การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
17752
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2554/04/21
 
รหัสในเว็บไซต์ fa1357 รหัสสำเนา 13582
หมวดหมู่ เทววิทยาใหม่
คำถามอย่างย่อ
ความเชื่อคืออะไร
คำถาม
ความเชื่อคืออะไร
คำตอบโดยสังเขป

ความเชื่อคือ ความผูกพันขั้นสูงสุดของมนุษย์เกี่ยวกับเรื่องจิตวิญญาณ ซึ่งถือว่าเป็นมงคลแก่ผู้คน และพร้อมที่จะแสดงความรักและความกล้าหาญของตนออกมาเพื่อสิ่งนั้น

ความเชื่อในกุรอานมี 2 ปีก : ศาสตร์และการปฏิบัติ ศาสตร์เพียงอย่างเดียวสามารถรวมเข้าด้วยกันกับการปฏิเสธศรัทธาได้ ขณะเดียวกันการปฏิบัติเพียงอย่างเดียวสามารถเชื่อมโยงกับการกลับกลอกได้

ในหมู่บรรดานักศาสนศาสตร์อิสลาม ได้แสดงทัศนะเกี่ยวกับความเชื่อไว้ 3-ทฤษฎีด้วยกันกล่าวคือ

1 – ทัศนะของ อะชาอิเราะฮฺ ความเชื่อคือ การยืนยันถึงการมีอยู่ของพระเจ้า ศาสดาของพระองค์ คำสั่งห้ามและคำสั่งใช้ของพระองค์

2 – ทัศนะของ มุอ์ชิละฮฺ ความเชื่อคือ การปฏิบัติไปตามหน้าที่รับผิดชอบ ซึ่งพระเจ้าได้สาธยายแก่เรา

3 – ทัศนะของนักปรัชญา, และนักศาสนศาสตร์อิสลามความเชื่อคือ ความรู้และการรู้จักโลกของความเป็นจริง และการทำให้จิตของตนสมบูรณ์ด้วยวิธีนี้

ในทัศนะของ อิรฟาน ความเชื่อคือ การหันคืนสู่พระเจ้าและหันห่างไปจากทุกสิ่งที่ไม่ใช่พระเจ้า

ความเชื่อสมัยใหม่ในศาสนาคริสต์ตะวันตกและโดยทั่วไปจะเกิดขึ้นในสองรูปแบบ :

1 – ความศรัทธาขั้นรุนแรงชนิดสุดโต่ง และการต่อต้านสติปัญญาซึ่งไม่เปิดทางให้สติปัญญาได้มีส่วนร่วมในในคำสอนทางศาสนา ความเชื่อในพระเจ้าและอภิปรัชญา

2 – ความเชื่อในทางสายกลางหรือทางภูมิปัญญา ซึ่งยอมรับว่านอกเหนือจากสติปัญญาแล้ว การใช้ประโยชน์อื่นเพื่อสติปัญญาในการพิสูจน์เหตุผล เพื่อเสริมสร้างหลักการทางศาสนาและความเชื่อ แม้ว่าจำนำเอาความเชื่อนำหน้าด้วยเหตุผลและสติปัญญาก็ตาม

ในหมู่นักคิดอิสลาม, ทัศนะของนักอิรฟานค่อนข้างคล้ายเหมือนแนวคิดความเชื่อชนิดสุดโต่ง ส่วนเฆาะซาลีย์ และ เมาละวีย์ สามารถกล่าวได้ว่ามีความเชื่อใกล้เคียงกับอีมานในสายกลาง

ดูเหมือนว่า การพิสูจน์แบบแห้งแล้วและไม่มีชีวิตชีวา มาไปด้วยข้อโต้แย้งทางปรัชญาคือปฐมบททางความเชื่อในแนวใหม่ได้เป็นอย่างดี

คำตอบเชิงรายละเอียด

สรรพสิ่งมีชีวิตทั้งหลายย่อมมีความผูกพันด้านจิตใจของตน มนุษย์ก็เช่นเดียวกันนอกเหนือจากการมีจิตผูกพันกับวัตถุแล้วเขายังมีจิตผูกพันด้านจิตวิญญาณ เช่น การรู้จักและความงามและ ... ความเชื่อจัดว่าเป็นสภาพหนึ่งของการมีจิตผูกพัน ซึ่งสรรพสิ่งอื่นนั้นอยู่ภายใต้รัศมีของความศรัทธา

ขอบเขตของความเชื่อสำหรับมนุษย์ทุกคนคือความเป็นส่วนตัวที่ศักดิ์สิทธิ์ กล่าวคือความผูกพันของมนุษย์ในที่สุดแล้วจะเปลี่ยนเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หลังจากนั้นองค์ประกอบของความกล้าหาญ และความรักก็จะงอกเงยเกิดขึ้นมา

สิ่งย้อนกลับของความศรัทธาคือสิ่งแน่นอนเสมอ ดังนั้น ผู้ศรัทธาทุกคนจึงควรจะรู้จักสิ่งนั้นเป็นอย่างดี[1]

สำหรับคำว่า "อีมาน"ตามนิยามต่างๆ ได้มีการตีความที่แตกต่างกันออกไป อัลลามะฮฺเฏาะบาเฏาะบาอีย์ ในฐานะที่เป็นนักปรัชญาชีอะฮฺ เป็นนักตัฟซีรอัลกุรอาน, ท่านได้ให้นิยามความเชื่อ (อีมาน) ไว้ดังนี้  :

