การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
10639
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2554/04/21
 
รหัสในเว็บไซต์ fa2207 รหัสสำเนา 13580
คำถามอย่างย่อ
เพราะสาเหตุใดส่วนแบ่งมรดกของสตรีจึงได้เพียงครึ่งหนึ่งของชาย ?
คำถาม
เพราะสาเหตุใดส่วนแบ่งมรดกของสตรีจึงได้เพียงครึ่งหนึ่งของชาย ?
คำตอบโดยสังเขป

หนึ่งในสาเหตุที่ส่วนแบ่งมรดกของฝ่ายชายมากกว่าฝ่ายหญิงคือ เรืองค่าเลี้ยงดูของหญิงอยู่ในความรับผิดชอบของฝ่ายชาย กล่าวคือฝ่ายชายนอกจากจะต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายของตนแล้ว ยังมีหน้าที่รับผิดชอบค่าใช้จ่ายประจำวันของฝ่ายหญิงและบรรดาลูกๆ อีกด้วย อีกด้านหึ่งฝ่ายชายต้องเป็นผู้จ่ายมะฮฺรียะฮฺ ส่วนฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายรับมะฮฺรียะฮฺนั้น

ตามความเป็นจริงสามารถกล่าวได้ว่า สิ่งที่ฝ่ายหญิงได้รับในฐานะของมรดกหรือมะฮฺรียะฮฺนั้นก็คือ ทรัพย์สะสม ขณะที่ส่วนแบ่งมรดกของฝ่ายชายถูกใช้ไปเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของตน ของภรรยา และบรรดาลูกๆ นอกจากนี้แล้ว ตามหลักการของอิสลามค่าใช้จ่ายอย่างอื่น ซึ่งจำเป็นต้องจ่ายเป็นทรัพย์สิน เช่น ค่าใช้จ่ายที่ชายต้องจ่ายเพื่อร่วมในการญิฮาดหรือในกรณีที่ญาติหากกระทำผิดพลาดขึ้น เช่น ฆ่าคนตาย หรือก่อให้เกิดบาดเจ็บเสียหายแก่ฝ่ายตรงข้าม ฝ่ายชายในฐานะที่มีสติสัมปชัญญะจำเป็นต้องรับผิดชอบ จ่ายค่าปรับและค่าสินไหมต่างๆ ขณะที่ฝ่ายหญิงไม่ต้องรับผิดชอบใดๆ ทั้งสิ้นเกี่ยวกับกรณีต่างๆ เหล่านี้ แม้ว่าภายนอกจะมองดูว่าส่วนแบ่งมรดกของฝ่ายชายมากกว่าฝ่ายหญิงก็ตาม แต่ในเชิงปฏิบัติแล้วผลประโยชน์ที่แท้จริงของฝ่ายชายที่ได้รับมรดกทางสังคมนั้น น้อยกว่าฝ่ายหญิง แม้ว่าดูเหมือนว่าเขาจะได้รับมรดกมากกว่าฝ่ายหญิงก็ตามที แต่ความรับผิดชอบเรื่องทรัพย์สินเขาก็มีมากกว่า อีกนัยหนึ่งอาจกล่าวในเชิงสรุปได้ว่า สาเหตุที่มีความแตกต่างกันในส่วนแบ่งมรดก ระหว่างฝ่ายชายและฝ่ายหญิงก็คือ การสร้างสมดุลระหว่างสิทธิและหน้าที่ของแต่ละคนจากพวกเขานั่นเอง

คำตอบเชิงรายละเอียด

ก่อนที่จะตอบคำถาม สิ่งที่จำเป็นต้องกล่าวก่อนคือ กฎของการมากกว่าสองเท่า ที่ว่าด้วยส่วนแบ่งมรดกของฝ่ายชายมากกว่าผู้หญิงสองเท่า มิได้เป็นกฎทั่วๆไป, ทว่าในบทบัญญัติและกฎหมายอิสลามนั้น มีกรณีของการรับทอดมรดกไม่มีความแตกต่างระหว่างชายและหญิง เช่น บิดามารดาซึ่งทั้งสองจะได้รับมรดกเท่ากัน ซึ่งไม่มีความแตกต่างระหว่างพวกเขา

จากอดีตผ่านมาคำถามนี้ได้ถูกถามเสมอว่า เพราะเหตุใดส่วนแบ่งมรดกของฝ่ายหญิงจึงน้อยกว่าฝ่ายชาย ถามว่าการทำเช่นนี้มิใช่เป็นการเลือกปฏิบัติเพื่อผลประโยชน์ของฝ่ายชายดอกหรือ ? รายงานจากท่านอิมามญะอฺฟัร อัซซอดิก (.) ซึงมีผู้ถามท่านว่า เพราเหตุใดฝ่ายหญิงซึ่งมีความอ่อนแอกว่าชาย ต้องการการสนับสนุนมากกว่า และในส่วนแบ่งมรดกนั้นเธอได้รับเพียงหนึ่งส่วนของฝ่ายชายเท่านั้น ทั้งที่ผู้ชายในแง่ของกำลังทางกายภาพของร่างกายมีความแข็งแรงกว่า เขาจึงได้ส่วนแบ่งอันเป็นมรดกของผู้ตายมากกว่า?

