การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
17797
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2554/04/21
 
รหัสในเว็บไซต์ fa1357 รหัสสำเนา 13582
หมวดหมู่ เทววิทยาใหม่
คำถามอย่างย่อ
ความเชื่อคืออะไร
คำถาม
ความเชื่อคืออะไร
คำตอบโดยสังเขป

ความเชื่อคือ ความผูกพันขั้นสูงสุดของมนุษย์เกี่ยวกับเรื่องจิตวิญญาณ ซึ่งถือว่าเป็นมงคลแก่ผู้คน และพร้อมที่จะแสดงความรักและความกล้าหาญของตนออกมาเพื่อสิ่งนั้น

ความเชื่อในกุรอานมี 2 ปีก : ศาสตร์และการปฏิบัติ ศาสตร์เพียงอย่างเดียวสามารถรวมเข้าด้วยกันกับการปฏิเสธศรัทธาได้ ขณะเดียวกันการปฏิบัติเพียงอย่างเดียวสามารถเชื่อมโยงกับการกลับกลอกได้

ในหมู่บรรดานักศาสนศาสตร์อิสลาม ได้แสดงทัศนะเกี่ยวกับความเชื่อไว้ 3-ทฤษฎีด้วยกันกล่าวคือ

1 – ทัศนะของ อะชาอิเราะฮฺ ความเชื่อคือ การยืนยันถึงการมีอยู่ของพระเจ้า ศาสดาของพระองค์ คำสั่งห้ามและคำสั่งใช้ของพระองค์

2 – ทัศนะของ มุอ์ชิละฮฺ ความเชื่อคือ การปฏิบัติไปตามหน้าที่รับผิดชอบ ซึ่งพระเจ้าได้สาธยายแก่เรา

3 – ทัศนะของนักปรัชญา, และนักศาสนศาสตร์อิสลามความเชื่อคือ ความรู้และการรู้จักโลกของความเป็นจริง และการทำให้จิตของตนสมบูรณ์ด้วยวิธีนี้

ในทัศนะของ อิรฟาน ความเชื่อคือ การหันคืนสู่พระเจ้าและหันห่างไปจากทุกสิ่งที่ไม่ใช่พระเจ้า

ความเชื่อสมัยใหม่ในศาสนาคริสต์ตะวันตกและโดยทั่วไปจะเกิดขึ้นในสองรูปแบบ :

1 – ความศรัทธาขั้นรุนแรงชนิดสุดโต่ง และการต่อต้านสติปัญญาซึ่งไม่เปิดทางให้สติปัญญาได้มีส่วนร่วมในในคำสอนทางศาสนา ความเชื่อในพระเจ้าและอภิปรัชญา

2 – ความเชื่อในทางสายกลางหรือทางภูมิปัญญา ซึ่งยอมรับว่านอกเหนือจากสติปัญญาแล้ว การใช้ประโยชน์อื่นเพื่อสติปัญญาในการพิสูจน์เหตุผล เพื่อเสริมสร้างหลักการทางศาสนาและความเชื่อ แม้ว่าจำนำเอาความเชื่อนำหน้าด้วยเหตุผลและสติปัญญาก็ตาม

ในหมู่นักคิดอิสลาม, ทัศนะของนักอิรฟานค่อนข้างคล้ายเหมือนแนวคิดความเชื่อชนิดสุดโต่ง ส่วนเฆาะซาลีย์ และ เมาละวีย์ สามารถกล่าวได้ว่ามีความเชื่อใกล้เคียงกับอีมานในสายกลาง

ดูเหมือนว่า การพิสูจน์แบบแห้งแล้วและไม่มีชีวิตชีวา มาไปด้วยข้อโต้แย้งทางปรัชญาคือปฐมบททางความเชื่อในแนวใหม่ได้เป็นอย่างดี

คำตอบเชิงรายละเอียด

สรรพสิ่งมีชีวิตทั้งหลายย่อมมีความผูกพันด้านจิตใจของตน มนุษย์ก็เช่นเดียวกันนอกเหนือจากการมีจิตผูกพันกับวัตถุแล้วเขายังมีจิตผูกพันด้านจิตวิญญาณ เช่น การรู้จักและความงามและ ... ความเชื่อจัดว่าเป็นสภาพหนึ่งของการมีจิตผูกพัน ซึ่งสรรพสิ่งอื่นนั้นอยู่ภายใต้รัศมีของความศรัทธา

ขอบเขตของความเชื่อสำหรับมนุษย์ทุกคนคือความเป็นส่วนตัวที่ศักดิ์สิทธิ์ กล่าวคือความผูกพันของมนุษย์ในที่สุดแล้วจะเปลี่ยนเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หลังจากนั้นองค์ประกอบของความกล้าหาญ และความรักก็จะงอกเงยเกิดขึ้นมา

สิ่งย้อนกลับของความศรัทธาคือสิ่งแน่นอนเสมอ ดังนั้น ผู้ศรัทธาทุกคนจึงควรจะรู้จักสิ่งนั้นเป็นอย่างดี[1]

