การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
10929
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2554/08/14
 
รหัสในเว็บไซต์ fa1220 รหัสสำเนา 15870
หมวดหมู่ รหัสยทฤษฎี
คำถามอย่างย่อ
จะเชิญชวนชาวคริสเตียนให้รู้จักอิสลามด้วยรหัสยนิยมอิสลาม(อิรฟาน)ได้อย่างไร?
คำถาม
ใช้รหัสยนิยมอิสลาม(อิรฟาน)เป็นสื่อกลางให้ชาวคริสเตียนรู้จักอิสลามได้อย่างไร?
คำตอบโดยสังเขป

คุณสามารถกระทำได้โดยการแนะนำให้รู้จักคุณสมบัติเด่นของอิรฟาน(รหัสยนิยมอิสลาม) และเล่าชีวประวัติของบรรดาอาริฟที่มีชื่อเสียงของอิสลามและสำนักคิดอะฮ์ลุลบัยต์
1). อิรฟานแบ่งออกเป็นสองประเภทด้วยกัน อิรฟานเชิงทฤษฎี และอิรฟานภาคปฏิบัติ เนื้อหาหลักของวิชาอิรฟานเชิงทฤษฎีก็คือ
. แจกแจงเกี่ยวกับแก่นเนื้อหาของเตาฮี้ด(เอกานุภาพของอัลลอฮ์)
. สาธยายคุณลักษณะของมุวะฮ์ฮิด(ผู้ยึดถือเตาฮี้ด)ที่แท้จริง
เตาฮี้ดในแง่อิรฟานหมายถึงการเชื่อว่า นอกเหนือจากพระองค์แล้ว ไม่มีสิ่งใดที่มีอยู่โดยตนเอง ทั้งหมดล้วนเป็นภาพลักษณ์ของอัลลอฮ์ในฐานะทรงเป็นสิ่งมีอยู่เพียงหนึ่งเดียวทั้งสิ้น
กล่าวคือ สัมพันธภาพระหว่างอัลลอฮ์กับสรรพสิ่งที่พระองค์สร้างนั้นเปรียบเสมือนต้นไม้กับเงา เงามีอยู่ได้ก็เพราะมีต้นไม้ ซึ่งจริงๆแล้วเงาเป็นเพียงผลพลอยจากการที่ต้นไม้บังแสงแดดเท่านั้น
ในปริทรรศน์ของอิรฟาน มุวะฮ์ฮิดที่แท้จริงก็คือ มนุษย์ผู้สมบูรณ์ผู้เป็นดั่งภาพลักษณ์ของพระนามและคุณลักษณะทั้งหมดของพระองค์อย่างครบถ้วนบนหน้าแผ่นดิน
ในมุมมองของอิรฟานภาคปฏิบัติ มนุษย์คือสิ่งมีชีวิตที่มีสองภาค ภาควิญญาณและภาคสัตว์ การจาริกทางจิตวิญญาณคือวิธีเสริมสร้างภาควิญญาณให้เข้มแข็งเพื่อให้ประสบความผาสุก เพื่อจะเสริมสร้างภาควิญญาณ นักจาริกจะต้องขัดเกลาและบริหารจิตใจตามบทบัญญัติศาสนา กล่าวได้ว่าเนื้อหาทั้งหมดของอิรฟานล้วนสอนให้รู้ถึงแนวทางขัดเกลาและฝึกฝนตนเองตามหลักชะรีอะฮ์ในฐานะที่เป็นวิธีฝึกฝนที่ดีที่สุด ซึ่งจะทำให้มนุษย์ตระหนักถึงการกำกับดูแลของพระองค์เสมอและจะบังเกิดความรักในพระองค์ การตระหนักและการสำรวมตนจะทำให้มนุษย์บรรลุความใกล้ชิดพระองค์ ได้รับฐานะแห่งฟะนาอ์และรื่นรมย์กับความผาสุกอันนิรันดร์ ความผาสุกนี้เองเป็นเป้าหมายที่ศาสนาพร่ำสอนให้เราไขว่คว้ามาให้ได้ อย่างไรก็ดี กระบวนการอิรฟานจำเป็นต้องมีครูผู้นำทาง และบรรดาอิมาม(.)คือผู้นำทางที่แท้จริงในหนทางแห่งอิรฟาน
2). เมื่อพิจารณาคำสอนของอะฮ์ลุลบัยต์จะพบว่า อิรฟานอิสลามนั้นมีคุณสมบัติพิเศษที่สำนักรหัสยะอื่นๆไม่มี อาทิเช่น
1. เคารพบทบัญญัติชะรีอะฮ์
2. ยอมรับหลักญิฮาดและการต่อสู้
3. เสริมปัญญาและความรู้
4. ช่วยเหลือผู้ทุกข์ยาก
5. รักษาเกียรติของตน
6. ประกอบอาชีพ และหลีกเลี่ยงการปลีกตนเช่นนักบวช