"ความเชื่อไม่ได้หมายถึง"ความรู้"และ"การรู้จัก"เพียงอย่างเดียว เพราะบางครั้งอัลกุรอานได้กล่าวถึงบุคคลที่ตกศาสนา (มุรตัด) ว่าทั้งที่มีความรู้แต่เขาได้เบี่ยงเบนออกไปจนได้ตกมุรตัด ทว่าผู้ศรัทธานอกจากจะมีความรู้แล้ว เขายังจำเป็นต้องยึดมั่นบนความรู้ของตน และต้องมีคำมั่นสัญญาทางจิตใจต่อความรู้นั้น ในลักษณะที่ว่าร่องรอยของความรู้ต้องปรับปรุงเขาในแต่ละวันได้ ดังนั้น ผู้ใดที่มีความรู้ว่าพระเจ้าคือพระเจ้าซึ่งนอกเหนือจากพระองค์แล้วไม่มีเจ้าอื่นใดอีก ฉะนั้น จำเป็นสำหรับเขาคือต้องยึดมั่นในความรู้ของตน กล่าวคือการก้าวไปสู่ขั้นตอนการปฏิบัติพิธีการต่างๆ หรือปฏิบัติอิบาดะฮฺต่อพระเจ้าอย่างสมบูรณ์แบบ ดังนั้นใครก็ตามที่ปฏิบัติเช่นนี้เราเรียกเขาว่า ผู้ศรัทธา[2]

เนื่องจากอัลกุรอาน กล่าวถึงความปรารถนาของอัลลอฮฺต้องการให้มนุษย์เป็นศูนย์กลางความเชื่อ จึงได้มีการเน้นย้ำและการตีความต่างๆ เอาไว้มากเกินกว่า 100 โองการ ซึ่งต้องการให้ผู้ที่กล่าวถึงมีความเชื่อศรัทธา เพื่อให้ความศรัทธาได้ช่วยเหลือเขาให้รอดพ้นจากภยันตราย[3] ดังนั้น ความหมายของคำว่า อีมาน ในทัศนะของนักคิดอิสลามจะเห็นว่ามีความสำคัญอันเฉพาะเจาะจงพิเศษไว้

ในหมู่นักศาสนศาสตร์อิสลาม ได้แสดงทัศนะเกี่ยวกับแก่นแท้ของความเชื่อไว้ 3 ทฤษฎีด้วยกันคือ  :

1-- ทัศนะของอะชาอิเราะฮฺ กล่าวว่า แก่นแท้ของความเชื่อคือ การยอมรับถึงการมีอยู่ของพระเจ้า รวมไปถึงบรรดานบี และคำสั่งห้ามและคำสั่งใช้ที่ได้ถูกสาธยายโดยบรรดานบีเหล่านั้น การสารภาพด้วยปากตามทุกสิ่งที่หัวใจได้ยอมรับ กล่าวคือกรปฏิญาณตนยืนยันถึงความจริงที่เปิดเผยและการยอมรับความจริงนั้น ในสภาพเช่นนี้ด้านหนึ่งคือการยอมจำนน และความอ่อนน้อมถ่อมตนด้านจิตใจ (สัญญาใจ) อีกด้านหนึ่งคือความสัมพันธ์ชนิดหนึ่งในแง่ของความพยายามกับเรื่อง การยอมรับและการปฏิญาณยืนยัน[4]

2— มุอ์ตะซิละฮฺ กล่าวว่า แก่นแท้ของอีมานคือ : การปฏิบัติหน้าที่ความรับผิดชอบที่ได้ถูกกำหนด

การยอมรับในการมีอยู่จริงของพระเจ้าและศาสดาต่างๆ ถือว่าเป็นการปฏิบัติไปตามหน้าที่ ซึ่งหน้าที่อื่นก็คือการปฏิบัติตามข้อบังคับต่างๆ และการละทิ้งสิ่งต้องห้าม ซึ่งบุคคลใดปฏิบัติหน้าที่ของเขาได้ครบบริบูรณ์เราเรียกเขาว่า "ผู้ศรัทธา" ตามทัศนะของเขาจะเห็นว่า ความศรัทธาจะเป็นจริงต้องขึ้นอยู่กับการกระทำไม่ใช่ความเชื่อหรือทฤษฎีเท่านั้น[5]

3 -- มุมมองนี้เป็นวิสัยทัศน์ของนักปรัชญาส่วนใหญ่, และนักศาสนศาสตร์ซึ่งได้แสดงทัศนะไว้ว่า แก่นแท้ของเชื่อความเชื่อคือ ความรู้และการรู้จักทางปรัชญาในเกี่ยวกับความเป็นจริงต่างๆ ของจักรวาล

