การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
8037
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2554/06/21
 
รหัสในเว็บไซต์ fa1959 รหัสสำเนา 14708
คำถามอย่างย่อ
คำพูดทั้งหมดของพระศาสดา (ซ็อล ฯ) ถือว่าเป็นวะฮฺยูหรือไม่?
คำถาม
คำพูดทั้งหมดของพระศาสดา (ซ็อล ฯ) ถือว่าเป็นวะฮฺยูหรือไม่?
อีกนัยหนึ่ง, ทุกถ้อยคำที่ออกมาจากปากของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ผู้จำเริญยิ่ง และสิ่งที่ตามมาหลังจากนั้นคือ ทุกการกระทำที่ได้กระทำโดยท่านศาสดา (ซ็อล ฯ), ทั้งหมดเป็นการอบรมสั่งสอนของพระเจ้า โดยเผยแผ่ผ่านขบวนการของวะฮฺยูแก่ท่าน, หรือว่าท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ได้พูดเองซึ่งถ้อยคำเหล่านั้นนอกเหนือไปจากวะฮฺยูของพระเจ้า หรือว่าต้องแยกแยะและให้ความแตกต่าง ระหว่างถ้อยคำที่เกี่ยวข้องกับศาสนาและบทบัญญัติ กับถ้อยคำพูดประจำวันของท่านศาสดาอันเป็นคำพูดสามัญทั่วไป ?
คำตอบโดยสังเขป

มุมมองของผู้เชี่ยวชาญ,ในประเด็นที่กำลังกล่าวถึงแตกต่างกัน

บางคนได้พิจารณาการตีความของโองการที่ 3,4 ของอัลกุรอาน บทนัจมฺ[i] ซึ่งเชื่อว่าคำพูดทั้งหมดของท่านศาสดา (ซ็อล ) ตลอดจนการกระทำต่างๆ ของท่านมาจากวะฮฺยูทั้งสิ้น

บางคนเชื่อว่า โองการที่ 4 ของบทอันนัจมฺนั้นกล่าวถึง อัลกุรอานกะรีมและบรรดาโองการต่างๆ ที่ประทานให้แก่ท่านศาสดา,แม้ว่าซุนนะฮฺ (แบบฉบับ) ของท่านศาสดา (ซ็อล ) จะเป็นข้อพิสูจน์และเป็นเหตุผลก็ตาม ซึ่งคำพูด การกระทำ และการนิ่งเฉยของท่านมิได้เกิดจากอารมณ์อย่างแน่นอน

สิ่งที่เข้าใจได้จากสิ่งที่กล่าวถึงในตรงนี้คือ สามารถกล่าวได้อย่างมั่นใจว่า ทั้งความประพฤติและแบบอย่างของท่านศาสดา (ซ็อล ) มิได้กระทำลงไปโดยปราศจากวะฮียฺอย่างแน่นอน ดังเช่นคำพูดของท่านก็เป็นเช่นนี้ด้วย แม้ว่าจะเป็นคำพูดประจำวัน คำพูดสามัญทั่วไปตลอดการดำรงชีวิตของท่านศาสดา (ซ็อล ) ก็ตาม สิ่งนั้นก็จะไม่เกิดจากอารมณ์อย่างเด็ดขาด ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้แน่นอนว่า ท่านศาสดา (ซ็อล ) จะล่วงละเมิดกระทำความผิด



[i] อัลกุรอาน บทน้จมฺ โองการ 3-4 กล่าวว่า : "و ما ینطق عن الهوی ان هو الا وحی یوحی".

และเขาไม่ได้พูดตามอารมณ์ สิ่งที่เขาพูดไม่ใช่อื่นใดนอกจากเป็นวะฮีย์ที่ถูกประทานลงมา

คำตอบเชิงรายละเอียด

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าบรรดาศาสดา แห่งพระเจ้านั้นมีการติดต่ออันเฉพาะเจาะจงพิเศษกับอัลลอฮฺ (ซบ.) และจากการติดต่อนั้นเองท่านศาสดาจึงได้รับ,บทบัญญัติ, กฎเกณฑ์ต่างๆ และคำสอนของพระเจ้า เพื่อนำไปประกาศสอนแก่ประชาชน

แก่นแท้ความจริงของการติดต่อสัมพันธ์กันนี้เอง, เป็นสิ่งที่สลับซับซ้อนและเกินกำลังสามารถที่จะเข้าใจได้, แน่นอน สิ่งนี้มิได้หมายถึงความไม่รู้หรือความโง่เขลาของมนุษย์ที่มีต่อประเด็นดังกล่าว, อีกนัยหนึ่งปัญหาเรื่องวะฮฺยูมิใช่ประเด็นที่ว่ามนุษย์ไร้ความสามารถในการรู้จักรากที่มาหรือแก่นแท้ของวะฮฺยู, ดังนั้นต้องปล่อยสิ่งเหล่านี้ไปเสีย, ทว่าสามารถกล่าวได้ว่าด้วยอำนาจของสติปัญญาที่เปี่ยมด้วยศักยภาพนี้เอง, ทำให้มนุษย์มีความกระตือรือร้นที่ยากจะรับรู้ และเข้าใจถึงแก่นแท้ของวะฮฺยูหรือพระดำรัสของพระเจ้า