ท่านอิมาม (.) ตอบว่า ด้วยเหตุผลที่ว่าชายมีหน้าที่รับผิดชอบมากกว่า ซึ่งมีความรับผิดชอบและการดำเนินการที่หนักกว่า ชายออกสงครามและต้องรับผิดชอบเรื่องค่าใช้จ่ายในสงคราม ฝ่ายชายนอกจากต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายของตนเองแล้ว ยังต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายของภรรยาและครอบครัวอีกด้วย ชายในฐานะที่เป็นผู้มีสติสัมปชัญญะ จำเป็นต้องรับผิดชอบการก่ออาชญากรรมของญาติ ต้องจ่ายทรัพย์สินแทนค่าเสียหายต่างๆ ขณะที่หญิงไม่ต้องมีหน้าที่รับผิดชอบในกรณีเหล่านี้เลย[1]

อีกรายงานหนึ่งจากท่านอิมามซอดิก (.) ได้เน้นย้ำประเด็นดังกล่าว การจ่ายมะฮฺรียะฮฺของชายแก่หญิงเท่ากับเป็นการชดเชยส่วนน้อยจากส่วนแบ่งมรดกของฝ่ายหญิง[2]

สิ่งที่อิสลามได้กล่าวถึงเรื่องมรดกนั้น ตามความเป็นจริงแล้วเป็นการเปลี่ยนแปลงเพื่อผลประโยชน์ของฝ่ายหญิงทั้งสิ้น ในสมัยสังคมอานารยชนนั้นจะเห็นว่า สตรีและบุตรสาวถูกกีดกันมรดกหมายถึงไม่มีสิทธิรับมรดกแต่อย่างใด ซึ่งมรดกของผู้ตายทั้งหมดจะตกเป็นของฝ่ายชายหรือบุตรชายเท่านั้น แต่อิสลามได้ยกเลิกกฎเกณฑ์ของสังคมอานารยชน[3] และนำเอาสตรีมามีส่วนในการรับมรดกของผู้ตาย และนับตั้งแต่เริ่มต้นอิสลามแล้วที่ฝ่ายหญิงมีความอิสระในการเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ทางทรัพย์สิน ซึ่งจะเห็นว่ากรณีดังกล่าวนี้จะเห็นว่าประเทศแถบยุโรป เพิ่งจะบรรจุในรัฐธรรมนูญของพวกเขาสักประมาณ 2 ศตวรรษที่ผ่านมา

ทั้งที่ภายนอกจะเห็นว่าชายได้ส่วนแบ่งมรดกมากกว่าหญิงสองเท่า แต่ถ้าใคร่ครวญให้ละเอียดถี่ถ้วนสักเล็กน้อย จะเห็นว่าด้านหนึ่งมรดกของฝ่ายหญิงนั้นมากกว่าชายสองเท่าด้วยซ้ำไป เหตุที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากอิสลามได้ให้การสนับสนุนสิทธิสตรีไว้เป็นกรณีพิเศษนั่นเอง

นั่นเป็นหน้าที่ที่ได้มอบให้เป็นภาระรับผิดชอบของฝ่ายชาย ทำให้การดำเนินการครึ่งหนึ่งของรายได้จึงต้องใช้สำหรับผู้หญิง ฝ่ายชายมีหน้าที่เลี้ยงดูภรรยาของเขาบนพื้นฐานความต้องการของเธอทั้งที่อยู่อาศัย เครื่องแต่งกาย อาหาร และอุปกรณ์ของใช้อื่น  และฝ่ายชายยังต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายของตัวเองและลูกๆ ของพวกเขา ซึ่งค่าใช้จ่ายทั้งหมดเหล่านี้ขึ้นอยู่กับเขา แม้ว่าฐานะของฝ่ายหญิงสามารถจ้างคนรับใช้และจ่ายค่าจ้างได้ก็ตาม กระนั้นค่าใช้จ่ายและค่าจ้างของคนรับใช้ก็ยังอยู่ในความรับผิดชอบของฝ่ายชายอยู่ดี[4]

ด้วยคำอธิบายดังกล่าวนี้จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ส่วนแบ่งมรดกจำนวนมากของฝ่ายหญิงนั้นมีความสมดุลระหว่างบุรุษและสตรี ฉะนั้นหากจะมีการทักท้วงฝ่ายชายต่างหากที่จะต้องทักท้วง มิใช่ฝ่ายหญิง[5]

ตรงข้ามกับภาระหน้าที่ของฝ่ายชายที่ต้องรับผิดชอบจะเห็นว่าฝ่ายหญิงไม่ต้องออกค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้นแม้แต่ค่าใช้จ่ายของตัวเองก็ตาม เช่น ค่าเสื้อผ้า อาหาร และอื่นๆ ซึ่งฝ่ายหญิงไม่มีหน้าที่รับผิดชอบอันใดทั้งสิ้น ด้วยเหตุนี้เอง ในแง่ของการปฏิบัติจะเห็นว่าฝ่ายหญิงจะได้รับส่วนแบ่งมากกว่าจากทรัพย์มรดก ตัฟซีรเนะมูเนะฮฺ ได้กล่าวว่า สมมุติว่าทรัพย์ต่างๆ ที่มีอยู่บนโลกนี้มีประมาณ 3 พันล้าน แล้ค่อยๆแบ่งปันไปให้คนหนุ่มสาวบนโลกนี้ จะเห็นว่าจำวน 20 ล้านเป็นของฝ่ายชาย และ 10 ล้านเป็นของฝ่ายหญิง ซึ่งผู้หญิงนั้นต้องแต่งงานตามธรรมชาติ แล้วค่าเลี่ยงดูของนางอยู่ในความรับผิดชอบของฝ่ายชาย ด้วยเหตุผลนี้เอง ฝ่ายหญิงสามารถเก็บส่วนแบ่งมรดกของตนเองจำนวน 10 ล้านไว้เป็นเงินสะสม แล้วพวกเธอยังมีส่วนร่วมในส่วน 20 ล้านของฝ่ายชายอีกต่างหาก ดังนั้น ถ้าเอาส่วนแบ่งทั้งสองส่วนมารวมกันจะเห็นว่าฝ่ายหญิงได้รับมรดกโดยรวมแล้วมากกว่าฝ่ายชายเสียด้วยซ้ำ[6]