สำหรับคำว่า "อีมาน"ตามนิยามต่างๆ ได้มีการตีความที่แตกต่างกันออกไป อัลลามะฮฺเฏาะบาเฏาะบาอีย์ ในฐานะที่เป็นนักปรัชญาชีอะฮฺ เป็นนักตัฟซีรอัลกุรอาน, ท่านได้ให้นิยามความเชื่อ (อีมาน) ไว้ดังนี้  :

"ความเชื่อไม่ได้หมายถึง"ความรู้"และ"การรู้จัก"เพียงอย่างเดียว เพราะบางครั้งอัลกุรอานได้กล่าวถึงบุคคลที่ตกศาสนา (มุรตัด) ว่าทั้งที่มีความรู้แต่เขาได้เบี่ยงเบนออกไปจนได้ตกมุรตัด ทว่าผู้ศรัทธานอกจากจะมีความรู้แล้ว เขายังจำเป็นต้องยึดมั่นบนความรู้ของตน และต้องมีคำมั่นสัญญาทางจิตใจต่อความรู้นั้น ในลักษณะที่ว่าร่องรอยของความรู้ต้องปรับปรุงเขาในแต่ละวันได้ ดังนั้น ผู้ใดที่มีความรู้ว่าพระเจ้าคือพระเจ้าซึ่งนอกเหนือจากพระองค์แล้วไม่มีเจ้าอื่นใดอีก ฉะนั้น จำเป็นสำหรับเขาคือต้องยึดมั่นในความรู้ของตน กล่าวคือการก้าวไปสู่ขั้นตอนการปฏิบัติพิธีการต่างๆ หรือปฏิบัติอิบาดะฮฺต่อพระเจ้าอย่างสมบูรณ์แบบ ดังนั้นใครก็ตามที่ปฏิบัติเช่นนี้เราเรียกเขาว่า ผู้ศรัทธา[2]

เนื่องจากอัลกุรอาน กล่าวถึงความปรารถนาของอัลลอฮฺต้องการให้มนุษย์เป็นศูนย์กลางความเชื่อ จึงได้มีการเน้นย้ำและการตีความต่างๆ เอาไว้มากเกินกว่า 100 โองการ ซึ่งต้องการให้ผู้ที่กล่าวถึงมีความเชื่อศรัทธา เพื่อให้ความศรัทธาได้ช่วยเหลือเขาให้รอดพ้นจากภยันตราย[3] ดังนั้น ความหมายของคำว่า อีมาน ในทัศนะของนักคิดอิสลามจะเห็นว่ามีความสำคัญอันเฉพาะเจาะจงพิเศษไว้

ในหมู่นักศาสนศาสตร์อิสลาม ได้แสดงทัศนะเกี่ยวกับแก่นแท้ของความเชื่อไว้ 3 ทฤษฎีด้วยกันคือ  :

1-- ทัศนะของอะชาอิเราะฮฺ กล่าวว่า แก่นแท้ของความเชื่อคือ การยอมรับถึงการมีอยู่ของพระเจ้า รวมไปถึงบรรดานบี และคำสั่งห้ามและคำสั่งใช้ที่ได้ถูกสาธยายโดยบรรดานบีเหล่านั้น การสารภาพด้วยปากตามทุกสิ่งที่หัวใจได้ยอมรับ กล่าวคือกรปฏิญาณตนยืนยันถึงความจริงที่เปิดเผยและการยอมรับความจริงนั้น ในสภาพเช่นนี้ด้านหนึ่งคือการยอมจำนน และความอ่อนน้อมถ่อมตนด้านจิตใจ (สัญญาใจ) อีกด้านหนึ่งคือความสัมพันธ์ชนิดหนึ่งในแง่ของความพยายามกับเรื่อง การยอมรับและการปฏิญาณยืนยัน[4]

2— มุอ์ตะซิละฮฺ กล่าวว่า แก่นแท้ของอีมานคือ : การปฏิบัติหน้าที่ความรับผิดชอบที่ได้ถูกกำหนด

การยอมรับในการมีอยู่จริงของพระเจ้าและศาสดาต่างๆ ถือว่าเป็นการปฏิบัติไปตามหน้าที่ ซึ่งหน้าที่อื่นก็คือการปฏิบัติตามข้อบังคับต่างๆ และการละทิ้งสิ่งต้องห้าม ซึ่งบุคคลใดปฏิบัติหน้าที่ของเขาได้ครบบริบูรณ์เราเรียกเขาว่า "ผู้ศรัทธา" ตามทัศนะของเขาจะเห็นว่า ความศรัทธาจะเป็นจริงต้องขึ้นอยู่กับการกระทำไม่ใช่ความเชื่อหรือทฤษฎีเท่านั้น[5]

3 -- มุมมองนี้เป็นวิสัยทัศน์ของนักปรัชญาส่วนใหญ่, และนักศาสนศาสตร์ซึ่งได้แสดงทัศนะไว้ว่า แก่นแท้ของเชื่อความเชื่อคือ ความรู้และการรู้จักทางปรัชญาในเกี่ยวกับความเป็นจริงต่างๆ ของจักรวาล