อีกนัยหนึ่ง; ความเร้นลับของจิตมนุษย์ในขั้นตอนความสมบูรณ์ทางทฤษฎี คือตัวก่อร่างสร้างความจริงของความศรัทธา ดังนั้น การปฏิบัติในสิ่งที่เป็นข้อบังคับและละเว้นสิ่งที่ต้องห้าม (ฮะรอม) ซึ่งเป็นความเร้นลับของจิตในขั้นความสมบูรณ์ในแง่ของการปฏิบัติซึ่งร่องรอยภายนอกของความรู้นี้คือ การรู้จัก ด้งนั้น ถ้าหลักความเชื่อในทัศนะของผู้ศรัทธาถูกต้องตรงกับความเป็นจริงมากเท่าใดความเชื่อของเขาก็จะสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ดังเช่น ซ็อดรุล มุตะอัลลิฮีน ได้กล่าวไว้ตอนเริ่มต้น อัสฟารอัรบะอะฮฺ หัวข้อ อิลาฮียาต บิลมะนัลอะคัส ว่า : ความศรัทธาที่แท้จริงต่ออัลลอฮฺ โองการต่างๆ วันแห่งการตัดสิน ดังที่โองการได้กล่าวว่า มุอฺมินคือผู้ศรัทธาในอัลลอฮฺ มลาอิกะฮฺ อัลกุรอาน และเราะซูลของพระองค์ และโองการที่กล่าวว่า บุคคลที่ปฏิเสธอัลลอฮฺและมลาอิกะฮฺและเราะซูลอของพระองค์ ตลอดจนวันแห่งการตัดสิน แน่นอน เขาได้หลงทางอย่างไกลโพ้น อีมานได้ครอบคลุมอยู่เหนือความรู้ 2 ประการ หนึ่งในนั้นคือความรู้ในเรืองการสร้างสรรค์ และความรู้ในวันแห่งการฟื้นคืนชีพ สิ่งที่เกิดจากความรู้ในการสร้างคือ การรู้จักอัลลอฮฺและคุณลักษณะของพระองค์ การกระทำและร่องรอยของพระองค์ ส่วนความรู้ในเรื่องการฟื้นคืนชีพคือ การรู้จักตนเอง[6]

ทัศนะดังกล่าวได้ยืนยันถึงการมีอยู่ของพระเจ้า และศาสดาต่างๆ โดยการยืนยันด้วยเหตุและผลซึ่งเกี่ยวข้องกับความเป็นจริงภายนอก และบางส่วนเป็นความรู้เกี่ยวข้องกับจักรวาล ความเข้าใจเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ความรับผิดชอบและภาระหน้าที่ออกแนวความเข้าใจและความเชื่อ

แต่ในทัศนะของ อิรฟาน ความเชื่อไม่ใช่ความรู้ และไม่ใช่การกระทำ ไม่ใช่การเป็นพยานยืนยัน แต่สาระสำคัญของความเชื่อคือ การยอมจำนนต่อพระเจ้าและการหลีกเลี่ยงจากทุกสิ่งที่ไร้สาระ ดังนั้น อีมานคือ : การกลับไปสู่อัลลอฮฺผู้ทรงเกรียงไกร พระองค์ผู้ทรงเป็นหนึ่งเดียว พระเจ้าผู้ทรงอำนาจยิ่ง ไม่มีอำนาจอื่นใดนอกจากพระองค์ ดังนั้น ไม่มีสิ่งใดที่เขาจะมกมุ่นได้อีกนอกจากสัจธรรม และเท่าจำนวนของการจำนนในสัจธรรมคือจำนวนของอีมาน ดังนั้น อีมานคือยอมจำนวนต่อความจริง ส่วนการปฏิเสธคือการต่อต้านความจริง (ดังนั้น สิ่งที่ต่อต้านกันไม่อาจรรวมกันได้)[7]

บรรดานักวิพากษ์ชาวคริสเตียน ก็เช่นเดียวกันส่วนใหญ่ได้ยึดถือแนวทางการตีความเชื่อ (อีมาน) ตามแนวทางของอิรฟาน

Barbvr Ian เขียนว่า:

"Tylykh"กล่าวว่า ศาสนาอยู่ร่วมกับปัญหาด้านความผูกพันมากกว่า ซึ่งมี 3 คุณสมบัติดังต่อไปนี้ หนึ่ง : ความผูกพันกล่าวคือ ความมุ่งมั่นจงรักภักดีอย่างตรงไปตรงมาและความจงรักภักดี ประเด็นดังกล่าวคือชีวิตและความตาย, รากฐานของสิ่งมีชีวิตในระหว่างนั้น ซึ่งมนุษย์และชีวิตของเขาจะผ่านพ้นช่วงนี้ไป หรือสัญญาว่าจะใช้เวลาหรือชีวิตให้ผ่านพ้นไป สอง : จิตผูกพันคือสิ่งมีค่าสูงส่ง ซึ่งสิ่งมีค่าอื่น  ต่างวางอยู่บนพื้นฐานดังกล่าว สาม : จิตผูกพันในใจของตนคือทัศนะหนึ่งที่ครอบคลุมและสมบูรณ์, ถูกซ่อนไว้เนื่องจากสิ่งเหล่านี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับทุกพื้นที่ของชีวิต และการดำรงอยู่ของมนุษย์ทุกคน[8]

ในอีกที่หนึ่งจากคำกล่าวของ"ริชาร์ดสัน" กล่าวว่า :

"เพื่อตระหนักถึงวัตถุประสงค์ของพระคัมภีร์ หรือพระผู้เป็นเจ้าของชาวคัมภีร์เกี่ยวกับคำว่า อีมานหรือความเชื่อ จำเป็นต้องตระหนักประเด็นกังกล่าวคือ เป้าหมายของการรับความเข้าใจหนึ่ง หรือความคิดหนึ่งในลักษณะที่ว่าการรู้จักนั้นมิได้มีความสำคัญน้อยไปกว่าความรู้ ประเด็นปัญหาคือการเชื่อว่าไม่ใช่การพิสูจน์[9]

ในขณะที่ทฤษฎีนี้ต้องการบอกว่า ความเชื่อเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งที่เหนือความรู้ ภูมิปัญญาและเหตุผล ต้องการแสดงให้รู้ว่าความเชื่อมิได้เป็นสิ่งที่ไม่สอดคล้องกับเหตุผลหรือขัดแย้งกับสติปัญญา และไม่ถือว่าเป็นการปฏิบัติสุ่มสี่สุ่มห้าเยี่ยงคนตาบอด

