การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
7611
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2554/06/21
 
รหัสในเว็บไซต์ fa1959 รหัสสำเนา 14708
คำถามอย่างย่อ
คำพูดทั้งหมดของพระศาสดา (ซ็อล ฯ) ถือว่าเป็นวะฮฺยูหรือไม่?
คำถาม
คำพูดทั้งหมดของพระศาสดา (ซ็อล ฯ) ถือว่าเป็นวะฮฺยูหรือไม่?
อีกนัยหนึ่ง, ทุกถ้อยคำที่ออกมาจากปากของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ผู้จำเริญยิ่ง และสิ่งที่ตามมาหลังจากนั้นคือ ทุกการกระทำที่ได้กระทำโดยท่านศาสดา (ซ็อล ฯ), ทั้งหมดเป็นการอบรมสั่งสอนของพระเจ้า โดยเผยแผ่ผ่านขบวนการของวะฮฺยูแก่ท่าน, หรือว่าท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ได้พูดเองซึ่งถ้อยคำเหล่านั้นนอกเหนือไปจากวะฮฺยูของพระเจ้า หรือว่าต้องแยกแยะและให้ความแตกต่าง ระหว่างถ้อยคำที่เกี่ยวข้องกับศาสนาและบทบัญญัติ กับถ้อยคำพูดประจำวันของท่านศาสดาอันเป็นคำพูดสามัญทั่วไป ?
คำตอบโดยสังเขป

มุมมองของผู้เชี่ยวชาญ,ในประเด็นที่กำลังกล่าวถึงแตกต่างกัน

บางคนได้พิจารณาการตีความของโองการที่ 3,4 ของอัลกุรอาน บทนัจมฺ[i] ซึ่งเชื่อว่าคำพูดทั้งหมดของท่านศาสดา (ซ็อล ) ตลอดจนการกระทำต่างๆ ของท่านมาจากวะฮฺยูทั้งสิ้น

บางคนเชื่อว่า โองการที่ 4 ของบทอันนัจมฺนั้นกล่าวถึง อัลกุรอานกะรีมและบรรดาโองการต่างๆ ที่ประทานให้แก่ท่านศาสดา,แม้ว่าซุนนะฮฺ (แบบฉบับ) ของท่านศาสดา (ซ็อล ) จะเป็นข้อพิสูจน์และเป็นเหตุผลก็ตาม ซึ่งคำพูด การกระทำ และการนิ่งเฉยของท่านมิได้เกิดจากอารมณ์อย่างแน่นอน

สิ่งที่เข้าใจได้จากสิ่งที่กล่าวถึงในตรงนี้คือ สามารถกล่าวได้อย่างมั่นใจว่า ทั้งความประพฤติและแบบอย่างของท่านศาสดา (ซ็อล ) มิได้กระทำลงไปโดยปราศจากวะฮียฺอย่างแน่นอน ดังเช่นคำพูดของท่านก็เป็นเช่นนี้ด้วย แม้ว่าจะเป็นคำพูดประจำวัน คำพูดสามัญทั่วไปตลอดการดำรงชีวิตของท่านศาสดา (ซ็อล ) ก็ตาม สิ่งนั้นก็จะไม่เกิดจากอารมณ์อย่างเด็ดขาด ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้แน่นอนว่า ท่านศาสดา (ซ็อล ) จะล่วงละเมิดกระทำความผิด



[i] อัลกุรอาน บทน้จมฺ โองการ 3-4 กล่าวว่า : "و ما ینطق عن الهوی ان هو الا وحی یوحی".

และเขาไม่ได้พูดตามอารมณ์ สิ่งที่เขาพูดไม่ใช่อื่นใดนอกจากเป็นวะฮีย์ที่ถูกประทานลงมา

คำตอบเชิงรายละเอียด

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าบรรดาศาสดา แห่งพระเจ้านั้นมีการติดต่ออันเฉพาะเจาะจงพิเศษกับอัลลอฮฺ (ซบ.) และจากการติดต่อนั้นเองท่านศาสดาจึงได้รับ,บทบัญญัติ, กฎเกณฑ์ต่างๆ และคำสอนของพระเจ้า เพื่อนำไปประกาศสอนแก่ประชาชน

แก่นแท้ความจริงของการติดต่อสัมพันธ์กันนี้เอง, เป็นสิ่งที่สลับซับซ้อนและเกินกำลังสามารถที่จะเข้าใจได้, แน่นอน สิ่งนี้มิได้หมายถึงความไม่รู้หรือความโง่เขลาของมนุษย์ที่มีต่อประเด็นดังกล่าว, อีกนัยหนึ่งปัญหาเรื่องวะฮฺยูมิใช่ประเด็นที่ว่ามนุษย์ไร้ความสามารถในการรู้จักรากที่มาหรือแก่นแท้ของวะฮฺยู, ดังนั้นต้องปล่อยสิ่งเหล่านี้ไปเสีย, ทว่าสามารถกล่าวได้ว่าด้วยอำนาจของสติปัญญาที่เปี่ยมด้วยศักยภาพนี้เอง, ทำให้มนุษย์มีความกระตือรือร้นที่ยากจะรับรู้ และเข้าใจถึงแก่นแท้ของวะฮฺยูหรือพระดำรัสของพระเจ้า