3). จากการศึกษาชีวประวัติของอาริฟที่ต่อสู้กับสิ่งชั่วร้ายในสังคมเคียงข้างการบำเพ็ญกุศล ชี้ให้เห็นว่าอิรฟานอิสลามมีศักยภาพพอที่จะบ่มเพาะมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบ ซึ่งสามารถนำเสนอความงดงามของอิรฟานสู่สายตาของผู้ประสงค์จะศึกษาได้เป็นอย่างดี

คำตอบเชิงรายละเอียด

คุณสามารถกระทำได้โดยการแนะนำให้รู้จักคุณสมบัติเด่นของอิรฟาน(รหัสยนิยมอิสลาม) และเล่าชีวประวัติของบรรดาอาริฟที่มีชื่อเสียงของอิสลามและสำนักคิดอะฮ์ลุลบัยต์
1) อิรฟานแบ่งออกเป็นสองประเภทด้วยกัน อิรฟานเชิงทฤษฎี และอิรฟานภาคปฏิบัติ เนื้อหาหลักของวิชาอิรฟานเชิงทฤษฎีก็คือ
1.1 แจกแจงเกี่ยวกับแก่นเนื้อหาของเตาฮี้ด(เอกานุภาพของอัลลอฮ์)
1.2 สาธยายคุณลักษณะของมุวะฮ์ฮิด(ผู้ยึดถือเตาฮี้ด)ที่แท้จริง
เตาฮี้ดในแง่อิรฟานหมายถึงการเชื่อว่า นอกเหนือจากพระองค์แล้ว ไม่มีสิ่งใดที่มีอยู่จริง ในมุมมองของอาริฟ ทุกสรรพสิ่งล้วนเป็นภาพลักษณ์ของอัลลอฮ์ทั้งสิ้น ซึ่งดำรงอยู่ได้เพราะความการุณย์ของพระองค์ ด้วยเหตุนี้ เตาฮี้ดในมุมมองของอาริฟจึงลึกซึ้งและมั่นคงมากกว่าเตาฮี้ดในมุมมองนักปรัชญา อาริฟถือว่าอัลลอฮ์คือการมีอยู่ที่แท้จริง สรรพสิ่งอื่นๆเป็นเพียงผลพวงจากพระองค์เท่านั้น อาริฟเชื่อว่าการมีอยู่เป็นสภาวะอันเป็นเอกะ ที่ไม่อาจจะแบ่งเป็นพหุลักษณ์ได้ ไม่ว่าจะเชิงกว้างหรือแนวดิ่ง ส่วนพหุลักษณ์ที่เราเห็นในโลกนั้น เป็นเพียงภาพสะท้อน มิไช่การมีอยู่ที่แท้จริง สัมพันธภาพระหว่างอัลลอฮ์กับสรรพสิ่งที่พระองค์สร้างนั้นเปรียบเสมือนต้นไม้กับเงา หรือระหว่างคนกับภาพของเขาในกระจก
ในปริทรรศน์ของอิรฟาน มุวะฮ์ฮิดที่แท้จริงก็คือ มนุษย์ผู้สมบูรณ์ที่เป็นดั่งภาพลักษณ์ของพระนามและคุณลักษณะทั้งหมดของพระองค์บนหน้าแผ่นดิน รายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้หาอ่านได้ในหนังสืออิรฟาน อาทิเช่น ตัมฮีดุลก่อวาอิด ของอิบนิ ตัรกะฮ์ อิศฟะฮานี, ฟุศูศุลฮิกัม ของอิบนิ อะเราะบี รวมทั้งหนังสือที่อรรถาธิบาย, มิศบาฮุ้ลอุนส์ ของอิบนิ ฟะนารี ฯลฯ