อีกนัยหนึ่ง; ความเร้นลับของจิตมนุษย์ในขั้นตอนความสมบูรณ์ทางทฤษฎี คือตัวก่อร่างสร้างความจริงของความศรัทธา ดังนั้น การปฏิบัติในสิ่งที่เป็นข้อบังคับและละเว้นสิ่งที่ต้องห้าม (ฮะรอม) ซึ่งเป็นความเร้นลับของจิตในขั้นความสมบูรณ์ในแง่ของการปฏิบัติซึ่งร่องรอยภายนอกของความรู้นี้คือ การรู้จัก ด้งนั้น ถ้าหลักความเชื่อในทัศนะของผู้ศรัทธาถูกต้องตรงกับความเป็นจริงมากเท่าใดความเชื่อของเขาก็จะสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ดังเช่น ซ็อดรุล มุตะอัลลิฮีน ได้กล่าวไว้ตอนเริ่มต้น อัสฟารอัรบะอะฮฺ หัวข้อ อิลาฮียาต บิลมะนัลอะคัส ว่า : ความศรัทธาที่แท้จริงต่ออัลลอฮฺ โองการต่างๆ วันแห่งการตัดสิน ดังที่โองการได้กล่าวว่า มุอฺมินคือผู้ศรัทธาในอัลลอฮฺ มลาอิกะฮฺ อัลกุรอาน และเราะซูลของพระองค์ และโองการที่กล่าวว่า บุคคลที่ปฏิเสธอัลลอฮฺและมลาอิกะฮฺและเราะซูลอของพระองค์ ตลอดจนวันแห่งการตัดสิน แน่นอน เขาได้หลงทางอย่างไกลโพ้น อีมานได้ครอบคลุมอยู่เหนือความรู้ 2 ประการ หนึ่งในนั้นคือความรู้ในเรืองการสร้างสรรค์ และความรู้ในวันแห่งการฟื้นคืนชีพ สิ่งที่เกิดจากความรู้ในการสร้างคือ การรู้จักอัลลอฮฺและคุณลักษณะของพระองค์ การกระทำและร่องรอยของพระองค์ ส่วนความรู้ในเรื่องการฟื้นคืนชีพคือ การรู้จักตนเอง[6]

ทัศนะดังกล่าวได้ยืนยันถึงการมีอยู่ของพระเจ้า และศาสดาต่างๆ โดยการยืนยันด้วยเหตุและผลซึ่งเกี่ยวข้องกับความเป็นจริงภายนอก และบางส่วนเป็นความรู้เกี่ยวข้องกับจักรวาล ความเข้าใจเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ความรับผิดชอบและภาระหน้าที่ออกแนวความเข้าใจและความเชื่อ

แต่ในทัศนะของ อิรฟาน ความเชื่อไม่ใช่ความรู้ และไม่ใช่การกระทำ ไม่ใช่การเป็นพยานยืนยัน แต่สาระสำคัญของความเชื่อคือ การยอมจำนนต่อพระเจ้าและการหลีกเลี่ยงจากทุกสิ่งที่ไร้สาระ ดังนั้น อีมานคือ : การกลับไปสู่อัลลอฮฺผู้ทรงเกรียงไกร พระองค์ผู้ทรงเป็นหนึ่งเดียว พระเจ้าผู้ทรงอำนาจยิ่ง ไม่มีอำนาจอื่นใดนอกจากพระองค์ ดังนั้น ไม่มีสิ่งใดที่เขาจะมกมุ่นได้อีกนอกจากสัจธรรม และเท่าจำนวนของการจำนนในสัจธรรมคือจำนวนของอีมาน ดังนั้น อีมานคือยอมจำนวนต่อความจริง ส่วนการปฏิเสธคือการต่อต้านความจริง (ดังนั้น สิ่งที่ต่อต้านกันไม่อาจรรวมกันได้)[7]

บรรดานักวิพากษ์ชาวคริสเตียน ก็เช่นเดียวกันส่วนใหญ่ได้ยึดถือแนวทางการตีความเชื่อ (อีมาน) ตามแนวทางของอิรฟาน

Barbvr Ian เขียนว่า:

"Tylykh"กล่าวว่า ศาสนาอยู่ร่วมกับปัญหาด้านความผูกพันมากกว่า ซึ่งมี 3 คุณสมบัติดังต่อไปนี้ หนึ่ง : ความผูกพันกล่าวคือ ความมุ่งมั่นจงรักภักดีอย่างตรงไปตรงมาและความจงรักภักดี ประเด็นดังกล่าวคือชีวิตและความตาย, รากฐานของสิ่งมีชีวิตในระหว่างนั้น ซึ่งมนุษย์และชีวิตของเขาจะผ่านพ้นช่วงนี้ไป หรือสัญญาว่าจะใช้เวลาหรือชีวิตให้ผ่านพ้นไป สอง : จิตผูกพันคือสิ่งมีค่าสูงส่ง ซึ่งสิ่งมีค่าอื่น  ต่างวางอยู่บนพื้นฐานดังกล่าว สาม : จิตผูกพันในใจของตนคือทัศนะหนึ่งที่ครอบคลุมและสมบูรณ์, ถูกซ่อนไว้เนื่องจากสิ่งเหล่านี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับทุกพื้นที่ของชีวิต และการดำรงอยู่ของมนุษย์ทุกคน[8]