"โองการหลายโองการและวลีหลายบทใน "พันธสัญญาใหม่ชี้ให้เห็นว่าความเชื่อคือประเด็นที่ตรงข้ามกับความกลัว และความวิตกกังวล ความศรัทธาคือ การได้รับหรือการชี้นำ ความประสงค์ ความเชื่อที่มีมากกว่าในคนๆ หนึ่ง อันเป็นข้อมูลความจริงที่มั่นใจ และความถูกต้องของประเด็น ความน่าเชื่อถือหรือปฏิกิริยามั่นใจ ซึ่งเกิดจากการยอมรับความมั่นใจนั้น อันเป็นแรงบันดาลใจจากพระเจ้า การอภัย และความโปรดปรานของพระองค์ และในขณะเดียวกันมนุษย์มีหน้าที่ทำให้เกิดความมั่นใจ ไม่ว่าจะเป็นความเชื่อในพระเจ้าที่ว่า มนุษย์ได้รับพลังและอำนาจมาจากพระองค์ การหันกลับไปสู่พระเจ้าอันเป็นความจำเป็นที่ในการเพิ่มเติมบนทุกสิ่ง มากกว่าที่ความศรัทธาและความเชื่อมั่น ความศรัทธา ซึ่งความจำเป็นของมันคือ การมีความเชื่อ การมอบหมาย การให้สัตยาบัน และการจงรักภักดี[10]

ความเชื่อนิยม

ความเชื่อนิยม คำๆ นี้จะให้ความหมายตรงกันข้ามกับ เหตุผลนิยม หรือ"หลักการให้หรือใช้เหตุผล"นี่คือความหมายของคำพูดของเขา ในมุมมองของความเชื่อนิยมข้อเท็จจริงทางศาสนาอยู่บนพื้นฐานของความเชื่อ และเหตุผลที่ผ่านการไถพรวนและการพิสูจน์ความเป็นจริงไม่สามารถเข้าถึงความจริงได้ ประวัติความเป็นมาของการคำกล่าวอ้างนี้มีความยึดยาว ไปถึงสมัยของเซนต์ปอลด้วยซ้ำไป แต่อุบัติการณ์การอย่างจริงจังและการมีอิทธิพลของแนวคิดนี้ ได้เริ่มต้นในช่วงศตวรรษที่ 19 จนถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะเห็นได้ในโลกตะวันตกและศาสนาคริสต์

ความเชื่อนิยมสามารถแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบที่สำคัญกล่าวคือ ความสุดโต่งและสายกลาง  :

1 – ความเชื่อแบบสุดโต่ง หรือเหตุผลน่าสะพรึงกลัว (ต่อต้านสติปัญญา)

"Shstvf" หนึ่งในผู้มีความเชื่อสุดโต่งได้กล่าวว่า : การปฏิเสธเกณฑ์ของสติปัญญาทั้งหมดถื่อเป็นส่วนหนึ่งของความเชื่อจริง เขาเชื่อว่า ด้วยการยกตัวอย่าง คนสามารถมีความเชื่อตามพื้นฐานคำสอนของศาสนาได้ โดยไม่ต้องมีเหตุผลทางสติปัญญา เช่น เชื่อว่า (2 +2 = 5), ความศรัทธาและความเชื่อดังกล่าวเป็นตัวอย่างที่แท้จริงของความเชื่อ[11]

จากมุมมองของ"เค Yrkgvr" และผู้มีความเชื่อนิยมชนิดรุนแรง เชื่อว่าความจริงทางศาสนาไม่เข้ากันกับการพิสูจน์หลักฐานด้วยสติปัญญา ความจริงทางศาสนาสามารถยอมรับบนพื้นฐานของความเชื่อศรัทธาเท่านั้น หลักการทางศาสนาที่ไม่เพียงแต่สูงส่งกว่าสติปัญญาเท่านั้น ทว่ายังเป็นสิ่งหนึ่งที่ต่อต้านปัญญา[12]

2 – ความศรัทธาสายกลาง หรือสิ่งที่นอกเหนือจากสติปัญญา  :

ความเชื่อนิยมได้แอบแฝงอยู่ในแบบฉบับของ คริสต์ศาสนา "Agvsyny" ในมุมมองนี้ขณะที่เน้นถึงประเด็นที่ว่า ความเชื่อต้องมาก่อนสติปัญญา สติปัญญาและการพิสูจน์สำหรับการค้นหาความจริงทางศาสนา หรือการอธิบายและการทำความเข้าใจถึงข้อเท็จจริงเหล่านี้ สามารถมีบทบาทได้ในระดับหนึ่ง[13]

ความศรัทธานิยมในแนวคิดของอิสลาม :

ถึงแม้ว่าเขตข้อมูลในกรณีที่จำเป็นของความเชื่อชนิดสุดโต่งในแนวคิดของอิสลาม จะไม่มีเหมือนสิ่งที่เกิดขึ้นในตะวันตกและศาสนาคริสต์มีก็ตาม แต่อย่างไรก็ตามตัวอย่างมากมายที่เกิดจาก ผลงานของนักคิดอิสลามก็ไม่ได้แตกต่างอะไรไปจากความเชื่อนิยมในตะวันตกเลย ซึ่งจะหยิบยกความคิดเหล่านั้นมาอธิบายในโอกาสต่อไป



[1] Paul Tylykh, พูยอยีย์อีมาน, แปล, ฮุซัยน์ นูรูซีย์, หน้า 16, 17, สำนักพิมพ์ฮิกมะฮฺ, เตหะราน, 1375 สุริยคติ

[2] เฏาะบาเฏาะบาอีย์, ซัยยิดมุฮัมมัด ฮะซัยนฺ แปลตัฟซีรอัลมีซาน, เล่ม 18, หน้า 411-412, มูลนิธีด้านภูมิปัญญาและแนวคิดของ อัลลามะฮฺ เฏาะบาเฏาะบาอีย์, 1363 สุริยคติ

[3] บทอัลอัศริ : (و العصر: بسم الله الرحمن الرحیم، والعصر. ان الانسان لفى خسر،الاّ الذین آمنوا و عملوا الصالحات و تواصوا بالحق و تواصوا بالصبر.)