วะฮฺยู ความหมายในสารานุกรมหมายถึง : วิวรณ์อันเป็นแก่นและกฎเกณฑ์อันเป็นสื่อนำความรู้และนอกเหนือจากนั้น, คุณลักษณะพิเศษของวะฮฺยูคือ : การบ่งชี้ให้บันทึกโดยด่วนและเผยแผ่ บางครั้งก็ประกาศเป็นรหัสและความเร้นลับ, บางครั้งประกาศในฐานะเป็นเหตุผลประกอบที่ผสมผสาน, บางครั้งบ่งชี้ให้เห็นถึงองค์ประกอบและกาลเวลาของการดลใจและคำพูดที่ซ่อนเร้นปิดบัง. ด้วยเหตุนี้ ,การซ่อนเร้น, การรีบเร่งและเป็นรหัสยะถือเป็นองค์ประกอบหลักของวะฮฺยู[1]

สารัตถะของวะฮฺยู : โดยปกติวะฮฺยูมาจากความรู้และการรับรู้, มิได้มาจากสนับสนุนและการกระทำ, แม้ว่ามนุษย์ขณะกระทำการใดจะได้รับความช่วยเหลือจากความคิดและสติปัญญาก็ตาม,ซึ่งความรู้และสติปัญญามีลักษณะอันเฉพาะที่ปราศจากองค์รูป

อีกนัยหนึ่ง, คำว่าวะฮฺยูเป็นความเข้าใจหนึ่งที่ได้รับมาจากการมีอยู่ด้วยเหตุนี้เองจึงไม่มีองค์รูป จึงไม่สามารถตีความวะฮฺยูว่าเป็น ประเภท ชนิด มีรูปลักษณ์และอื่นๆ ได้ ดังนั้น วะฮฺยูบริสุทธิ์จากสิ่งเหล่านั้นทั้งหมด และอยู่ภายใต้ความเข้าใจของนามธรรม ความเข้าใจเกี่ยวกับ วะฮฺยู เหมือนกับความหมายของ พระเจ้า ซึ่งเป็นนามธรรม และนามธรรมนั้นมีระดับชั้นต่างๆ ทีแตกต่างกันออกไป[2]

ด้วยเหตุนี้ คำจำกัดความที่ได้กล่าวถึงวะฮฺยู, เป็นคำจำกัดความที่อธิบายนาม มิใช่สารัตถะของวะฮฺยู. นอกจากนั้นแล้ววะฮฺยู ยังมิใช่ความสัมพันธ์ติดต่อกันแบบธรรมดา, เพื่อว่าความเข้าใจจะมีความเป็นไปได้สำหรับทุกคน

คำจำกัดความวะฮฺยู

ท่านอัลลามะฮฺ เฏาะบาเฏาะบาอี กล่าวถึงวะฮฺยูว่า : วะฮฺยูคือความรู้สึกและความเข้าใจพิเศษจากด้านในของท่านบรรดาศาสดา (.) แน่นอนว่าความเข้าใจและการรับรู้ถึงสิ่งนั้น นอกจากบุคคลที่ได้รับความการุณย์พิเศษจากพระเจ้าแล้ว ไม่มีใครสามารถรับรู้ได้[3]

ในอีกที่หนึ่งท่านอัลลามะฮฺกล่าวว่า : วะฮียฺ หมายถึงพระบัญชาที่พ้นญาณวิสัยของมนุษย์ เป็นการรับรู้ด้วยญาณด้านใน, เป็นความรู้สึกและความเข้าใจอันเป็นรหัสยซึ่งถูกปกปิดจากภายนอก[4]

คำตอบสำหรับคำถามที่กล่าวอธิบายข้างต้น :

นักวิชาการอิสลามอาศัยรายงานและโองการต่างๆ ได้นำเสนอทัศนะที่แตกต่างกันดังนี้ :