วะฮฺยู ความหมายในสารานุกรมหมายถึง : วิวรณ์อันเป็นแก่นและกฎเกณฑ์อันเป็นสื่อนำความรู้และนอกเหนือจากนั้น, คุณลักษณะพิเศษของวะฮฺยูคือ : การบ่งชี้ให้บันทึกโดยด่วนและเผยแผ่ บางครั้งก็ประกาศเป็นรหัสและความเร้นลับ, บางครั้งประกาศในฐานะเป็นเหตุผลประกอบที่ผสมผสาน, บางครั้งบ่งชี้ให้เห็นถึงองค์ประกอบและกาลเวลาของการดลใจและคำพูดที่ซ่อนเร้นปิดบัง. ด้วยเหตุนี้ ,การซ่อนเร้น, การรีบเร่งและเป็นรหัสยะถือเป็นองค์ประกอบหลักของวะฮฺยู[1]

สารัตถะของวะฮฺยู : โดยปกติวะฮฺยูมาจากความรู้และการรับรู้, มิได้มาจากสนับสนุนและการกระทำ, แม้ว่ามนุษย์ขณะกระทำการใดจะได้รับความช่วยเหลือจากความคิดและสติปัญญาก็ตาม,ซึ่งความรู้และสติปัญญามีลักษณะอันเฉพาะที่ปราศจากองค์รูป

อีกนัยหนึ่ง, คำว่าวะฮฺยูเป็นความเข้าใจหนึ่งที่ได้รับมาจากการมีอยู่ด้วยเหตุนี้เองจึงไม่มีองค์รูป จึงไม่สามารถตีความวะฮฺยูว่าเป็น ประเภท ชนิด มีรูปลักษณ์และอื่นๆ ได้ ดังนั้น วะฮฺยูบริสุทธิ์จากสิ่งเหล่านั้นทั้งหมด และอยู่ภายใต้ความเข้าใจของนามธรรม ความเข้าใจเกี่ยวกับ วะฮฺยู เหมือนกับความหมายของ พระเจ้า ซึ่งเป็นนามธรรม และนามธรรมนั้นมีระดับชั้นต่างๆ ทีแตกต่างกันออกไป[2]

ด้วยเหตุนี้ คำจำกัดความที่ได้กล่าวถึงวะฮฺยู, เป็นคำจำกัดความที่อธิบายนาม มิใช่สารัตถะของวะฮฺยู. นอกจากนั้นแล้ววะฮฺยู ยังมิใช่ความสัมพันธ์ติดต่อกันแบบธรรมดา, เพื่อว่าความเข้าใจจะมีความเป็นไปได้สำหรับทุกคน

คำจำกัดความวะฮฺยู

ท่านอัลลามะฮฺ เฏาะบาเฏาะบาอี กล่าวถึงวะฮฺยูว่า : วะฮฺยูคือความรู้สึกและความเข้าใจพิเศษจากด้านในของท่านบรรดาศาสดา (.) แน่นอนว่าความเข้าใจและการรับรู้ถึงสิ่งนั้น นอกจากบุคคลที่ได้รับความการุณย์พิเศษจากพระเจ้าแล้ว ไม่มีใครสามารถรับรู้ได้[3]

ในอีกที่หนึ่งท่านอัลลามะฮฺกล่าวว่า : วะฮียฺ หมายถึงพระบัญชาที่พ้นญาณวิสัยของมนุษย์ เป็นการรับรู้ด้วยญาณด้านใน, เป็นความรู้สึกและความเข้าใจอันเป็นรหัสยซึ่งถูกปกปิดจากภายนอก[4]

คำตอบสำหรับคำถามที่กล่าวอธิบายข้างต้น :

นักวิชาการอิสลามอาศัยรายงานและโองการต่างๆ ได้นำเสนอทัศนะที่แตกต่างกันดังนี้ :