ด้งนั้น เมื่อพิจารณาประเด็นที่กล่าวมาแล้วข้างต้นเราสามารถทราบถึงสาเหตุได้ทันทีว่า เป็นเพราะสาเหตุใดที่ส่วนแบ่งมรดกของฝ่ายหญิงต้องน้อยกว่าชายครึ่งหนึ่ง ซึ่งพอกล่าวสรุปได้ดังนี้

1. มะฮฺรียะฮฺ เมื่อข้อตกลงการแต่งงาน (อักด์นิกาฮฺ) ได้ถูกอ่านขึ้น ฝ่ายชายมีหน้าที่จ่ายมะฮฺรียะฮฺแก่สตรี ซึ่งเมื่อใดก็ตามที่เธอเรียกจากฝ่ายชาย เมื่อนั้นเขาต้องจ่ายให้เธอ นอกเหนือจากนี้แล้วสตรีไม่มีหน้าที่อันใด และไร้ความสามารถเมื่อเผชิญหน้ากับฝ่ายชาย ดังนั้น เมื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ ฝ่ายชายมีหน้าที่ตามบทบัญญัติในการกำหนดมะฮฺรียะฮฺแก่ฝ่ายหญิงทันที และนี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่บรรดาอะฮฺลุลบัยตฺ (.) ก็ได้แนะนำเอาไว้[7]

2. ค่าเลี้ยงดู ชีวิตการครองเรือนฝ่ายชายมีหน้าที่รับผิดชอบค่าเลี้ยงดูของตนเอง และครอบครัว เขามีหน้าที่จัดหาอาหาร เครื่องนุ่งห่ม และที่อยู่อาศัยเหมาะสมให้แก่ครอบครัว หรือตามเกียรติของภรรยาสิ่งเหล่านี้เป็นหน้ามี่ของสามีหรือฝ่ายชาย ภรรยาแม้ว่าจะเป็นคนมีฐานะดี กระนั้นเธอก็ไม่ได้มีหน้าที่ต้องรับผิดชอบอันใดเกี่ยวกับค่าเลี้ยงดูแม้แต่น้อย ฝ่ายหญิงในชีวิตการครองเรือนนอกจากไม่ต้องออกค่าเลี่ยงดูแล้ว การงานบ้านอย่างอื่น เช่น การให้น้ำนมเลี้ยงลูก การหุงหาอาหาร เธอยังสามารถเรียกร้องเงินรางวัลจากสามีได้อีกต่างหาก

3. หน้าที่พิเศษของฝ่ายชาย หน้าที่หนักภายในครอบครัวถือเป็นหน้าที่ของฝ่ายชาย ซึ่งฝ่ายหญิงไม่จำเป็นต้องไปยุ่งเกี่ยวแต่อย่างใด เช่น การญิฮาดในหนทางของพระเจ้า ฝ่ายชายต้องเป็นผู้แบ่งปันทรัพย์สินของตนไปเพื่อการญิฮาด ดังที่โองการอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นเหล่านี้เอาไว้ว่า การญิฮาดด้านทุนทรัพย์นั้นมาก่อนการญิฮาดด้วยชีวิต ดังนั้น ฝ่ายชายต้องให้ทุนทรัพย์ของตนเพื่อการญิฮาด[8] ขณะเดียวกันอาชญากรรมที่ญาติพี่น้องก่อเหตุขึ้นฝ่ายชายต้องเป็นผู้เสียค่าปรับและค่าสินไหมเหล่านั้น ซึ่งฝ่ายหญิงได้รับการยกเว้นเอาไว้จากประเด็นเหล่านี้

ข้อสังเกต อิสลามไม่ต้องการกระทำสิ่งใดเพื่อรักษาผลประโยชน์ของฝ่ายหญิง หรือทำลายผลประโยชน์ของฝ่ายชายแต่อย่างใด หรือในทางกลับกัน อิสลามไม่ได้เข้าฝ่ายชายและก็ไม่ได้เข้าข้างฝ่ายหญิง ตามกฎระเบียบของอิสลามต้องการให้ทั้งสองฝ่ายพบกับความสุขความจำเริญยิ่งขึ้นไป และบรรดาลูกๆ ได้รับการเลี้ยงดูและเจริญเติบโตตามคำสั่งสอนที่ดีของบิดามารดา อีกทั้งยังต้องเอาใจต่อความเจริญและความก้าวหน้าของสังคมมนุษย์อีกด้วย[9] อย่างไรก็ตามอิสลามได้ให้ฝ่ายชายเป็นผู้รับผิดชอบด้านค่างเลี้ยงดูและค่าใช้จ่ายอย่างอื่นของครอบครัว บนพื้นฐานของหน้าที่ทางด้านเศรษฐกิจ การแบ่งทรัพย์สินในรูปแบบต่างๆ เช่น ทำให้ทรัพย์สินเหล่านั้นเป็นมรดกตกทอด โดยไม่ได้แบ่งชั้นหรือลำเอียงแต่อย่างใด อีกด้านหนึ่งกลุ่มกฎเกณฑ์ต่างๆ ที่ได้ถูกจัดวางไว้สำหรับบุรุษและสตรีในอิสลาม สิ่งเหล่านี้โดยตัวของมันเองได้ก่อให้เกิดกฎเกณฑ์อันเฉพาะเจาะจงที่ว่าด้วยเรื่องของมรดก ซึ่งสิ่งนี้ไม่อาจมีข้อท้วงติงกับกฎหมายอิสลามในเชิงแพ่งและพาณิชย์ได้

ในที่สุดแล้วอาจำเป็นไปได้ที่จะกล่าวว่า ถ้าหากเป็นเช่นนี้แล้วกล่าวคือ ค่าใช้จ่ายด้านการเลี้ยงดูของฝ่ายหญิงอยู่ในความรับผิดชอบของฝ่ายชายแล้ว ดังนั้นสตรียังจะมีความต้องการอันใดในทรัพย์สมบัติอีก ?

