การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
9867
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2551/11/03
คำถามอย่างย่อ
ท่านอิมามอะลี (อ.) ได้ให้บัยอัตแก่อบูบักรฺ อุมัร และอุสมานหรือไม่? เพราะอะไร?
คำถาม
เมื่อท่านอิมามอะลี (อ.) ทราบว่า อัลลอฮฺทรงแต่งตั้งให้ท่านเป็นเคาะลิฟะฮฺ แล้วเพราะสาเหตุใดท่านต้องให้บัยอัตกับอบูบักรฺ อุมัร และอุสมานด้วย? ถ้าหากพูดว่าเป็นเพราะท่านไม่มีอำนาจและไร้ความสามารถ, เมื่อเป็นเช่นนั้นบุคคลที่ไม่มีอำนาจจะคู่ควรเป็นอิมามะฮฺได้อย่างไร, เนื่องจากบุคคลที่มีความสามารถจึงคู่ควรกับอิมาม เพราะเขาจะเป็นผู้แบกรับผิดชอบตำแหน่งอิมาม. แต่ถ้าพูดว่าอิมามมีความสามารถ เพียงแต่ว่าไม่ได้ใช้ความสามารถของตน สิ่งนี้ถือว่าเป็นการทรยศ ดังนั้น คนทรยศไม่อาจเป็นอิมามได้ และประชาชนไม่อาจเชื่อมั่นในการเป็นผู้นำของเขาได้ ซึ่งท่านอิมามอะลี (อ.) ห่างไกลจากการเป็นผู้ทรยศ และสะอาดจากสิ่งเหล่านี้ ดังนั้น คำตอบที่ถูกต้องของท่านคืออะไร?
คำตอบโดยสังเขป

ประการแรก: ท่านอิมามอะลี (อ.) และบรรดาสหายกลุ่มหนึ่งของท่าน พร้อมกับสหายของท่านศาสดา มิได้ให้บัยอัตกับท่านอบูบักรฺตั้งแต่แรก แต่ต่อมาคนกลุ่มนี้ได้ให้บัยอัต ก็เนื่องจากว่าต้องการปกปักรักษาอิสลาม และความสงบสันติในรัฐอิสลาม

ประการที่สอง: ปัญหาทั้งหมดที่เกิดขึ้นนั้นไม่อาจคลี่คลายให้เสร็จสิ้นได้ด้วยคมดาบ หรือความกล้าหาญเพียงอย่างเดียว และมิได้หมายความว่าทุกที่จะสามารถใช้กำลังได้ทั้งหมด เนื่องจากมนุษย์เป็นผู้มีสติปัญญา และฉลาดหลักแหลม สามารถใช้เครื่องมืออันเฉพาะแก้ไขปัญหาได้

ประการที่สาม: ถ้าหากท่านอิมามยอมให้บัยอัตกับบางคน เพื่อปกป้องรักษาสิ่งที่มีคุณค่ามากกว่า เช่น ปกป้องศาสนาของพระเจ้า และความยากลำบากของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) นั่นมิได้หมายความว่า ท่านเกรงกลัวอำนาจของพวกเขา และต้องการรักษาชีวิตของตนให้รอดปลอดภัย หรือท่านมีอำนาจต่อรองในตำแหน่งอิมามะฮฺและการเป็นผู้นำน้อยกว่าพวกเขาแต่อย่างใด

ประการที่สี่ : จากประวัติศาสตร์และคำพูดของท่านอิมามอะลี (อ.) เข้าใจได้ว่า ท่านอิมาม ได้พยายามคัดค้านและท้วงติงพวกเขาหลายต่อหลายครั้ง เกี่ยวกับสถานภาพตามความจริง ในช่วงการปกครองของพวกเขา แต่ในที่สุดท่านได้พยายามปกปักรักษาอิสลามด้วยการนิ่งเงียบ และช่วยเหลืองานรัฐอิสลามเมื่อเผชิญหน้ากับศัตรู

คำตอบเชิงรายละเอียด

เมื่อพิจารณาประวัติศาสตร์ในยุคแรกของอิสลามเป็นที่ประจักษ์ชัดว่า :

หนึ่ง : ยังไม่ทันที่เรือนร่างบริสุทธิ์ของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) จะถูกฝัง การชุมนุมกันที่สะกีฟะฮฺบนีซาอิดะฮฺ ก็ได้เริ่มต้นขึ้นทันที พวกเขาได้ให้สัตยาบันกับคนอื่นที่นอกเหนือไปจากท่าน อิมามอะลี (อ.) ขณะที่ท่านอิมามอะลี (อ.) กำลังยุ่งอยู่กับการกะฟั่นเรือนร่างของท่านศาสดา (ซ็อลฯ)[1] และมีเซาะฮาบะฮฺกลุ่มหนึ่งพร้อมกับหัวหน้าเผ่า เช่น อับบาซ บิน อับดุลมุฏ็อลลิบ, ฟัฎลฺ บิน อับบาซ, ซุเบร บิน อะวาม, คอลิด บิน สะอีด, มิกดาร บิน อัมรฺ, ซัลมาล ฟาร์ซียฺ, อบูซัร ฆัฟฟารียฺ, อัมมาร บินยาซีร, อัลบัรรออฺ บิน อาซิบ และอบี บิน กะอฺบ์ มิได้ให้สัตยาบัน ซึ่งพวกเขาได้สนับสนุนท่านอิมามอะลี (อ.)[2] หนังสือมุซนัดอะฮฺมัด 1/55 และฏ็อบรียฺ 2/466 กล่าวว่า บุคคลกลุ่มนี้ได้รวมตัวกันที่บ้านของท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ (อ.) พวกเขาหลีกเลี่ยงไม่ให้สัตยาบันกับอบูบักรฺ[3]