ส่วนในมุมมองของอิรฟานภาคปฏิบัติ มนุษย์คือสิ่งมีชีวิตที่มีสองภาค ภาคจิตวิญญาณและภาคสัตว์ แต่ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อยู่ที่ภาคจิตวิญญาณเท่านั้น มนุษย์มีศักยภาพสูงพอที่จะบรรลุถึงความสมบูรณ์ ซึ่งต้องเริ่มจากระดับพื้นฐาน ไต่ระดับขึ้นไปเรื่อยๆจนถึงขีดสูงสุดของความสมบูรณ์ ทั้งนี้ก็เพราะภาคจิตวิญญาณแสวงหาโลกุตรธรรม(มะละอุ้ล อะอ์ลา) แต่ภาคสัตว์แสวงหาโลกย์ ฉะนั้น หากมนุษย์เลือกที่จะขัดเกลาจิตใจ และไต่ระดับสู่ความสมบูรณ์ด้วยการฝึกฝนด้วยคำสอนทางอิรฟาน เขาก็จะบรรลุเกียรติภูมิสูงสุด แต่หากเลือกที่จะบำเรอกิเลสและทุ่มเทให้กับภาคสัตว์ของตนเอง ก็จะประสบกับความอัปยศ[1] จึงสรุปได้ว่าจุดประสงค์หลักของวิชาอิรฟานภาคปฏิบัติคือการขัดเกลาและฝึกฝนจิตใจเพื่อฉีกม่านกิเลสที่บดบังใจ อิสลามจึงให้ความความสำคัญต่อการขัดเกลาจิตใจอย่างยิ่ง อิมามศอดิก(.)กล่าวว่าหากท่านมีอายุขัยเหลือเพียงสองวัน จงใช้หนึ่งวันแรกในการขัดเกลาจิตใจ เพื่อจะได้รับประโยชน์ในวันตายของท่าน[2] อันหมายความว่าการขัดเกล่าจิตใจคือหนทางสู่สัจธรรม
อย่างไรก็ดี การฝึกฝนจิตใจตามวิถีอิรฟานอิสลามแตกต่างจากสำนักอื่นๆ สำนักฮินดูและแนวทางของมานีเชื่อว่าการตัดสัมพันธ์และปลีกวิเวกคือหนทางบรรลุความผาสุก แต่อิรฟานของอิสลามถือว่าการปฏิบัติตามหลักชะรีอะฮ์คือวิธีเดียวสำหรับขัดเกลาจิตใจ นอกจากนี้ วิธีฝึกฝนจิตใจที่อิรฟานอิสลามนำเสนอก็ต่างจากแนวการฝึกฝนของนักบวชคริสเตียน เพราะนักบวชปลีกตัวเองจากสังคมและมุ่งฝึกฝนโดยครองโสดตามป่าเขาลำเนาไพร และหลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารที่เหมาะสม ซึ่งกุรอานถือว่าวิธีเหล่านี้เป็นอุตริกรรมที่เกิดขึ้นในศาสนาคริสต์ แต่อิรฟานอิสลามถือว่าแนวการฝึกฝนที่ดีที่สุดคือการปฏิบัติตามสิ่งอนุมัติและงดเว้นสิ่งอันเป็นฮะรอมทางชะรีอะฮ์ และปฏิบัติตามแนวคำสอนของอะฮ์ลุลบัยต์อย่างเคร่งครัด[3] ดังที่บิดาแห่งอิรฟานอิสลาม อิมามอลี(.)ได้กล่าวว่าالشریعة ریاضة النفس”(ชะรีอัตจะช่วยฝึกฝนจิตใจ) [4] ซึ่งเป็นที่ยอมรับของเหล่าครูบาอาจารย์ด้านอิรฟานทุกคน อิบนิ ซีนา เชื่อว่าอิบาดะฮ์คือวิธีฝึกฝนจิตใจอิบาดะฮ์จะช่วยกำราบจิตใจให้อ่อนน้อม เพื่อจะไม่รบกวนเราและส่งเสริมเราขณะกำลังมีสมาธิต่ออัลลอฮ์[5]

และเนื่องจากอิรฟานอิสลามได้รับอิทธิพลจากกุรอานและฮะดีษจากอะฮ์ลุลบัยต์ จึงไม่จำแนกระหว่างชะรีอัต เฏาะรีกัต และฮะกีกัต ชะรีอัตก็คือประมวลบทบัญญัติศาสนาที่บรรดาผู้รู้นำเสนอจากกุรอานและฮะดีษ บรรดาอาริฟเชื่อว่ากฏชะรีอัตตั้งอยู่บนพื้นฐานของคุณประโยชน์ที่แท้จริง และหากปฏิบัติอย่างเคร่งครัดก็จะนำพามนุษย์สู่ความผาสุก ชะรีอัตจึงกลายเป็นเงื่อนไขหลักของอิรฟาน ดังที่อาริฟอย่างมุฮ์ยิดดีน อะเราะบี ถือว่าเงื่อนไขของกิจกรรมอิรฟานคือจะต้องไม่ขัดต่อบทบัญญัติชะรีอัต[6] ญุนัยด์ บัฆดาดี กล่าวว่าทุกแนวทางจะพบทางตันนอกจากแนวทางของท่านนบี(..)และบรรดาอิมาม(.) และแม้ว่าผู้ใดบรรลุขั้นฟะนาอ์แล้วก็ตาม เขายังมีหน้าที่ทางศาสนาเช่นเดิม[7] อัลลามะฮ์ ฏอบาฏอบาอี ผู้เป็นเอกอุแห่งอิรฟานกล่าวว่าข้อบังคับและข้อห้ามทางชะรีอัตถือเป็นหน้าที่ของ(อาริฟ)ทุกระดับขั้น และยิ่งมีสถานะใกล้ชิดพระองค์มากเท่าใด ภาระหน้าที่ทางศาสนาก็ยิ่งหนักขึ้น ไม่มีสถานะใดที่คนเราหลุดพ้นจากหน้าที่ทางศาสนา[8]