อับดุร เราะซาก ลอฮิญียฺ กล่าวถึงประเด็นนี้ว่า : ถ้าหากบุคคลหนึ่งคิดว่า ท่านศาสดา (ซ็อล ) ได้ปฏิบัติภารกิจหนึ่ง, ด้วยอารมณ์ตนเองโดยไม่ได้รอวะฮียฺจากพระเจ้า, ทุกนิกายถ้าบั้นปลายสุดท้ายไม่อาจเข้าถึงสภาวะการเป็นนบี และยังโง่เขลากับแก่นแท้ของการเป็นนบีอยู่ ดังนั้น บุคคลเช่นนี้ในแง่ของสติปัญญาถือว่าสิ้นสุดลงแล้ว ไม่ปกป้องรักษาศาสนาต่อไปได้ รูปลักษณ์นี้ขัดแย้งกับอัลกุรอาน (“และเขาไม่ได้พูดตามอารมณ์[5] สิ่งที่เขาพูดไม่ใช่อื่นใดนอกจากเป็นวะฮีย์ที่ถูกประทานลงมา[6]) โดยสิ้นเชิง แน่นอน การจะละเว้นบางสิ่งด้วยภารกิจบางอย่าง ที่สุดแล้วก็จะสร้างความเสียหายให้เกิดขึ้น, ภารกิจทั้งหลายเกี่ยวข้องกับศาสนา ทุกความต้องการได้วอนขออนุญาตจากอัลลอฮฺและรอวะฮียฺของพระองค์, ในทางกลับกันถ้าหากท่านเราะซูล (ซ็อล ) มิทำสิ่งใดตามอารมณ์ของตน แล้วคนอื่นจะกล้าแปลกแยกไปได้อย่างไร[7]

กระจกสิ้นสุดของคำทำนายและผู้เผยพระวจนะและคนที่จะไม่รู้ในภูมิปัญญาของการรักษาศาสนาออกคำสั่งของมัน Aqrb

ตัฟซีรเนะมูเนะฮฺ กล่าวไว้เช่นนี้ว่า : คำกล่าวของอัลกุรอานที่ว่า "ان هو الا وحی یوحی"สิ่งที่เขาพูดไม่ใช่อื่นใดนอกจากเป็นวะฮีย์ที่ถูกประทานลงมามิใช่เฉพาะเรื่องอัลกุรอานเพียงอย่างเดียว, ทว่ามีสมมาตรจากโองการที่แล้วครอบคลุมแบบฉบับของท่านศาสดา (ซ็อล ) ด้วย ซึ่งมิใช่เพียงคำพูดของท่านศาสดาเท่านั้น ทว่าได้ครอบคลุมการกระทำและความประพฤติของท่านศาสดาด้วยว่า สิ่งเหล่านั้นดำเนินไปตามวะฮียฺของพระเจ้า, เนื่องจากโองการที่ 3 และ 4 บทอันนัจมุ, ได้กล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า, ท่านศาสดาจะไม่พูดสิ่งใดด้วยอารมณ์, ทุกสิ่งที่ท่านพูดคือวะฮฺยู[8]

อัลลามะฮฺ เฏาะบาเฏาะบาอียฺ อธิบายโองการและเขาไม่ได้พูดตามอารมณ์[9] ว่า : คำว่ายันติกุนั้นสมบูรณ์ซึ่งความสมบูรณ์นี้เองเป็นตัวกำหนดว่า อารมณ์ ได้ถูกปฏิเสธไปจากคำพูดของท่านศาสดา (ซ็อล ) โดยสิ้นเชิง, แต่เนื่องจากโองการได้กล่าวว่าซอฮิบิกุม[10] ซึ่งได้กล่าวแก่บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา[11] และเนื่องจากสมมาตรในตำแหน่งจึงต้องกล่าวว่า วัถตุประสงค์ของการที่ท่านศาสดา (ซ็อล ) ได้เชิญชวนบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาไปสู่ และสิ่งที่ท่านได้อ่านจากอัลกุรอานนั้น ถ้อยคำของท่านไม่มาจากอารมณ์ ทว่าทุกสิ่งที่ท่านศาสดาได้กล่าวในเรื่องนั้นล้วนเป็น วะฮียฺของพระเจ้าทั้งสิ้น ซึ่งพระองค์ทรงประทานแก่ท่าน[12]

หมายถึงว่า โองการข้างต้นได้พิสูจน์ให้เห็นว่า การเป็นวะฮียฺทุกถ้อยคำศาสนา[13] ของท่านเราะซูลในประเด็นชี้นำทาง โลกทัศน์ของพระเจ้า และการให้คำแนะนำสั่งสอน, มิได้เป็นการพิสูจน์ทุกถ้อยคำที่เป็นรายละเอียดของชีวิตประจำบนโลกนี้[14]

แน่นอน ความเป็นไปได้อย่างเช่นที่ว่า ถ้อยคำสามัญทั่วไปทั้งคำสั่งห้าม และคำสั่งใช้ของท่านศาสดาเกี่ยวกับปัญหาส่วนตัว และครอบครัว, เช่น ท่านศาสดา (ซ็อล ) ได้กล่าวบางสิ่งแก่ภรรยาของท่าน, ว่าเธอจงไปน้ำมาให้ฉัน 1 แก้ว และ ...อาจเป็นการสั่งด้วยอารมณ์[15] แม้จะเป็นคำพูดลักษณะนี้กระนั้นท่านศาสดา (ซ็อล ) ก็ยังไม่มีความผิดพลาดในคำพูดของท่าน เนื่องจากท่านเป็นผู้นำผู้บริสุทธิ์ปราศจากความผิดพลาดทั้งปวง[16]ด้วยเหตุนี้ จากคำพูดและการกระทำ[17] ของท่านศาสดาในประเรื่องต่างๆ เหล่านี้, เข้าใจได้ว่าต้องได้รับอนุญาตและไม่ขัดแย้งกับความพึงพอพระทัยของอัลลอฮฺ, เนื่องจากถ้าการกระทำเหล่านั้นมีปัญหาแม้เพียงเล็กน้อย ท่านศาสดาจะไม่กระทำมันอย่างแน่นอน

