประชาชนส่วนใหญ่จะมองดูภายนอก (ความสิวิไลซ์และความสวยงาม) พวกเขาหมกมุ่นอยู่กับภารกิจในอนาคตของโลก (ตระเตรียมเสบียงเพื่อรอวันตาย) ขณะที่ประชาชนกำลังสารวนอยู่กับกิจวัตรประจำวันของโลก (ทำมาหากินเพื่อปากท้อง)[10]

ความหวังที่แท้จริงกับจอมปลอม : บรรดาพวกที่ลุ่มหลงโลกต่างคิดว่าการได้รับความสนุกสนานทางโลก และการใช้ประโยชน์จากมันไม่มีข้อจำกัดแต่อย่างใด มีอิสระจากทุกเงื่อนไข ขณะที่เขาได้รับฟังคำสั่งราคะจากจิตใจทีฟุ้งซ่าน (ราคะของจิตวิญญาณฟุ้งซ่านของมนุษย์ เป็นลักษณะทางกายภาพของมนุษย์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเรื่องภายในและเรือนร่าง ประกอบกับภารกิจนั้นเกี่ยวข้องกับสรีระวัตถุที่ไม่มีค่าอันใด) ผู้ที่หลงโลกนั้นปรารถนาที่จะดำรงอยู่ในโลกตลอดไป จิตส่วนนี้มักนำพามนุษย์ไปสู่ความเสียหาย ไร้แก่นสารความจริง

ความเสรีภาพในความเป็นจริงคือ การปลดปล่อยตนเองจากบ่วงของโลกและอำนาจฝ่ายต่ำ ซึ่งความเสรีภาพดังกล่าวนี้คือความต้องการของศาสนา จากมุมมองของศาสนามนุษย์อาจจะเป็นพระมหากษัตริย์ของโลกมีอำนาจอยู่ในมือ แต่เป็นทาสของอำนาจฝ่ายต่ำ ฉะนั้น บุคคลเช่นนี้ถือว่าไม่มีอิสระถูกจองจำด้วยอำนาจฝ่ายต่ำ และจะไม่ได้รับประโยชน์จากเสรีภาพเลย ในทางตรงกันข้ามถ้าเป็นคนจนแต่มีความสมบูรณ์ย่อมดีกว่า ดัวยเหตุนี้ ถ้าสุละต่านสามารถควบคุมอำนาจใฝ่ต่ำของตนได้ ไม่เพียงแต่เขาจะไม่ก่อความเสียหาย ทว่าเขายังมีศักยภาพในการสร้างประโยชน์ได้อีกมากมาย ดังนั้น แก่นแท้ของเสรีคือ การควบคุมของสติปัญญาในการไม่ปฏิบัติตามอำนาจฝ่ายต่ำและโมหะ

ในทัศนะของศาสนา ทาส หมายถึงบุคคลที่ตกเป็นทาสของอำนาจฝ่ายต่ำ โมหะ และราคะของตนเองสติปัญญาก็อยู่ภายใต้การควบคุมของสิ่งนั้นด้วย ท่นอิมามอเลี (อ.) กล่าวว่า : ตั้งเท่าไหร่แล้วที่ปัญญาตกเป็นทาสและอารมณ์เป็นเจ้านาย[11] ท่านอิมาม (อ.) กล่าวอีกว่า: เสรีไม่ได้หมายถึงชายคนหนึ่งได้ละทิ้งสิ่งไร้ค่า (โลก) ไปดอกหรือ พึงรู้ไว้เถิดว่า ชีวิตของเจ้าไม่อาจแลกเปลี่ยนกับสิ่งใดได้นอกจากสวรรค์ ดังนั้น จงอย่าขายชีวิตของเจ้ากับสิ่งใด นอกจากสวรรค์[12]