ขอสาบานด้วยกาลเวลา แท้จริง มนุษย์อยู่ในการขาดทุน นอกจากบรรดาผู้ศรัทธาที่ประกอบความดี ตักเตือนซึ่งกันและกันในสิ่งที่เป็นสัจธรรมและความอดทน 

[4] มะกอลาต อัลอิสลามียีน อบุลฮะซัน อัชอะรีย์ เล่ม 1 หน้า 347 อียิปต์ 1969 .. อัลลุมะอ์ หน้า 75 พิมพ์มะดีนะฮฺ 1975 .. ตักตาซานีย์ ชัรฮฺ อัลมะกอซิด เล่ม 2 หน้า 184 พิมพ์ อุสมานีย์ 1305 . คัดลอกมาจากมุฮัมมัด มุจญฺตะฮิด ชุบบัสตะรีย์ อีมาน วะออซอดีย์ หน้า 12 สำนักพิมพ์ ตัรฮฺ นู เตหะราน พิมพ์ครั้งที่ 3 ปี 1379 สุริยคติ

[5] ความเชื่อเกี่ยวกับ มุอฺตะซิละฮฺ, อะฮฺมัดอามิน, ฟัจญฺรุลอิสลาม วะ ฎุฮุลอิสลาม, หัวข้อมุอฺตะซิละฮฺ

[6]  ซ็อดรุล มุตะอัลลิฮีน มุฮัมมัด ชีรอซีย์ อัลฮิกมะฮฺ อัลมุตะอาลียะฮฺ ฟิล อัสฟาร อัลอักลียะฮฺ อัลอัรบะอะฮฺ เล่ม 6 หน้า 7 สำนักพิมพ์ ดาร อะฮฺยาอุตตุรซิลอะเราะบียฺ เบรุต เลบานอน พิมพ์ครั้งที่ 4 ปี .. 1990

[7] สรุปรายละเอียดของ ชัรฮฺ อัตตะอฺรีฟ จากเอรฟาน ศตวรรษที่ 5,หน้า 227, สำนักพิมพ์มูลนิธิวัฒนธรรมอิหร่าน

[8] Ian Ba​​rbvr ศาสตร์และศาสนา, แปลโดย, บะฮาอุดดีน โครัมชาฮี, หน้า 257, สำนักพิมพ์ ดานิชเกาะฮีย์ เตหะราน, 62