ประวัติศาสตร์กล่าว่า ท่านอิมามอะลี (อ.) ได้ตอบข้อสงสัยของบุคคลที่มารวมตัวกันอยู่ที่บ้านของท่าน ซึ่งพวกเขาต้องการให้สัตยาบันกับท่าน ท่านอิมามกล่าวว่า : “พรุ่งให้พวกท่านมาอีกครั้ง ในสภาพที่เกรียนผมสั้น แต่พอวันรุ่งขึ้นมีเพียง 3 คนเท่านั้นได้มาหาท่านอิมามอะลี (อ.)[4]

ในทำนองเดียวกันประวัติศาสตร์บันทึกว่า ท่านอิมามอะลี (อ.) มิได้ให้บัยอัตกับอบูบักรฺ ตลอดระยะเวลาที่ท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ (อ.) ยังมีชีวิตอยู่ แต่หลังจากนั้นเมื่อท่านอิมามเริ่มเห็นว่าสังคมนับวันจะยิ่งเลวร้ายลง ท่านจึงจำเป็นต้องให้ความร่วมมือกับอบูบักรฺ[5]

ด้วยเหตุนี้ ท่านอิมามอะลี (อ.) และบรรดาสหายกลุ่มหนึ่งของท่าน พร้อมกับสหายของท่านศาสดา มิได้ให้บัยอัตกับท่านอบูบักรฺตั้งแต่แรก แต่ต่อมาคนกลุ่มนี้ได้ให้บัยอัต ก็เนื่องจากว่าต้องการปกปักรักษาอิสลาม และความสงบสันติในรัฐอิสลาม

บิลาซัรรียฺ กล่าวถึงสาเหตุของการให้บัยอัตของท่านอิมามอะลี (อ.) กับอบูบักรฺว่า : » หลังจากท่านศาสดา (ซ็อลฯ) จากไปมีชนเผ่าอาหรับจำนวนหนึ่งตกมุรตัด (ออกนอกศาสนา) อุสมานได้มาหาท่านอิมามอะลี (อ.) พร้อมกับกล่าวว่า : โอ้ บุตรชายของท่านอา ตราบที่ท่านยังไม่มอบสัตยาบัน จะไม่มีผู้ใดออกไปสงครามกับศัตรูแน่นอน ซึ่งพวกเขาได้พูดเช่นนี้กับท่านอิมามอะลี (อ.) เสมอ จนกระทั่งในที่สุดท่านอิมามได้ให้สัตยาบันกับอบูบักรฺ«[6] ซึ่งการให้สัตยาบันของท่านอิมามอยู่ในยุคสมัยของอบูบักรฺเท่านั้น หลังจากนั้นท่านได้ทักท้วงเรื่องการปกครองเสมอ

ท่านอิมามอะลี (อ.) กล่าวถึงประเด็นดังกล่าวว่า : “พึงสังวรเถิด ฉันขอสาบานด้วยพระนามแห่งอัลลอฮฺ แน่นอนที่สุดชายคนนั้น (อบูบักรฺ) ได้สวมเสื้อแห่งเคาะลิฟะฮฺ ทั้งที่ความเป็นจริงเขารู้ดีถึงฐานภาพของฉัน กับการปกครองอิสลามว่า มีความสัมพันธ์กันเฉกเช่นเดือยโม่กับโม่ เขารู้ดีถึง ความประเสริฐและกระแสคลื่นแห่งความรู้ ที่ไหลหลากออกจากฉัน หมู่มวลวิหคมันไม่สามารถบินต่อไปได้ ฉะนั้น ฉันจึงปล่อยเสื้อแห่งคิลาฟะฮฺไป และลดตัวเองสวมอาภรณ์อีกตัวหนึ่ง ฉันครุ่นคิดด้วยความปวดร้าวว่า ฉันควรกระโจนลงไปยึดสิ่งนั้นกลับมาด้วยมือเปล่า (ปราศจากผู้ช่วยเหลือ) หรือว่าจะอดทนอยู่กับความมืดมิดที่เข้าปกคลุมอยู่อย่างนี้ต่อไป และอยู่ในสภาพเช่นนั้นจนผู้ใหญ่ผ่านวัยสู่ความร่วงโรย เด็กผ่านเข้าสู่วัยหนุ่ม  และผู้ศรัทธาคนหนึ่งต้องอดทนกล้ำกลืนอย่างเจ็บปวด จนกระทั่งกลับคืนไปสู่พระผู้อภิบาลของตน ดังนั้น ฉันพิจารณาแล้วเห็นว่า การอดทนกับสภาพทั้งสองย่อมเหมาะสมมากกว่า ด้วยเหตุนี้ ฉันจึงยอมอดทนทั้งที่ในดวงตาเต็มไปด้วยเศษขยะ และในลำคอมีกระดูกทิ่มติดอยู่”[7]