คำตอบ อาจกล่าวได้ว่าเนื่องจากมะฮียะฮฺ และส่วนแบ่งมรดกของสตรีคือเงินสะสมประเภทหนึ่ง สำหรับอนาคตข้างหน้าเนื่องจากถ้าเกิดอุบัติการณ์ที่ไม่ดี ทำให้เธอต้องแยกทางกับสามี หรือสามีตายจากไป เธอจะได้สามารถดำรงชีวิตสืบต่อไปได้ด้วยเงินสะสมที่เก็บรักษาเอาไว้[10] และเธอสามารถมีชีวิตอยู่ได้ด้วยความสงบสุข ไม่ต้องเดือดร้อนหรือกังวลใจเรื่องรายได้อีกต่อไป

แต่การที่บอกว่าค่าเลี้ยงดูของฝ่ายหญิงอยู่ในความรับผิดชอบของฝ่ายชาย ก็เพื่อว่าไม่ต้องการให้ฝ่ายหญิงต้องมากังวลใจหรือมายุ่งยากกับเศรษฐกิจของครอบครัว ให้เธอเอาเวลาเหล่านั้นทุ่มเทให้กับการเลี้ยงดูและอบรมสั่งสอนบรรดาลูกๆ อย่างเต็มที่ เพื่อเธอจะได้สงมอบบุคลากรที่ดีแก่สังคมซึ่งตามหลักการอิสลามถือว่า ทุนมนุษย์คือสิ่งที่ดีเลิศที่สุดกว่าทุนทรัพย์อื่นใดของสังคม ดังนั้น ไม่ว่าจะอยู่ในสภาพใดก็ตามระบบครอบครัวถือว่าเป็นหน่วยเนื้อที่เป็นแก่หลักที่ให้การสนับสนุนสังคม

ดังนั้น ตามหลักการของอิสลามแล้วได้ให้เกียรติและเคารพในสิทธิของสตรีมาตั้งแต่แรกเริ่ม โดยไม่เคยสั่งสอนเลยว่าสตรีเป็นสิ่งไม่มีค่าทางสังคม สามารถจัดการอย่างไรกับพวกเธอก็ได้ หรือจะนำพวกเธอไปกระทำชำเราอย่างไรก็ได้ตามอำเภอใจ ทว่าสตรีคือผู้มีเกียรติอันยิ่งใหญ่ในฐานะทีเป็นแม่พระและเป็นครูที่ให้การอบรมสั่งสอนบุคลากรที่ดีแก่สังคม และเพื่อเธอจะได้กระทำหน้าที่อย่างสมบูรณ์ อิสลามจึงได้กำหนดการรับผิดชอบเรื่องค่าเลียงดูครอบครัว ให้เป็นหน้าที่รับผิดชอบของฝ่ายชาย



[1] ฮุร อามิลี วะซาอิลุชชีอะฮฺ เล่ม 26 หน้า 93 อาลุลบัยตฺ เชคฏูซีย์ ตะฮฺซีบุลอะฮฺกาม เล่ม 9 หน้า 174 และ 275 ดารุลกุตุบอิสลาม, อัลกาฟีย์ เล่ม 7 หน้า 85

[2]  เชค ซะดูก อิลัลชะรอญิอ์ เล่ม 2 หน้า 57 ดารุลกุตุบอิสลามียะฮฺ 1365

[3] อบุลฟัตฮฺ รอซียฺ ตัฟซีรเราฎุลญันนาน เล่ม 10 หน้า 268 ออกตอนกุดส์ ระฎะวียฺ

[4] มัรยัม ซอวีญีย์ สิทธิสตรีในอิสลามและครอบครัว หน้า 113 พิมพ์ครั้ง 2 ปี 1371

[5] มุฮัมมัด ฮุเซน ฟัฎลุลลอฮฺ บทบาทของสตรีในสิทธิอิสลาม แปลโดยอับดุลฮาดีย์ ฟะกีฮฺซอเดะฮฺ สำนักพิมพ์ สำนักพิพากษา

[6] มะการิม ชีรอซีย์ นาซิร ตัฟซีรเนะมูเนะฮฺ เล่ม 3 หน้า 288 ดารุลกุตุบอิสลามียะฮฺ

[7] มุฮัมมัด อิบนุ ระฏอ อัลกุมมี อัลมัชฮะดียฺ กันซุลดะกออิด เล่ม 3 หน้า 343

[8]  กอฎีย์ เฏาะบาเฏาะบาอียฺ การวิจัยเกี่ยวกับมรดกของสตรี จากทรัพย์ของสามี มีฮัน 1553 หน้า 143

[9]  มุรตะฎอมุเฏาะฮะรีย นิซอมฮุกูกซันดัรอิสลาม หน้า 253 สำนักพิมพ์ฟังฮังอิสลาม พิมพ์ครั้งแรก ปี 1353

[10]  ฏอละกอนีย์ ซัยยิดมะฮฺมูด พัรตูอัซกุรอาน เล่ม 6 หน้า 90 สำนักพิมพ์เตหะราน ห้างหุ้นส่วนจำกัดสำนักพิมพ์