อับดุร เราะซาก ลอฮิญียฺ กล่าวถึงประเด็นนี้ว่า : ถ้าหากบุคคลหนึ่งคิดว่า ท่านศาสดา (ซ็อล ) ได้ปฏิบัติภารกิจหนึ่ง, ด้วยอารมณ์ตนเองโดยไม่ได้รอวะฮียฺจากพระเจ้า, ทุกนิกายถ้าบั้นปลายสุดท้ายไม่อาจเข้าถึงสภาวะการเป็นนบี และยังโง่เขลากับแก่นแท้ของการเป็นนบีอยู่ ดังนั้น บุคคลเช่นนี้ในแง่ของสติปัญญาถือว่าสิ้นสุดลงแล้ว ไม่ปกป้องรักษาศาสนาต่อไปได้ รูปลักษณ์นี้ขัดแย้งกับอัลกุรอาน (“และเขาไม่ได้พูดตามอารมณ์[5] สิ่งที่เขาพูดไม่ใช่อื่นใดนอกจากเป็นวะฮีย์ที่ถูกประทานลงมา[6]) โดยสิ้นเชิง แน่นอน การจะละเว้นบางสิ่งด้วยภารกิจบางอย่าง ที่สุดแล้วก็จะสร้างความเสียหายให้เกิดขึ้น, ภารกิจทั้งหลายเกี่ยวข้องกับศาสนา ทุกความต้องการได้วอนขออนุญาตจากอัลลอฮฺและรอวะฮียฺของพระองค์, ในทางกลับกันถ้าหากท่านเราะซูล (ซ็อล ) มิทำสิ่งใดตามอารมณ์ของตน แล้วคนอื่นจะกล้าแปลกแยกไปได้อย่างไร[7]

กระจกสิ้นสุดของคำทำนายและผู้เผยพระวจนะและคนที่จะไม่รู้ในภูมิปัญญาของการรักษาศาสนาออกคำสั่งของมัน Aqrb

ตัฟซีรเนะมูเนะฮฺ กล่าวไว้เช่นนี้ว่า : คำกล่าวของอัลกุรอานที่ว่า "ان هو الا وحی یوحی"สิ่งที่เขาพูดไม่ใช่อื่นใดนอกจากเป็นวะฮีย์ที่ถูกประทานลงมามิใช่เฉพาะเรื่องอัลกุรอานเพียงอย่างเดียว, ทว่ามีสมมาตรจากโองการที่แล้วครอบคลุมแบบฉบับของท่านศาสดา (ซ็อล ) ด้วย ซึ่งมิใช่เพียงคำพูดของท่านศาสดาเท่านั้น ทว่าได้ครอบคลุมการกระทำและความประพฤติของท่านศาสดาด้วยว่า สิ่งเหล่านั้นดำเนินไปตามวะฮียฺของพระเจ้า, เนื่องจากโองการที่ 3 และ 4 บทอันนัจมุ, ได้กล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า, ท่านศาสดาจะไม่พูดสิ่งใดด้วยอารมณ์, ทุกสิ่งที่ท่านพูดคือวะฮฺยู[8]

อัลลามะฮฺ เฏาะบาเฏาะบาอียฺ อธิบายโองการและเขาไม่ได้พูดตามอารมณ์[9] ว่า : คำว่ายันติกุนั้นสมบูรณ์ซึ่งความสมบูรณ์นี้เองเป็นตัวกำหนดว่า อารมณ์ ได้ถูกปฏิเสธไปจากคำพูดของท่านศาสดา (ซ็อล ) โดยสิ้นเชิง, แต่เนื่องจากโองการได้กล่าวว่าซอฮิบิกุม[10] ซึ่งได้กล่าวแก่บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา[11] และเนื่องจากสมมาตรในตำแหน่งจึงต้องกล่าวว่า วัถตุประสงค์ของการที่ท่านศาสดา (ซ็อล ) ได้เชิญชวนบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาไปสู่ และสิ่งที่ท่านได้อ่านจากอัลกุรอานนั้น ถ้อยคำของท่านไม่มาจากอารมณ์ ทว่าทุกสิ่งที่ท่านศาสดาได้กล่าวในเรื่องนั้นล้วนเป็น วะฮียฺของพระเจ้าทั้งสิ้น ซึ่งพระองค์ทรงประทานแก่ท่าน[12]

หมายถึงว่า โองการข้างต้นได้พิสูจน์ให้เห็นว่า การเป็นวะฮียฺทุกถ้อยคำศาสนา[13] ของท่านเราะซูลในประเด็นชี้นำทาง โลกทัศน์ของพระเจ้า และการให้คำแนะนำสั่งสอน, มิได้เป็นการพิสูจน์ทุกถ้อยคำที่เป็นรายละเอียดของชีวิตประจำบนโลกนี้[14]