แต่สำหรับประเด็นที่กล่าวว่า ท่านอิมามอะลี (อ.) มีความกล้าหาญเพียงนั้น แล้วทำไมท่านไม่ยืนหยัด หรือไม่ยอมกระทำสิ่งใดเลย จำเป็นต้องกล่าวว่า ปัญหาทั้งหมดที่เกิดขึ้นนั้นไม่อาจคลี่คลายให้เสร็จสิ้นได้ด้วยคมดาบ หรือความกล้าหาญเพียงอย่างเดียว และมิได้หมายความว่าทุกที่จะสามารถใช้กำลังได้ทั้งหมด เนื่องจากมนุษย์เป็นผู้มีสติปัญญา และฉลาดหลักแหลม สามารถใช้เครื่องมือและวิธีการอันเหมาะแก้ไขปัญหาได้ การมีอำนาจ กำลัง ความสามารถ และความกล้าหาญในสนามรบ ก็จะมิถูกนำไปใช้กับภารกิจต่างๆ ที่ไร้ประโยชน์แต่อย่างใด

ดังที่ท่านฮารูน เมื่อเห็นว่าหมู่ชนของมูซา (อ.) หันไปเคารพบูชารูปปั้นวัว ซึ่งขณะนั้นท่านเป็นตัวแทนของศาสดามูซา (อ.) แต่ท่านก็มิได้ลงมือกระทำสิ่งใด นอกจากการว่ากล่าวตักเตือนและแนะสำสิ่งดีๆ แก่พวกเขา อัลกุรอาน ได้กล่าวถึงคำพูดของฮารูนที่ตอบข้อท้วงติงของศาสดามูซา (อ.) ที่มีต่อท่าน เนื่องจากท่านมิได้ห้ามปรามพวกเขา หรือขัดขวางมิให้วงศ์วานอิสราเอล มิให้เคารพรูปปั้นบูชาแต่อย่างใด กล่าวว่า : »ฮารูนกล่าวว่า "โอ้ ลูกของแม่ฉันเอ๋ย! อย่าดึงเคราและศีรษะของฉัน แท้จริงฉันกลัวว่า เจ้าจะกล่าวว่า เจ้าได้ก่อความแตกแยกขึ้นในหมู่วงศ์วานอิสรออีล และเจ้าไม่เชื่อฟังคำสั่งของฉัน«[8]

อัลกุรอานกล่าวถึง การปลีกตัวของศาสดาอิบรอฮีม (อ.) จากการเคารพรูปปั้นบูชาว่า  : »ครั้นเมื่อเขา (อิบรอฮีม) ปลีกตัวออกไปจากพวกเขาและสิ่งที่พวกเขาเคารพสักการะ นอกจากอัลลอฮฺแล้ว«[9]

ทำนองเดียวกันการปลีกตัวของเยาวชนกลุ่มหนึ่ง หรือชาวถ้ำจากกลุ่มชนที่อธรรมพวกเขา อัลกุรอานกล่าวว่า : »เมื่อพวกท่านปลีกตัวออกห่างจากพวกเขา (มุชริก) และจากสิ่งที่พวกเขาสักการะ นอกจากอัลลอฮฺ ดังนั้น จงหลบเข้าไปในถ้ำเถิด เพื่อพระผู้อภิบาลของพวกท่านจะทรงแผ่ความเมตตาของพระองค์แก่พวกท่าน และจะทรงทำให้กิจการของพวกท่าน ดำเนินไปอย่างสะดวกสบาย«[10]

ดังนั้น ถูกต้องไหมถ้าเราจะกล่าวถึงการปลีกตัวของศาสดาอิบรอฮีม (อ.) และชาวถ้าว่า เกิดจากความหวาดกลัว หรือทรยศ ขณะที่ในช่วงเวลานั้น หนทางแก้ไขปัญหาที่เหมาะสมคือ ต้องทำตามวิธีการดังกล่าว

ถ้าหากท่านอิมามอะลี ได้ปฏิบัติสิ่งที่มีความเหมาะสมยิ่งกว่า เพื่อปกป้องรักษาศาสนาของพระเจ้า และความลำบากตรากตรำของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ซึ่งท่านได้ให้สัตยาบันกับคนบางคน นั่นมิได้หมายความว่านั่นมิได้หมายความว่า ท่านเกรงกลัวอำนาจของพวกเขา และต้องการรักษาชีวิตของตนให้รอดปลอดภัย หรือท่านมีอำนาจต่อรองในตำแหน่งอิมามะฮฺและการเป็นผู้นำน้อยกว่าพวกเขาแต่อย่างใด

