การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
11811
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2554/10/22
 
รหัสในเว็บไซต์ fa1007 รหัสสำเนา 17849
คำถามอย่างย่อ
การตัดขาดการใช้ชีวิตร่วมกับสังคม โดยปลีกวิเวกไปสู่ความสันโดษ มีกฎเกณฑ์เป็นเช่นไร
คำถาม
บนเงื่อนไขที่ว่าปัจจุบันมีคนชั่วที่ก่อการเสียหายอยู่เต็มทุกสังคม, ดังนั้น การเข้าร่วมกิจกรรมทางสังคม เป็นสาเหตุทำให้เกรงว่าตนจะแปดเปื้อนกับความโสโครกและความโสมม หรือบาปกรรมเหล่านั้น, ในกรณีนี้การตัดความสัมพันธ์กับสังคม โดยปลีกตัวไปสู่ความสันโดษ โดยออกห่างจากสังคมมีกฎเกณฑ์เป็นอย่างไรบ้าง?
คำตอบโดยสังเขป

การถอนตัวหรือปลีกวิเวกโดยสมบูรณ์และถาวร บางครั้งไม่สมบูรณ์และเลยเถิด

การถอนตัวหรือปลีกวิเวกโดยสมบูรณ์และถาวร วิธีการนี้มีปัญหาหลายประการด้วยกัน กล่าวคือ :

1.ขัดแย้งกับซุนนะฮฺและการบริบาลของอัลลอฮฺ, เนื่องจากซุนนะฮฺและพระประสงค์ของอัลลอฮฺคือ ต้องการให้มนุษย์ไปถึงยังความสมบูรณ์ ด้วยเจตนารมณ์เสรี และด้วยเครื่องมือและสื่อที่มีอยู่ หมายถึงการผ่านทางหลงผิดและการชี้นำไปสู่ความสมบูรณ์แบบนั่นเอง

2.ประเด็นที่ศาสนาของพระเจ้าได้ห้ามไว้ แต่ก็ยังพบความแปลกปลอมของคนอื่นเกิดขึ้นอีกมากมาย ซึ่งกรณีนี้ยังไม่เคยพบว่าบรรดาศาสดาแห่งพระเจ้า และตัวแทนของท่านเหล่านั้นได้ปลีกวิเวกและตัดขาดจากสังคมมนุษย์โดยสิ้นเชิง

3.การปลีกวิเวกไปสู่ความสันโดษไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอันใดก็ตาม มีความขัดแย้งกับจิตวิญญาณคำสอนของศาสนาและมนุษย์ เฉกเช่นการรักษาสิทธิของผู้ศรัทธา, การประพฤติดีกับบิดามารดา, การเยี่ยมเยือนพี่น้องผู้ศรัทธาร่วมสายธารเดียวกัน, การทำให้ความต้องการของผู้ศรัทธาสัมฤทธิ์ผล, การปรับปรุงแก้ไขระหว่างประชาชาติ และ ...อีกมากมาย

4.ไม่มีความขัดแย้งกันระหว่างการปฏิบัติพิธีกรรมตามคำสั่งสอนของศาสนา กับชีวิตทางสังคม มนุษย์สามารถดำเนินชีวิตร่วมไปในสังคม ขณะที่เขาจำเป็นต้องปฏิบัติหน้าที่จำเป็นทางศาสนาควบคู่ไปด้วย และต้องมีความกระตือรือร้นในการรับใช้พวกเขา แม้ว่าในสังคมจะมีผู้คนคิดเหมือนท่านที่ว่า ความชั่วได้กระจายไปทั่วสังคมแล้วก็ตาม

ตามทัศนะของอิสลามในกรณีเช่นนี้ หน้าที่ความรับผิดชอบของผู้ศรัทธา ในฐานะของผู้ทำความสะอาดสภาพแวดล้อมของสังคม และพยายามที่จะให้บริการประชาชนย่อมมีมากยิ่งขึ้นตามลำดับ

คำตอบเชิงรายละเอียด

การถือสันโดษ หรือปลีกวิเวก หรือปาวนาตนเป็นนักบวช หมายถึงการปลีกตัวไปจากสังคมและประชาชนไปอยู่ตามลำพังผู้เดียว[1] ซึ่งมีหลายประเภทด้วยกัน กล่าวคือ