เสรีภาพทางจิตวิญญาณและสังคม : เมื่อมนุษย์ปล่อยวางอำนาจฝ่ายต่ำของตน และพบแก่นแท้ของตนเอง แน่นอน ชีวิตทางสังคม วัฒนธรรม กิจการทางการเมือง และสังคมของเขาก็จะมีความสุขตามไปด้วย ดังที่รายงานจำนวนมากมายได้กล่าวสำทับประเด็นนี้เอาไว้ว่า มนุษย์ต้องเผชิญกับศัตรูภายในและภายนอก 2 ประการ ซึ่งศัตรูเหล่านั้นต้องการให้เขาถูกจับเป็นเชลย แต่ถ้าเขาเอาชนะศัตรูทั้งภายในและภายนอกได้เขาก็จะได้พบกับความเสรีภาพแต่น่าเสียดายที่ปัจจุบันกลุ่มสำนักคิด เช่น ซูฟี ได้พยายามต่อสู้กับศัตรูภายใน ปลดปล่อยตนเองจากอำนาจฝ่ายต่ำและคุณธรรมของซาตาน, แต่ไม่ได้ใส่ใจต่อเสรีภาพภายนอก และไม่ได้ปลดปล่อยตนจากเทพพระเจ้าทั้งหลาย (ในทางตรงกันข้ามมีบางกลุ่มต่อสู้เพื่อเสรีภาพภาพทางสังคม ไม่คิดว่าข้อจำกัดจะเป็นสาเหตุของความทุกข์ยากของมนุษย์ แต่อย่างใด

แต่บางกลุ่มเชื่อว่า การที่มนุษย์จะพบกับความสมบูรณ์และเสรีภาพที่แท้จริงได้ เขาต้องการเสรีภาพทั้งสองประเภทนั้น ซึ่งเสรีภาพทั้งสองมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกัน เสรีภาพทางสังคมจะไม่เกิดขึ้นถ้าปราศจากอิสรภาพทางจิตวิญญาณ และนี่เป็นความเจ็บปวดของสังคม มนุษย์ต้องการที่จะสร้างให้เสรีภาพทางสังคมเกิดขึ้น แต่เขาไม่ได้มองหาเสรีภาพทางจิตวิญญาณ ทุกวันนี้มนุษย์ต้องการสร้างสังคมในอุดมคติ และปลดปล่อยตนเองจากความสับสนวุ่นวายของปัญหาส่วนตัวและสังคม จำเป็นต้องหลีกเลี่ยงการมีอิสระและเสรีภาพชนิดสุดโต่งด้านใดด้านใหม่ ต้องหาแนวทางที่สร้างดุลภาพทางสังคม หลีกเลี่ยงความเสรีโดยศึกษาทั้งสองกรณี[13] ดังนั้น จะเห็นว่าในศาสนาอิสลามมีเสรีภาพทั้งส่วนตัวและสังคมอยู่ แต่มีความแตกต่างกันระหว่างแนวคิดของอิสลามกับตะวันตก[14]

ความสัมพันธ์ระหว่างศาสนากับโลก : บรรดาศาสดาผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายได้มาเพื่อสร้างความเจริญรุ่งเรืองสำหรับโลก เพียงแต่ว่าท่านเหล่านั้นได้มองโลกด้วยสายตาแห่งปรโลก โลกเสมือนเป็นสถานที่เพราะปลูกสำหรับปรโลก การกระทำทุกอย่างบนโลกนี้, ทั้งคำพูดและความประพฤติล้วนมีความหมายต่อปรโลกทั้งสิ้น ท่านเหล่านั้นได้สร้างโลกในลักษณะนี้แก่พวกเรา พวกเขาได้บนโลกนี้เพื่อสั่งสอนประชาชาติว่า วันนี้ควรจะดำรงชีวิตอย่างไรเพื่อความสุขของวันพรุ่งนี้ ดังนั้น คำสั่งสอนของศาสดาก็เพื่อชีวิตในวันนี้ สำหรับชีวิตของโลก เพื่อเราจะได้รับความเจริญรุ่งเรืองอันนิรันดรสำหรับชีวิตในปรโลก