เฏาะรีกัตอันเป็นเนื้อในของชะรีอัตนั้น กล่าวถึงสภาวะต่างๆที่นักจาริกอิรฟานจะได้ประสบ ซึ่งสภาวะแห่งฟะนาอ์ฟิลฮักก์”(สลายอัตตาเพื่อประจักษ์เพียงพระองค์)ถือเป็นสภาวะสูงสุดในเฏาะรีกัต[9]
ผลก็คือนักจาริกอิรฟานจะได้เดินทางสู่ความสมบูรณ์ด้วยความรักอันบริสุทธิ์ที่มีต่อพระองค์และการสังวรณ์ว่าอยู่ในขอบเขตอำนาจของพระองค์ เขามุ่งหน้าสู่พระผู้อภิบาลด้วยพาหนะแห่งอิคล้าศ ความอ่อนน้อม ความสมถะ ความระอาต่อโลกียะ รักษาความสะอาดทางร่างกายและจิตใจ หมั่นตะฮัจญุด และเชื่อฟังวิลายะฮ์(ของอะฮ์ลุลบัยต์) อิรฟานอิสลามคือการรู้แจ้งเห็นจริงที่จะปลุกมนุษย์ให้ตื่นจากภวังค์แห่งโลกีย์ เพื่อก้าวสู่ความสว่างไสวและความไพบูลย์ อาริฟคือผู้ที่ไขว่คว้าความผาสุกในอาคิเราะฮ์ ขณะเดียวกันก็หาเลี้ยงชีพและช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก ดังที่ประมุขแห่งนักจาริกอิรฟาน อิมามอลี(.) ควบรวมศักยภาพและความดีงามทุกด้านไว้อย่างลงตัว ท่านโอดครวญวิงวอนต่ออัลลอฮ์ในยามค่ำคืน ดังที่ท่านนบี(..)กล่าวว่าเขา(อลี)หลงใหลในพระองค์อย่างดื่มด่ำในขณะเดียวกัน ท่านก็มิได้ปลีกตนเองจากผู้คนและกิจกรรมทางสังคม ท่านร้อนรุ่มใจทุกครั้งเมื่อได้ยินเสียงร้องไห้ของเด็กกำพร้า ท่านแบกอาหารแจกจ่ายผู้ยากไร้เป็นประจำ และเคร่งครัดในการใช้จ่ายเงินในคลังเป็นอย่างยิ่ง[10]

2) ดังที่ทราบแล้วว่าอิรฟานถือกำเนิดจากคำสอนของอะฮ์ลุลบัยต์ โดยมีคุณลักษณะเด่นที่ไม่สามารถพบได้ในสำนักจาริกอื่นๆ ซึ่งแม้กระทั่งในแวดวงมุสลิมเอง หากนักจาริกคนใดหันห่างจากคำสอนของอะฮ์ลุลบัยต์เท่าใด ก็จะห่างไกลจากอิรฟานที่แท้จริงของอิสลามเท่านั้น
คุณสมบัติต่อไปนี้ถือได้ว่าเป็นดัชนีชี้วัดที่สำคัญของอิรฟานอันได้มาจากคำสอนอิสลาม[11] ซึ่งนักจาริกอิรฟานจะต้องมีอย่างครบถ้วน (โดยหากต่างศาสนิกได้พิจารณาถึงดัชนีเหล่านี้ อาจปรารถนาจะรู้จักอิสลามมากยิ่งขึ้น)
2.1 เคารพบทบัญญัติชะรีอะฮ์(อธิบายไปแล้ว)
2.2 ยอมรับหลักญิฮาดและการต่อสู้
อิสลามเป็นศาสนาที่ให้ความสำคัญต่อทุกแง่มุมชีวิตมนุษย์ และประสงค์จะให้ทุกศักยภาพมีพัฒนาการที่สอดรับกัน ธรรมชาติดั้งเดิมของมนุษย์มีทั้งมิติแห่งการต่อสู้และมิติแห่งอิรฟาน หากผู้ใดเก่งกล้าในสมรภูมิเพียงอย่างเดียวหรือมุ่งแต่จะทำอิบาดะฮ์อย่างเดียว แสดงว่าจิตใจของเขาได้รับการดูแลอย่างไม่ทั่วถึง
อิมามอลี(.)กล่าวถึงคุณค่าของการญิฮาดว่าญิฮาดคือประตูสวรรค์บานหนึ่ง ซึ่งอัลลอฮ์จะทรงเปิดแก่เอาลิยาอ์ของพระองค์เท่านั้น... และผู้ใดที่เพิกเฉยละเลยการญิฮาด อัลลอฮ์จะทรงคลุมเขาด้วยอาภรณ์แห่งความอัปยศ... และเขาจะรู้สึกด้อยค่าปัญญาทึบ อีกทั้งจะไม่กล้าปกป้องสิทธิ์ของตนเองในสังคม และจะไม่ได้รับความเป็นธรรมใดๆ[12]