1.การปลีกตัวไปอย่างสมบูรณ์และถาวร

2.การปลีกตัวที่ไม่สมบูรณ์ชั่วครู่ชั่วยาม

การปลีกตัวประเภทแรกถือว่า ไม่อนุญาต แต่การปลีกตัวหรือหลบหน้าสังคมและประชาชนไปชั่วคราว ในช่วงเวลาอันจำกัดโดยมีจุดประสงค์เพื่อการแสดงความเคารพภักดีต่ออัลลอฮฺ หรือเพื่อการขัดเกลาและการจาริกจิตใจไม่เป็นไร

บรรดาศาสดาส่วนใหญ่และผู้เป็นตัวแทนของท่าน มักจะปลีกตัวไปจากสังคมและประชาชนชั่วขณะหนึ่ง เพื่อการขัดเกลาและยกระดับจิตใจ[2] ใช้เวลาส่วนใหญ่เหล่านั้นนมาซ อธิษฐาน คิด และรำลึกถึงอัลลอฮฺ

เหตุผลการประณามและการวิพากษ์วิจารณ์การปลีกตัวประเภทแรก :

1. มีชนกลุ่มหนึ่งจากศาสนาของมูซา (อ.) และอีซา (อ.) ซึ่งมีจำนวนน้อยนิด แต่ได้หนีการปกครองที่อธรรม,เนื่องจากความหวาดกลัวในชีวิตและทรัพย์สินและศาสนาของตน พวกเขาจึงได้ปลีกตัวไปจากสังคมและประชาชน เพื่อการอิบาดะฮฺ[3]

มุสลิมบางกลุ่มคิดว่าการปลีกวิเวกไปอยู่อย่างสันโดษ เป็นวิธีการที่ถูกยอมรับ พวกเขาจึงเลือกปลีกตัวไปถือสันโดษ, แต่ได้รับการห้ามปรามจากท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) แต่หลังจากท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ได้อำลาจากโลกไปแล้ว ก็ยังมีมุสลิมอีกกลุ่มหนึ่งในนามของ พวกซูฟีย์ เลือกการถือสันโดษเพื่อปฏิบัติศาสนกิจส่วนตัว ขัดเกลา และจาริกจิต แต่ได้รับการห้ามปรามและไม่ได้รับการสนับสนุนจากอะฮฺลุลบัยตฺ (อ.)[4]

2.บรรดาศาสดาแห่งอัลลอฮฺ อัครสาวกและตัวแทนของพวกท่าน, แม้ว่าในช่วงสั้นๆ ของชีวิตท่านเหล่านั้นจะปลีกตัวไปสังคมและประชาชนก็ตาม แต่ในช่วงสั้นๆ นั่นเองท่านมีจุดประสงค์เพื่อการเตรียมพร้อมตัวเองให้มากยิ่งขึ้น เพื่อการยอมรับพระบัญชาของพระเจ้าที่ดีและมากกว่า ในการประกาศสั่งสอนประชาชน, ด้วยเหตุนี้จะเห็นว่าไม่มีใครแม้แต่คนเดียวจากท่านเหล่านั้นได้ปลีกตัวไปอย่างสมบูรณ์และถาวร พวกเขาได้มีส่วนร่วมกับประชาชนในการต่อสู้กับผู้ปกครองที่อธรรม และอยู่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับประชาชนมาโดยตลอด

3.ซุนนะอฺและการบริบาลของพระเจ้าโดยเฉพาะอย่างยิ่งในการดำเนินชีวิตของประชาชน จะต้องจัดเตรียมพร้อมทั้งอุปกรณ์ที่นำไปสู่การหลงผิด และอุปกรณ์ที่นำไปสู่การชี้นำทาง, เนื่องจากความสมบูรณ์ของมนุษย์นั้นต้องผ่านสื่อต่างๆ เหล่านี้ไปให้ได้