คำแนะนำเพื่อศึกษาเพิ่มเติม : ศึกษาได้จากหนังสือ การใคร่ครวญในวิชาอุซูลลุลฟิกฮฺ, เล่มแรก,หมวดที่หนึ่ง, มะบาดี ซุดูรซุนนะฮฺ, เกี่ยวข้องกับการเป็นมะอฺซูม, หน้า 34-67, ศาสดาจารย์มะฮฺดี ฮาดะวี เตหะรานี



[1]  รอฆิบ เอซฟาฮานี, มุฟรอดาตอัลฟาซกุรอาน, หมวดคำว่า วะฮฺยู

[2]  สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมศึกษาได้จาก, หนังสือต่างๆ วะฮฺยูและนะบูวัตในอัลกุรอาน, ญะวาดี ออมูลี, มะบอนียฺ กะลามี อิจติฮาด ดัร บัรดอช อัซ กุรอานกะรีม, ฮาดะวี เตหะรานี, หน้า 77-78

[3]  เฎาะบาเฏาะบาอี, มุฮัมมัดฮุซัยนฺ, อัลมีซาน (ฉบับแปลฟาร์ซี), เล่ม 2, หน้า 159.

[4]  อ้างแล้วเล่มเดิม หน้า 160,เช่นเดียวกันเพื่อศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม ศึกษาได้จารย์ศาสดาจารย์ ฮาดะวียฺ เตหะรานี มะบอนียฺ กะลามี อิจติฮาด, หน้า 76-78, โคสโรพะนอ, อับดุลฮุเซน, กะลัมโรดีน, หน้า 117-130, และหัวข้อ, วะฮียฺและกัยฟียัตออน, คำถามที่ 88

[5] อัลกุรอาน บทอันนุจมุ โองการ 3

[6] อัลกุรอาน บทอันนุจมุ โองการ 4

[7]  ฟัยยอซ ลาฮีญียฺ,อับดุรเราะซาก, กูฮัร มะรอด, หน้า 416

[8]  ตัฟซีรเนะมูเนะฮฺ, เล่ม 22, หน้า 481.

[9] อัลกุรอาน บทอันนุจมุ โองการ 3-4

[10] อัลกุรอาน บทอันนุจมุ โองการ 2

[11]บรรดาผู้ตั้งภาคีต่างคิดว่าการเชิญชวนของท่านศาสดาและอัลกุรอานที่มีมายังพวกเขาเป็นเพียงการมุสาเท่านั้น

[12]  เฎาะบาเฏาะบาอี, มุฮัมมัดฮุเซน, ตัฟซีรอัลมีซาน (ฉบับแปลฟาร์ซีย์), เล่ม 19,หน้า 42, ฮุซัยนี เตหะรานี, ซัยยิดมุฮัมมัดฮุเซน, เมฮฺร์ตอบอน, หน้า 212-213

[13] หนึ่งในองค์ประกอบของศาสนา,หมายถึงองค์ประกอบซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อความผาสุกแท้จริงของมนุษย์

[14] ญะวาดี ออมูลี อับดุลลอฮฺ, ตัฟซีรเมาฎูอาตกุรอาน, ซีเราะฮฺเราะซูล (ซ็อล ) ในอัลกุรอาน,เล่ม 8, หน้า 32

[15]  ต้องเข้าใจว่าสิ่งที่เรากำลังพูดกันอยู่นี้ สูงส่งกว่าคำพูดสามัญทั่วไป ซึ่งบางคนกล่าวว่าไม่ต้องสงสัยเลยว่า,การมีอยู่ของท่านศาสดา (ซ็อล ) นอกเหนือไปจากความพิเศษด้านริซาละฮฺ และการประทานอัลกุรอานแก่ท่านแล้ว ตัวท่านยังเป็นอริยบุคคล เป็นบุคคลที่มีความประเสริฐและวิเศษในยุคสมัยของท่าน, ด้วยเหตุนี้ สามารถกล่าวได้ว่าท่านศาสดา (ซ็อล ) มีคำพูดอยู่ 2 ลักษณะ กล่าวคือ :

) ถ้อยคำที่เป็นวะฮียฺของพระเจ้า เช่น โองการอัลกุรอาน และฮะดีซกุดซียฺเป็นต้น

) ถ้อยคำที่เปี่ยมไปด้วยวิทยปัญญา ซึ่งถูกถ่อยทอดออกมาจากท่านศาสดาผู้เปี่ยมด้วยวิทยปัญญา และภูมิปัญญาอันดีเลิศ