ศาสนาและการพัฒนา : ศาสนาและการพัฒนาในแนวคิดและประเภทต่างๆ เช่น นโยบายพัฒนาทางเศรษฐกิจ, การเมือง, สังคม และวัฒนธรรม และไม่ได้ปล่อยปละละเลยสิ่งนั้น เพราะศาสนาได้ประกาศสั่งสอนครอบคลุมมนุษย์ทั้งโลก และถือว่ามนุษย์ทั้งหมดคือผู้ช่วยเหลือศาสนา ดังนั้น ในเรื่องการพัฒนาจำเป็นต้องมีนโยบายครอบคลุมทั่วถึงทั้งหมด ฉะนั้น การรู้จักศาสนาจึงถือเป็นพื้นฐานสำคัญ แม้ว่าการรู้จักศาสนานั้นจะเป็นเรื้องยุ่งยากก็ตาม เนื่องจากศาสนามีรากฐานสำคัญ 3 ประการ ประการหนึ่งอยู่ภายในของมนุษย์ ส่วนอีกสองประการขึ้นอยู่กับชีวิตภายนอกของเขา สองพื้นฐานสำคัญภายนอกได้แก่อัลกุรอานและอิตรัต (ลูกหลานนบี)  ส่วนฐานภายในได้แก่ศาสนา สติปัญญา และธรรมชาติ ซึ่งถือเป็นเหตุผลตามชัรอีย์ หมายถึง สิ่งที่สติปัญญาได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ ถือเป็นเหตุผลทางชัรอีย์ ด้วยเหตุนี้ ศาสนาจึงประกอบด้วยปัญญาและการอ้างอิง (กุรอานและฮะดีซ)

การพัฒนาความถูกต้องในวิสัยของความเชื่อ ศีลธรรม และวัฒนธรรม : เนื่องจากพื้นฐานของทุกภารกิจคือ พระ เจ้า พระองค์คือผู้ทรงสร้างทุกอย่าง ทรงประทาน กำไรหรือขาดทุนล้วนเป็นของพระองค์ พระองค์ทรงสร้างโลก อนาคตและการชุมนุมของมนุษย์เพื่อการปฏิสัมพันธ์กับพระเจ้า ดังนั้น ทุกภารกิจของมนุษย์ทั้งในแง่เศรษฐกิจวัฒนธรรม และการศึกษา ...จำเป็นต้องมาจากคำสั่งของพระเจ้า และอยู่ในความพึงพอพระทัยของพระองค์ ศาสนาได้เชิญชวนมนุษย์ให้มีคุณธรรม ศีลธรรม และมีวัฒนธรรม และขยายความยุติธรรมทางสังคมให้กว้างออกไป อย่างฉ้อฉลและละเมิดสิทธิของผู้อื่น อีกด้านหนึ่งได้ส่งเสริมสนับสนุนให้มนุษย์ได้เรียนรู้วิชาการ และการใช้ประโยชน์ที่เหมาะสมจากความรู้ ในลักษณะที่ว่าไม่มีคุณธรรมหรือประโยชน์จากความรู้ใด เว้นเสียแต่ว่าศาสนาได้สั่งสอนและเชิญชวนไปสู่การปฏิบัติทั้งเป็นข้อบังคับ และการสมัครใจ[15]

เสรีภาพทางการเมืองและการพัฒนาสังคม : ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาสากลแห่งโลกกล่าวว่า สำหรับบรรดาผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับศาสนา และไม่ได้ต่อสู้กับศาสนาสามารถมีชีวิตอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข พระ เจ้าไม่ได้ห้ามว่าคุณ อัลกุรอานกล่าวว่า “อัลลอฮฺ มิได้ทรงห้ามสูเจ้าไม่ให้ทำดีหรือให้ความยุติธรรม แก่บรรดาผู้ที่ไม่ได้ต่อต้านสูเจ้าในการเผยแพร่ศาสนา และมิได้ขับไล่สูเจ้าออกจากบ้านเรือนของสูเจ้า เนื่องจาก อัลลอฮฺทรงรักผู้มีความยุติธรรม”[16]