[9] อ้างแล้ว, หน้า 259

[10] อ้างแล้ว,หน้า 260 

[11] อ้างแล้ว

[12] อ้างแล้ว

[13] อ้างแล้ว

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • จะต้องชำระคุมุสกรณีของทุนทรัพย์ด้วยหรือไม่?
    6004 สิทธิและกฎหมาย 2555/04/16
    ทัศนะของบรรดามัรญะอ์เกี่ยวกับคุมุสของทุนทรัพย์มีดังนี้ ในกรณีที่บุคคลได้จัดหาทุนทรัพยจำนวนหนึ่ง แต่หากต้องชำระคุมุสจะไม่สามารถทำมาหากินด้วยทุนทรัพย์ที่คงเหลือได้ อยากทราบว่าเขาจะต้องชำระคุมุสหรือไม่? มัรญะอ์ทั้งหมด (ยกเว้นท่านอายะตุลลอฮ์วะฮีด และอายะตุลลอฮ์ศอฟี) ให้ทัศนะว่า หากการชำระคุมุสจำนวนดังกล่าวทำให้ไม่สามารถประกอบอาชีพได้ (แม้จะชำระเป็นงวดก็ตาม) ถือว่าไม่จำเป็นต้องชำระคุมุสนั้น ๆ[1] อายะตุลลอฮ์ศอฟีย์และอายะตุลลอฮ์วะฮีดเชื่อว่าจะต้องชำระคุมุส แต่สามารถเจรจาผ่อนผันกับทางผู้นำทางศาสนา[2] ท่านอายะตุลลอฮ์นูรี, ตับรีซี, บะฮ์ญัตให้ทัศนะไว้ว่า ในส่วนของทุนทรัพย์ที่จำเป็นสำหรับการทำมาหากินนั้น ไม่จำเป็นจะต้องชำระคุมุส แต่หากมากกว่านั้น ถือว่าจำเป็นที่จะต้องชำระ[3] แต่ทว่าหากซื้อที่ดินนี้ด้วยกับเงินที่ชำระคุมุสแล้ว หรือได้ซื้อหลังจากปีคุมุสได้ผ่านพ้นไปแล้ว หรือได้ซื้อหลังจากปีคุมุสและขายไปก่อนที่จะถึงปีคุมุสหน้า ก็ไม่จำเป็นจะต้องชำระคุมุสแต่อย่างใด ทว่าหากได้กำไรจากการซื้อขายที่ดินดังกล่าว หากหลงเหลือจนถึงปีคุมุสถัดไปจำเป็นที่จะต้องชำระคุมุสด้วย
  • เหตุใดจึงห้ามกล่าวอามีนในนมาซ?
    11034 สิทธิและกฎหมาย 2555/04/02
    มีฮะดีษจากอะฮ์ลุลบัยต์ระบุว่าการกล่าวอามีนในนมาซไม่เป็นที่อนุมัติ และจะทำให้นมาซบาฏิล โดยหลักการแล้ว ไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ถึงการไม่เป็นที่อนุมัติ ทั้งนี้ก็เพราะการนมาซเป็นอิบาดะฮ์ประเภทหนึ่ง ซึ่งย่อมไม่สามารถจะเพิ่มเติมได้ตามใจชอบ ฉะนั้น หากไม่สามารถจะพิสูจน์การเป็นที่อนุมัติของส่วนใดในนมาซด้วยหลักฐานทางศาสนา ก็ย่อมแสดงว่าพฤติกรรมนั้นๆไม่เป็นที่อนุมัติ เพราะหลักเบื้องต้นในการนมาซก็คือ ไม่สามารถจะเพิ่มเติมใดๆได้ หลักการสงวนท่าที(อิห์ติยาฏ)ก็หนุนให้งดเว้นการเพิ่มเติมเช่นนี้ เนื่องจากเมื่อเอ่ยอามีนออกไป ผู้เอ่ยย่อมไม่แน่ใจว่านมาซจะยังถูกต้องอยู่หรือไม่ ต่างจากกรณีที่มิได้กล่าวอามีน ...
  • โองการตัฏฮีร กล่าวอยู่ในอัลกุรอานบทใด?
    7745 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/06/30
    อัลกุรอาน โองการที่รู้จักกันเป็นอย่างดีหรือ โองการตัฏฮีร, โองการที่ 33 บทอัลอะฮฺซาบ.อัลกุรอาน โองการนี้อัลลอฮฺ ทรงอธิบายให้เห็นถึง พระประสงค์ที่เป็นตักวีนีของพระองค์ สำหรับการขจัดมลทินให้สะอาดบริสุทธิ์สมบูรณ์ แก่ชนกลุ่มหนึ่งนามว่า อะฮฺลุลบัยตฺ อัลกุรอาน โองการนี้นับว่าเป็นหนึ่งในโองการทรงเกียรติยศยิ่ง เนื่องจากมีรายงานจำนวนมากเกินกว่า 70 รายงาน ทั้งจากฝ่ายซุนนีและชีอะฮฺ กล่าวถึงสาเหตุแห่งการประทานลงมา จำนวนมากมายของรายงานเหล่านั้นอยู่ในขั้นที่ว่า ไม่มีความสงสัยอีกต่อไปเกี่ยวกับจุดประสงค์ของโองการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัตถุประสงค์ของโองการที่กล่าวเกี่ยวกับ อะฮฺลุลบัยตฺ ของท่านศาสดา (ซ็อล น) ซึ่งประกอบไปด้วย ท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ ท่านอะลี ท่านฮะซัน และท่านฮุซัยนฺ (อ.) แม้ว่าโองการข้างต้นจะถูกประทานลงมา ระหว่างโองการที่กล่าวถึงเหล่าภริยาของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ก็ตาม แต่ดังที่รายงานฮะดีซและเครื่องหมายอื่นๆ ที่บ่งบอกถึงประเด็นดังกล่าวนั้น สามารถเข้าใจได้ว่า โองการข้างต้นและบทบัญญัติของโองการ มิได้เกี่ยวข้องกับบรรดาภริยาของท่านศาสดาแต่อย่างใด และการกล่าวถึงโองการที่มิได้เกี่ยวข้องกันไว้ในที่เดียวกัน ...
  • ศาสนามีความเหมาะสมกับความเสรีของเราหรือว่าไม่เข้ากัน
    7794 เทววิทยาดั้งเดิม 2553/10/21