2.3 เสริมปัญญาและความรู้
การขวนขวายศึกษาและเพิ่มพูนปัญญา ถือเป็นดัชนีชี้วัดที่สำคัญอีกประการหนึ่งของอิรฟาน กุรอานกล่าวว่าผู้รู้กับผู้ไม่รู้จะเท่าเทียมกันหรือ?”[13]
ท่านนบี(..)กล่าวว่าผู้ที่มีความรู้มากกว่า ย่อมมีคุณค่าเหนือผู้อื่น[14]
2.4 ทำงานหาเลี้ยงชีพและหลีกเลี่ยงการปลีกตนเช่นนักบวช
ท่านนบี(..)กล่าวว่าในวันกิยามะฮ์ ผู้ที่หาเลี้ยงชีพตนเองจะผ่านสะพานศิรอฏเร็วปานสายฟ้า[15]
2.5 รักษาเกียรติภูมิของตน
กุรอานกล่าวว่าเกียรติภูมิเป็นกรรมสิทธิของอัลลอฮ์ และร่อซู้ล และผู้ศรัทธา[16]
2.6 ช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก
บะลาซุรีและอะห์มัด บิน ฮัมบัลรายงานว่าท่านอลี(.)เคยมีผลิตผลทางเกษตรถึงสี่หมื่นดีน้าร แต่ท่านก็บริจาคจนหมด แล้วจึงขายดาบเพื่อซื้ออาหารประทังชีวิตท่านกล่าวว่าหากในบ้านยังมีอาหารเหลืออยู่ ฉันจะไม่ขายดาบอย่างแน่นอน[17]

3) ไม่เป็นที่สงสัยเลยว่า กุรอานคือขุมพลังของอิรฟาน ท่านนบี(..)และบรรดาอิมาม(.)คือผู้อรรถาธิบายกุรอานและเป็นผู้บรรลุด้านอิรฟานอย่างแท้จริง ด้วยเหตุนี้ ครูบาอาจารย์ที่แท้จริงในเส้นทางสู่ความไพบูลย์แห่งอิรฟานก็คือท่านนบี(..)และบรรดาอิมาม(.)
จากการศึกษาชีวประวัติของอาริฟที่ต่อสู้กับสิ่งชั่วร้ายในสังคมเคียงข้างการบำเพ็ญกุศล ชี้ให้เห็นว่าอิรฟานอิสลามมีศักยภาพพอที่จะบ่มเพาะมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบ ซึ่งสามารถนำเสนอความงดงามของอิรฟานสู่สายตาของผู้ประสงค์จะศึกษาอิสลามได้เป็นอย่างดี



[1] อิรฟานและตะศ็อววุฟ,มุฮัมมัดริฎอ กาชิฟี,หน้า 72 และ มารยาทการจาริกทางจิต,ฮะบีบุ้ลลอฮ์ ฏอฮิรี,หน้า 6

[2] ร็อวเฎาะตุ้ลกาฟี,หน้า 150 (ان اجلت فی عمرک یومین فاجعل، احدهما لأدبک تستعین به علی یوم موتک)

[3] มารยาทการจาริกทางจิต,ฮะบีบุ้ลลอฮ์ ฏอฮิรี,หมวดอุตริกรรมในศาสนาคริสต์ ซูเราะฮ์อัลฮะดีด,27