ประเภทของการพัฒนา : การพัฒนาแบ่งออกเป็น 2 ประเภท กล่าวคือ การพัฒนาที่ได้รับคำชมกับการประณาม การพัฒนาที่ได้รับการตำหนิประณาม เช่น การฟุ่มเฟือย การจัดสวัสดิการ และการควบคุมดูแล เนื่องจากอัลกุรอานถือว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนได้รับการตำหนิติฉินทั้งสิ้น มีการลงโทษ และผู้ที่เพียงแต่คิดพัฒนาส่วนบุคคล อัลกุรอานกล่าวว่า : ชนกลุ่มหนึ่งคิดเห็นแก่ตัว"[17] "บรรดาผู้ปฏิเสธนั้นพวกเขาจะหลงระเริงและกินเยี่ยงปศุสัตว์กิน"[18] และบรรดาผู้ที่คิดเห็นแก่ตัวก็ได้รับการตำหนิเอาไว้เช่นกัน[19] บรรดาผู้ทีมีความโลภและตระหนี่ถี่เหนียวอย่างรุนแรงก็ได้รับการตำหนิไว้[20] และบุคคลที่มีภูมิคุ้มกันให้รอดพ้นจากความโลภเห็นแก่ตัวเขาคือผู้ประสบความสำเร็จ[21] ดังนั้น การพัฒนาเพื่อความเจริญรุ่งเรืองและสุขสบายในชีวิตการเป็นอยู่โดยลืมสัญชาติญาณความเป็นมนุษย์ ย่อมได้รับการตำหนิ แต่การพัฒนาที่ได้รับการสรรเสริญสิ่งที่เขาผลิตมีความพยายามเต็มรูปแบบ และประสบความสำเร็จ ในการใช้จ่ายของเขามีความพอเพียง มีความรู้สึกสะดวกสบาย ฉะนั้น จากมุมมองนี้หากมนุษย์ได้อุตสาหพยายาม เพื่อขจัดความต้องการของมนุษย์และของสังคม ความพยายามเช่นนี้เป็นที่ยอมรับและได้รับความชื่นชม ขณะที่การพัฒนาที่ได้รับการตำหนิคือการพัฒนาเพื่อการเพิ่มความมั่งคั่ง และความภาคภูมิใจ แน่นอนการพัฒนาเช่นนี้ย่อมได้รับการตำหนิ[22]



[1] Hassan Hassanzadeh Amoli, นุซูซุลฮิกัม อะลีกุซูซิลฮิกัม, มัรกัซ นัชร์ฟัรอังระญา,หน้า. 180

[2]  อัลลามะฮฺ เฏาะบาเฏาะบาอี ซัยยิดฮุซัยน์ “มนุษย์ตั้งแต่แรกจนสิ้นสุด” แปลและเรียบเรียงโดย ร้ยฮานี ซอดิก สำนักพิมพ์ ซะฮฺรออ์ หน้า 13

[3]  อัลกุรอานบทอัลอะอ์รอฟ 54

[4] มุฮัมมัด เรย์ ชะฮฺรี, (Sayed Hamid Hosseini) มุนตะค็อบ มีซานุลฮิกมะฮฺ, รายงานที่ 2137, หน้า. 187 (รายงานจากท่านศาสดา)

[5] นะฮฺญุลบะลาเฆาะฮฺ, คำเทศนา 82

[6]  อัล-กุรอานบทมูฮัมมัด, 36

[7]  อัลลามะฮฺ เฏาะบาเฏาะบาอี ซัยยิดฮุซัยน์ “มนุษย์ตั้งแต่แรกจนสิ้นสุด” แปลโดอย Sadeq Larijani, p. 51