[16]  แม้ว่าจะไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าสิ่งนั้นเป็นคำสอนศาสนา แต่ทั้งสองคำพูดมีความสัมพันธ์ และเป็นความจำเป็นของกันและกัน, หมายถึงกล่าวได้ว่าความเป็นมะอฺซูม (ผู้บริสุทธิ์) ไม่ว่าจะเป็นกรณีใดก็ตาม จะไม่มีวันเลอะเลือน, หรือผิดพลาด, หรือหลงลืม, และพลั้งเผลอเด็ดขาด, ไม่ว่าถ้อยคำหรือความประพฤติดังกล่าว จะเกี่ยวข้องกับหลักการศาสนา หรือสิ่งที่พูดหรือกระทำจะไม่เกี่ยวข้องกับหลักการศาสนาก็ตาม. ด้วยเหตุนี้ ถ้าหากมะอฺซูมได้อธิบายถึงสิ่งหนึ่ง แต่ไม่มีองค์เกี่ยวข้องกับศาสนาเลย เช่น ท่านได้กล่าวในแง่วิชาการหนึ่ง แน่นอนคำพูดของท่านนั้นถูกต้องและตรงตามความจริง ดังเช่น ท่านได้อธิบายปัญหาศาสนาจะไม่มีความผิดพลาดใดๆ ทั้งสิ้น. การใคร่ครวญในวิชาอุซูลลุลฟิกฮฺ, เล่มแรก,หมวดที่หนึ่ง, มะบาดี ซุดูรซุนนะฮฺ, เกี่ยวข้องกับการเป็นมะอฺซูม, หน้า 35

[17] จากโองการที่กล่าวว่เขาไม่พูดสิ่งใดด้วยอารมณ์เข้าใจได้ว่าถ้อยคำ การกระทำ และอัตชีวของท่านศาสดา (ซ็อล ) ซึ่งนอกเหนือจากคำพูดแล้ว ท่านศาสดาจะไม่กระทำสิ่งใดโดยปราศจากการอนุญาตของวะฮฺยู แต่ถ้าสมมุติว่าเราไม่สามารถถอดความจากอัลกุรอานโองการนี้ได้ ก็ยังมีโองการอื่นอีก เช่น โองการที่ 50 บทอัลอันอาม และโองการบทอื่นๆ ก็ได้ยืนยันถึงประเด็นดังกล่าวเอาไว้, อายะตุลลอฮฺ ญะวาดี ออมูลี อับดุลลอฮฺ, ตัฟซีรเมาฎูอี กุรอาน, ซีเราะฮฺเราะซูลในอัลกุรอาน,เล่ม 8, หน้า 33