ท่านอิมามอะลี (อ.) กล่าวถึงสาเหตุที่ท่านไม่ยืนหยัดต่อสู้ เพื่อช่วงชิงตำแหน่งเคาะลิฟะฮฺว่า หลังจากท่านศาสดา (ซ็อลฯ) จากไปแล้ว ข้าพิจารณาดูแล้วก็เห็นทันทีว่า (การเรียกร้องสิทธิ์ของข้า) ไม่มีผู้ช่วยแต่อย่างใดนอกจากสมาชิกครอบครัวของข้า ดังนั้น ข้าไม่พอใจต่อความตายของพวกเขา ข้าต้องหลับตาขณะที่มันเต็มไปด้วยเศษปฏิกูล ข้ากล่ำกลืนเหตุการณ์ที่แสนขมขื่น (ประหนึ่งลำคอที่ถูกหนามทิ่มแทง) ข้าต้องอดทนอย่างสุดแสนกล้ำกลืน และดื่มความขมขื่นของรสชาติที่สุดแสนจะขม[11]

ในอีกที่หนึ่งท่านอิมาม (อ.) กล่าวว่า ดังนั้น ถ้าฉันพูดอะไรออกมาคนเหล่านั้นก็จะกล่าวว่า “เขาทะยานอยากในอำนาจการปกครอง” แต่ถ้าฉันนิ่งเงียบไม่พูดอะไร พวกเขาก็จะกล่าวว่า “เขากลัวตาย”[12]

สรุป การให้สัตยาบันของท่านอิมามอะลี (อ.) มิได้เกิดจากความหวาดกลัว (เนื่องจากทั้งมิตรและศัตรูต่างทราบดีถึงความกล้าหาญชาญชัยของท่าน) ทว่าเนื่องจากการปราศจากผู้ช่วยเหลือในวิถีทางความจริง และต้องการรักษาความสมานฉันท์ในสังคมอิสลาม ซึ่งเป็นหน้าที่ของเหล่าบรรดาผู้นำที่แท้จริงแห่งพระเจ้า แม้แต่ท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ก็ปฏิบัติเช่นเดียวกัน เนื่องจากท่านมีสหายผู้ช่วยเหลือเพียงน้อยนิด และต้องการรักษาอิสลามให้มั่นคง ท่านจำเป็นต้องปลีกตัวออกไปจากหมู่ชน และอพยพไปยังมะดีนะฮฺ จนกระทั่งว่าผู้ช่วยเหลือมีจำนวนมากขึ้น ท่านจึงได้กลับมาพิชิตมักกะฮฺในภายหลัง

ด้วยเหตุนี้ ท่านอิมามอะลี (อ.) ทั้งที่รู้ว่าท่านคือตัวแทนของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) แต่เพื่อความสงบของสังคมและมุสลิม ท่านถือว่าการอดทนคือวิธีการที่ดีที่สุดสำหรับท่าน เนื่องจากท่านอิมาม (อ.) ทราบดีว่าเมื่อใดจึงจะสามารถใช้กำลัง และอาวุธเข้าห้ำหั่นกับศัตรู แต่สังคมหลังจากท่านศาสดา (ซ็อลฯ) จากไปแล้ว ท่านเห็นว่าความอดทนและการนิ่งเงียบนั้นดีกว่าการต่อสู้ ในสถานการณ์เช่นนั้น ท่านและครอบครัวตลอดจนสหายของท่าน ได้นิ่งเงียบและจะใช้กำลังสู้รบกับศัตรูที่จ้องจะทำลายล้างอิสลาม ดังนั้น การนิ่งเงียบและการประนีประนอมของท่านอิมาม (อ.) จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด

 


[1] กันซุลอุมาล 5/552

[2] ซุยูฎียฺ, ตารีคคุละฟาอฺ, หน้า 62, พิมพ์ ดารุลฟิกฮฺ, เลบานอน, ตารีคยะอฺกูบียฺ,2/124-125, ฏ็อบรียฺ, ตารีคอัลอุมัม วัลมะลูก, 2, เล่ม 2, หน้า 443, พิมพ์ที่อิสติกอมัต, กอเฮเราะฮฺ, มุซนัดอะฮฺมัด, เล่ม 3, หน้า 156, (ฮาชิม), พิมพ์ที่ ดารุลซอดิร

[3] อ้างแล้ว

[4] มะอาลิม อัลมัดเราะสะตัยนฺ,อัลลามะฮฺ อัสการียฺ, เล่ม 1, หน้า 162.

[5] ฏ็อบรียฺ, ตารีคอัลอุมัมวัลมัมลูก, 2/448, พิมพ์ที่อิสติกอมะฮฺ, กอเฮเราะฮฺ

[6] อินซาบ อัลอัชรอฟ 1/587.

[7] นะฮฺญุลบะลาเฆาะฮฺ, คำเทศนาที่ 3, หน้า 45.