แน่นอน ความเป็นไปได้อย่างเช่นที่ว่า ถ้อยคำสามัญทั่วไปทั้งคำสั่งห้าม และคำสั่งใช้ของท่านศาสดาเกี่ยวกับปัญหาส่วนตัว และครอบครัว, เช่น ท่านศาสดา (ซ็อล ) ได้กล่าวบางสิ่งแก่ภรรยาของท่าน, ว่าเธอจงไปน้ำมาให้ฉัน 1 แก้ว และ ...อาจเป็นการสั่งด้วยอารมณ์[15] แม้จะเป็นคำพูดลักษณะนี้กระนั้นท่านศาสดา (ซ็อล ) ก็ยังไม่มีความผิดพลาดในคำพูดของท่าน เนื่องจากท่านเป็นผู้นำผู้บริสุทธิ์ปราศจากความผิดพลาดทั้งปวง[16]ด้วยเหตุนี้ จากคำพูดและการกระทำ[17] ของท่านศาสดาในประเรื่องต่างๆ เหล่านี้, เข้าใจได้ว่าต้องได้รับอนุญาตและไม่ขัดแย้งกับความพึงพอพระทัยของอัลลอฮฺ, เนื่องจากถ้าการกระทำเหล่านั้นมีปัญหาแม้เพียงเล็กน้อย ท่านศาสดาจะไม่กระทำมันอย่างแน่นอน

คำแนะนำเพื่อศึกษาเพิ่มเติม : ศึกษาได้จากหนังสือ การใคร่ครวญในวิชาอุซูลลุลฟิกฮฺ, เล่มแรก,หมวดที่หนึ่ง, มะบาดี ซุดูรซุนนะฮฺ, เกี่ยวข้องกับการเป็นมะอฺซูม, หน้า 34-67, ศาสดาจารย์มะฮฺดี ฮาดะวี เตหะรานี



[1]  รอฆิบ เอซฟาฮานี, มุฟรอดาตอัลฟาซกุรอาน, หมวดคำว่า วะฮฺยู

[2]  สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมศึกษาได้จาก, หนังสือต่างๆ วะฮฺยูและนะบูวัตในอัลกุรอาน, ญะวาดี ออมูลี, มะบอนียฺ กะลามี อิจติฮาด ดัร บัรดอช อัซ กุรอานกะรีม, ฮาดะวี เตหะรานี, หน้า 77-78

[3]  เฎาะบาเฏาะบาอี, มุฮัมมัดฮุซัยนฺ, อัลมีซาน (ฉบับแปลฟาร์ซี), เล่ม 2, หน้า 159.

[4]  อ้างแล้วเล่มเดิม หน้า 160,เช่นเดียวกันเพื่อศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม ศึกษาได้จารย์ศาสดาจารย์ ฮาดะวียฺ เตหะรานี มะบอนียฺ กะลามี อิจติฮาด, หน้า 76-78, โคสโรพะนอ, อับดุลฮุเซน, กะลัมโรดีน, หน้า 117-130, และหัวข้อ, วะฮียฺและกัยฟียัตออน, คำถามที่ 88

[5] อัลกุรอาน บทอันนุจมุ โองการ 3

[6] อัลกุรอาน บทอันนุจมุ โองการ 4

[7]  ฟัยยอซ ลาฮีญียฺ,อับดุรเราะซาก, กูฮัร มะรอด, หน้า 416

[8]  ตัฟซีรเนะมูเนะฮฺ, เล่ม 22, หน้า 481.

[9] อัลกุรอาน บทอันนุจมุ โองการ 3-4

[10] อัลกุรอาน บทอันนุจมุ โองการ 2

[11]บรรดาผู้ตั้งภาคีต่างคิดว่าการเชิญชวนของท่านศาสดาและอัลกุรอานที่มีมายังพวกเขาเป็นเพียงการมุสาเท่านั้น

[12]  เฎาะบาเฏาะบาอี, มุฮัมมัดฮุเซน, ตัฟซีรอัลมีซาน (ฉบับแปลฟาร์ซีย์), เล่ม 19,หน้า 42, ฮุซัยนี เตหะรานี, ซัยยิดมุฮัมมัดฮุเซน, เมฮฺร์ตอบอน, หน้า 212-213

[13] หนึ่งในองค์ประกอบของศาสนา,หมายถึงองค์ประกอบซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อความผาสุกแท้จริงของมนุษย์

[14] ญะวาดี ออมูลี อับดุลลอฮฺ, ตัฟซีรเมาฎูอาตกุรอาน, ซีเราะฮฺเราะซูล (ซ็อล ) ในอัลกุรอาน,เล่ม 8, หน้า 32

[15]  ต้องเข้าใจว่าสิ่งที่เรากำลังพูดกันอยู่นี้ สูงส่งกว่าคำพูดสามัญทั่วไป ซึ่งบางคนกล่าวว่าไม่ต้องสงสัยเลยว่า,การมีอยู่ของท่านศาสดา (ซ็อล ) นอกเหนือไปจากความพิเศษด้านริซาละฮฺ และการประทานอัลกุรอานแก่ท่านแล้ว ตัวท่านยังเป็นอริยบุคคล เป็นบุคคลที่มีความประเสริฐและวิเศษในยุคสมัยของท่าน, ด้วยเหตุนี้ สามารถกล่าวได้ว่าท่านศาสดา (ซ็อล ) มีคำพูดอยู่ 2 ลักษณะ กล่าวคือ :