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • การนอนในศาสนสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เช่นบริเวณฮะร็อมมีฮุกุมอย่างไร?
    5764 สิทธิและกฎหมาย 2554/11/19
    ฮะร็อม(บริเวณสุสาน)ของบรรดาอิมามตลอดจนศาสนสถานถือเป็นสถานที่ที่มุสลิมให้เกียรติมาโดยตลอดเนื่องจากการแสดงความเคารพสถานที่เหล่านี้ถือเป็นการให้เกียรติบรรดาอิมามและบุคคลสำคัญต่างๆที่ฝังอยู่ณสุสานดังกล่าวฉะนั้นควรหลีกเลี่ยงการกระทำที่ส่อไปในทางลบหลู่ดูหมิ่นสถานที่เหล่านี้เท่าที่จะทำได้แต่ทว่าในแง่ของฟิกฮ์การนอนในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เช่นมัสยิด, ฮะร็อมฯลฯถือว่าไม่เป็นที่ต้องห้ามนอกจากคนทั่วไปจะมองว่าการนอนในสถานที่ดังกล่าวเป็นการไม่ให้เกียรติสถานที่ซึ่งในกรณีนี้เนื่องจากวิถีประชาเห็นว่าการกระทำนี้เป็นสิ่งที่ไม่บังควรก็จะถึอว่าไม่ควรกระทำไม่ว่าสถานที่เหล่านั้นจะเป็นมัสยิดหรือฮะร็อมของบรรดาอาอิมมะฮ์ฯลฯก็ตาม
  • คำว่า “ฮุจซะฮ์”ในฮะดีษของมุฮัมมัด บิน ฮะนะฟียะฮ์ หมายความว่าอย่างไร?
    7730 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2555/02/12
    คำว่าฮุจซะฮ์ที่ปรากฏในฮะดีษบทต่างๆแปลว่าการยึดเหนี่ยวสื่อกลางในโลกนี้ระหว่างเรากับอัลลอฮ์ท่านนบีและบรรดาอิมาม(อ.) ซึ่งก็หมายถึงศาสนาจริยธรรมและความประพฤติที่ดีงามหากบุคคลยึดถืออิสลาม
  • เพราะสาเหตุใดที่ ปรัชญาอันเป็นแบบฉบับของอิสลาม ไม่สามารถยกสถานภาพของตนให้กับ ปรัชญาใหม่แห่งตะวันตกได้ พร้อมกันนั้นปรัชญาอิสลาม ยังคงดำเนินต่อไปตามแบบอย่างของตน?
    9219 آراء شناسی 2557/05/20
    การยอมรับทุกทฤษฎีความรู้นั้นสิ่งจำเป็นคือ ต้องมีพื้นฐานของเหตุผลเป็นหลัก ดังนั้น บนพื้นฐานดังกล่าวนี้ ถ้าหากว่าสมมติฐานต่างๆ ในอดีตบางอย่าง ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า ไม่ถูกต้องหรือเป็นโมฆะนั่นก็มิได้หมายความว่า ทฤษฎีความรู้ทั้งหมดเหล่านั้น จะโมฆะไปด้วย แต่ปรัชญาอิสลามนั้นแตกต่างไปจากทฤษฎีความรู้ดังกล่าวมา ตรงที่ว่าปรัชญาอิสลามมีความเชื่อ ที่วางอยู่บนเหตุผลในเชิงตรรกะ และสติปัญญา ดังนั้น เมื่อถูกปรัชญาตะวันตกเข้าโจมตี นอกจากจะไม่ยอมสิโรราบแล้ว ยังสามารถใช้เหตุผลโต้ตอบปรัชญาตะวันตกได้อย่างองอาจ นักปรัชญาอิสลามส่วนใหญ่มีการศึกษาปรัชญาตะวันตก และนักปรัชญาตะวันตก พร้อมกับมีการหักล้างอย่างจริงจัง ...
  • ฮะดีษร็อฟอ์ (เพิกถอน) คืออะไร?
    7705 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2555/02/04
    ฮะดีษร็อฟอ์เป็นชื่อเรียกของฮะดีษสองบทจากท่านนบี(ซ.ล.) ซึ่งหนึ่งในสองบทกล่าวถึงการผ่อนผันข้อบังคับหรือสถานะนานาประเภทรวมทั้งผลต่อเนื่องต่างๆในอิสลามให้พ้นจากผู้บรรลุนิติภาวะในลักษณะบทเฉพาะกาล อีกบทหนึ่งกล่าวถึงการผ่อนผันข้อบังคับบางประการเฉพาะสำหรับบุคคลบางกลุ่มฮะดีษแรกแม้จะมีข้อแตกต่างเกี่ยวกับรายละเอียดของภาระที่ผ่อนผันอยู่บ้างแต่ก็ปรากฏอยู่ในตำราที่มีชื่อเสียงส่วนใหญ่ของชีอะฮ์ทั้งยุคแรกและยุคหลังโดยอิมามศอดิก(อ.) และอิมามริฎอ(อ.)รายงานจากท่านนบี(ซ.ล.) และถือว่ามีสายรายงานที่เศาะฮี้ห์เนื้อหาเบื้องต้นของฮะดีษที่คัดเฉพาะบทที่มีรายละเอียดสมบูรณ์ที่สุดมีดังนี้ “ประชาชาติมุสลิมได้รับการผ่อนผันเก้าสิ่งต่อไปนี้หนึ่ง. ความผิดพลาดสอง.