[4] มีซานุ้ลฮิกมะฮ์,เล่ม 4,หน้า 207

[5] อิชาร็อตวะตัมบีฮ้าต,นิมฏ์ที่ 9,บทที่ 3

[6] ร่อซาอิ้ล,อิบนิ อะเราะบี,หน้า 233

[7] อิรฟานภาคทฤษฎี,ยะฮ์ยา ยัษริบี,หน้า 373

[8] สาส์นวิลายัต,หน้า 46

[9] ความเร้นลับของเตาฮี้ดในมะกอมต่างๆ,เชคอบูสะอี้ด,หน้า 352

[10] อิมามอลี(.)คันฉ่องส่องอิรฟาน,นาซิมซอเดะฮ์ กุมี

[11] ดู: อิมามอลี(.)ภาพลักษณ์อิรฟานภาคทฤษฎี,หน้า 91-150

[12] นะฮ์ญุ้ลบะลาเฆาะฮ์,คุฏบะฮ์ที่ 27

[13] ซูเราะฮ์อัซซุมัร,9

[14] อะมาลี,เชคศ่อดู้ก,มัจลิสที่ 6,ฮะดีษที่ 4

[15] บิฮารุ้ลอันว้าร,เล่ม 103,หน้า 9

[16] ซูเราะฮ์อัลมุนาฟิกูน,8

[17] มะนากิ้บ อิบนิ ชะฮ์รอชูบ,เล่ม 2,หน้า 72

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • ชีอะฮ์มีทัศนคติอย่างไรเกี่ยวกับประเด็นการแต่งตั้งตัวแทนหลังจากท่านนบี(ซ.ล.)?
    6653 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/09/22
    ความเชื่อของชีอะฮ์คือ1. ตำแหน่งคิลาฟะฮ์เป็นตำแหน่งที่พระองค์อัลลอฮ์เป็นผู้แต่งตั้งเองและท่านศาสดา(ซ.ล.)ก็ได้รับคำสั่งจากพระองค์ให้ประกาศในหมู่มุสลิมหลายต่อหลายครั้งว่าท่านอลี(อ
  • ทั้งที่ท่านอิมามอลี (อ.) ทราบถึงเจตนาชั่วของอิบนิ มุลญัม เหตุใดท่านจึงไม่ปกป้องชีวิตตนเอง?
    6955 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/12/29
    เหตุผลที่ท่านอิมามอลีไม่แก้ไขเหตุที่จะเกิดในอนาคตก็คือ:1.ความรู้ระดับทั่วไปคือหลักเกณฑ์ในการปฏิบัติภารกิจ:เพื่อเป็นการเคารพกฏเกณฑ์ของอัลลอฮ์ท่านอิมามจึงเลือกที่จะปฏิบัติหน้าที่เสมือนบุคคลทั่วไปโดยจะไม่ปฏิบัติตามความรู้แจ้งเห็นจริงเนื่องจากว่าหากท่านจะปฏิบัติตามญาณวิเศษย่อมจะไม่สามารถเป็นแบบฉบับแก่บุคคลทั่วไปได้เพราะบุคคลทั่วไปไม่มีญาณวิเศษ2. กลไกของโลกดุนยาตั้งอยู่บนพื้นฐานของการทดสอบซึ่งหากจะปฏิบัติตามญาณวิเศษก็ย่อมจะทำให้กลไกดังกล่าวเสียหายเนื่องจากจะทำลายชีวิตประจำวันของผู้คนสรุปคือแม้ว่าอิมามอลีมีหน้าที่ต้องรักษาชีวิตเสมือนบุคคลทั่วไปแต่ทว่าประการแรก: หน้าที่ดังกล่าวอยู่ในขอบเขตความรู้ทั่วไปมิไช่ญาณวิเศษประการที่สอง: คู่กรณีของท่าน(อิบนิมุลญัม)
  • มลาอิกะฮ์สร้างมาจากรัศมีของบรรดาอิมาม และมีหน้าที่ร่ำไห้แด่อิมามฮุเซน(อ.)กระนั้นหรือ?
    9292 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/12/19
    1. ความเชื่อที่ว่ามลาอิกะฮ์สร้างขึ้นจากรัศมีนั้นได้รับการยืนยันจากฮะดีษหลายบทที่รายงานไว้ในตำราฝ่ายชีอะฮ์และซุนหนี่ตำราชีอะฮ์บางเล่มระบุถึงการสร้างสิ่งมีชีวิตต่างๆรวมถึงมลาอิกะฮ์จากรัศมีของปูชนียบุคคลอย่างท่านนบี(ซ.ล.) หรือบรรดาอิมามหรือบุคคลอื่นๆดังที่ตำราของซุนหนี่เองก็เล่าว่าเคาะลีฟะฮ์ท่านแรกและคนอื่นๆถือกำเนิดจากรัศมีของท่านนบี(ซ.ล) การที่มีฮะดีษเหล่านี้ปรากฏอยู่ในตำรับตำราของแต่ละฝ่ายมิได้หมายความว่าทุกคนจะต้องคล้อยตามฮะดีษเหล่านี้เสมอไป อย่างไรก็ดีตำราฮะดีษชีอะฮ์ได้รายงานฮะดีษชุด "ฏีนัต" ไว้ซึ่งไม่อาจจะมองข้ามได้กล่าวโดยสรุปคือหากพบว่ามุสลิมแต่ละฝ่ายอาจมีทัศนะแตกต่างกันบ้างในเรื่องการสรรสร้างของพระองค์
  • ในทัศนะของอิสลาม ชาวฮินดูถือว่าเป็นนะญิสหรือไม่ และจะต้องออกห่างพวกเขาหรือไม่?