) ถ้อยคำที่เป็นวะฮียฺของพระเจ้า เช่น โองการอัลกุรอาน และฮะดีซกุดซียฺเป็นต้น

) ถ้อยคำที่เปี่ยมไปด้วยวิทยปัญญา ซึ่งถูกถ่อยทอดออกมาจากท่านศาสดาผู้เปี่ยมด้วยวิทยปัญญา และภูมิปัญญาอันดีเลิศ

[16]  แม้ว่าจะไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าสิ่งนั้นเป็นคำสอนศาสนา แต่ทั้งสองคำพูดมีความสัมพันธ์ และเป็นความจำเป็นของกันและกัน, หมายถึงกล่าวได้ว่าความเป็นมะอฺซูม (ผู้บริสุทธิ์) ไม่ว่าจะเป็นกรณีใดก็ตาม จะไม่มีวันเลอะเลือน, หรือผิดพลาด, หรือหลงลืม, และพลั้งเผลอเด็ดขาด, ไม่ว่าถ้อยคำหรือความประพฤติดังกล่าว จะเกี่ยวข้องกับหลักการศาสนา หรือสิ่งที่พูดหรือกระทำจะไม่เกี่ยวข้องกับหลักการศาสนาก็ตาม. ด้วยเหตุนี้ ถ้าหากมะอฺซูมได้อธิบายถึงสิ่งหนึ่ง แต่ไม่มีองค์เกี่ยวข้องกับศาสนาเลย เช่น ท่านได้กล่าวในแง่วิชาการหนึ่ง แน่นอนคำพูดของท่านนั้นถูกต้องและตรงตามความจริง ดังเช่น ท่านได้อธิบายปัญหาศาสนาจะไม่มีความผิดพลาดใดๆ ทั้งสิ้น. การใคร่ครวญในวิชาอุซูลลุลฟิกฮฺ, เล่มแรก,หมวดที่หนึ่ง, มะบาดี ซุดูรซุนนะฮฺ, เกี่ยวข้องกับการเป็นมะอฺซูม, หน้า 35

[17] จากโองการที่กล่าวว่เขาไม่พูดสิ่งใดด้วยอารมณ์เข้าใจได้ว่าถ้อยคำ การกระทำ และอัตชีวของท่านศาสดา (ซ็อล ) ซึ่งนอกเหนือจากคำพูดแล้ว ท่านศาสดาจะไม่กระทำสิ่งใดโดยปราศจากการอนุญาตของวะฮฺยู แต่ถ้าสมมุติว่าเราไม่สามารถถอดความจากอัลกุรอานโองการนี้ได้ ก็ยังมีโองการอื่นอีก เช่น โองการที่ 50 บทอัลอันอาม และโองการบทอื่นๆ ก็ได้ยืนยันถึงประเด็นดังกล่าวเอาไว้, อายะตุลลอฮฺ ญะวาดี ออมูลี อับดุลลอฮฺ, ตัฟซีรเมาฎูอี กุรอาน, ซีเราะฮฺเราะซูลในอัลกุรอาน,เล่ม 8, หน้า 33