ด้วยเหตุนี้เอง การปลีกตัวไปอยู่อย่างสันโดษ,ถือเป็นตัวการสำคัญหนึ่ง ที่ทำลายความจำเริญก้าวหน้าและการอบรมสั่งสอนจิตวิญญาณของศาสนาให้สูญสิ้นไป

4.ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) กล่าวว่า นักบวชในหมู่ประชาชาติของฉันคือ การอพยพ, การญิฮาด,นมาซ, ถือศีลอด, การประกอบพิธีฮัจญฺ และอุมเราะฮฺ[5]

ท่านอิมามซอดิก (อ.) ได้กล่าวประโยคหนึ่งที่เน้นเฉพาะศาสนาอิสลามว่า “การปลีกวิเวกเพื่อความสันโดษ โดยห่างไกลจากประชาชนและสังคม ไม่มีอยู่ในคำสอนของศาสนาอิสลาม”[6]

5.การปลีกวิเวกเพื่อถือสันโดษสมบูรณ์และถาวรไปจากประชาชน มีความขัดแย้งกันโดยสิ้นเชิงกับจิตวิญญาณคำสอนของศาสนา เช่น การรักษาสิทธิของมวลผู้ศรัทธา, การประพฤติดีกับบิดามารดา,การเยี่ยมเยียนพี่น้องผู้ศรัทธาร่วมสายธารเดียวกัน, การทำให้ความต้องการของผู้ศรัทธาสัมฤทธิ์ผล,การปรับปรุงเปลี่ยนแปลงในหมู่ประชาชน, การให้อาหารแก่ผู้ศรัทธา, การช่วยเหลือภารกิจการงานของผู้ศรัทธา, การรักษาสัมพันธ์ทางเครือญาติ และ ...อื่นๆ อีกมากมาย[7]

ประเด็นสำคัญที่จำเป็นต้องกล่าวตรงนี้คือ ระหว่างการปฏิบัติพิธีกรรมตามคำสั่งสอนของศาสนา กับการดำรงชีวิตทางสังคมไม่มีความขัดแย้งกันแม้แต่นิดเดียว, ทว่าการปลีกตัวในชีวิตทางสังคมควบคู่กับการักษาวัตถุประสงค์ของสิ่งนั้น เราก็สามารถกระทำได้เป็นอย่างดี เนื่องจากจิตวิญญาณของพิธีกรรมทางศาสนาคือการปลีกตัวหาเวลาว่าง, ซึ่งสิ่งนี้แตกต่างไปจากการออกห่างประชาชนและสังคม เช่น การดำรงวุฎูอฺเสมอ, การรำลึกถึงอัลลอฮฺและอ่านอัลกุรอานประจำ, การนอนน้อย, การพูดน้อย, การรับประทานน้อย, เพื่อปาวนาตัวเองให้อยู่ ณ เบื้องพระพักตร์ของอัลลอฮฺ และ ...[8] ซึ่งขณะที่เราใช้ชิวิตอยู่ในสังคมก็สามารถรักษาสิ่งเหล่านี้ควบคู่ไปด้วยได้อย่างไร้ปัญหา เนื่องจากเป้าหมายโดยแท้จริงของสิ่งนี้ก็คือ ความสมบูรณ์ของศาสนา การรักษาเวลา การพิจารณาสภาพของจิตและความบริสุทธิ์ใจในการปฏิบัติ ซึ่งเป้าหมายทั้งหมดเหล่านี้คือวัตถุประสงค์ที่สามารถทำให้เกิดได้ในชีวิตทางสังคมและศาสนา

นอกจากนี้แล้วการอยู่ร่วมกับประชาชนในสังคม จะไม่มีปัญหาเรืองการปลีกวิเวกเพื่อความสันโดษแต่อย่างใด

สรุปก็คือว่า มนุษย์ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ในสภาพเช่นใดก็สามารถรำลึกถึงอัลลอฮฺได้ทั้งสิ้น และยังสามารถขัดเกลา จาริก และยกระดับจิตใจตนให้สูงได้ตลอดเวลาอีกด้วย



[1] อัตตะรีฟาต,ซัยยิดชรีฟ อะลี บินมุฮัมมัด ญุรญานียฺ, หมวด ฆัยน์, นิยามของซูฟียฺ, กะมาลุดดีน อับดุรเราะซาก กาชานีย์, หมวดอักษร คอ, ตัฟซีรอัลมีซาน, เล่ม 19, หน้า 173.

