การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
10466
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2554/04/21
 
รหัสในเว็บไซต์ fa2207 รหัสสำเนา 13580
คำถามอย่างย่อ
เพราะสาเหตุใดส่วนแบ่งมรดกของสตรีจึงได้เพียงครึ่งหนึ่งของชาย ?
คำถาม
เพราะสาเหตุใดส่วนแบ่งมรดกของสตรีจึงได้เพียงครึ่งหนึ่งของชาย ?
คำตอบโดยสังเขป

หนึ่งในสาเหตุที่ส่วนแบ่งมรดกของฝ่ายชายมากกว่าฝ่ายหญิงคือ เรืองค่าเลี้ยงดูของหญิงอยู่ในความรับผิดชอบของฝ่ายชาย กล่าวคือฝ่ายชายนอกจากจะต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายของตนแล้ว ยังมีหน้าที่รับผิดชอบค่าใช้จ่ายประจำวันของฝ่ายหญิงและบรรดาลูกๆ อีกด้วย อีกด้านหึ่งฝ่ายชายต้องเป็นผู้จ่ายมะฮฺรียะฮฺ ส่วนฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายรับมะฮฺรียะฮฺนั้น

ตามความเป็นจริงสามารถกล่าวได้ว่า สิ่งที่ฝ่ายหญิงได้รับในฐานะของมรดกหรือมะฮฺรียะฮฺนั้นก็คือ ทรัพย์สะสม ขณะที่ส่วนแบ่งมรดกของฝ่ายชายถูกใช้ไปเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของตน ของภรรยา และบรรดาลูกๆ นอกจากนี้แล้ว ตามหลักการของอิสลามค่าใช้จ่ายอย่างอื่น ซึ่งจำเป็นต้องจ่ายเป็นทรัพย์สิน เช่น ค่าใช้จ่ายที่ชายต้องจ่ายเพื่อร่วมในการญิฮาดหรือในกรณีที่ญาติหากกระทำผิดพลาดขึ้น เช่น ฆ่าคนตาย หรือก่อให้เกิดบาดเจ็บเสียหายแก่ฝ่ายตรงข้าม ฝ่ายชายในฐานะที่มีสติสัมปชัญญะจำเป็นต้องรับผิดชอบ จ่ายค่าปรับและค่าสินไหมต่างๆ ขณะที่ฝ่ายหญิงไม่ต้องรับผิดชอบใดๆ ทั้งสิ้นเกี่ยวกับกรณีต่างๆ เหล่านี้ แม้ว่าภายนอกจะมองดูว่าส่วนแบ่งมรดกของฝ่ายชายมากกว่าฝ่ายหญิงก็ตาม แต่ในเชิงปฏิบัติแล้วผลประโยชน์ที่แท้จริงของฝ่ายชายที่ได้รับมรดกทางสังคมนั้น น้อยกว่าฝ่ายหญิง แม้ว่าดูเหมือนว่าเขาจะได้รับมรดกมากกว่าฝ่ายหญิงก็ตามที แต่ความรับผิดชอบเรื่องทรัพย์สินเขาก็มีมากกว่า อีกนัยหนึ่งอาจกล่าวในเชิงสรุปได้ว่า สาเหตุที่มีความแตกต่างกันในส่วนแบ่งมรดก ระหว่างฝ่ายชายและฝ่ายหญิงก็คือ การสร้างสมดุลระหว่างสิทธิและหน้าที่ของแต่ละคนจากพวกเขานั่นเอง

คำตอบเชิงรายละเอียด

ก่อนที่จะตอบคำถาม สิ่งที่จำเป็นต้องกล่าวก่อนคือ กฎของการมากกว่าสองเท่า ที่ว่าด้วยส่วนแบ่งมรดกของฝ่ายชายมากกว่าผู้หญิงสองเท่า มิได้เป็นกฎทั่วๆไป, ทว่าในบทบัญญัติและกฎหมายอิสลามนั้น มีกรณีของการรับทอดมรดกไม่มีความแตกต่างระหว่างชายและหญิง เช่น บิดามารดาซึ่งทั้งสองจะได้รับมรดกเท่ากัน ซึ่งไม่มีความแตกต่างระหว่างพวกเขา