ในอีกที่หนึ่งจากคำกล่าวของ"ริชาร์ดสัน" กล่าวว่า :

"เพื่อตระหนักถึงวัตถุประสงค์ของพระคัมภีร์ หรือพระผู้เป็นเจ้าของชาวคัมภีร์เกี่ยวกับคำว่า อีมานหรือความเชื่อ จำเป็นต้องตระหนักประเด็นกังกล่าวคือ เป้าหมายของการรับความเข้าใจหนึ่ง หรือความคิดหนึ่งในลักษณะที่ว่าการรู้จักนั้นมิได้มีความสำคัญน้อยไปกว่าความรู้ ประเด็นปัญหาคือการเชื่อว่าไม่ใช่การพิสูจน์[9]

ในขณะที่ทฤษฎีนี้ต้องการบอกว่า ความเชื่อเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งที่เหนือความรู้ ภูมิปัญญาและเหตุผล ต้องการแสดงให้รู้ว่าความเชื่อมิได้เป็นสิ่งที่ไม่สอดคล้องกับเหตุผลหรือขัดแย้งกับสติปัญญา และไม่ถือว่าเป็นการปฏิบัติสุ่มสี่สุ่มห้าเยี่ยงคนตาบอด

"โองการหลายโองการและวลีหลายบทใน "พันธสัญญาใหม่ชี้ให้เห็นว่าความเชื่อคือประเด็นที่ตรงข้ามกับความกลัว และความวิตกกังวล ความศรัทธาคือ การได้รับหรือการชี้นำ ความประสงค์ ความเชื่อที่มีมากกว่าในคนๆ หนึ่ง อันเป็นข้อมูลความจริงที่มั่นใจ และความถูกต้องของประเด็น ความน่าเชื่อถือหรือปฏิกิริยามั่นใจ ซึ่งเกิดจากการยอมรับความมั่นใจนั้น อันเป็นแรงบันดาลใจจากพระเจ้า การอภัย และความโปรดปรานของพระองค์ และในขณะเดียวกันมนุษย์มีหน้าที่ทำให้เกิดความมั่นใจ ไม่ว่าจะเป็นความเชื่อในพระเจ้าที่ว่า มนุษย์ได้รับพลังและอำนาจมาจากพระองค์ การหันกลับไปสู่พระเจ้าอันเป็นความจำเป็นที่ในการเพิ่มเติมบนทุกสิ่ง มากกว่าที่ความศรัทธาและความเชื่อมั่น ความศรัทธา ซึ่งความจำเป็นของมันคือ การมีความเชื่อ การมอบหมาย การให้สัตยาบัน และการจงรักภักดี[10]

ความเชื่อนิยม

ความเชื่อนิยม คำๆ นี้จะให้ความหมายตรงกันข้ามกับ เหตุผลนิยม หรือ"หลักการให้หรือใช้เหตุผล"นี่คือความหมายของคำพูดของเขา ในมุมมองของความเชื่อนิยมข้อเท็จจริงทางศาสนาอยู่บนพื้นฐานของความเชื่อ และเหตุผลที่ผ่านการไถพรวนและการพิสูจน์ความเป็นจริงไม่สามารถเข้าถึงความจริงได้ ประวัติความเป็นมาของการคำกล่าวอ้างนี้มีความยึดยาว ไปถึงสมัยของเซนต์ปอลด้วยซ้ำไป แต่อุบัติการณ์การอย่างจริงจังและการมีอิทธิพลของแนวคิดนี้ ได้เริ่มต้นในช่วงศตวรรษที่ 19 จนถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะเห็นได้ในโลกตะวันตกและศาสนาคริสต์

ความเชื่อนิยมสามารถแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบที่สำคัญกล่าวคือ ความสุดโต่งและสายกลาง  :

1 – ความเชื่อแบบสุดโต่ง หรือเหตุผลน่าสะพรึงกลัว (ต่อต้านสติปัญญา)

"Shstvf" หนึ่งในผู้มีความเชื่อสุดโต่งได้กล่าวว่า : การปฏิเสธเกณฑ์ของสติปัญญาทั้งหมดถื่อเป็นส่วนหนึ่งของความเชื่อจริง เขาเชื่อว่า ด้วยการยกตัวอย่าง คนสามารถมีความเชื่อตามพื้นฐานคำสอนของศาสนาได้ โดยไม่ต้องมีเหตุผลทางสติปัญญา เช่น เชื่อว่า (2 +2 = 5), ความศรัทธาและความเชื่อดังกล่าวเป็นตัวอย่างที่แท้จริงของความเชื่อ[11]

จากมุมมองของ"เค Yrkgvr" และผู้มีความเชื่อนิยมชนิดรุนแรง เชื่อว่าความจริงทางศาสนาไม่เข้ากันกับการพิสูจน์หลักฐานด้วยสติปัญญา ความจริงทางศาสนาสามารถยอมรับบนพื้นฐานของความเชื่อศรัทธาเท่านั้น หลักการทางศาสนาที่ไม่เพียงแต่สูงส่งกว่าสติปัญญาเท่านั้น ทว่ายังเป็นสิ่งหนึ่งที่ต่อต้านปัญญา[12]