[2] มิอฺรอจญ์ สะอาดะฮฺ, หน้า 569.

[3] ตัฟซีร อัลมีซาน, เล่ม 19, หน้า 178.

[4] มิซบาฮุลฮิดายะฮฺ, หน้า 115.

[5] ตัฟซีร อัลมีซาน, เล่ม 19, หน้า 178.

[6] อุซูลกาฟีย์, กิตาบอีมานวะกุฟร์, หมวดชะรอยิอ์, เล่ม 1.

[7] อุซูลกาฟีย์, กิตาบอีมานวะกุฟร์, กิตาบดุอาอฺ, กิตาบมะอาชิรัต.

[8] เคมีสะอาดะฮฺ, เล่ม 1, หน้า 454, มิซบาฮุลฮิดายะฮฺ, หน้า 117, อะวาริฟุล มะอาริฟ, หน้า 213, 220

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • จะสามารถพิสูจน์การมีอยู่ของท่านอิมามมะฮฺดียฺ (อ.) และการปรากฏกายของท่าน ด้วยอัลกุรอานได้อย่างไร?
    5596 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/11/21
    เบื้องต้นจำเป็นต้องรับรู้ว่าอัลกุรอานเพียงแค่กล่าวเป็นภาพรวมเอาไว้ส่วนรายละเอียดและคำอธิบายปรากฏอยู่ในซุนนะฮฺของศาสดา (ซ็อลฯ).
  • มีฮะดีษบทใดบ้างที่กล่าวถึงบุตรซินา?
    7513 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2555/01/19
    อิสลามถือว่าบุตรที่เกิดจากการผิดประเวณี (บุตรซินา) มีสถานะเฉพาะตัวซึ่งท่านนบี(ซ.ล.)และบรรดาอิมาม(อ.)ได้กล่าวไว้เกี่ยวกับเรื่องนี้ตามแหล่งอ้างอิงดังต่อไปนี้1. มรดกของบุตรซินาวะซาอิลุชชีอะฮ์,เล่ม 26,หน้า 274, بَابُ أَنَّ وَلَدَ الزِّنَا لَا یَرِثُهُ الزَّانِی وَ لَا الزَّانِیَةُ وَ لَا مَنْ تَقَرَّبَ بِهِمَا وَ لَا یَرِثُهُمْ بَلْ مِیرَاثُهُ لِوُلْدِهِ أَوْ نَحْوِهِمْ وَ مَعَ عَدَمِهِمْ لِلْإِمَامِ وَ أَنَّ مَنِ ادَّعَى ابْنَ جَارِیَتِهِ وَ لَمْ یُعْلَمْ کَذِبُهُ قُبِلَ قَوْلُهُ وَ لَزِمَهُ
  • ตัฟซีรอิมามฮะซัน อัสการีย์ (อ.) »อัลฮัมดุลลิลฮิร็อบบิลอาละมีน« หมายถึงอะไร?
    10186 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/05/17
    ตัฟซีรอิมามฮะซัน อัสการียฺ (อ.) เป็นหนึ่งในตัฟซีรที่กล่าวว่าเป็นของท่านอิมาม ซึ่งมีเหตุผลบางประการพาดพิงว่าตัฟซีรดังกล่าวเป็นของท่านอิมาม แต่เป็นเหตุผลที่เชื่อถือไม่ได้แน่นอน ตัฟซีรชุดนี้ได้มีการตีความอัลกุรอาน บทฟาติฮะฮฺ (ฮัม) และบทบะเกาะเราะฮฺ โองการ 282 โดยรายงานฮะดีซ ซึ่งในวิชาอุลูมกุรอานเรียกว่าตัฟซีร »มะอฺซูเราะฮฺ« อย่างไรก็ตาม, ท่านอิมามฮะซันอัสการียฺ (อ.) ได้อธิบายถึงประโยคที่ว่า «اَلْحَمْدُ لِلَّهِ رَبِّ الْعالَمِين» ไว้ในหลายประเด็น, เนื่องจาการขอบคุณอัลลอฮฺ เพราะความโปรดปรานต่างๆ อันไม่อาจคำนวณนับได้, การสนับสนุนสรรพสิ่งถูกสร้าง, ความประเสริฐ และความดีกว่าของชีอะฮฺ เนื่องจากการยอมรับวิลายะฮฺ และอิมามะฮฺของท่านอิมามอะลี (อ.) และกล่าวว่า เนื่องจากจำเป็นต้องขอบคุณอัลลอฮฺ เพราะความโปรดปรานของพระองค์ จึงได้กล่าวว่า «اَلْحَمْدُ لِلَّهِ رَبِّ الْعالَمِين» ...