จากอดีตผ่านมาคำถามนี้ได้ถูกถามเสมอว่า เพราะเหตุใดส่วนแบ่งมรดกของฝ่ายหญิงจึงน้อยกว่าฝ่ายชาย ถามว่าการทำเช่นนี้มิใช่เป็นการเลือกปฏิบัติเพื่อผลประโยชน์ของฝ่ายชายดอกหรือ ? รายงานจากท่านอิมามญะอฺฟัร อัซซอดิก (.) ซึงมีผู้ถามท่านว่า เพราเหตุใดฝ่ายหญิงซึ่งมีความอ่อนแอกว่าชาย ต้องการการสนับสนุนมากกว่า และในส่วนแบ่งมรดกนั้นเธอได้รับเพียงหนึ่งส่วนของฝ่ายชายเท่านั้น ทั้งที่ผู้ชายในแง่ของกำลังทางกายภาพของร่างกายมีความแข็งแรงกว่า เขาจึงได้ส่วนแบ่งอันเป็นมรดกของผู้ตายมากกว่า?

ท่านอิมาม (.) ตอบว่า ด้วยเหตุผลที่ว่าชายมีหน้าที่รับผิดชอบมากกว่า ซึ่งมีความรับผิดชอบและการดำเนินการที่หนักกว่า ชายออกสงครามและต้องรับผิดชอบเรื่องค่าใช้จ่ายในสงคราม ฝ่ายชายนอกจากต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายของตนเองแล้ว ยังต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายของภรรยาและครอบครัวอีกด้วย ชายในฐานะที่เป็นผู้มีสติสัมปชัญญะ จำเป็นต้องรับผิดชอบการก่ออาชญากรรมของญาติ ต้องจ่ายทรัพย์สินแทนค่าเสียหายต่างๆ ขณะที่หญิงไม่ต้องมีหน้าที่รับผิดชอบในกรณีเหล่านี้เลย[1]

อีกรายงานหนึ่งจากท่านอิมามซอดิก (.) ได้เน้นย้ำประเด็นดังกล่าว การจ่ายมะฮฺรียะฮฺของชายแก่หญิงเท่ากับเป็นการชดเชยส่วนน้อยจากส่วนแบ่งมรดกของฝ่ายหญิง[2]

สิ่งที่อิสลามได้กล่าวถึงเรื่องมรดกนั้น ตามความเป็นจริงแล้วเป็นการเปลี่ยนแปลงเพื่อผลประโยชน์ของฝ่ายหญิงทั้งสิ้น ในสมัยสังคมอานารยชนนั้นจะเห็นว่า สตรีและบุตรสาวถูกกีดกันมรดกหมายถึงไม่มีสิทธิรับมรดกแต่อย่างใด ซึ่งมรดกของผู้ตายทั้งหมดจะตกเป็นของฝ่ายชายหรือบุตรชายเท่านั้น แต่อิสลามได้ยกเลิกกฎเกณฑ์ของสังคมอานารยชน[3] และนำเอาสตรีมามีส่วนในการรับมรดกของผู้ตาย และนับตั้งแต่เริ่มต้นอิสลามแล้วที่ฝ่ายหญิงมีความอิสระในการเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ทางทรัพย์สิน ซึ่งจะเห็นว่ากรณีดังกล่าวนี้จะเห็นว่าประเทศแถบยุโรป เพิ่งจะบรรจุในรัฐธรรมนูญของพวกเขาสักประมาณ 2 ศตวรรษที่ผ่านมา

ทั้งที่ภายนอกจะเห็นว่าชายได้ส่วนแบ่งมรดกมากกว่าหญิงสองเท่า แต่ถ้าใคร่ครวญให้ละเอียดถี่ถ้วนสักเล็กน้อย จะเห็นว่าด้านหนึ่งมรดกของฝ่ายหญิงนั้นมากกว่าชายสองเท่าด้วยซ้ำไป เหตุที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากอิสลามได้ให้การสนับสนุนสิทธิสตรีไว้เป็นกรณีพิเศษนั่นเอง