[8] قالَ يَا بْنَ أُمَّ لا تَأْخُذْ بِلِحْيَتي‏ وَ لا بِرَأْسي‏ إِنِّي خَشيتُ أَنْ تَقُولَ فَرَّقْتَ بَيْنَ بَني‏ إِسْرائيلَ وَ لَمْ تَرْقُبْ قَوْلي‏อัลกุรอาน บทฏอฮา, 94.

[9] فَلَمَّا اعْتزََلهَُمْ وَ مَا يَعْبُدُونَ مِن دُونِ الله‏อัลกุรอาน บทมัรยัม, 49.

[10] وَ إِذِ اعْتزَلْتُمُوهُمْ وَ مَا يَعْبُدُونَ إِلَّا اللَّهَ فَأْوُاْ إِلىَ الْكَهْفِ يَنشُرْ لَكمُ‏ْ رَبُّكُم مِّن رَّحْمَتِهِ وَ يُهَيئّ‏ِْ لَكمُ مِّنْ أَمْرِكمُ مِّرْفَقًا.อัลกุรอาน บทกะฮฺฟิ, 16.

[11] นะฮฺญุลบะลาเฆาะฮฺ, คำเทศนาที่ 76, หน้า 73.

[12] นะฮฺญุลบะลาเฆาะฮฺ, คำเทศนาที่ 5, หน้า 51.

 