2 – ความศรัทธาสายกลาง หรือสิ่งที่นอกเหนือจากสติปัญญา  :

ความเชื่อนิยมได้แอบแฝงอยู่ในแบบฉบับของ คริสต์ศาสนา "Agvsyny" ในมุมมองนี้ขณะที่เน้นถึงประเด็นที่ว่า ความเชื่อต้องมาก่อนสติปัญญา สติปัญญาและการพิสูจน์สำหรับการค้นหาความจริงทางศาสนา หรือการอธิบายและการทำความเข้าใจถึงข้อเท็จจริงเหล่านี้ สามารถมีบทบาทได้ในระดับหนึ่ง[13]

ความศรัทธานิยมในแนวคิดของอิสลาม :

ถึงแม้ว่าเขตข้อมูลในกรณีที่จำเป็นของความเชื่อชนิดสุดโต่งในแนวคิดของอิสลาม จะไม่มีเหมือนสิ่งที่เกิดขึ้นในตะวันตกและศาสนาคริสต์มีก็ตาม แต่อย่างไรก็ตามตัวอย่างมากมายที่เกิดจาก ผลงานของนักคิดอิสลามก็ไม่ได้แตกต่างอะไรไปจากความเชื่อนิยมในตะวันตกเลย ซึ่งจะหยิบยกความคิดเหล่านั้นมาอธิบายในโอกาสต่อไป



[1] Paul Tylykh, พูยอยีย์อีมาน, แปล, ฮุซัยน์ นูรูซีย์, หน้า 16, 17, สำนักพิมพ์ฮิกมะฮฺ, เตหะราน, 1375 สุริยคติ

[2] เฏาะบาเฏาะบาอีย์, ซัยยิดมุฮัมมัด ฮะซัยนฺ แปลตัฟซีรอัลมีซาน, เล่ม 18, หน้า 411-412, มูลนิธีด้านภูมิปัญญาและแนวคิดของ อัลลามะฮฺ เฏาะบาเฏาะบาอีย์, 1363 สุริยคติ

[3] บทอัลอัศริ : (و العصر: بسم الله الرحمن الرحیم، والعصر. ان الانسان لفى خسر،الاّ الذین آمنوا و عملوا الصالحات و تواصوا بالحق و تواصوا بالصبر.)

ขอสาบานด้วยกาลเวลา แท้จริง มนุษย์อยู่ในการขาดทุน นอกจากบรรดาผู้ศรัทธาที่ประกอบความดี ตักเตือนซึ่งกันและกันในสิ่งที่เป็นสัจธรรมและความอดทน 

[4] มะกอลาต อัลอิสลามียีน อบุลฮะซัน อัชอะรีย์ เล่ม 1 หน้า 347 อียิปต์ 1969 .. อัลลุมะอ์ หน้า 75 พิมพ์มะดีนะฮฺ 1975 .. ตักตาซานีย์ ชัรฮฺ อัลมะกอซิด เล่ม 2 หน้า 184 พิมพ์ อุสมานีย์ 1305 . คัดลอกมาจากมุฮัมมัด มุจญฺตะฮิด ชุบบัสตะรีย์ อีมาน วะออซอดีย์ หน้า 12 สำนักพิมพ์ ตัรฮฺ นู เตหะราน พิมพ์ครั้งที่ 3 ปี 1379 สุริยคติ

[5] ความเชื่อเกี่ยวกับ มุอฺตะซิละฮฺ, อะฮฺมัดอามิน, ฟัจญฺรุลอิสลาม วะ ฎุฮุลอิสลาม, หัวข้อมุอฺตะซิละฮฺ

[6]  ซ็อดรุล มุตะอัลลิฮีน มุฮัมมัด ชีรอซีย์ อัลฮิกมะฮฺ อัลมุตะอาลียะฮฺ ฟิล อัสฟาร อัลอักลียะฮฺ อัลอัรบะอะฮฺ เล่ม 6 หน้า 7 สำนักพิมพ์ ดาร อะฮฺยาอุตตุรซิลอะเราะบียฺ เบรุต เลบานอน พิมพ์ครั้งที่ 4 ปี .. 1990

[7] สรุปรายละเอียดของ ชัรฮฺ อัตตะอฺรีฟ จากเอรฟาน ศตวรรษที่ 5,หน้า 227, สำนักพิมพ์มูลนิธิวัฒนธรรมอิหร่าน

[8] Ian Ba​​rbvr ศาสตร์และศาสนา, แปลโดย, บะฮาอุดดีน โครัมชาฮี, หน้า 257, สำนักพิมพ์ ดานิชเกาะฮีย์ เตหะราน, 62