    เสรีภาพในการศาสนานั้นสามารถตรวจสอบได้จาก เสรีภาพทางจิตวิญญาณ และเสรีภาพทางสังคมการเมือง ในมุมมองจิตวิญญาณ, แก่นแท้ของมนุษย์คือ นัฟซ์มุญัรร็อด (หมายถึงสภาพที่เป็น อรูป ไม่ต้องอาศัยร่างกายและวัตถุหรืออาการทางกายภาพ) เพราะเป็นอาณาจักรแห่งความเร้นลับมีแนวโน้มของความคิดเห็นที่มีต่อแหล่งกำเนิดของตน และนั่นเป็นเพราะว่าชีวิตของเราขึ้นอยู่กับร่างกาย ซึ่งมีพันธผูกพันอยู่กับกิจการทางโลก มนุษย์ไม่มีทางหลีกเลี่ยงที่ต้องสร้างความสมบูรณ์แบบของตน โดยการปฏิบัติภารกิจบนโลกนี้ซึ่งโลกนั้นเป็นเพียงเรือกสวนไร่นาสำหรับปรโลก แต่บางคนเนื่องจากใส่ใจต่อความเป็นอิสรเสรี เขาจึงตกหลุมพรางการละเล่นและความสวยงามภายนอกของโลก และสิ่งนี้กลายเป็นสาเหตุสำคัญที่เขาไม่สามารถพัฒนาจิตใจให้สูงส่งได้ และแทนที่จะคิดถึงแก่นแท้ความจริงของภารกิจ หรือของสรรพสิ่งที่มีอยู่ แต่คิดถึงเฉพาะเปลือกนอกเหล่านั้นและคิดว่านั้นเป็นแก่นความจริง เขาจึงหลงลืมแก่นแท้ความจริงโดยสิ้นเชิง มีความเพลิดเพลินต่อโลกหรือหลงโลกนั่นเอง พวกเขาตั้งความหวังกับโลกไว้อย่างสวยหรู และไม่มีข้อจำกัดในการใช้ประโยคทางโลก พวกเขาได้ให้ความอิสระชนิดปราศจากเงื่อนไขแก่ตัวเอง ขณะที่เสรีภาพคือการปลดปล่อยตนเองให้รอดพ้นจากราชประสงค์ของความเป็นสัตว์ โลก และอำนาจฝ่ายต่ำ และนี่คือเสรีภาพที่เป็นความต้องการของศาสนา จากมุมมองของศาสนาไม่ใช่เรื่องแปลกที่บุคคลหนึ่งอาจเป็นมหาจักรพรรดิที่มีอำนาจ แต่เขาขัดเกลาจิตวิญญาณเพื่อความสมบูรณ์แบบ ประหนึ่งผู้ยากจนไร้ซึ่งสมบัติ ขณะที่เขาเป็นกษัตริย์ปกครองประเทศ
  • ท่านนบี(ซ.ล.)เคยกล่าวไว้ดังนี้หรือไม่? “หากผู้คนล่วงรู้ถึงอภินิหารของอลี(อ.) จะทำให้พวกเขาปฏิเสธพระเจ้าเพราะจะโจษขานว่าอลีก็คือพระเจ้านั่นเอง(นะอูซุบิลลาฮ์)”
    9449 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2555/01/19
    เราไม่พบฮะดีษที่คุณยกมาในหนังสือเล่มใดแต่มีฮะดีษชุดที่มีความหมายคล้ายคลึงกันปรากฏอยู่ในตำราหลายเล่มซึ่งขอหยิบยกฮะดีษบทหนึ่งจากหนังสืออัลกาฟีมานำเสนอพอสังเขปดังนี้อบูบะศี้รเล่าว่าวันหนึ่งขณะที่ท่านนบี(ซ.ล.)นั่งพักอยู่ท่านอิมามอลี(อ.)ก็เดินมาหาท่านท่านนบีกล่าวแก่อิมามอลี(อ.)ว่า “เธอคล้ายคลึงอีซาบุตรของมัรยัมและหากไม่เกรงว่าจะมีผู้คนบางกลุ่มยกย่องเธอเสมือนอีซาแล้วฉันจะสาธยายคุณลักษณะของเธอกระทั่งผู้คนจะเก็บดินใต้เท้าของเธอไว้เพื่อเป็นสิริมงคล ...
  • การกระทำใดบ้างที่ส่งผลให้คนเราแลดูสง่ามีราศี?
    6591 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/28
    ในมุมมองของอิสลามความสง่างามแบ่งได้เป็นสองประเภทอันได้แก่ความงดงามภายนอกและภายใน.ปัจจัยที่สร้างเสริมความสง่างามภายในตามที่ฮะดีษบ่งบอกไว้ก็คือความอดทนความสุขุมความยำเกรง...ฯลฯ
  • เงินฝากบัญชีสินเชื่อที่อยู่อาศัย โดยใช้ประโยชน์จากสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย จำเป็นต้องจ่ายคุมซ์หรือไม่?
    6258 สิทธิและกฎหมาย 2554/06/22
    ท่านผู้นำสูงสุดตอบคำถามที่ถามว่าบุคคลที่ไม่มีที่อยู่อาศัยได้เก็บสะสมเงินฝากเพื่อเตรียมไว้ซื้อบ้านและที่อยู่อาศัยเงินฝากต้องจ่ายคุมซ์ด้วยหรือไม่? ตอบว่า: การสะสมทรัพย์ถือเป็นรายได้ประเภทหนึ่งถ้าเตรียมไว้เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในชีวิตเมื่อครบรอบปีต้องจ่ายคุมซ์ด้วยเว้นเสียแต่ว่าได้สะสมเงินไว้เพื่อจัดซื้อของใช้ที่จำเป็นในชีวิตหรือเพื่อสำรองค่าใช้จ่ายจำเป็นในกรณีนี้ถ้าหากเลยรอบปีต้องจ่ายคุมซ์ไปแล้ว (เช่นสองสามเดือนหลังรอบปีคุมซ์) เขาได้ใช้ไปในเรื่องดังกล่าวนั้นไม่ต้องจ่ายคุมซ์
  • สำนักคิดทั้งสี่ของอะฮฺลุซซุนะฮฺ เกิดขึ้นได้อย่างไร และการอิจญฺติฮาดของพวกเขาได้ถูกปิดได้อย่างไร?
    7905 สิทธิและกฎหมาย 2555/01/23
    วิชาการในอิสลามและฟิกฮฺอิสลามหลังจากเหตุการณ์ในยุคแรกของอิสลามปัญหาตัวแทนและเคาะลิฟะฮฺของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) แล้วได้แบ่งออกเป็น
  • การรับประทานล็อบสเตอร์ หอย และปลาหมึกผิดหลักศาสนาหรือไม่?
    17728 สิทธิและกฎหมาย 2554/08/25