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • ศาสดาท่านหนึ่งมีนามว่า อิสราเอล ใช่หรือไม่? และสิ่งที่ได้ทำให้ฮะรอมสำหรับตนเองคืออะไร?
    6378 تاريخ بزرگان 2555/05/17
    อิสราเอลคือชื่อของท่านยะอฺกูบ (อ.) ศาสดาท่านหนึ่งแห่งพระเจ้า และเนื่องจากความจำเป็นบางอย่างท่านไม่รับประทานเนื้ออูฐและนม โดยถือเป็นฮะรอมสำหรับตนเอง อัลกุรอานโองการที่ 93 บทอาลิอิมรอน อัลลอฮฺ ตรัสว่า "كُلُّ الطَّعامِ كانَ حِلاًّ لِبَنِي إِسْرائِيلَ إِلاَّ ما حَرَّمَ إِسْرائِيلُ عَلى‏ نَفْسِهِ مِنْ قَبْلِ أَنْ تُنَزَّلَ التَّوْراةُ قُلْ فَأْتُوا بِالتَّوْراةِ فَاتْلُوها إِنْ كُنْتُمْ صادِقِينَ"؛ “อาหารทุกชนิดนั้นเป็นที่อนุมัติแก่วงศ์วานอิสรออีลมาแล้ว นอกจากที่อิสรออีล [ยะอฺกูบ] ได้ทำให้เป็นที่ต้องห้ามแก่ตัวเอง ก่อนที่เตารอตจะถูกประทานลงมาเท่านั้น จงกล่าวเถิดว่า ...
  • เพราะเหตุใดฉันต้องเป็นมุสลิมด้วย? โปรดตอบคำถามของฉันด้วยเหตุผลของวิทยปัญญา
    7171 เทววิทยาใหม่ 2554/10/22
    แม้ว่าความสัตย์จริงของศาสนาต่างๆในปัจจุบันบนโลกนี้ยังคงปรากฏให้เห็นอยู่บ้างก็ตาม, แต่รูปธรรมโดยสมบูรณ์และความจริงแท้แห่งความเป็นเอกะของพระเจ้ามีเฉพาะในศาสนาอิสลามเท่านั้นหรืออีกนัยหนึ่งท่านสามารถพบสิ่งนี้เฉพาะในคำสอนของอิสลาม, เหตุผลหลักสำหรับการพิสูจน์คำกล่าวอ้างข้างต้น,คือการไม่มีหลักฐานที่เชื่อถือได้, ประกอบกับการสังคายนาและภาพความขัดแย้งกันทางสติปัญญาที่ปรากฏในคำสอนของศาสนาอื่น
  • ระหว่างการกระทำกับผลบุญที่พระองค์จะทรงตอบแทนนั้น มีความสอดคล้องกันหรือไม่?
    7026 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/10/18
    การสัญญาว่าจะมอบผลบุญให้อย่างที่กล่าวมามิได้ขัดต่อความยุติธรรมหรือหลักดุลยภาพระหว่างการกระทำกับผลบุญแต่อย่างใดเพราะหากจะนิยามความยุติธรรมว่าคือ"การวางทุกสิ่งในสถานะอันเหมาะสม"ซึ่งในที่นี้ก็คือการวางผลบุญบนการกระทำที่เหมาะสมก็ต้องเรียนว่ามีความเหมาะสมเป็นอย่างดีเนื่องจาก ก. จุดประสงค์ของฮะดีษที่อธิบายผลบุญเหล่านี้คือการเน้นย้ำถึงความสำคัญของอิบาดะฮ์ที่กล่าวถึงมิได้ต้องการจะดึงฮัจย์หรือญิฮาดลงต่ำแต่อย่างใดซ้ำยังถือว่าฮะดีษประเภทนี้กำลังยกย่องการทำฮัจย์หรือญิฮาดทางอ้อมได้อีกด้วยเนื่องจากยกให้เป็นมาตรวัดอิบาดะฮ์ประเภทอื่นๆ
  • มนุษย์สามารถเข้าถึงเรื่องจิตวิญญาณโดยปราศจากศาสนาได้หรือไม่?
    10535 จริยธรรมทฤษฎี 2555/09/08
    รูปภาพของจิตวิญญาณสมัยที่โจทย์ขานกันอยู่ในปัจจุบัน มีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงกับภาพทางจิตวิญญาณ ในความคิดของเราในฐานะมุสลิมหนึ่ง เนื่องจากความก้าวหน้าทางจิตวิญญาณของมุสลิมนั้น มีความสัมพันธ์อย่างลึกซึ้งกับคำสอนศาสนา จิตวิญญาณทางศาสนา, วางอยู่บนพื้นฐานของการปฏิบัติตามตำแนะนำสั่งสอนของศาสนา จึงจะก่อให้เกิดสถานดังกล่าว คำแนะนำและความรู้เกี่ยวกับความจริงที่พ้นญาณวิสัย เหนือโลกวัตถุและความจริงที่วางอยู่บนพื้นฐานดังกล่าว จะพบว่ามนุษย์ในระบบของการสร้างสรรค์ มีสถานภาพพิเศษ กำลังดำเนินชีวิตไปในหนทางพิเศษ อันเป็นหนทางที่ต้องอาศัยพฤติกรรมอันเฉพาะบางอย่าง อีกนัยหนึ่ง จิตวิญญาณทางศาสนา เป็นความรู้สึกหนึ่งที่มนุษย์มีต่อข้อเท็จจริง ซึ่งจะพบว่าความรู้สึกนั้นตั้งอยู่เหนือโลกของวัตถุ ขณะเดียวกันก็วางอยู่บนข้อตกลงและเงื่อนไขอันเฉพาะ ถ้าหากพิจารณาสติปัญญาที่มีขอบเขตของจำกัด ในการรู้จักมิติต่างๆ ของการมีอยู่ของมนุษย์ การรับรู้ถึงความต้องการที่แท้จริงของเขา และในที่สุดการเลือกวิธีการต่างๆ ว่าจะดำเนินไปอย่างไร เพื่อไปให้ถึงสิ่งที่ธรรมชาติของมนุษย์ถวิลหา ดังนั้น ตรงนี้จึงไม่อาจพึงความรู้ในเชิงของเหตุผล หรือสติปัญญาได้เพียงอย่างเดียว ทว่าต้องพึ่งคำแนะนำและผู้ชี้นำทาง ซึ่งการทำความเข้าใจ และการครอบคลุมของสิ่งนั้นต้องเหนือกว่า สติปัญญา และสิ่งนั้นก็คือ วะฮฺยู ของพระเจ้า ซึ่งได้มาถึงสังคมมนุษย์โดยผ่านขบวนการของบรรดาเราะซูล ซึ่งได้แนะนำมนุษย์ให้เดินไปสู่สัจธรรมความจริงสูงสุด อัลลอฮฺ (ซบ.) ได้ประทานเราะซูลลงมาคนแล้วคนเล่า ทรงทำให้ศาสนาของพระองค์สมบูรณ์ มนุษย์มีหน้าที่ตรวจสอบโดยละเอียด ...