นั่นเป็นหน้าที่ที่ได้มอบให้เป็นภาระรับผิดชอบของฝ่ายชาย ทำให้การดำเนินการครึ่งหนึ่งของรายได้จึงต้องใช้สำหรับผู้หญิง ฝ่ายชายมีหน้าที่เลี้ยงดูภรรยาของเขาบนพื้นฐานความต้องการของเธอทั้งที่อยู่อาศัย เครื่องแต่งกาย อาหาร และอุปกรณ์ของใช้อื่น  และฝ่ายชายยังต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายของตัวเองและลูกๆ ของพวกเขา ซึ่งค่าใช้จ่ายทั้งหมดเหล่านี้ขึ้นอยู่กับเขา แม้ว่าฐานะของฝ่ายหญิงสามารถจ้างคนรับใช้และจ่ายค่าจ้างได้ก็ตาม กระนั้นค่าใช้จ่ายและค่าจ้างของคนรับใช้ก็ยังอยู่ในความรับผิดชอบของฝ่ายชายอยู่ดี[4]

ด้วยคำอธิบายดังกล่าวนี้จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ส่วนแบ่งมรดกจำนวนมากของฝ่ายหญิงนั้นมีความสมดุลระหว่างบุรุษและสตรี ฉะนั้นหากจะมีการทักท้วงฝ่ายชายต่างหากที่จะต้องทักท้วง มิใช่ฝ่ายหญิง[5]

ตรงข้ามกับภาระหน้าที่ของฝ่ายชายที่ต้องรับผิดชอบจะเห็นว่าฝ่ายหญิงไม่ต้องออกค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้นแม้แต่ค่าใช้จ่ายของตัวเองก็ตาม เช่น ค่าเสื้อผ้า อาหาร และอื่นๆ ซึ่งฝ่ายหญิงไม่มีหน้าที่รับผิดชอบอันใดทั้งสิ้น ด้วยเหตุนี้เอง ในแง่ของการปฏิบัติจะเห็นว่าฝ่ายหญิงจะได้รับส่วนแบ่งมากกว่าจากทรัพย์มรดก ตัฟซีรเนะมูเนะฮฺ ได้กล่าวว่า สมมุติว่าทรัพย์ต่างๆ ที่มีอยู่บนโลกนี้มีประมาณ 3 พันล้าน แล้ค่อยๆแบ่งปันไปให้คนหนุ่มสาวบนโลกนี้ จะเห็นว่าจำวน 20 ล้านเป็นของฝ่ายชาย และ 10 ล้านเป็นของฝ่ายหญิง ซึ่งผู้หญิงนั้นต้องแต่งงานตามธรรมชาติ แล้วค่าเลี่ยงดูของนางอยู่ในความรับผิดชอบของฝ่ายชาย ด้วยเหตุผลนี้เอง ฝ่ายหญิงสามารถเก็บส่วนแบ่งมรดกของตนเองจำนวน 10 ล้านไว้เป็นเงินสะสม แล้วพวกเธอยังมีส่วนร่วมในส่วน 20 ล้านของฝ่ายชายอีกต่างหาก ดังนั้น ถ้าเอาส่วนแบ่งทั้งสองส่วนมารวมกันจะเห็นว่าฝ่ายหญิงได้รับมรดกโดยรวมแล้วมากกว่าฝ่ายชายเสียด้วยซ้ำ[6]

ด้งนั้น เมื่อพิจารณาประเด็นที่กล่าวมาแล้วข้างต้นเราสามารถทราบถึงสาเหตุได้ทันทีว่า เป็นเพราะสาเหตุใดที่ส่วนแบ่งมรดกของฝ่ายหญิงต้องน้อยกว่าชายครึ่งหนึ่ง ซึ่งพอกล่าวสรุปได้ดังนี้

1. มะฮฺรียะฮฺ เมื่อข้อตกลงการแต่งงาน (อักด์นิกาฮฺ) ได้ถูกอ่านขึ้น ฝ่ายชายมีหน้าที่จ่ายมะฮฺรียะฮฺแก่สตรี ซึ่งเมื่อใดก็ตามที่เธอเรียกจากฝ่ายชาย เมื่อนั้นเขาต้องจ่ายให้เธอ นอกเหนือจากนี้แล้วสตรีไม่มีหน้าที่อันใด และไร้ความสามารถเมื่อเผชิญหน้ากับฝ่ายชาย ดังนั้น เมื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ ฝ่ายชายมีหน้าที่ตามบทบัญญัติในการกำหนดมะฮฺรียะฮฺแก่ฝ่ายหญิงทันที และนี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่บรรดาอะฮฺลุลบัยตฺ (.) ก็ได้แนะนำเอาไว้[7]