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • มนุษย์สามารถเข้าถึงเรื่องจิตวิญญาณโดยปราศจากศาสนาได้หรือไม่?
    10867 จริยธรรมทฤษฎี 2555/09/08
    รูปภาพของจิตวิญญาณสมัยที่โจทย์ขานกันอยู่ในปัจจุบัน มีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงกับภาพทางจิตวิญญาณ ในความคิดของเราในฐานะมุสลิมหนึ่ง เนื่องจากความก้าวหน้าทางจิตวิญญาณของมุสลิมนั้น มีความสัมพันธ์อย่างลึกซึ้งกับคำสอนศาสนา จิตวิญญาณทางศาสนา, วางอยู่บนพื้นฐานของการปฏิบัติตามตำแนะนำสั่งสอนของศาสนา จึงจะก่อให้เกิดสถานดังกล่าว คำแนะนำและความรู้เกี่ยวกับความจริงที่พ้นญาณวิสัย เหนือโลกวัตถุและความจริงที่วางอยู่บนพื้นฐานดังกล่าว จะพบว่ามนุษย์ในระบบของการสร้างสรรค์ มีสถานภาพพิเศษ กำลังดำเนินชีวิตไปในหนทางพิเศษ อันเป็นหนทางที่ต้องอาศัยพฤติกรรมอันเฉพาะบางอย่าง อีกนัยหนึ่ง จิตวิญญาณทางศาสนา เป็นความรู้สึกหนึ่งที่มนุษย์มีต่อข้อเท็จจริง ซึ่งจะพบว่าความรู้สึกนั้นตั้งอยู่เหนือโลกของวัตถุ ขณะเดียวกันก็วางอยู่บนข้อตกลงและเงื่อนไขอันเฉพาะ ถ้าหากพิจารณาสติปัญญาที่มีขอบเขตของจำกัด ในการรู้จักมิติต่างๆ ของการมีอยู่ของมนุษย์ การรับรู้ถึงความต้องการที่แท้จริงของเขา และในที่สุดการเลือกวิธีการต่างๆ ว่าจะดำเนินไปอย่างไร เพื่อไปให้ถึงสิ่งที่ธรรมชาติของมนุษย์ถวิลหา ดังนั้น ตรงนี้จึงไม่อาจพึงความรู้ในเชิงของเหตุผล หรือสติปัญญาได้เพียงอย่างเดียว ทว่าต้องพึ่งคำแนะนำและผู้ชี้นำทาง ซึ่งการทำความเข้าใจ และการครอบคลุมของสิ่งนั้นต้องเหนือกว่า สติปัญญา และสิ่งนั้นก็คือ วะฮฺยู ของพระเจ้า ซึ่งได้มาถึงสังคมมนุษย์โดยผ่านขบวนการของบรรดาเราะซูล ซึ่งได้แนะนำมนุษย์ให้เดินไปสู่สัจธรรมความจริงสูงสุด อัลลอฮฺ (ซบ.) ได้ประทานเราะซูลลงมาคนแล้วคนเล่า ทรงทำให้ศาสนาของพระองค์สมบูรณ์ มนุษย์มีหน้าที่ตรวจสอบโดยละเอียด ...
  • การเผยแพร่ศาสนา (สอนและแนะนำต่างศาสนิก) เป็นวาญิบสำหรับมุสลิมทุกคนหรือไม่?
    23170 จริยธรรมปฏิบัติ 2555/04/02
    อิสลามเป็นศาสนาระดับโลกสำหรับสาธารณชน และเป็นศาสนาสุดท้าย ด้วยเหตุนี้ มนุษย์ทุกชาติพันธุ์จึงควรศึกษาเกี่ยวกับศาสนาอิสลาม วิธีสำคัญที่จะทำให้ผู้อื่นรู้จักศาสนาแห่งมนุษยธรรมดังกล่าวก็คือ การเผยแพร่ข้อเท็จจริง บทบัญญัติ คำแนะนำและขนบมารยาทของอิสลามให้เป็นที่รู้จัก คัมภีร์กุรอานได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการเผยแพร่ไว้ในหลายโองการด้วยกัน ดังโองการที่ว่า “จะมีใครมีวาจาที่ประเสริฐไปกว่าผู้ที่เชื้อเชิญสู่อัลลอฮ์และความประพฤติอันงดงาม โดยกล่าวว่าฉันคือหนึ่งในมวลมุสลิม”[1] อีกโองการหนึ่งระบุว่า “และจะต้องมีคณะหนึ่งจากสูเจ้าที่เชื้อเชิญสู่ความประเสริฐ กำชับสู่ความดีและห้ามปรามจากความชั่ว บุคคลเหล่านี้แหล่ะคือผู้ได้รับชัยชนะ”[2] แม้ว่าการเผยแพร่ศาสนาจะมิได้เป็นภาระหน้าที่ของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเป็นการเฉพาะ แต่กุรอานได้กำชับให้มีคณะบุคคลจำนวนหนึ่งจากบรรดาผู้ศรัทธาออกไปศึกษาวิชาการอิสลามเพื่อเตรียมพร้อมที่จะปฏิบัติหน้าที่ในการเผยแพร่ศาสนา โองการกล่าวว่า “มิบังควรที่เหล่าผู้ศรัทธาจะกรีฑาทัพ(สู่สมรภูมิ)ทุกคน เหตุใดจึงไม่กรีฑาทัพไปเพียงคณะหนึ่งจากแต่ละกลุ่ม (และเหลือบุคคลที่ยังอยู่ในมะดีนะฮ์)เพื่อจะได้ศึกษาศาสนา(สารธรรมและบทบัญญัติอิสลาม)อย่างลึกซึ้ง และจะได้กำชับสอนสั่งกลุ่มชนของตนเมื่อพวกเขากลับ(จากสมรภูมิ) เพื่อหวังว่าพวกเขาจะยำเกรง”[3] โองการดังกล่าวสื่อว่า จำเป็นต้องมีความพร้อมสรรพด้านวิชาการในการเผยแพร่ศาสนา โดยแต่ละคนมีหน้าที่ในการเผยแพร่ตามความรู้ที่ตนมี ท่านอิมามศอดิก(อ.)