  • ในอายะฮ์ที่ได้กล่าวว่า "فَمَنِ اعْتَدَى بَعْدَ ذَلِکَ فَلَهُ عَذَابٌ أَلِیمٌ"، คำว่า “ฟะมะนิอ์ตะดา” หมายถึงอะไร และสาเหตุใดจึงมีการเตือนว่าจะลงโทษ?
    8737 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/18
    ข้อบังคับประการหนึ่งในพิธีฮัจญ์และอุมเราะฮ์ก็คือห้ามล่าสัตว์ในขณะที่ครองอิฮ์รอมซึ่งอายะฮ์ที่ 94-96 ซูเราะฮ์อัลมาอิดะฮ์ก็ได้กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้กล่าวคือห้ามมิให้ล่าสัตว์ทะเลทรายและสัตว์น้ำในขณะที่ยังครองอิฮ์รอมก่อนที่จะกล่าวถึงความหมายของคำว่า “ตะอัดดี” (การรุกราน) จำเป็นที่จะต้องอธิบายว่าเหตุผลหนึ่งของการห้ามล่าสัตว์ในขณะครองอิฮ์รอมก็คือการที่พิธีฮัจญ์และอุมเราะฮ์เป็นอิบาดะฮ์ที่จะแยกมนุษย์ออกจากโลกิยะและจะนำพามนุษย์สู่โลกที่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณอันสูงส่งส่วนสิ่งที่เป็นวัตถุ, การรบราฆ่าฟัน, ความอาฆาต, ความต้องการทางเพศ, ความสุขทางด้านวัตถุล้วนเป็นสิ่งที่พึงละเว้นในพิธีฮัจญ์และอุมเราะฮ์ซึ่งถือเป็นวิธีฝึกฝนที่ได้รับการอนุมัติจากพระองค์ฉะนั้นการห้ามล่าสัตว์ในขณะครองอิฮ์รอมก็อาจจะเนื่องด้วยสาเหตุเหล่านี้[1]ศาสนบัญญัติข้อนี้ได้รับการกำหนดไว้อย่างละเอียดโดยมิได้เจาะจงห้ามล่าสัตว์เพียงอย่างเดียวแต่รวมไปถึงการช่วยชี้เป้าหรือการหาเหยื่อให้ผู้ล่าก็เป็นสิ่งต้องห้ามด้วยเช่นกันดังที่ในฮะดีษได้กล่าวไว้ว่าอิมามศอดิก (อ.) กล่าวกับสหายของท่านว่า “จงอย่าถือว่าการล่าสัตว์ในขณะที่ยังครองอิฮ์รอมเป็นสิ่งอนุมัติไม่ว่าจะอยู่ในเขตฮะร็อมหรือนอกเขตฮะร็อมก็ตามและถึงแม้ว่าพวกท่านจะไม่ได้ครองอิฮ์รอมก็ไม่สามารถล่าสัตว์ได้และจงอย่าชี้เป้าแก่บุคคลที่กำลังครองอิฮ์รอมหรือผู้ที่มิได้ครองอิฮ์รอมเพื่อให้เขาล่าสัตว์และจงอย่าสนับสนุน (และสั่ง) แต่อย่างใดเพื่อที่จะได้ทำให้การล่าสัตว์นั้นๆเป็นฮะลาลเนื่องจากจะทำให้ผู้ละเมิดโดยตั้งใจต้องจ่ายกัฟฟาเราะฮ์”[2]ดังนั้น “มะนิอ์ตะดา”ในที่นี้หมายถึงบุคลลใดก็ตามที่ได้ฝ่าฝืนกฏดังกล่าว (การห้ามล่าสัตว์) ซึ่งเป็นคำสั่งของอัลลอฮ์ (ซ.บ.) เขาจะต้องทนทุกข์ทรมานกับการลงโทษที่หนักหน่วงดังนั้นสาเหตุของการลงโทษคือการฝ่าฝืนกฏและคำสั่งของอัลลอฮ์ (ซ.บ.) นั่นเองและการลงโทษดังกล่าวหมายถึงการลงโทษด้วยไฟนรกในโลกหน้า “หรืออาจจะหมายถึงการประสบอุปสรรคในโลกนี้ด้วยก็เป็นได้”[3] ดังนั้นการดื้อแพ่งกระทำบาปครั้งแล้วครั้งเล่าจะนำมาซึ่งภยันตรายและการลงทัณฑ์อันเจ็บปวดคำถามดังกล่าวไม่มีคำตอบเชิงอธิบาย
  • เพราะอะไรต้องครองอิฮฺรอมในพิธีฮัจญฺด้วย?
    8390 ปรัชญาของศาสนา 2555/04/07
    ฮัจญฺ เป็นหนึ่งในพิธีกรรมที่มากไปด้วยรหัสยะและเครื่องหมายต่างๆ มากมาย ซึ่งมนุษย์ล้วนแต่นำพามนุษย์ไปสู่การคิดใคร่ครวญ และธรรมชาติแห่งตัวตน เป็นการดีอย่างยิ่งถ้าหากเราจะคิดใคร่ครวญถึงขั้นตอนการประกอบพิธีฮัจญฺ ชนิดก้าวต่อก้าวทั้งภายนอกและภายในของขั้นตอนการกระทำเหล่านั้น, เนื่องจากภายนอกของพิธีกรรมทีบทบัญญัติอันเฉพาะเจาะจง จำเป็นที่ผู้ปฏิบัติทุกท่านต้องใส่ใจเป็นพิเศษ แต่ถ้ามองเลยไปถึงด้านในของพิธีกรรมฮัจญฺ ถึงปรัชญาของการกระทำเหล่านี้ก็จะพบว่ามีรหัสยะและความเร้นลับต่างๆ อยู่มากมายเช่นกัน การสวมชุดอิฮฺรอม, เป็นหนึ่งในขั้นตอนการประกอบพิธีฮัจญฺ ซึ่งพิธีฮัจญฺนั้นจะเริ่มต้นด้วยการครองชุดอิฮฺรอม, ชุดที่มีความเฉพาะเจาะจงพิเศษสำหรับการปฏิบัติพิธีฮัจญฺ, ถ้าพิจารณาจากภายนอกสามารถได้บทสรุปเช่นนี้ว่า อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงมีบัญชาให้ปวงบ่าวปฏิบัติวาญิบที่ยิ่งใหญ่ประการหนึ่งของพระองค์, ซึ่งพระองค์ทรงกำหนดการสวมชุดอิฮฺรอม ให้เป็นข้อบังคับ (วาญิบ) และชุดนี้ก็จะต้องมีเงื่อนไขพิเศษอันเฉพาะตัวด้วย เช่น ต้องสะอาด, ต้องไม่ตัดเย็บ และ...[1] ความเร้นลับของการสวมชุดอิฮฺรอม 1.ชุดอิฮฺรอม, คือการทดสอบหนึ่งในภราดรภาพและความเสมอภาค เป็นตัวเตือนสำหรับความตายที่รออยู่เบื้องหน้า, เป็นเครื่องหมายหนึ่งที่บ่งบอกให้เห็นว่า มนุษย์หลุดพ้นพันธนาการแห่งการทดสอบ และการผูกพันอยู่กับโลกแล้ว, เขากำลังอยู่ ณ เบื้องพระพักตร์ของพระเจ้าผู้ทรงยิ่งใหญ่และเกรียงไกร ...