[8]  อัลกุรอานบทนูร 39

[9] อัล-กุรอาน บทโรม 7

[10] นะฮฺญุลบะลาเฆาะฮฺ, ฮิกมะฮฺ ที่ 432

[11] นะฮฺญุลบะลาเฆาะฮฺ, ฮิกมะฮฺ ที่ 211

[12] เรย์ ชะฮฺรี มุฮัมมัด มีซาน อัลฮิกมะฮฺ, เล่ม 2, รายงานลำดับที่ 3589

[13] Morteza Motahari ความรู้ทางศาสนา, การวิเคราะห์จากมุมมองของ มุเฏาะฮะรีย์ -- Dzhakam Ali, 56

[14] Morteza Motahari, เกี่ยวกับการปฏิวัติอิสลาม, หน้า 101 เป็นต้นไป

[15] Abdollah Javadi Amoli, มนุษย์กับศาสนา, หน้า 213-212 -- 210

[16] อัลกุรอาน บทมุมตะฮินะฮฺ 8

[17] อัลกุรอานบทอาลิอิมรอน 154

[18] อัลกุรอานบทมุฮัมมัด 12

[19]  อัลกุรอาน บทเตาบะฮฺ 34

[20] อัลกุรอาน บทนิซาอฺ, 128

[21] อัลกุรอานบท ฮัชร์, 9

[22] Abdollah Javadi Amoli, มนุษย์กับศาสนา, หน้า 222-220 -- 219

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • "การซิยารัตอิมามฮุเซนเสมือนการซิยารัตอัลลอฮ์ ณ อะรัช" หมายความว่าอย่างไร?
    9501 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/12/07
    ท่านฮุเซนบินอลี (อิมามที่สามของชีอะฮ์) ได้รับฐานะภาพอันสูงส่งจากอัลลอฮ์เนื่องจากมีเป้าหมายวัตรปฏิบัติการเสียสละ
  • ระหว่างการปฏิบัติตามพินัยกรรมและการแบ่งมรดก ควรกระทำสิ่งใดก่อน?
    8696 สิทธิและกฎหมาย 2555/04/02
    คำถามข้างต้นแบ่งออกเป็นสามส่วนด้วยกัน ซึ่งเราขอตอบทีละส่วนดังนี้ 1. ระหว่างการปฏิบัติตามพินัยกรรมและการแบ่งมรดก ควรกระทำสิ่งใดก่อน? กุรอานและฮะดีษระบุว่าให้สะสางหนี้สินและปฏิบัติตามพินัยกรรมของผู้ตายก่อนที่จะแบ่งมรดก มีสี่โองการเป็นอย่างน้อยที่ระบุเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้อย่างชัดเจน مِنْ بَعْدِ وَصِيَّةٍ يُوصي‏ بِها أَوْ دَيْن(...ภายหลังจากจำแนกส่วนที่ระบุในพินัยกรรมและหนี้สินออก และส่วนของมรดก...)[1] จะเห็นได้ว่าโองการนี้ต้องการจะสื่อว่าการปฏิบัติตามพินัยกรรมกระทำก่อนการแบ่งมรดก[2] 2. สามารถทำพินัยกรรมในทรัพย์สินทั้งหมดโดยไม่เหลือเป็นมรดกเลยได้หรือไม่? บุคคลที่มีสติสัมปชัญญะและบรรลุนิติภาวะย่อมมีอิสระในการบริหารทรัพย์สินของตนในยามที่ยังมีชีวิตอยู่ เป็นต้นว่าสามารถวะกัฟ หรือนะซัร หรือมอบให้ผู้อื่นตามแต่จะเห็นสมควร แต่หากเสียชีวิตไปแล้วก็จะสูญเสียสิทธิบางส่วนเหนือทรัพย์สินของตนไป แม้ผู้ตายระบุขอบเขตของพินัยกรรมเกินเศษหนึ่งส่วนสามของทรัพย์สินที่มี พินัยกรรมดังกล่าวก็จะมีผลเพียงเศษหนึ่งส่วนสามเท่านั้น สำหรับส่วนที่เกินจากนี้ หากทายาททุกรายบรรลุนิติภาวะแล้วและให้อนุญาตก็สามารถกระทำตามพินัยกรรมได้ทั้งหมด