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • ทำไม อิบลิส (ซาตาน) จึงถูกสร้างขึ้นจากไฟ ?
    10683 เทววิทยาดั้งเดิม 2553/10/21
    คำถามนี้ไม่มีคำตอบแบบสั้น โปรดเลือกปุ่มคำตอบที่สมบูรณ์ ...
  • อิมามฮะซัน มุจญฺตะบา (อ.) ได้สมรสกับหญิงหลายคน และหย่าพวกนางหรือ?
    7455 ชีวประวัติมะอฺซูม (อ.) 2555/08/22
    หนึ่งในประเด็น อันเป็นความเสียหายใหญ่หลวง และน่าเสียใจว่าเป็นที่สนใจของแหล่งฮะดีซทั่วไปในอิสลาม, คือการอุปโลกน์และปลอมแปลงฮะดีซ โดยนำเอาฮะดีซเหล่านั้นมาปะปนรวมกับฮะดีซที่มีสายรายงานถูกต้อง โดยกลุ่มชนที่มีความลำเอียงและรับจ้าง ท่านอิมามฮะซัน มุจญฺตะบา (อ.) เป็นอิมามผู้บริสุทธิ์ท่านที่สอง, เป็นหนึ่งในบุคคลที่บรรดานักปลอมแปลงฮะดีซ ได้กุการมุสาพาดพิงไปถึงท่านอย่างหน้าอนาถใจที่สุด ในรูปแบบของรายงานฮะดีซ ซึ่งหนึ่งในการมุสาเหล่านั้นคือ การแต่งงานและการหย่าร้างจำนวนมากหลายครั้ง แต่หน้าเสียใจตรงที่ว่า รายงานเท็จเหล่านี้บันทึกอยู่ในแหล่งอ้างอิงฮะดีซและหนังสือประวัติศาสตร์ ทั้งซุนนียฺและชีอะฮฺ แต่ก็หน้ายินดีว่าหลักฐานทางประวัติศาสตร์ หลักความเชื่อที่ถูกต้องมีอยู่อยู่มือจำนวนไม่น้อยเช่นกัน ซึ่งทำให้การอุปโลกน์และปลอมแปลงฮะดีซของพวกเขาเป็นที่ประจักษ์ชัดเจน ...
  • ในมุมมองของรายงาน,ควรจะประพฤติตนอย่างไรกับผู้มิใช่มุสลิม?
    7646 สิทธิและกฎหมาย 2555/08/22
    อิสลาม เป็นศาสนาที่วางอยู่บนธรรมชาติอันสะอาดยิ่งของมนุษย์ ศาสนาแห่งความเมตตา ได้ถูกประทานลงมาเพื่อชี้นำมนุษย์ไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง และความผาสุกของมนุษย์ชาติทั้งหมด อีกด้านหนึ่งการเลือกนับถือศาสนาเป็นความอิสระของมนุษย์ ดังนั้น ในสังคมอิสลามนั้นท่านจะพบว่ามีผู้มิใช่มุสลิมปะปนอยู่ไม่มากก็น้อย อิสลามมีคำสั่งให้รักษาสิทธิ ประพฤติดี และอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างสงบสันติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับบุคคลที่นับถือศาสนา ไม่ว่าพวกเขาจะใช้ชีวิตอยู่ในสังคมอิสลาม ภายใต้การปกครองของรัฐอิสลาม หรือบุคคลที่อยู่ในสังคมอื่นที่มิใช่อิสลาม, ผู้ปฏิเสธศรัทธาที่ดำรงชีวิตอยู่ภายใต้รัฐอิสลาม จำเป็นรักษาเงื่อนไขของผู้ร่วมอาศัยด้วย ถ้าหากไม่รักษาเงื่อนไขของผู้ร่วมอาศัย หรือทรยศหักหลังก็จำเป็นต้องถูกลงโทษตามกฎหมายอิสลาม ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    38950 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ริวายะฮ์ที่กล่าวว่า “ในสมัยที่อิมามอลี (อ.) ปกครองอยู่ ท่านมักจะถือแซ่เดินไปตามถนนหนทางและท้องตลาดพร้อมจะลงโทษอาชญากรและผู้กระทำผิด” จริงหรือไม่?
    6412 สิทธิและกฎหมาย 2555/03/18
    สำนักงานท่านอายะตุลลอฮ์อัลอุซมา มะการิม ชีรอซี ริวายะฮ์ข้างต้นกล่าวถึงช่วงรุ่งอรุณขณะที่ท่านสำรวจท้องตลาดในเมืองกูฟะฮ์ และการที่ท่านมักจะพกแซ่ไปด้วยก็เนื่องจากต้องการให้ประชาชนสนใจและให้ความสำคัญกับกฏหมายนั่นเอง สำนักงานท่านอายะตุลลอฮ์อัลอุซมาศอฟีย์ กุลพัยกานี ริวายะฮ์ได้กล่าวไว้เช่นนั้นจริง และสิ่งที่อิมามอลี(อ.) ได้กระทำไปคือสิ่งที่จำเป็นต่อสถานการณ์ในยุคนั้น การห้ามปรามความชั่วย่อมมีหลายวิธีที่จะทำให้บังเกิดผล ดังนั้นจะต้องเลือกวิธีที่จะทำให้สังคมคล้อยตามความถูกต้อง คำตอบของท่านอายะตุลลอฮ์มะฮ์ดี ฮาดาวี เตหะรานี มีดังนี้ หากผู้ปกครองในอิสลามเห็นสมควรว่าจะต้องลงโทษผู้ต้องหาและผู้ร้ายในสถานที่เกิดเหตุ หลังจากที่พิสูจน์ความผิดด้วยวิธีที่ถูกต้อง และพิพากษาตามหลักศาสนาหรือข้อกำหนดที่ผู้ปกครองอิสลามได้กำหนดไว้ การลงทัณฑ์ในสถานที่เกิดเหตุถือว่าไม่ไช่เรื่องผิด และในการนี้ไม่จำเป็นต้องอ้างอิงริวายะฮ์ดังกล่าวแต่อย่างใด แต่รายงานที่ถูกต้องที่ปรากฏในตำราฮะดีษอย่าง กุตุบอัรบาอะฮ์[1] ก็คือ ท่านอิมามอลี (อ.) พกแซ่เดินไปตามท้องตลาดและมักจะตักเตือนประชาชนให้ระมัดระวังในเรื่องต่าง ๆ โดยไม่มีตำราเล่มใดบันทึกว่าอิมามอลี (อ.) เคยลงโทษผู้ใดในตลาด
  • ตัฟซีรอิมามฮะซัน อัสการีย์ (อ.) »อัลฮัมดุลลิลฮิร็อบบิลอาละมีน« หมายถึงอะไร?
    11262 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/05/17
    ตัฟซีรอิมามฮะซัน อัสการียฺ (อ.) เป็นหนึ่งในตัฟซีรที่กล่าวว่าเป็นของท่านอิมาม ซึ่งมีเหตุผลบางประการพาดพิงว่าตัฟซีรดังกล่าวเป็นของท่านอิมาม แต่เป็นเหตุผลที่เชื่อถือไม่ได้แน่นอน ตัฟซีรชุดนี้ได้มีการตีความอัลกุรอาน บทฟาติฮะฮฺ (ฮัม) และบทบะเกาะเราะฮฺ โองการ 282 โดยรายงานฮะดีซ ซึ่งในวิชาอุลูมกุรอานเรียกว่าตัฟซีร »มะอฺซูเราะฮฺ« อย่างไรก็ตาม, ท่านอิมามฮะซันอัสการียฺ (อ.) ได้อธิบายถึงประโยคที่ว่า «اَلْحَمْدُ لِلَّهِ رَبِّ الْعالَمِين» ไว้ในหลายประเด็น, เนื่องจาการขอบคุณอัลลอฮฺ เพราะความโปรดปรานต่างๆ อันไม่อาจคำนวณนับได้, การสนับสนุนสรรพสิ่งถูกสร้าง, ความประเสริฐ และความดีกว่าของชีอะฮฺ เนื่องจากการยอมรับวิลายะฮฺ และอิมามะฮฺของท่านอิมามอะลี (อ.) และกล่าวว่า เนื่องจากจำเป็นต้องขอบคุณอัลลอฮฺ เพราะความโปรดปรานของพระองค์ จึงได้กล่าวว่า «اَلْحَمْدُ لِلَّهِ رَبِّ الْعالَمِين» ...
  • โองการตัฏฮีร กล่าวอยู่ในอัลกุรอานบทใด?
    7548 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/06/30
    อัลกุรอาน โองการที่รู้จักกันเป็นอย่างดีหรือ โองการตัฏฮีร, โองการที่ 33 บทอัลอะฮฺซาบ.อัลกุรอาน โองการนี้อัลลอฮฺ ทรงอธิบายให้เห็นถึง พระประสงค์ที่เป็นตักวีนีของพระองค์ สำหรับการขจัดมลทินให้สะอาดบริสุทธิ์สมบูรณ์ แก่ชนกลุ่มหนึ่งนามว่า อะฮฺลุลบัยตฺ อัลกุรอาน โองการนี้นับว่าเป็นหนึ่งในโองการทรงเกียรติยศยิ่ง เนื่องจากมีรายงานจำนวนมากเกินกว่า 70 รายงาน ทั้งจากฝ่ายซุนนีและชีอะฮฺ กล่าวถึงสาเหตุแห่งการประทานลงมา จำนวนมากมายของรายงานเหล่านั้นอยู่ในขั้นที่ว่า ไม่มีความสงสัยอีกต่อไปเกี่ยวกับจุดประสงค์ของโองการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัตถุประสงค์ของโองการที่กล่าวเกี่ยวกับ อะฮฺลุลบัยตฺ ของท่านศาสดา (ซ็อล น) ซึ่งประกอบไปด้วย ท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ ท่านอะลี ท่านฮะซัน และท่านฮุซัยนฺ (อ.) แม้ว่าโองการข้างต้นจะถูกประทานลงมา ระหว่างโองการที่กล่าวถึงเหล่าภริยาของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ก็ตาม แต่ดังที่รายงานฮะดีซและเครื่องหมายอื่นๆ ที่บ่งบอกถึงประเด็นดังกล่าวนั้น สามารถเข้าใจได้ว่า โองการข้างต้นและบทบัญญัติของโองการ มิได้เกี่ยวข้องกับบรรดาภริยาของท่านศาสดาแต่อย่างใด และการกล่าวถึงโองการที่มิได้เกี่ยวข้องกันไว้ในที่เดียวกัน ...
  • ได้ยินว่าระหว่างสงครามอิรักกับอิหร่านนั้น ร่างของบางคนที่ได้ชะฮีดแล้ว, แต่ไม่เน่าเปื่อยสลาย, รายงานเหล่านี้เชื่อถือได้หรือยอมรับได้หรือไม่?