  • การรักษาอาการพูดมาก มีแนวทางใดบ้าง?
    11913 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/12/21
    ลิ้นนอกจากจะเป็นความโปรดปรานอันยิ่งใหญ่ของอัลลอฮฺแล้วยังเป็นสื่อในการพัฒนาการและเป็นเครื่องมือติดต่อกับคนอื่นอีกด้วย, ขณะเดียวกันลิ้นก็ยังมีความเสียหายรวมอยู่ด้วยอย่างมากมายและยังสามารถเป็นแหล่งเพาะพันธ์ความผิดบาปต่างๆได้อีกเป็นจำนวนมหาศาลอีกด้วย, สำหรับการควบคุมลิ้นและการใช้ประโยชน์ในที่จำเป็นและมีความสำคัญนั้นในตอนเช้าหลังจากตื่นนอนทุกเช้าจงเตือนตัวเองว่าโปรดระวังรักษาลิ้นของตนให้ดี
  • กฎเกณฑ์ทางศาสนบัญญัติกล่าวว่าอย่างไร เกี่ยวกับการถอนคิ้วของสตรี?
    12472 ความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงและครอบครัว 2556/01/24
    การถอนคิ้วของสตรีโดยหลักการแล้วไม่เป็นไร ตามหลักการอิสลามภรรยาจะเสริมสวยและแต่งตัวเพื่ออวดสามี ถือว่าเป็นมุสตะฮับ ในทางตรงกันข้ามภรรยาที่ปล่อยเนื้อปล่อยตัว ไม่เสริมสวยเพื่ออวดสามี ย่อมได้รับคำประณาม ด้วยเหตุนี้เอง บรรดานักปราชญ์ฝ่ายชีอะฮฺ ฟุเกาะฮา นอกจากจะแนะนำเหล่าสตรีในใส่ใจต่อปัญหาดังกล่าวแล้ว ยังเตือนสำทับด้วยว่าการโอ้อวดสิ่งนั้นแก่ชายอื่นถือว่าฮะรอม ไม่อนุญาตให้กระทำ สตรีต่างมีหน้าที่ปกปิดสิ่งประดับและเรือนร่างของเธอให้พ้นจากสายตาของชายอื่น ...
  • จนถึงปัจจุบันมีผู้ใดบ้างได้ยืนหยัดต่อสู้กับชัยฎอน และแนวทางการต่อสู้ของเขาเป็นอย่างไร?
    7617 จริยธรรมปฏิบัติ 2555/04/07
    ตามทัศนะของอัลกุรอาน ชัยฏอนไม่อาจมีอิทธิพลเหนือปวงบ่าวที่บริสุทธิ์ของพระเจ้าได้ ปวงบ่าวที่เป็น มุคลิซีน หมายถึง บุคคลที่ได้ไปถึงยังตำแหน่งหนึ่ง ซึ่งชัยฏอนไม่อาจมีอำนาจเหนือพวกเขาได้ แน่นอน การต่อสู้กับชัยฏอนจำเป็นต้องมีสื่อและอุปกรณ์จำเป็นประกอบการต่อสู้ ซึ่งการมีอุปกรณ์เหล่านี้สามารถยืนหยัดต่อสู้กับชัยฏอนได้ และจะได้รับชัยชนะในการต่อสู้ ซึ่งจะขอยกตัวอย่างอุปกรณ์บางอย่างเหล่านั้น ได้แก่ 1.อีมาน : อัลกุรอานกะรีมกล่าวว่า อีมาน คือ ตัวการหลักที่ขัดขวางการมีอิทธิพลของชัยฏอนเหนือผู้ศรัทธา 2. ตะวักกัล : อีกหนึ่งตัวการที่สามารถเอาชนะชัยฏอนและพลพรรคได้ คือการตะวักกัลป์ มอบหมายภารกิจแด่อัลลอฮฺ 3. อิสติอาซะฮฺ : หมายถึงการขอความช่วยเหลือ หรือสถานพักพิงต่ออัลลอฮฺ 4. การรำลึกถึงอัลลอฮฺ : การรำลึกถึงอัลลอฮฺ จะให้ความสว่างแก่มนุษย์ ...
  • อะไรคืออุปสรรคของการเสวนาระหว่างอิสลามและศาสนาคริสต์?