แต่หากทายาทที่บรรลุนิติภาวะบางรายให้อนุญาต ก็ให้ปฏิบัติตามพินัยกรรมตามสัดส่วนจำนวนของผู้ที่อนุญาต มิเช่นนั้นก็ให้ปฏิบัติเพียงกรอบเศษหนึ่งส่วนสามเท่านั้น[3] ส่วนหนี้สินของผู้ตายก็ให้สะสางให้เรียบร้อยก่อนที่จะแบ่งมรดกในหมู่ทายาท ไม่ว่าผู้ตายจะทำพินัยกรรมให้ชำระหรือไม่ก็ตาม 3. ทายาทสามารถจะปฏิเสธพินัยกรรมของผู้ตายที่เกี่ยวกับประเด็นมรดกได้หรือไม่? ทายาทจะต้องปฏิบัติตามในกรอบสิทธิพินัยกรรม (เศษหนึ่งส่วนสาม) และไม่มีสิทธิจะเพิกเฉยเด็ดขาด
  • จริงหรือไม่ที่กล่าวกันว่าหนังสืออัลกาฟีมีฮะดีษเศาะฮี้ห์เพียงไม่กี่บท?
    8155 ริญาลุลฮะดีซ 2555/01/01
    หลักเกณฑ์การเลือกฮะดีษที่ท่านกุลัยนีระบุไว้นั้นมีไว้เฉพาะกรณีฮะดีษที่ขัดแย้งกันเพราะหลักเกณฑ์พิสูจน์ความเศาะฮี้ห์ของฮะดีษมีมากกว่าสามวิธีที่ท่านระบุไว้อันได้แก่จะต้องสอดคล้องกับกุรอานตรงข้ามกับอามมะฮ์และแนวตัคยี้รส่วนการประพันธ์ตำราหลังยุคท่านกุลัยนีก็มิได้หมายความว่าหนังสืออัลกาฟีไม่น่าเชื่อถือเพราะผู้ประพันธ์ตำราเหล่านั้นก็ล้วนยอมรับความนิยมในหนังสืออัลกาฟี ...
  • เราสามารถปฏิบัติตามอัลกุรอานเฉพาะโองการที่เข้าใจได้หรือไม่?
    8359 فضایل اخلاقی 2557/01/21
    มนุษย์เราจำเป็นจะต้องขวนขวายหาความรู้อยู่ตลอดเวลา แน่นอนว่าหากเลือกปฏิบัติตามที่ตนรู้ตามกระบวนการดังกล่าวอย่างบริสุทธิ์ใจ อัลลอฮ์จะทรงชี้นำเขาสู่ความถูกต้องอย่างแน่นอน กุรอานกล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ว่า «وَ الَّذینَ جاهَدُوا فینا لَنَهْدِیَنَّهُمْ سُبُلَنا وَ إِنَّ اللَّهَ لَمَعَ الْمُحْسِنین»[1] “และเหล่าผู้ที่ต่อสู้ในแนวทางของเรา(อย่างบริสุทธิ์ใจ) แน่แท้ เราจะชี้นำพวกเขา และพระองค์ทรงอยู่เคียงข้างผู้บำเพ็ญความดี” ท่านนบีกล่าวว่า “مَنْ عَمِلَ بِمَا یَعْلَمُ وَرَّثَهُ اللَّهُ عِلْمَ مَا لَمْ یَعْلَمْ”[2] ผู้ที่ปฏิบัติตามสิ่งที่ตนรู้ พระองค์จะทรงสอนสั่งในสิ่งที่เขาไม่รู้” จำเป็นต้องทราบว่า กุรอานมีทั้งโองการที่มีสำนวนเข้าใจง่ายและมีความหมายไม่ซับซ้อน อย่างเช่นโองการที่บัญชาให้นมาซ ห้ามมิให้พูดปด ห้ามนินทา ฯลฯ ...
  • จำเป็นหรือไม่ที่มิตรภาพระหว่างบุคคลขึ้นอยู่กับความคล้ายคลึงกันทางกายภาพ อย่างเช่น อายุและส่วนสูงที่เท่ากัน ฯลฯ?
    7054 จริยธรรมปฏิบัติ 2555/06/23
    สิ่งที่อิสลามใช้เป็นเกณฑ์ในการเลือกคบค้าสมาคมอันดับแรกก็คือคุณลักษณะทางจิตใจ หาไช่รูปลักษณ์ภายนอกไม่ อย่างไรก็ดี คุณลักษณะภายนอกบางประการอาจเป็นสิ่งสำคัญในบางสถานการณ์ ตัวอย่างเช่น การที่ไม่ควรคบหากับผู้ที่จะเป็นเหตุให้ถูกสังคมมองในทางที่ไม่ดี หลักเกณฑ์ของอิสลามคือ ควรต้องมีอีหม่าน, สามารถจุนเจือเพื่อนได้ทั้งทางโลกและทางธรรม, ช่วยตักเตือนในความผิดพลาด ฯลฯ ...