2. ค่าเลี้ยงดู ชีวิตการครองเรือนฝ่ายชายมีหน้าที่รับผิดชอบค่าเลี้ยงดูของตนเอง และครอบครัว เขามีหน้าที่จัดหาอาหาร เครื่องนุ่งห่ม และที่อยู่อาศัยเหมาะสมให้แก่ครอบครัว หรือตามเกียรติของภรรยาสิ่งเหล่านี้เป็นหน้ามี่ของสามีหรือฝ่ายชาย ภรรยาแม้ว่าจะเป็นคนมีฐานะดี กระนั้นเธอก็ไม่ได้มีหน้าที่ต้องรับผิดชอบอันใดเกี่ยวกับค่าเลี้ยงดูแม้แต่น้อย ฝ่ายหญิงในชีวิตการครองเรือนนอกจากไม่ต้องออกค่าเลี่ยงดูแล้ว การงานบ้านอย่างอื่น เช่น การให้น้ำนมเลี้ยงลูก การหุงหาอาหาร เธอยังสามารถเรียกร้องเงินรางวัลจากสามีได้อีกต่างหาก

3. หน้าที่พิเศษของฝ่ายชาย หน้าที่หนักภายในครอบครัวถือเป็นหน้าที่ของฝ่ายชาย ซึ่งฝ่ายหญิงไม่จำเป็นต้องไปยุ่งเกี่ยวแต่อย่างใด เช่น การญิฮาดในหนทางของพระเจ้า ฝ่ายชายต้องเป็นผู้แบ่งปันทรัพย์สินของตนไปเพื่อการญิฮาด ดังที่โองการอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นเหล่านี้เอาไว้ว่า การญิฮาดด้านทุนทรัพย์นั้นมาก่อนการญิฮาดด้วยชีวิต ดังนั้น ฝ่ายชายต้องให้ทุนทรัพย์ของตนเพื่อการญิฮาด[8] ขณะเดียวกันอาชญากรรมที่ญาติพี่น้องก่อเหตุขึ้นฝ่ายชายต้องเป็นผู้เสียค่าปรับและค่าสินไหมเหล่านั้น ซึ่งฝ่ายหญิงได้รับการยกเว้นเอาไว้จากประเด็นเหล่านี้

ข้อสังเกต อิสลามไม่ต้องการกระทำสิ่งใดเพื่อรักษาผลประโยชน์ของฝ่ายหญิง หรือทำลายผลประโยชน์ของฝ่ายชายแต่อย่างใด หรือในทางกลับกัน อิสลามไม่ได้เข้าฝ่ายชายและก็ไม่ได้เข้าข้างฝ่ายหญิง ตามกฎระเบียบของอิสลามต้องการให้ทั้งสองฝ่ายพบกับความสุขความจำเริญยิ่งขึ้นไป และบรรดาลูกๆ ได้รับการเลี้ยงดูและเจริญเติบโตตามคำสั่งสอนที่ดีของบิดามารดา อีกทั้งยังต้องเอาใจต่อความเจริญและความก้าวหน้าของสังคมมนุษย์อีกด้วย[9] อย่างไรก็ตามอิสลามได้ให้ฝ่ายชายเป็นผู้รับผิดชอบด้านค่างเลี้ยงดูและค่าใช้จ่ายอย่างอื่นของครอบครัว บนพื้นฐานของหน้าที่ทางด้านเศรษฐกิจ การแบ่งทรัพย์สินในรูปแบบต่างๆ เช่น ทำให้ทรัพย์สินเหล่านั้นเป็นมรดกตกทอด โดยไม่ได้แบ่งชั้นหรือลำเอียงแต่อย่างใด อีกด้านหนึ่งกลุ่มกฎเกณฑ์ต่างๆ ที่ได้ถูกจัดวางไว้สำหรับบุรุษและสตรีในอิสลาม สิ่งเหล่านี้โดยตัวของมันเองได้ก่อให้เกิดกฎเกณฑ์อันเฉพาะเจาะจงที่ว่าด้วยเรื่องของมรดก ซึ่งสิ่งนี้ไม่อาจมีข้อท้วงติงกับกฎหมายอิสลามในเชิงแพ่งและพาณิชย์ได้

ในที่สุดแล้วอาจำเป็นไปได้ที่จะกล่าวว่า ถ้าหากเป็นเช่นนี้แล้วกล่าวคือ ค่าใช้จ่ายด้านการเลี้ยงดูของฝ่ายหญิงอยู่ในความรับผิดชอบของฝ่ายชายแล้ว ดังนั้นสตรียังจะมีความต้องการอันใดในทรัพย์สมบัติอีก ?