    8207 เทววิทยาใหม่ 2554/07/07
    คำถามนี้ไม่มีคำตอบแบบสั้น ปรดเลือกปุ่มคำตอบที่สมบูรณ์ ...
  • กฏการโกนเคราและขนบนร่างกายคืออะไร?
    13932 สิทธิและกฎหมาย 2554/09/25
    เฉพาะการโกนเคราบนใบหน้า[1]ด้วยมีดโกนหรือเครื่องโกนหนวดทั่วไปถึงขั้นที่ว่าบุคคลอื่นเห็นแล้วกล่าวว่าบนใบหน้าของเขาไม่มีหนวดแม้แต่เส้นเดียว, ฉะนั้นเป็นอิฮฺติยาฏวาญิบถือว่าไม่อนุญาต
  • สร้อยนามหมายถึงอะไร? แล้ว “อบุลกอซิม”สร้อยนามของท่านนบีนั้นได้มาอย่างไร?
    9614 تاريخ بزرگان 2555/03/04
    ตามธรรมเนียมของชาวอรับแล้ว ชื่อที่มีคำว่า “อบู”(พ่อของ...) หรือ “อุมมุ”(แม่ของ...) นำหน้านั้น เรียกกันว่า “กุนียะฮ์” (สร้อยนาม) ในทัศนะของอรับเผ่าต่างๆนั้น ธรรมเนียมการตั้งสร้อยนามถือเป็นการยกย่องบุคคล ตัวอย่างสร้อยนาม อบุลกอซิม, อบุลฮะซัน, อุมมุสะละมะฮ์, อุมมุกุลษูม ฯลฯ[1] ศาสนาอิสลามก็ให้ความสำคัญแก่สร้อยนามเช่นกัน ฆ็อซซาลีกล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ว่า “ท่านนบี(ซ.ล.)มักจะให้เกียรติเรียกเหล่าสหายด้วยสร้อยนามเพื่อเป็นการเชื่อมสัมพันธไมตรี ส่วนผู้ที่ไม่มีสร้อยนาม ท่านก็จะเลือกสร้อยนามให้เขา และจะเรียกสร้อยนามนั้น กระทั่งผู้คนก็เรียกตามท่าน แม้กระทั่งผู้ที่ไม่มีบุตรที่จะนำมาตั้งสร้อยนาม ท่านนบี(ซ.ล.)ก็จะตั้งให้เขา ยิ่งไปกว่านั้น ท่านยังตั้งสร้อยนามแก่เด็กๆด้วย อาทิเช่นเรียกว่าอบูนั้น อบูนี้ เพื่อเชื่อมสัมพันธ์กับเด็กๆ”[2] รายงานจากอิมามริฎอ(อ.)ว่า إذا كان الرجل حاضرا فكنه و إن ...
  • ท่านอิมามฮุเซน(อ.)มีบุตรสาวคนหนึ่งชื่อรุก็อยยะฮ์ไช่หรือไม่?
    7146 تاريخ بزرگان 2554/12/04
    คำถามนี้ไม่มีคำตอบแบบสั้น ปรดเลือกปุ่มคำตอบที่สมบูรณ์ ...

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    57260 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    54967 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    40307 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    37392 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    35994 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    32356 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    26666 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    26037 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    25876 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    24112 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...