กล่าวไว้ว่า “ผู้ที่รายงานฮะดีษของเราจำนวนมาก อันจะสามารถทำให้จิตใจของชีอะฮ์ของเรามั่นคง บุคคลผู้นี้ประเสริฐกว่าผู้บำเพ็ญอิบาดะฮ์ถึงหนึ่งพันคน”[4] การช่วยเหลืออิมามมะฮ์ดีที่สำคัญที่สุดประเภทหนึ่งก็คือ การตอบปัญหาและการปกป้องความเชื่ออันบริสุทธิของชีอะฮ์ให้พ้นจากเหล่าผู้ใส่ไคล้ ผู้ที่หวงแหนศาสนาย่อมจะต้องพร้อมด้วยการศึกษาวิชาการศาสนา เพื่อที่จะสนองความต้องการทางวิชาการและการเผยแพร่ศาสนาได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ดี การเผยแพร่มิได้จำกัดอยู่เพียงการกล่าวเทศนาหรือการเขียนตำรา ...
  • ท่านนบีเคยกล่าวปฏิญาณถึงตำแหน่งศาสนทูตของตน และตำแหน่งผู้นำของอิมามอลีในอะซานหรือไม่?
    7949 ชีวประวัติมะอฺซูม (อ.) 2554/06/22
    จากการที่คำถามข้างต้นมีคำถามปลีกย่อยอยู่สองประเด็นเราจึงขอแยกตอบเป็นสองส่วนดังนี้1. ท่านนบีกล่าวปฏิญาณถึงตำแหน่งของตนในอะซานหรือไม่?จากการศึกษาฮะดีษต่างๆพบว่าท่านนบีกล่าวยืนยันถึงสถานภาพความเป็นศาสนทูตของตนอย่างแน่นอนทั้งนี้ก็เพราะท่านนบีก็มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามศาสนกิจเฉกเช่นคนอื่นๆนอกเสียจากว่าจะมีหลักฐานยืนยันชัดเจนว่าท่านนบีได้รับการอนุโลมให้สามารถงดปฏิบัติตามบทบัญญัติใดบ้าง อย่างไรก็ดีไม่มีหลักฐานยืนยันว่าท่านได้รับการอนุโลมไม่ต้องเปล่งคำปฏิญาณดังกล่าวในอะซานในทางตรงกันข้ามมีหลักฐานยืนยันมากมายว่าท่านเปล่งคำปฏิญาณถึงเอกานุภาพของอัลลอฮ์และความเป็นศาสนทูตของตัวท่านเองอย่างชัดเจนและแน่นอน.2. ท่านนบีกล่าวปฏิญาณถึงตำแหน่งผู้นำของอิมามอลีหรือไม่?ต้องยอมรับว่าเราไม่พบหลักฐานที่บ่งชี้ชัดเจนว่าท่านเคยกล่าวปฏิญาณดังกล่าวนอกจากนี้ในสำนวนฮะดีษต่างๆจากบรรดาอิมามที่ระบุเกี่ยวกับบทอะซานก็ไม่ปรากฏคำปฏิญาณที่สาม(เกี่ยวกับวิลายะฮ์ของอิมามอลี)แต่อย่างใดอย่างไรก็ดีเรามีฮะดีษมากมายที่ระบุถึงผลบุญอันมหาศาลของการเอ่ยนามท่านอิมามอลี(อ)ต่อจากนามของท่านนบี(ซ.ล)(โดยทั่วไปไม่เจาะจงเรื่องอะซาน) ด้วยเหตุนี้เองที่อุละมาอ์ชีอะฮ์ล้วนฟัตวาพ้องกันว่าสามารถกล่าวปฏิญาณดังกล่าวด้วยเหนียต(เจตนา)เพื่อหวังผลบุญมิไช่กล่าวโดยเหนียตว่าเป็นส่วนหนึ่งของอะซานทั้งนี้ก็เนื่องจากมีข้อสันนิษฐานว่าประโยคดังกล่าวมิได้เป็นส่วนหนึ่งของอะซานอันถือเป็นศาสนกิจประเภทหนึ่ง. ...
  • การประทานอัลกุรอานลงมาคราวเดียวและการทยอยประทานลงมาผ่านพ้นไปตั้งแต่เมื่อใด?
    18531 วิทยาการกุรอาน 2554/04/21
    การประทานอัลกุรอานในคราวเดียวกันบนจิตใจของท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อลฯ) ได้เกิดขึ้นเมื่อค่ำคืนแห่งอานุภาพ (ลัยละตุลก็อดฺร์) อันเป็นหนึ่งในค่ำคืนสำคัญยิ่งแห่งเดือนรอมฏอนและเมื่อได้ศึกษารายงานฮะดีซบางบทและอัลกุรอานบางโองการแล้วจะเห็นว่ารายงานและโองการเหล่านั้นได้สนับสนุนความเป็นไปได้ดังกล่าวว่าค่ำคืนแห่งอานุภาพนั้นก็คือค่ำคืนที่ 23 ของเดือนรอมฎอน
  • จริงหรือไม่ที่ทุกคนมีญินเป็นคู่กำเนิด?
    14096 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2555/01/15