    8089 สิทธิและกฎหมาย 2554/08/17
    บรรดามัรญะอ์ได้ฟัตวาว่ากาฟิรเป็นนะญิสและจะต้องหลีกเลี่ยงความเปียกชื้นจากพวกเขาท่านอิมามโคมัยนีได้กล่าวเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวว่า “กาฟิรคือผู้ที่ไม่เชื่อในพระผู้เป็นเจ้าหรือตั้งภาคีต่อพระเจ้าหรือไม่ยอมรับในการเป็นศาสนทูตของท่านศาสดามูฮัมหมัด (ศ็อลฯ) เขาผู้นั้นถือเป็นนะญิส
  • โปรดอธิบาย หลักความเชื่อของวะฮาบี และข้อทักท้วงของพวกเขาที่มีต่อชีอะฮฺว่า คืออะไร?
    19290 เทววิทยาดั้งเดิม 2555/06/30
    วะฮาบี, คือกลุ่มบุคคลที่เชื่อและปฏิบัติตาม มุฮัมมัด บิน อับดุลวะฮาบ, พวกเขาเป็นผู้ปฏิตามแนวคิดของสำนักคิด อิบนุตัยมียะฮฺ และสานุศิษย์ของเขา อิบนุ กัยยิม เญาซียฺ ซึ่งเขาเป็นผู้วางรากฐานทางความศรัทธาใหม่ในแคว้นอาหรับ. วะฮาบี เป็นหนึ่งในสำนักคิดของนิกายในอิสลาม ซึ่งมีผู้ปฏิบัติตามอยู่ในซาอุดิอารเบีย ปากีสถาน และอินเดีย ตามความเชื่อของพวกเขาการขอความช่วยเหลือผ่านท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) บรรดาอิมามผู้บริสุทธิ์ (อ.) การซิยาเราะฮฺ, การให้เกียรติ ยกย่องและแสดงความเคารพต่อสถานฝังศพของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) และบรรดาอิมามผู้บริสุทธิ์ถือเป็น บิดอะฮฺ อย่างหนึ่ง ประหนึ่งเป็นการแสดงความเคารพต่อเจว็ดรูปปั้น ถือว่า ฮะรอม. พวกเขาไม่อนุญาตให้กล่าวสลาม หรือยกย่องให้เกียรติท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ยกเว้นในนมาซเท่านั้น, พวกเขายอมรับการสิ้นสุดชีวิตทางโลกของเขา เป็นการสิ้นสุดอันยิ่งใหญ่ และเป็นการสิ้นสุดที่มีเกียรติยิ่ง ร่องรอยของทุกสิ่งไม่ว่าจะเป็น โดม ลูกกรง และอื่นๆ ...
  • ฮะดีษนี้น่าเชื่อถือหรือไม่? : "เราได้บันดาลให้อลี(อ.)ลูกเขยของเจ้า(นบี)ได้รับการบันทึกไว้ในซูเราะฮ์อินชิร้อห์"
    7686 การตีความ (ตัฟซีร) 2554/11/09
    เราไม่พบฮะดีษใดๆที่มีเนื้อหาเช่นนี้อย่างไรก็ดีในตำราตัฟซี้รเชิงฮะดีษมีฮะดีษหลายบทที่อรรถาธิบายโองการفإذا فرغت فأنصب وإلی ربک فارغب ว่า "เมื่อเจ้า(นบี)ปฏิบัติภารกิจศาสนทูตลุล่วงแล้วก็จงแต่งตั้งอลี(อ.)เป็นผู้นำเหนือปวงชน" หรือฮะดีษที่อธิบายโองการแรกของซูเราะฮ์นี้ที่รายงานจากอิมามศอดิก(
  • ในทัศนะของรายงานและโองการต่างๆ มีการกระทำใดบ้าง ที่ทำลายการงานที่ดี อันเป็นที่ยอมรับ?
    6560 จริยธรรมปฏิบัติ 2555/01/23
    ทั้งอัลกุรอานและรายงานกล่าวว่า, การมีศรัทธาต่ออัลลอฮฺและการห่างไกลจากการตั้งภาคีและการตกศาสนาคือเงื่อนไขแรกในการตอบรับการกระทำดังนั้นถ้าปราศจากสิ่งนี้จะไม่มีการงานที่ดีอันใดถูกยอมรับณ
  • อิสลามมีบทบัญญัติอย่างไรเกี่ยวกับการโคลนนิ่ง?
    9000 สิทธิและกฎหมาย 2554/08/09
    การโคลนนิ่งโดยเฉพาะการโคลนนิ่งมนุษย์ถือเป็นประเด็นปัญหาใหม่จึงไม่อาจจะพบโองการกุรอานหรือฮะดีษที่ระบุเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยตรงอย่างไรก็ดีผู้รู้และนักวิชาการชีอะฮ์ได้ใช้กระบวนการวินิจฉัยหลักฐานจากกุรอานและฮะดีษทำให้สามารถแสดงทัศนะเกี่ยวกับเรื่องนี้ซึ่งแบ่งออกเป็นสามทัศนะด้วยกัน
  • บางครั้งอัลกุรอานได้กล่าวแก่ท่านศาสดาของพระองค์ว่า เจ้ามิใช่ผู้รับผิดชอบอีมานของประชาชน และประเด็นเหล่านี้ขัดแย้งกับการญิฮาดอิบติดาอียฺ หรือไม่ ?