[9] อ้างแล้ว, หน้า 259

[10] อ้างแล้ว,หน้า 260 

[11] อ้างแล้ว

[12] อ้างแล้ว

[13] อ้างแล้ว

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • มัสญิดฎิรอร มีความหมายว่าอะไร? เรื่องราวความเป็นมาเกี่ยวกับการสร้างมัสญิดคืออะไร?
    8823 ประวัติสถานที่ 2555/05/17
    คำว่า “ฎิรอร” มาจากริยาในรูปของ บาบมุฟาอะละ ในพจนานุกรมหมายถึง การทำให้สูญเสีย[1] โดยเจตนา[2] เรื่องราวของมัสยิด ฎิรอร ถูกกล่าวไว้ในบทเตาบะฮฺ สาเหตุที่ตั้งชื่อมัสญิดนี้ว่า ฎิรอร ก็เนื่องจากว่า มีมุนาฟิกีน (พวกกลับกลอก) กลุ่มหนึ่งต้องการให้แผนการชั่วร้ายของตนที่มีต่ออิสลาม ซึ่งพวกเขาได้วางไว้ให้บรรลุเป้าหมาย พวกเขาจึงได้สร้างมัสญิดหลังหนึ่งขึ้นมาใน เมืองมะดีนะฮฺ โดยมีเจตนาให้มัสญิดดังกล่าวเป็นฐานสร้างอันตรายแก่นบี (ซ็อล ฯ) บรรดามุสลิมและอิสลาม[3] เรื่องราวโดยสรุปของการสร้างมัสญิด ฎิรอร คือ : กลุ่มมุนาฟิกีน (สับปลับ) ได้มาหาท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) เพื่อขออนุญาตท่านศาสดาสร้างมัสญิดขึ้นในหมู่ชนเผ่า ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    58055 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • เป็นไปได้ไหมที่จะอธิบาย อัรบะอีน, อิมามฮุซัยนฺ ให้ชัดเจน?
    9132 تاريخ بزرگان 2555/05/20
    เกี่ยวกับพิธีกรรมอัรบะอีน, สิ่งที่ปรากฏอยู่ในวัฒนธรรฒศาสนาของเรา, คือการรำลึกถึงช่วง 40 วัน แห่งการเป็นชะฮาดัตของท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) ซัยยิดุชชุฮะดา ซึ่งตรงกับวันที่ 20 เดือนเซาะฟัร, ท่านอิมามฮะซันอัสการียฺ (อ.) ได้กล่าวถึงสัญลักษณ์ของผู้ศรัทธา »มุอฺมิน« ไว้ 5 ประการด้วยกัน กล่าวคือ : การดำรงนมาซวันละ 51 เราะกะอัต, ซิยารัตอัรบะอีน, สวมแหวนทางนิ้วมือข้างขวา, เอาหน้าซัจญฺดะฮฺแนบกับพื้น และอ่านบิสมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม ในนมาซด้วยเสียงดัง[1] ทำนองเดียวกันนักประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่า ท่านญาบิร บิน อับดุลลอฮฺ อันซอรียฺ,พร้อมกับอุฏ็อยยะฮฺ เอาฟีย์ ประสบความสำเร็จต่อการเดินทางไปซิยาเราะฮฺอิมามฮุซัยนฺ (อ.) หลังจากถูกทำชะฮาดัตในช่วง 40 วันแรก
  • เพราะเหตุใดอัลลอฮฺ (ซบ.) จึงทรงสร้างชัยฏอน?
    10118 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/04/21
    ประการแรก: บทบาทของชัยฏอนในการทำให้มนุษย์หลงผิดและหลงทางออกไปนั้นอยู่ในขอบข่ายของการเชิญชวนประการที่สอง : ความสมบูรณ์นั้นจะอยู่ท่ามกลางการต่อต้านและสิ่งตรงกันข้ามด้วยเหตุผลนี้เองการสร้างสรรพสิ่งเช่นนี้ขึ้นมาในระบบที่ดีงามมิได้เป็นสิ่งไร้สาระและไร้ความหมายแต่อย่างใดทว่าถูกนับว่าเป็นรูปโฉมหนึ่งจากความเมตตาและความดีของพระเจ้า ...
  • เมื่อคำนึงถึงการที่สตรีจะต้องมีประจำเดือน จะเป็นไปได้อย่างไรที่จะถือศีลอดกัฟฟาเราะฮ์ เนื่องจากจะต้องถือศีลอดติดต่อกันเป็นเวลา 31 วัน
    7758 สิทธิและกฎหมาย 2555/02/05
    ในการถือศีลอดที่มีเงื่อนไขว่าจะต้องถืออย่างติดต่อกัน (เช่นการถือศีลอดกัฟฟาเราะฮ์หรือการถือศีลอดที่มีการบนบานเอาไว้) หากเขาไม่สามาถทำเช่นนี้ได้เนื่องจากป่วยหรือมีรอบเดือนหรือเป็นนิฟาซ (สำหรับสตรี) และผู้ถือศีลอดไม่สามารถถือศีลอดติดต่อกันได้ต่อเมื่อข้อจำกัดเหล่านั้นหมดไป (เช่นการป่วย, การมีรอบเดือนหรือการมีนิฟาซ) หากถือศีลอดต่อทันทีก็จะถือว่าถูกต้องและไม่จำเป็นต้องเริ่มถือศีลอดใหม่แต่อย่างใด[1][1]อิมามโคมัยนี, รูฮุลลอฮ์, ตะฮ์รีรุลวะซีละฮ์, แปล,เล่มที่