  • อิสลามมีทัศนะอย่างไร เกี่ยวกับใบยาสูบ?
    9530 สิทธิและกฎหมาย 2555/07/16
    อิสลามได้ห้ามการบริโภค ดื่ม และการใช้สิ่งต่างๆ ที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย และสุขภาพ และถ้าอันตรายยิ่งมีมากเท่าใด การห้ามโดยสาเหตุก็ยิ่งหนักหน่วงและรุนแรงขึ้นไปตามลำดับ, จนถึงระดับของการ ฮะรอม ท่านอิมามโคมัยนี (รฎ.) กล่าวว่า : “การบริโภคสิ่งของที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อมนุษย์ถือว่า ฮะรอม”[1] เป็นที่ประจักษ์ชัดเจนว่า เกณฑ์ของฮะรอม, ขึ้นอยู่กับอันตราย กล่าวคือไม่ว่าอันตรายจะเกิดจากการบริโภค หรือเกิดจากแนวทางอื่นก็ตาม, มิได้มีการระบุไว้ตายตัวแน่นอน. บุหรี่เป็นหนึ่งในสิ่งต่างๆ เหล่านั้น ซึ่งการสูบบุหรี่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของมนุษย์ แต่อันตรายนั้นจะถึงขั้นที่ว่า การสูบบุหรี่เป็นฮะรอมหรือไม่? บรรดาแพทย์ส่วนใหญ่และผู้เชี่ยวชาญเรื่องนี้, ต่างมีความเห็นพร้องต้องกันว่า บุหรี่เป็นอันตรายสำคัญและผลเสียเกิดขึ้นตามมามากมาย หนังสือและตำราต่างๆ จำนวนมากได้กล่าวอธิบายถึงอันตรายและผลเสียต่างๆ ที่เกิดจากการใช้ใบยาสูบ,โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุหรี่,ซึ่งได้กลายเป็นสาขาหนึ่งที่มีการวิเคราะห์วิจัยออกมาอย่างกว้างขวาง[2] ...
  • คำว่า “ฮุจซะฮ์”ในฮะดีษของมุฮัมมัด บิน ฮะนะฟียะฮ์ หมายความว่าอย่างไร?
    7668 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2555/02/12
    คำว่าฮุจซะฮ์ที่ปรากฏในฮะดีษบทต่างๆแปลว่าการยึดเหนี่ยวสื่อกลางในโลกนี้ระหว่างเรากับอัลลอฮ์ท่านนบีและบรรดาอิมาม(อ.) ซึ่งก็หมายถึงศาสนาจริยธรรมและความประพฤติที่ดีงามหากบุคคลยึดถืออิสลาม
  • การแสวงหาความต้องการอื่น ๆ นอกจากพระเจ้า เช่นขอจากบบี (ซ็อล ฯ) และบรรดาอิมามผู้บริสุทธิ์ (อ.) เป็นชิริกหรือไม่ เพราะในความเป็นจริงผู้ตอบสนองความต้องการคือพระเจ้า
    8158 เทววิทยาดั้งเดิม 2553/12/22
    การให้ความเคารพการย้อนกลับการขอความต้องการไปยังผู้ทรงเกียรติ (พระศาสดาและบรรดาอิมาม) ถ้าหากมีเจตนาว่าพวกเขามีบทบาทต่อการเกิดผลและสามารถปลดเปลื้องความต้องการของเราได้โดยเป็นอิสระจากพระเจ้าหรือปราศจากการพึ่งพิงไปยังอาตมันสากลของพระองค์การมีเจตนารมณ์เช่นนี้ถือว่าเป็นชิริกอีกทั้งขัดแย้งกับเตาฮีดอัฟอาล (ความเป็นเอกภาพในการกระทำ) เนื่องจากพระองค์ปราศจากการพึ่งพิงไปยังสิ่งอื่นขณะที่สิ่งอื่นต้องพึ่งพิงไปยังพระองค์ขัดแย้งกับเตาฮีดรุบูบียะฮฺ(อำนาจบริหารและบริบาลเป็นของพระองค์แต่เพียงผู้เดียวส่วนบรรดาศาสดามะลักหรือปัจจัยทางธรรมชาติเป็นเพียงสื่อของพระองค์)