    6850 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/04/21
    ทัศนะของอัลกุรอานเกี่ยวกับการญิฮาดมี 2 ลักษณะกล่าวคือญิฮาดอิบติดาอียฺหรือญิฮาดดะฟาอ์ทั้งสองมีวัตถุประสงค์คือฟื้นฟูสิทธิความเป็นมนุษย์และสิทธิของเตาฮีดซึ่งถือได้ว่าเป็นสิทธิของมนุษย์ที่มีความสำคัญยิ่งเตาฮีดจัดว่าเป็นขบวนการธรรมชาติที่สุดซึ่งอิสลามได้กำหนดญิฮาดขึ้นมาก็เพื่อปกป้องสิทธิเหล่านี้ดังนั้นการญิฮาดในอิสลามจึงได้รับอนุญาตทำนองเดียวกันการกำชับความดีและห้ามปรามความชั่วก็อยู่ในทิศทางเดียวกันด้วยเหตุนี้
  • เพราะอะไรปัญหาเรื่องการตกมุรตัด ระหว่างหญิงกับชายจึงมีกฎแตกต่างกัน?
    12823 ปรัชญาของศาสนา 2555/08/22
    อิสลามต้องการให้ผู้เข้ารับอิสลาม ได้ศึกษาข้อมูลและหาเหตุผลให้เพียงพอเสียก่อน แล้วจึงรับอิสลามศาสนาแห่งพระเจ้า ได้รับการชี้นำจากพระองค์ต่อไป แต่หลังจากยอมรับอิสลามแล้ว และได้ปล่อยอิสลามให้หลุดลอยมือไป จะเรียกคนนั้นว่าผู้ปฏิเสธศรัทธา และจะได้รับการลงโทษอย่างรุนแรง เนื่องจากสิ่งที่เขาทำจะกลายเป็นเครื่องมือมาต่อต้านอิสลามในภายหลัง และจะส่งผลกระทบในทางลบกับบรรดามุสลิมคนอื่นด้วย แต่เมื่อพิจารณาความพิเศษต่างๆ ของสตรีและบุรุษแล้ว จะพบว่าทั้งสองเพศมีความพิเศษด้านจิตวิญญาณ จิตวิทยา และร่างกายต่างกัน ซึ่งแต่คนจะมีความพิเศษอันเฉพาะแตกต่างกันออกไป เช่น สตรีถ้าพิจารณาในแง่ของจิต จะเห็นว่าเป็นผู้ที่มีจิตใจเปี่ยมไปด้วยความรักและความสงสาร มีความรู้สึกอ่อนไหวเมื่อเทียบกับบุรุษ ดังนั้น กฎที่ได้วางไว้สำหรับบุรุษและสตรี จึงไม่อาจเท่าเทียมกันได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องกฎ ซึ่งพระผู้เป็นเจ้าได้จัดตั้งกฎขึ้นโดยพิจารณาที่ เงื่อนไขต่างๆ และความพิเศษของพวกเขา พระองค์ทรงรอบรู้ถึงคุณลักษณะของปวงบ่าวทั้งหมด โดยสมบูรณ์ และทรงออกคำสั่งห้ามและคำสั่งใช้ บนพื้นฐานเหล่านั้น มนุษย์นั้นมีความรู้เพียงน้อยนิด จึงไม่อาจเข้าใจถึงปรัชญาของความแตกต่าง ระหว่างบทบัญญัติทั้งสองได้โดยสมบูรณ์ เว้นเสียแต่ว่าความแตกต่างเหล่านั้น ได้ถูกอธิบายไว้ในโองการหรือในรายงานฮะดีซ ด้วยเหตุนี้ ระหว่างหญิงกับชายถ้าจะวางกฎเกณฑ์ โดยมิได้พิจารณาถึงความพิเศษต่างๆ ของพวกเขาถือว่าไม่ถูกต้อง และสิ่งนี้ก็คือสิ่งที่มนุษย์ได้ปฏิเสธมาโดยตลอด ...

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60621 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    58239 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42737 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    40195 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    39368 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    34473 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    28548 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    28458 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    28392 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    26328 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...