  • นมาซหมายถึงอะไร? เพราะเหตุใดเยาวชนจึงหลีกเลี่ยงการนมาซ
    15000 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/10/22
    นมาซ,คือขั้นสุดท้ายของการพัฒนาจิตวิญญาณของผู้ขัดเกลาทั้งหลาย ซึ่งเขาจะได้สัมผัสและสนทนากับพระเจ้าของตนโดยปราศจากสื่อกลางในการพูดอัลลอฮฺ (ซบ.) ตรัสไว้ในอัลกุรอานว่า : จงนมาซเถิด เพื่อจะได้ฟื้นฟูการรำลึกถึงฉัน และฉันจะรำลึกถึงพวกท่านโดยผ่านนมาซ ถ้าหากการรำลึกถึงอัลลอฮฺจะปรากฏออกมาโดยผ่านนมาซแล้วละก็, จะทำให้หัวใจของมนุษย์มีความมั่นใจมากยิ่งขึ้น, เนื่องจากการรำลึกถึงพระเจ้าจะทำให้จิตใจมีความเชื่อมั่น, ผู้นมาซทุกท่านเท่ากับได้ทำลายสัญชาติญาณแห่งความเป็นเดรัจฉานของตน และฟื้นฟูธรรมชาติแห่งความเป็นมนุษย์ของตนเองให้มีชีวิตชีวา,คุณลักษณะพิเศษของนมาซ, คือการฟื้นฟูธรรมชาติแห่งตัวตน,ผู้นมาซทุกคนที่ได้รับความมั่นใจ และความสงบอันเกิดจากนมาซ จะไม่แสดงความอ่อนไหวต่อสภาพชีวิตการเป็นอยู่ จะไม่แสดงความอ่อนแอแม้จะอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่และมีความลำบากยิ่ง ถ้าหากมีความดีงามมาถึงยังพวกเขา, พวกเขาจะไม่กีดกันและจะไม่หวงห้ามสำหรับคนอื่นนมาซคือ เกาซัร (สระน้ำ) ...
  • จะมีวิธีการสนับสนุนอย่างไรบ้าง เพื่อให้บุตรหลานรักการอิบาดะฮฺ?
    6572 จริยธรรมปฏิบัติ 2555/08/22
    สำหรับการส่งเสริมและการสนับสนุนให้ปฏิบัติข้อบังคับของศาสนา เบื้องต้นสิ่งแรกที่จะต้องทำคือการวิเคราะห์ความคิดของเขา หลังจากนั้นจึงจะหาวิธีแก้ไขและส่งเสริมต่อไป, ทัศนะของบุคคลและความเชื่อที่มีต่ออัลลอฮฺ, โลกทัศน์ของพระเจ้า,มนุษย์, วันฟื้นคืนชีพ และ... เหล่านี้มีผลโดยตรงต่อความเชื่อ เพราะจะช่วยทำให้เขามั่นคงต่อการอิบาดะฮฺ และการปฏิบัติข้อบังคับต่างๆ และความประพฤติ การโน้มน้าวทางความเชื่อ การมีวิสัยทัศน์ที่ดี และการมีความคิดดีกับฝ่ายตรงข้าม (โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุตรหลาน) ดังนั้น เพื่อก่อให้เกิดมรรคผลในทางที่ดี การอบรมสั่งสอนและการส่งเสริม จึงจำเป็นต้องเริ่มจากความคิดของเขาก่อน แน่นอน การที่บิดามารดาไม่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับบุตร โปรแกรมการอบรมสั่งสอนย่อมไม่ได้ผล หรือล้มเหลวแน่นอน โดยการใช้วิธีปฏิบัติที่เหมาะสมด้านการอบรม สามารถสร้างความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับบุตรหลานของตนได้ บางวิธีการเป็นวิธีที่มีความจำเป็นและเหมาะสม ดังเช่น : 1 ให้เกียรติบุตร: ท่านศาสดา (ซ็อลฯ) กล่าวว่า "จงให้เกียรติลูกๆ ของตนและจงอบรมสั่งสอนให้ดี" 2 รู้ถึงความต้องการของเด็กและเยาวชนในช่วงวัยรุ่น (เช่นความเป็นอิสระ, อารมณ์, ฯลฯ) เป็นการรู้จักทั่วไปถึงสภาพจิตใจอันเฉพาะของลูกแต่ละคน ...
  • เพราะเหตุใดจึงได้เลือก อัดลฺ ซึ่งเป็นหนึ่งในคุณลักษณะของพระเจ้า เป็นหลักศรัทธา?
    7457 เทววิทยาดั้งเดิม 2555/08/22