    มีฮะดีษหลายบทที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับคู่กำเนิดบางบทระบุว่าอัลลอฮ์ทรงมีดำรัสแก่อิบลีสว่า “ข้าจะไม่ประทานบุตรแก่มนุษย์คนใดเว้นแต่จะประทานบุตรแก่เจ้าเช่นกัน” ฉะนั้นมนุษย์แต่ละคนย่อมมีคู่กำเนิดเป็นญิน[1]ท่านนบี(ซ.ล.)เคยกล่าวว่า “พูดได้ว่าทุกคนต่างก็มีคู่กำเนิดเป็นญินด้วยกันทั้งสิ้น” สาวกถามว่าโอ้ศาสนทูตของพระองค์ท่านเองก็มีญินคู่กำเนิดด้วยหรือ? ท่านตอบว่า “มีสิแต่พระองค์ทรงทำให้เขายอมสยบต่อฉันโดยที่เขาไม่ทำอะไรนอกจากกำชับให้ทำความดี”[2]จากฮะดีษข้างต้นท่านนบี(ซ.ล.)ต้องการจะกำชับให้เราป้องกันและระวังภัยจากญินคู่กำเนิดที่จะล่อลวงเนื่องจากอยู่ใกล้ชิดเราดังนั้นเมื่อคำนึงถึงการที่อัลลอฮ์ทรงแต่งตั้งศาสดาเพื่อชี้นำมนุษยชาติและอีกด้านหนึ่งก็เป็นที่ทราบกันดีว่าชัยฏอนและพงศ์พันธุ์ของมันจ้องจะหลอกลวงให้มนุษย์หลงทางตลอดเวลาแน่นอนว่าบุคคลที่หลงลืมอัลลอฮ์เท่านั้นที่ชัยฏอนจะสามารถกุมบังเหียนได้ดังที่พระองค์ทรงตรัสในกุรอานว่า “และผู้ใดที่เพิกเฉยต่อการรำลึกถึงเราเราจะส่งชัยฏอนยังเขาเพื่อให้เป็นคู่สหาย”[3][1]มัจลิซี,มุฮัมมัดบากิร
  • ช่วงก่อนจะสิ้นลม การกล่าวว่า “อัชฮะดุอันนะ อาลียัน วะลียุลลอฮ์” ถือเป็นวาญิบหรือไม่?
    8118 สิทธิและกฎหมาย 2555/03/18
    หนึ่งในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดของชีวิตคนเราคือช่วงที่เขากำลังจะสิ้นใจ เรียกกันว่าช่วง“อิฮ์ติฎ้อร” โดยปกติแล้วคนที่กำลังอยู่ในช่วงเวลานี้จะไม่สามารถพูดคุยหรือกล่าวอะไรได้ บรรดามัรญะอ์กล่าวถึงช่วงเวลานี้ว่า “เป็นมุสตะฮับที่จะต้องช่วยให้ผู้ที่กำลังจะสิ้นใจกล่าวชะฮาดะตัยน์และยอมรับสถานะของสิบสองอิมาม(อ.) ตลอดจนหลักความเชื่อที่ถูกต้องอื่นๆ”[1] ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า “การกล่าวชะฮาดะฮ์ตัยน์และการเปล่งคำยอมรับสถานะของสิบสองอิมามถือเป็นกิจที่เหมาะสำหรับผู้ที่ใกล้จะสิ้นใจ แต่ไม่ถือเป็นวาญิบ” [1] ประมวลปัญหาศาสนาของอิมาม อัลโคมัยนี (พร้อมภาคผนวก), เล่ม 1, หน้า 312 ...
  • คำว่าศ็อฟในโองการ جَاء رَبُّكَ وَالْمَلَكُ صَفّاً صَفّاً หมายความว่าอย่างไร?
    6719 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/03/04
    คำดังกล่าวและคำอื่นๆที่มีรากศัพท์เดียวกันปรากฏอยู่ในหลายโองการ[1] คำว่า “ศ็อฟ” หมายถึงการเรียงสิ่งต่างๆให้เป็นเส้นตรง อาทิเช่นการยืนต่อแถว หรือแถวของต้นไม้[2] “ศ็อฟฟัน” ในโองการดังกล่าวมีสถานะเป็น ฮาล (ลักษณะกริยา)ของมะลาอิกะฮ์ ซึ่งนักอรรถาธิบายกุรอานได้ให้ความหมายไว้หลายรูปแบบ ซึ่งจะขอนำเสนอโดยสังเขปดังต่อไปนี้ หนึ่ง. มวลมะลาอิกะฮ์จะมาเป็นแถวที่แตกต่างกัน ซึ่งจำแนกตามฐานันดรศักดิ์ของแต่ละองค์[3] สอง. หมายถึงการลงมาของมะลาอิกะฮ์แต่ละชั้นฟ้า โดยจะมาทีละแถว ห้อมล้อมบรรดาญินและมนุษย์[4] สาม. บางท่านเปรียบกับแถวนมาซญะมาอะฮ์ โดยมะลาอิกะฮ์จะมาทีละแถวจากแถวแรก แถวที่สอง ฯลฯ ตามลำดับ[5]
  • “ฟาฏิมะฮ์”แปลว่าอะไร? และเพราะเหตุใดท่านนบีจึงตั้งชื่อนี้ให้บุตรีของท่าน?
    23340 ชีวประวัติมะอฺซูม (อ.) 2554/06/12
    ไม่จำเป็นที่ชื่อของคนทั่วไปจะต้องสื่อความหมายพิเศษหรือแสดงถึงบุคลิกภาพของเจ้าของชื่อเสมอไปขอเพียงไม่สื่อความหมายถึงการตั้งภาคีหรือขัดต่อศีลธรรมอิสลามก็ถือว่าเพียงพอแต่กรณีปูชณียบุคคลที่ได้รับการขนานนามจากอัลลอฮ์เช่นท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ซะฮ์รอ(ส) นามของเธอย่อมมีความหมายสอดคล้องกับคุณลักษณะเฉพาะตัวอย่างแน่นอนนาม “ฟาฏิมะฮ์”มาจากรากศัพท์ “ฟัฏมุน” ...
  • สาขามัซฮับที่สำคัญของชีอะฮ์มีจำนวนเท่าใด?
    10226 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/07/10