  • ความสัมพันธ์ระหว่างเครื่องยังชีพและปัจจัยได้ถูกกำหนดไว้แล้ว ฉะนั้น ความพยายามของมนุษย์คืออะไร?
    20908 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
     เครื่องยังชีพกับปัจจัยเป็น 2 ประเด็นคำว่าเครื่องยังชีพที่มนุษย์ต่างขวนขวายไปสู่กับปัจจัยที่มาสู่มนุษย์เองในรายงานกล่าวถึงปัจจัยประเภทมาหาเราเองว่าริซกีฏอลิบ
  • มนุษย์จะเป็นที่รักยิ่งของอัลลอฮฺได้อย่างไร ?
    8786 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/03/08
     การมิตรกับพระเจ้าสามารถจินตนาการได้ 2 ลักษณะดังต่อไปนี้ (1) ความรักของปวงบ่าวที่ต่อพระเจ้าและการที่พระองค์เป็นที่รักยิ่งของปวงบ่าว (2) ความรักของพระเจ้าที่มีต่อปวงบ่าวและการที่บ่าวเป็นที่รักยิ่งของพระองค์แน่นอนคำถามมักเกิดขึ้นกับประเด็นที่สองเสมอแน่นอนสรรพสิ่งทั้งหลายบนโลกนี้ล้วนเป็นสิ่งถูกสร้างของพระองค์ทั้งสิ้นหรือเป็นผลที่เกิดจากงานสร้างของพระองค์ทุกสิ่งล้วนเป็นที่รักสำหรับพระองค์
  • เพราะสาเหตุใดส่วนแบ่งมรดกของสตรีจึงได้เพียงครึ่งหนึ่งของชาย?
    6071 สิทธิและกฎหมาย 2554/04/21
    จากการศึกษาเกี่ยวกับหลักนิติศาสตร์อิสลามและประวัติความเป็นมาของค่าปรับจะเห็นว่าเป็นประเด็นที่มีความจำกัดพิเศษเกี่ยวกับเรื่องของเศรษฐศาสตร์โดยเฉพาะวัตถุประสงค์ได้ถูกกำหนดขึ้นเพื่อการชดเชยสิ่งที่เสียหายไปอีกด้านหนึ่งในสังคมซึ่งอิสลามได้พยายามที่จะเติมเต็มความสมบูรณ์หรือพยายามสร้างสังคมที่มีความสมบูรณ์จึงได้กำหนดกิจกรรมหลังของสังคมด้านเศรษฐศาสตร์ให้อยู่ในความรับผิดชอบของสังคมกล่าวคืออิสลามได้มองเรื่องเศรษฐศาสตร์ภาพรวมที่อยู่ในความรับผิดชอบของฝ่ายชายทำให้ได้รับผลอย่างหนึ่งว่าผู้ชายมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบบางหน้าที่ซึ่งฝ่ายหญิงได้รับการละเว้นเอาไว้ขณะที่หน้าที่รับผิดชอบที่สำคัญที่สุดสำหรับสตรีคนหนึ่งคือการจัดระบบและระเบียบเรื่องค่าใช้จ่ายและการเป็นอยู่ของครอบครัวถ้าพิจารณาอย่างรอบคอบในบทความนี้ท่านผู้อ่านสมารถเข้าใจเหตุผลได้อย่างง่ายดายว่า
  • ขนแมวมีกฎว่าอย่างไร?
    11318 สิทธิและกฎหมาย 2554/06/22
    ถ้าหากวัตถุประสงค์ของคำถามถามว่าขนแมวในทัศนะของฟิกฮฺมีกฎว่าอย่างไร? ต้องกล่าวว่าในหมู่สัตว์ทั้งหลายเฉพาะสุนัขและสุกรที่ใช้ชีวิตบนบกนะยิส[1]ด้วยเหตุนี้แมวที่มีชีวิตและขนของมันถือว่าสะอาดแต่อุจจาระและปัสสาวะแมว[2]นะยิสซึ่งกฎข้อนี้มิได้จำกัดเฉพาะแมวเท่านั้นทว่าอุจจาระและปัสสาวะของสัตว์ทุกประเภทที่เนื้อฮะรอม (ห้ามบริโภค) และมีเลือดไหลพุ่งขณะเชือดถือว่านะยิส

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    59798 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    57153 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    41949 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    38845 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    38652 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    33787 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    27747 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    27602 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    27420 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    25467 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...