การหลงลืมสาม. สิ่งที่ไม่รู้สี่. สิ่งที่ไม่สามารถกระทำได้ห้า. สิ่งที่กระทำโดยไม่มีทางเลือกหก. สิ่งที่ถูกบังคับให้กระทำเจ็ด. การกระทำที่ฤกษ์ไม่ดีแปด. ความคิดฟุ้งซ่านเกี่ยวกับการสร้างโลกเก้า. ความริษยาตราบเท่าที่ยังไม่สำแดงออก”[i]ฮะดีษชุดนี้นอกจากจะได้รับการอรรถาธิบายโดยผู้เชี่ยวชาญด้านวิชาอุศูลุลฟิกห์แล้ว (เกี่ยวกับหลักมุจมั้ลและมุบัยยันในตำราของพี่น้องซุนนะฮ์ยุคแรก) ยังได้รับการศึกษาอย่างละเอียดถี่ถ้วนโดยผู้เชี่ยวชาญวิชาอุศู้ลในสายอิมามียะฮ์อีกด้วย (ใช้ตัวบทที่ว่าمالایعلمون เพื่อพิสูจน์หลักบะรออะฮ์ในข้อสงสัยเชิงฮุก่มหักห้าม)ฮะดีษอีกบทหนึ่งที่เป็นที่รู้จักในนาม (ร็อฟอุ้ลเกาะลัม) เป็นสายรายงานของฝ่ายอะฮ์ลิสซุนนะฮ์ที่รายงานจากท่านนบีผ่านท่านอิมามอลี(อ.) และอาอิชะฮ์
  • ตัฟซีรอิมามฮะซัน อัสการีย์ (อ.) »อัลฮัมดุลลิลฮิร็อบบิลอาละมีน« หมายถึงอะไร?
    11592 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/05/17
    ตัฟซีรอิมามฮะซัน อัสการียฺ (อ.) เป็นหนึ่งในตัฟซีรที่กล่าวว่าเป็นของท่านอิมาม ซึ่งมีเหตุผลบางประการพาดพิงว่าตัฟซีรดังกล่าวเป็นของท่านอิมาม แต่เป็นเหตุผลที่เชื่อถือไม่ได้แน่นอน ตัฟซีรชุดนี้ได้มีการตีความอัลกุรอาน บทฟาติฮะฮฺ (ฮัม) และบทบะเกาะเราะฮฺ โองการ 282 โดยรายงานฮะดีซ ซึ่งในวิชาอุลูมกุรอานเรียกว่าตัฟซีร »มะอฺซูเราะฮฺ« อย่างไรก็ตาม, ท่านอิมามฮะซันอัสการียฺ (อ.) ได้อธิบายถึงประโยคที่ว่า «اَلْحَمْدُ لِلَّهِ رَبِّ الْعالَمِين» ไว้ในหลายประเด็น, เนื่องจาการขอบคุณอัลลอฮฺ เพราะความโปรดปรานต่างๆ อันไม่อาจคำนวณนับได้, การสนับสนุนสรรพสิ่งถูกสร้าง, ความประเสริฐ และความดีกว่าของชีอะฮฺ เนื่องจากการยอมรับวิลายะฮฺ และอิมามะฮฺของท่านอิมามอะลี (อ.) และกล่าวว่า เนื่องจากจำเป็นต้องขอบคุณอัลลอฮฺ เพราะความโปรดปรานของพระองค์ จึงได้กล่าวว่า «اَلْحَمْدُ لِلَّهِ رَبِّ الْعالَمِين» ...
  • โปรดอธิบาย ปรัชญาของการกล่าวข้อผูกมัดนิกาห์ คืออะไร?
    9025 จริยศาสตร์ 2555/06/30
    ตามคำสอนของอิสลามการแต่งงานถือเป็นข้อตกลงที่ศักดิ์สิทธิ์ สำหรับการจัดตั้งครอบครัวและสิ่งที่ติดตามมาคือ, ระบบสังคม ซึ่งแน่นอนว่าย่อมมีผลสะท้อนและบทสรุปอย่างมากมาย เช่น : เพื่อตอบสนองความต้องการทางกามรมย์, ผลิตสายเลือดและรักษาเผ่าพันธุ์, สร้างความสมบูรณ์ในความเป็นมนุษย์, สร้างความสงบมั่นแก่จิตใจ, เป็นการรักษาความสะอาดบริสุทธิ์, เป็นการส่งเสริมความผูกพันให้มั่นคง และประเด็นอื่นๆ อีกมากมาย, ดังนั้น การจัดการข้อตกลงศักดิ์สิทธิ์นี้ให้สมประสงค์ได้, มีเพียงการปฏิบัติไปตามกฎเกณฑ์พื้นฐาน และเงื่อนไขอันเฉพาะที่อัลลอฮฺ ทรงกำหนดไว้เท่านั้น จึงจะเป็นไปได้. เช่น เงื่อนที่ว่านั้นได้แก่การกล่าวข้อผูกมัดนิกาห์ ด้วยคำพูดเฉพาะ (ดังกล่าวไว้ในหนังสือริซาละฮฺต่างๆ) พระผู้อภิบาลผู้ทรงเกรียงไกรในฐานะของ พระเจ้าผู้ทรงกำหนดกฎระเบียบ พระองค์คือผู้ทรงกำหนดคำพูดอันทรงเกียรติยิ่งนี้ และให้ความน่าเชื่อถือ พร้อมกับการเกิดขึ้นของคำพูดดังกล่าวในฐานะ อักดฺนิกาห์, จึงเป็นสาเหตุทำให้เกิดการเป็นสามีภรรยา ระหว่างชายกับหญิงขึ้น. การแต่งงานมิได้หมายถึง ความพอใจของสองฝ่ายเท่านั้น ทว่าเป็นความพึงพอใจและการยินยอมของทั้งสองฝ่าย อันถือว่าเป็นเงื่อนไขสำคัญยิ่งสำหรับการแต่งงาน ที่จะเกิดขึ้นพร้อมกับการอ่านอักดฺนิกาห์ปัจจุบันนี้ เพื่อให้การแต่งงานนั้นถูกต้องสมบูรณ์ตามหลักการชัรอียฺ. การแต่งงาน มิได้หมายถึงความพอใจของสองฝ่ายเท่านั้น ทว่าเป็นความพึงพอใจและยินยอมของทั้งสองฝ่าย อันถือว่าเป็นเงื่อนไขสำคัญสำหรับการแต่งงาน ...
  • การนำเอาเด็กเล็กไปร่วมงานอ่านฟาติฮะฮฺ ณ กุบูร เป็นมักรูฮฺหรือไม่?
    6845 จริยธรรมปฏิบัติ 2555/05/17