    คำว่า“ชีอะฮ์”โดยรากศัพท์แล้วหมายถึง“สหาย”หรือ“สาวก”และยังแปลได้ว่า“การมีแนวทางเดียวกัน” ส่วนในแวดวงมุสลิมหมายถึงผู้เจริญรอยตามท่านอิมามอลี(อ.) ซึ่งมีการนิยามความหมายของคำว่าผู้เจริญรอยตามว่า
  • กรุณาอธิบายเกี่ยวกับมัสญิดญัมกะรอนและสาเหตุของการก่อตั้งมัสญิดแห่งนี้
    7383 ประวัติสถานที่ 2554/08/08
    มัสญิดญัมกะรอนหนึ่งคือในสถานที่ศักดิสิทธิและเป็นสถานที่ของท่านอิมามมะฮ์ดี (อ.) ตั้งอยู่ห่างจากเมืองกุมประมาณ๖กิโลเมตรมัสญิดแห่งนี้ได้ก่อสร้างเมื่อประมาณ๑๐๐๐ปีที่แล้วโดยคำสั่งของท่านอิมามมะฮ์ดี (อ.) ซึ่งผู้ริเริ่มก่อสร้างได้รับคำสั่งดังกล่าวในขณะตื่น (ไม่ใช่ในฝัน) ซึ่งความเมตตาและสิ่งมหัศจรรย์ต่างๆของอิมามมะฮ์ดี (อ.) ได้ปรากฎณสถานที่แห่งนี้อีกทั้งเป็นสถานที่นัดหมายสำหรับผู้ที่รอคอยการมาของท่านและมีความรักต่อท่านมัรฮูมมิรซาฮูเซนนูรีได้กล่าวเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของการก่อตั้งมัสญิดญัมกะรอนโดยอ้างอิงจากเชคฟาฏิลฮะซันบินฮะซันกุมี (อยู่ยุคสมัยเดียวกับเชคศอดูก) ในหนังสือ “ประวัติศาสตร์เมืองกุม”[1] จากหนังสือ “มูนิซุลฮะซีนฟีมะอ์ริฟะติลฮักวัลยะกีน”[2] ว่า:[3]เชคอะฟีฟศอและฮ์ฮะซันบินมุซลิฮ์ยัมกะรอนีได้กล่าวว่า: ในคือวันพุธที่๑๗เดือนรอมฏอนปี๓๙๓ฮ. ฉันได้นอนอยู่ในบ้านทันใดนั้นได้มีกลุ่มชนกลุ่มหนึ่งมาที่ประตูบ้านของฉันและได้ปลุกฉันและได้กล่าวกับฉันว่าจงลุกขึ้นและทำตามความต้องการของอิมามมะฮ์ดี (อ.) ซึ่งท่านได้เรียกหาท่านอยู่พวกเขาได้พาฉันมาสถานที่หนึ่งซึ่งในปัจจุบันสถานที่แห่งนั้นได้กลายมาเป็นมัสญิดญัมกะรอนแล้วท่านอิมามมะฮ์ดีได้เรียกชื่อของฉันและได้กล่าวว่า: “ไปบอกกับฮะซันบินมุสลิมว่า “สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่อันบริสุทธ์ที่อัลลอฮ์ทรงเลือกและให้สถานที่แห่งนี้มีความบริสุทธ์เจ้าได้ยึดครองสถานที่แห่งนี้...ดังนั้นท่านได้กล่าวว่า: จงบอกประชาชนว่าให้รักและหวงแหนสถานที่แห่งนี้”[4]อายาตุลลอฮ์อัลอุซมามัรอะชีนะญะฟีได้กล่าวยอมรับความศักดิ์สิทธิของมัสญิดญัมกะรอนว่า: ชีอะฮ์ทั่วไปให้ความสำคัญต่อมัสญิดอันศักดิ์สิทธ์แห่งนี้ตั้งแต่สมัยของการเร้นกายระยะแรกของท่านอิมามมะฮ์ดีจนถึงปัจจุบันซึ่งกินระยะเวลาถึงพันสองร้อยสองปีท่านเชคผู้สูงส่งมัรฮูมศอดูกได้กล่าวในหนังสือเล่มหนึ่งที่มีชื่อว่า “มูนิซุลฮะซีน” ซึ่งฉันยังไม่ได้อ่านเองทว่ามัรฮูมฮัจยีมิรซาฮุเซนนูรีซึ่งเป็นอาจารย์ของฉันได้เล่าจากหนังสือเล่มนั้นว่าอุลามาอ์และนักวิชาการชั้นนำของชีอะอ์ให้ความเคารพมัสญิดแห่งนี้กันถ้วนหน้าและสิ่งมหัศจรรย์มากมายได้ปรากฏในมัสญิดญัมกะรอนแห่งนี้

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60281 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    57798 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42380 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    39617 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    39049 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    34142 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    28151 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    28121 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    28021 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    25985 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...