  • หากว่าหลังจากที่เราตายไป อัลลอฮ์อนุญาตให้กลับสู่โลกนี้อีกครั้ง เราจะปรับปรุงตนได้หรือไม่?
    6664 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/09/04
    อันดับแรกต้องเรียนว่าการกลับสู่โลกนี้ตามใจชอบนั้นจะทำลายระบบระเบียบของโลกนี้อีกทั้งยังทำให้ภารกิจของบรรดานบีหมดความหมายไปโดยสิ้นเชิงสอง, สมมติว่าคนที่ทำบาปได้กลับสู่โลกนี้ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะปรับปรุงตัวได้หรือไม่ทั้งนี้ก็เนื่องจากโลกนี้ก็ยังเหมือนเดิมและกิเลสตัณหาของผู้ตายก็มิได้อันตรธานหายไปดังจะเห็นได้ว่าหลายครั้งหลายหนที่คนเราได้เห็นอุทาหรณ์สอนใจว่าโลกนี้ไร้แก่นสารแต่ก็ยังไม่วายจะหลงใหลครั้งแล้วครั้งเล่าเป็นเหตุให้พวกเขาทำบาปเพื่อให้ได้มาซึ่งความสุขชั่ววูบในโลกนี้ ...
  • ทำไมเราจึงต้องมีเพียงสิบสองอิมามเท่านั้น ในยุคสมัยของอิมามที่ไม่ปรากฏตัว เราจะสามารถหาทางรอดพ้นได้อย่างไร?
    6939 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/10/03
    ตำแหน่งอิมามเป็นตำแหน่งที่ได้รับการแต่งตั้งจากพระผู้เป็นเจ้า การกำหนดตัวบุคคลที่จะขึ้นมาเป็นอิมามและจำนวนของอิมามนั้นขึ้นกับพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าและทางเดียวที่เราจะสามารถรับรู้ถึงเจตนาดังกล่าวได้ก็คือฮะดีษของท่านศาสดาแห่งอิสลาม (ศ็อลฯ) นั่นเองท่านศาสดา (ศ็อลฯ) ได้กล่าวถึงบุคคลและจำนวนของอิมาม(อ

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60546 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    58139 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42668 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    40047 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    39291 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    34407 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    28471 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    28395 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    28322 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    26246 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...