    การนำเด็กๆ เข้าร่วมในมัจญฺลิซ งานประชุมศาสนา พิธีกรรมทางศาสนา, การนำเด็กๆ ไปมัสญิด, หรือพิธีกรรมรำลึกถึงท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) ในเดือนมุฮัรรอม หรืองานเทศกาลอื่นๆ ทางศาสนา, เช่น เข้าร่วมนมาซอีดฟิฏร์ อีดกุรบาน หรือพิธีกรรมต่างๆ ทางศาสนา เพื่อเป็นการกระตุ้นความรักผูกพันกับศาสนาของพวกเขา ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีมีประโยชน์อย่างยิ่ง ส่วนการนำเด็กๆ ไปร่วมพิธีอ่านฟาติฮะฮฺ ณ สถานฝังศพ ซึ่งได้ค้นหารายงานจากตำราต่างๆ ด้านฟิกฮฺอิสลามแล้ว ไม่พบรายงานที่ระบุว่าการกระทำดังกล่าวเป็นมักรูฮฺ ถ้าหากมีรายงานหรือเหตุผลอันเฉพาะเจาะจงจากสามีหรือภรรยาของคุณ กรุณาชี้แจงรายละเอียดมากกว่านี้แก่เราเพื่อเป็นประโยชน์สำหรับการค้นคว้าต่อไป ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับคำถามของคุณ สามารถกล่าวสรุปได้ดังนี้ : 1.รายงานที่กล่าวถึงผลบุญในการกล่าวแสดงความเสียใจกับเจ้าของงาน และการไปยังสถานฝังศพ เป็นรายงานทั่วไปกว้างๆ แน่นอนย่อมครอบคลุมถึงเด็กและเยาวชนด้วย 2.จากแนวทางการปฏิบัติของรรดาอิมามมะอฺซูม (อ.) ...
  • นามอันเป็นมักนูนและมุสตะอ์ษิ้รของอัลลอฮ์หมายความว่าอย่างไร?
    7190 รหัสยทฤษฎี 2554/10/23
    จากฮะดีษและบทดุอาทำให้ทราบว่าอัลลอฮ์มีพระนามที่ทรงคัดสรรด้วยพระองค์เองโดยที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้พระนามเหล่านี้เรียกว่า"อัสมาอ์มุสตะอ์ษิเราะฮ์" ซึ่งตามคำบอกเล่าของฮะดีษพระนามเหล่านี้คือมิติเร้นลับของอิสมุลอะอ์ซ็อมอันเป็นพระนามแรกของพระองค์พระนามประเภทนี้ยังเรียกขานกันว่าอิสมุ้ลมักนูนหรืออิสมุ้ลมัคซูนอีกด้วย ...
  • เมื่อสามีและภรรยาหย่าขาดจากกัน ใครคือผู้มีสิทธิในการเลี้ยงดูบุตร?
    13370 สิทธิและกฎหมาย 2554/08/17
    ในทัศนะของอิสลามบิดามีหน้าที่จะต้องจ่ายนะฟาเกาะฮ์ (ค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดู) แก่บุตรทุกคนแต่ทว่าสิทธิในการดูแลและอบรมเลี้ยงดูบุตรนั้นแตกต่างกันไปตามอายุและเพศของลูกๆท่านอิมามโคมัยนีได้ให้คำตอบเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวว่า “มารดาถือครองสิทธิในการดูแลเลี้ยงดูบุตรชายจนถึงอายุ๒
  • ตามทัศนะของท่านอายะตุลลอฮฺ อัลอุซมา อะลี คอเมเนอี การปรากฏตัวของสตรีที่เสริมสวยแล้ว (ถอนคิว,เขียนตาและอื่นๆ) ต่อหน้าสาธารณชน ท่ามกลางนามะฮฺรัมทั้งหลาย ถือว่าอนุญาตหรือไม่? และถ้าเสริมสวยเพียงเล็กน้อย มีกฎเกณฑ์ว่าอย่างไรบ้าง?
    11160 หลักกฎหมาย 2556/01/24
    คำถามข้อ 1, และ 2. ถือว่าไม่อนุญาต ซึ่งกรณีนี้ไม่มีความแตกต่างกันในเรื่องอุปกรณ์ที่ใช้เสริมสวย คำถามข้อ 3. ถ้าหากสาธารณถือว่านั่นเป็นการเสริมสวย ถือว่าไม่อนุญาต[1] [1] อิสติฟตาอาต จากสำนักฯพณฯท่านอายะตุลลอฮฺ อัลอุซมา คอเมเนอี (ขออัลลอฮฺทรงปกป้อง) ...

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60602 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    58215 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42718 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    40168 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    39345 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    34453 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    28529 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    28438 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    28375 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    26313 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...