    หลักอุซูลของชีอะฮฺประกอบด้วย เตาฮีด, อัดลฺ, มะอาด, นะบูวัต, และอิมามะฮฺ. อัดลฺ แม้ว่าจะเป็นซิฟัตหนึ่งของอัลลอฮฺ แต่ในหลักการศรัทธาแล้วก็เหมือนกับ ซิฟัตอื่นๆ ของพระองค์ จำเป็นต้องวิพากในเตาฮีด แต่เนื่องจากความสำคัญของอัดลฺ จึงได้แยกอธิบายไว้ต่างหาก สาเหตุที่ อัดลฺ มีความสำคัญเนื่องจาก อัดลฺ คือสาเหตุของการแยกระหว่างหลักเทววิทยาของฝ่าย อัดลียะฮฺ (ชีอะฮฺและมุอฺตะซิละฮฺ) ออกจากฝ่ายอะชาอิเราะฮฺ ซิฟัตหนึ่งถ้าพิสูจน์ว่ามีหรือไม่มี จะได้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกันและตรงข้ามกัน แน่นอน จำเป็นต้องกล่าวว่าฝ่ายอะชาอิเราะฮฺ ปฏิเสธไม่ยอมรับเรื่องความยุติธรรมของพระเจ้า ทว่ากล่าวว่า ความยุติธรรม หมายถึงอัลลอฮฺกระทำภารกิจของพระองค์ แม้ว่าในแง่ของสติปัญญา สิ่งนั้นจะเป็นความอธรรมก็ตาม ...
  • เมื่อกล่าวว่าอัลกุรอานมาจากพระเจ้า จุดประสงค์หมายถึงอะไร ? เฉพาะความหมายรวมๆ เท่านั้นที่มาจากพระเจ้า หรือว่าคำก็ถูกประทานจากพระเจ้าด้วยเช่นกัน
    9027 วิทยาการกุรอาน 2553/10/21
    ตามความเป็นจริงแล้วการที่กล่าวว่า อัลกุรอานมาจากอัลลอฮฺ ได้รับความสนใจเป็นพิเศษในระดับต่างๆ  อีกทั้งยังมีความหมายที่ลึกซึ่งและหลากหลาย ซึ่งในแต่ละประเด็นนั้นยังมีความหมายลึกและระเอียดลงไปอีก และในแต่ละคำพูดก็ยังมีคำพูดที่ระเอียดลงไปอีก :ก. เนื้อหาของอัลกุรอานนั้นมาจากพระเจ้าข. นอกจากนี้คำแต่ละคำยังมาจากพระเจ้าค. การรวมคำต่างที่ปรากฏอยู่ในโองการก็มาจากอัลลอฮฺเช่นกันง. โองการต่างๆ เหล่านี้เป็นสัญลักษณ์ที่ปรากฏอยู่ในบทต่างๆ มาจากอัลลอฮฺ
  • เพราะเหตุอะไร เราจึงซัจญฺดะฮฺในซิยารัตอาชูรอ เพื่อขอบคุณพระเจ้า เนื่องจากโศกนาฏกรรมดังกล่าว?
    21833 จริยธรรมปฏิบัติ 2555/05/20
    การขอบคุณความโปรดปราน เป็นหนึ่งในหัวข้อที่บันทึกอยู่ในแหล่งอ้างอิงรายงานของเรา ซึ่งมีสถานภาพอันเฉพาะเจาะจงพิเศษ[1] มนุษย์ผู้ศรัทธาและเชื่อมั่นต่อพระเจ้าก็เนื่องจากว่า เขามีการรู้จักที่ถูกต้องเกี่ยวกับพระเจ้า และการสร้างสรรค์ของพระองค์, และทุกสิ่งจากพระเจ้าที่ได้ตกมาถึงพวกเขา, เขาจะขอบคุณ, เนื่องจากมนุษย์เหล่านี้, เขาจะปฏิบัติหน้าที่กำหนดจากพระเจ้าร่วมไปด้วย และเมื่อประสบอุปสรรคปัญหาต่างๆ ไม่ว่าจะดีหรือร้ายแรง เขาต่างแสดงความจำนนต่อพระเจ้า และถือว่าสิ่งเหล่านั้นอยู่ในหนทางนำไปสู่ความสมบูรณ์ ในหนทางของพระเจ้า ท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) ในตอนบ่ายของวันอาชูรอ, ท่านได้อยู่ร่วมกับสหายคนอื่น ร่วมแซ่ซ้องสดุดีต่อพระเจ้า ทั้งที่ทั้งความดีงามและความเลวร้าย ได้ประสบแด่ท่าน : ประโยคที่กล่าวว่า "احمده على السرّاء والضرّاء" โอ้ อัลลอฮฺ ไม่ว่าฉันจะอยู่ในสภาพปกติ หรืออยู่ในสภาพเศร้าหมอง,ฉันก็จะขอขอบคุณพระองค์ เพื่อว่าฉันจะได้รับความสัมฤทธิผล ด้วยการช่วยเหลือของพระองค์ ได้ชะฮีดและอยู่ร่วมกับบรรดาอิมามผู้บริสุทธิ์ "الحمد للّه الذی أکرمنا ...

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60475 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    58055 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42579 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    39922 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    39223 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    34333 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    28381 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    28311 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    28240 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    26178 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...