    การรับประทานล็อบสเตอร์หอยและปลาหมึกถือว่าผิดหลักศาสนาดังที่บทบัญญัติทางศาสนาได้กำหนดเงื่อนไขบางประการเพื่อจำแนกเนื้อสัตว์ที่ทานได้ออกจากเนื้อสัตว์ที่ไม่อนุมัติให้ทานเห็นได้จากการกำหนดเงื่อนไขเกี่ยวกับสัตว์บกสัตว์น้ำและสำหรับสัตว์ปีกฯลฯมาตรฐานที่กำหนดไว้สำหรับสัตว์น้ำที่ฮะลาลคือจะต้องมีเกล็ดเท่านั้นในฮะดีษหนึ่งได้กล่าวไว้ว่ามุฮัมหมัดบินมุสลิมได้ถามจากอิมามบากิร (อ.) ว่า “มีคนนำปลาที่ไม่มีเปลือกหุ้มมาให้กระผมอิมามได้กล่าวว่า “จงทานแต่ปลาที่มีเปลือกหุ้มและชนิดใหนไม่มีเปลือกหุ้มจงอย่าทาน”[1]เปลือกหุ้มในที่นี้หมายถึงเกล็ดดังที่ได้ปรากฏในฮะดีษต่างๆ[2]บรรดามัรญะอ์ตักลีดจึงได้ใช้ฮะดีษดังกล่าวเป็นบรรทัดฐานสำหรับสัตว์น้ำ โดยได้ถือว่านัยยะของฮะดีษต่างๆระบุว่าห้ามรับประทานสัตว์น้ำ(เนื่องจากผิดหลักศาสนา) เว้นแต่ปลาประเภทที่มีเกล็ดเท่านั้นแต่กุ้งมิได้อยู่ในบรรทัดฐานทั่วไปดังกล่าวมีฮะดีษที่อนุมัติให้รับประทานกุ้งเป็นการเฉพาะที่กล่าวว่า “การรับประทานกุ้งไม่ถือว่าฮะรอมและกุ้งถือเป็นปลาประเภทหนึ่ง”[3]ถึงแม้ว่าโดยลักษณะทั่วไปกุ้งอาจไม่ถือว่ามีเกล็ดแต่ในแง่บทบัญญัติแล้วกุ้งรวมอยู่ในจำพวกปลาที่มีเกล็ดและสามารถรับประทานได้กล่าวคือแม้ว่ากุ้งไม่มีเกล็ดแต่ก็ถูกยกเว้นให้สามารถกินได้ทั้งนี้ก็เนื่องจากมีฮะดีษต่างๆอนุมัติไว้เป็นการเฉพาะแม้เราไม่อาจจะทราบเหตุผลเกี่ยวกับเรื่องนี้[4]ส่วนกรณีที่เนื้อปูถือว่าฮะรอมก็เนื่องจากมีฮะดีษที่ระบุไว้โดยเฉพาะที่ว่า “การทานญัรรี(ปลาชนิดหนึ่ง), เต่าและปูถือเป็นฮะรอม[5]ดังนั้นล็อบสเตอร์, ปลาหมึกฯลฯยังคงอยู่ในเกณฑ์ของสัตว์ที่ไม่สามารถรับประทานได้อนึ่งแม้ว่าสัตว์บางประเภทไม่สามารถรับประทานได้แต่ก็มิได้หมายความว่าห้ามเพาะเลี้ยงหรือซื้อขายสัตว์ชนิดนั้นเสมอไปเนื่องจากการรับประทานและการค้าขายเป็นสองกรณีที่จำแนกจากกันบางสิ่งอาจจะเป็นฮะรอมในการดื่มหรือรับประทานแต่สามารถซื้อขายได้อย่างเช่นเลือดซึ่งห้ามรับประทานเนื่องจากฮะรอมแต่ด้วยการที่เลือดมีคุณประโยชน์ในทางอื่นๆด้วยจึงสามารถซื้อขายได้ดังนั้นการซื้อขายล็อบสเตอร์, หอยฯลฯในตลาดหากไม่ได้ซื้อขายเพื่อรับประทานแต่ซื้อขายเพื่อให้เกิดประโยชน์ในด้านอื่นๆที่คนทั่วไปยอมรับกันก็สามารถกระทำได้เพราะล็อบสเตอร์และหอยอาจจะมีประโยชน์อื่นๆอีกมากมายก็เป็นได้
  • การลงโทษความผิดบาปต่างๆ บางอย่าง จะมากกว่าการลงโทษบาปอื่น ๆ บางอย่างใช่หรือไม่?
    8881 จริยธรรมทฤษฎี 2555/08/22
    อัลกุรอานและรายงานฮะดีซจากอะฮฺลุลบัยตฺ (อ.) เข้าใจได้ว่า ความผิดต่างๆ ถ้าพิจารณาในแง่ของการลงโทษในปรโลกและโลกนี้ จะพบว่ามีระดับขั้นที่แตกต่างกัน อัลกุรอานถือว่า ชิริก คือบาปใหญ่และเป็นการอธรรมที่เลวร้ายที่สุด ทำนองเดียวกัน การกระทำความผิดบางอย่างได้รับการสัญญาเอาไว้ว่า จะต้องได้รับโทษทัณฑ์อย่างแน่นอน นั่นบ่งบอกให้เห็นว่า มันเป็นความผิดใหญ่นั่นเอง ในแง่ของการลงโทษความผิดทางโลกนี้ สำหรับความผิดบางอย่างนั้นคือ การเฆี่ยนตีให้หลาบจำ ซึ่งได้ถูกกำหนดไว้ แต่การลงโทษความผิดบางอย่าง เช่น การฆ่าคนตายโดยเจตนา จะต้องถูกประหารชีวิตให้ตายตกไปตามกัน หรือบาปบางอย่างนอกจากต้องโทษแล้ว ยังต้องจ่ายสินไหมเป็นเงินตอบแทนด้วย ...

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60416 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    57980 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42513 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    39810 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    39165 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    34273 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    28322 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    28247 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    28184 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    26124 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...