    8473 เทววิทยาดั้งเดิม 2555/05/17
    โดยปกติโครงสร้างของร่างกายมนุษย์, จะเป็นไปในลักษณะที่ว่า เมื่อจิตวิญญาณได้ถูกปลิดไปจากร่างกายแล้ว, ร่างกายของมนุษย์จะเผ่าเปื่อยและค่อยๆ สลายไป, ซึ่งมีโอกาสเป็นไปได้น้อยมาก ที่ร่างกายของบางคนหลังจากเสียชีวิตไปแล้วนานหลายปี จะไม่เน่าเปื่อยผุสลายและอยู่ในสภาพปกติ. แต่อีกด้านหนึ่ง อัลลอฮฺ ทรงพลานุภาพเหนือทุกสิ่งทุกอย่างและทุกการงาน[1] ซึ่งอย่าเพิ่งคิดว่าสิ่งนี้จะไม่มีความเป็นไปได้ หรือห่างไกลจากภูมิปัญญาแต่อย่างใด. เพราะว่านี่คือกฎเกณฑ์ทั่วไป ซึ่งได้รับการละเว้นไว้ในบางกรณี, เช่น กรณีที่ร่างของผู้ตายอาจจะไม่เน่าเปื่อย โดยอนุญาตของอัลลอฮฺ ดังเช่น มามมีย์ เป็นต้น จะเห็นว่าร่างกายของเขาไม่เน่าเปื่อย ซึ่งเรื่องนี้ได้ผ่านพ้นไปนานหลายพันปีแล้ว และประสบการณ์ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นความจริงดังกล่าวแล้วด้วย ดังนั้น ถ้าหากพระประสงค์ของอัลลอฮฺ ครอบคลุมเหนือประเด็นดังกล่าวนี้ ก็เป็นไปได้ที่ว่าบางคนอาจเสียชีวิตไปแล้วหลายร้อยปี แต่ร่างกายของเขาไม่เน่าเปื่อยผุสลาย ยังคงสมบูรณ์เหมือนเดิม แล้วพระองค์ทรงเป่าดวงวิญญาณให้เขาอีกครั้ง ซึ่งเขาผู้นั้นได้กลับมีชีวิตขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง, อัลกุรอานบางโองการ ก็ได้เน้นย้ำถึงเรื่องราวของศาสดาบางท่านเอาไว้[2] เช่นนี้เองสิ่งที่กล่าวไว้ในรายงานว่า ถ้าหากบุคคลใดที่มีนิสัยชอบทำฆุซลฺ ญุมุอะฮฺ, ร่างกายของเขาในหลุมฝังศพจะไม่เน่นเปื่อย
  • ในทัศนะอิสลาม บาปของฆาตกรที่เข้ารับอิสลามจะได้รับการอภัยหรือไม่?
    8114 สิทธิและกฎหมาย 2554/06/12
    อิสลามมีบทบัญญัติเฉพาะสำหรับผู้ที่เพิ่งเข้ารับอิสลามอาทิเช่นหากก่อนรับอิสลามเคยละเมิดสิทธิของอัลลอฮ์เช่นไม่ทำละหมาดหรือเคยทำบาปเป็นอาจินเขาจะได้รับอภัยโทษภายหลังเข้ารับอิสลามทว่าในส่วนของการล่วงละเมิดสิทธิเพื่อนมนุษย์เขาจะไม่ได้รับการอภัยใดๆเว้นแต่คู่กรณีจะยอมประนีประนอมและให้อภัยเท่านั้นฉะนั้นหากผู้ใดเคยล่วงละเมิดสิทธิของผู้อื่นเมื่อครั้งที่ยังมิได้รับอิสลามการเข้ารับอิสลามจะส่งผลให้เขาได้รับการอนุโลมโทษทัณฑ์จากอัลลอฮ์ก็จริงแต่ไม่ทำให้พ้นจากกระบวนการพิจารณาโทษในโลกนี้
  • การให้การเพื่อต้อนรับเดือนมุฮัรรอม ตามทัศนะของชีอะฮฺถือว่ามีความหมายหรือไม่?
    7480 สิทธิและกฎหมาย 2554/12/20
    การจัดพิธีกรรมรำลึกถึงโศกนาฏกรรมของท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) ถือเป็นซุนนะฮฺ (แบบฉบับ) ซึ่งได้รับการสถาปนาและสนับสนุนโดยบรรดาอิมามมะอฺซูม (อ.)

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60132 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    57573 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42220 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    39370 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    38950 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    34004 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    28021 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    27966 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    27804 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    25802 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...