คำตอบ อาจกล่าวได้ว่าเนื่องจากมะฮียะฮฺ และส่วนแบ่งมรดกของสตรีคือเงินสะสมประเภทหนึ่ง สำหรับอนาคตข้างหน้าเนื่องจากถ้าเกิดอุบัติการณ์ที่ไม่ดี ทำให้เธอต้องแยกทางกับสามี หรือสามีตายจากไป เธอจะได้สามารถดำรงชีวิตสืบต่อไปได้ด้วยเงินสะสมที่เก็บรักษาเอาไว้[10] และเธอสามารถมีชีวิตอยู่ได้ด้วยความสงบสุข ไม่ต้องเดือดร้อนหรือกังวลใจเรื่องรายได้อีกต่อไป

แต่การที่บอกว่าค่าเลี้ยงดูของฝ่ายหญิงอยู่ในความรับผิดชอบของฝ่ายชาย ก็เพื่อว่าไม่ต้องการให้ฝ่ายหญิงต้องมากังวลใจหรือมายุ่งยากกับเศรษฐกิจของครอบครัว ให้เธอเอาเวลาเหล่านั้นทุ่มเทให้กับการเลี้ยงดูและอบรมสั่งสอนบรรดาลูกๆ อย่างเต็มที่ เพื่อเธอจะได้สงมอบบุคลากรที่ดีแก่สังคมซึ่งตามหลักการอิสลามถือว่า ทุนมนุษย์คือสิ่งที่ดีเลิศที่สุดกว่าทุนทรัพย์อื่นใดของสังคม ดังนั้น ไม่ว่าจะอยู่ในสภาพใดก็ตามระบบครอบครัวถือว่าเป็นหน่วยเนื้อที่เป็นแก่หลักที่ให้การสนับสนุนสังคม

ดังนั้น ตามหลักการของอิสลามแล้วได้ให้เกียรติและเคารพในสิทธิของสตรีมาตั้งแต่แรกเริ่ม โดยไม่เคยสั่งสอนเลยว่าสตรีเป็นสิ่งไม่มีค่าทางสังคม สามารถจัดการอย่างไรกับพวกเธอก็ได้ หรือจะนำพวกเธอไปกระทำชำเราอย่างไรก็ได้ตามอำเภอใจ ทว่าสตรีคือผู้มีเกียรติอันยิ่งใหญ่ในฐานะทีเป็นแม่พระและเป็นครูที่ให้การอบรมสั่งสอนบุคลากรที่ดีแก่สังคม และเพื่อเธอจะได้กระทำหน้าที่อย่างสมบูรณ์ อิสลามจึงได้กำหนดการรับผิดชอบเรื่องค่าเลียงดูครอบครัว ให้เป็นหน้าที่รับผิดชอบของฝ่ายชาย



[1] ฮุร อามิลี วะซาอิลุชชีอะฮฺ เล่ม 26 หน้า 93 อาลุลบัยตฺ เชคฏูซีย์ ตะฮฺซีบุลอะฮฺกาม เล่ม 9 หน้า 174 และ 275 ดารุลกุตุบอิสลาม, อัลกาฟีย์ เล่ม 7 หน้า 85

[2]  เชค ซะดูก อิลัลชะรอญิอ์ เล่ม 2 หน้า 57 ดารุลกุตุบอิสลามียะฮฺ 1365

[3] อบุลฟัตฮฺ รอซียฺ ตัฟซีรเราฎุลญันนาน เล่ม 10 หน้า 268 ออกตอนกุดส์ ระฎะวียฺ

[4] มัรยัม ซอวีญีย์ สิทธิสตรีในอิสลามและครอบครัว หน้า 113 พิมพ์ครั้ง 2 ปี 1371

[5] มุฮัมมัด ฮุเซน ฟัฎลุลลอฮฺ บทบาทของสตรีในสิทธิอิสลาม แปลโดยอับดุลฮาดีย์ ฟะกีฮฺซอเดะฮฺ สำนักพิมพ์ สำนักพิพากษา

[6] มะการิม ชีรอซีย์ นาซิร ตัฟซีรเนะมูเนะฮฺ เล่ม 3 หน้า 288 ดารุลกุตุบอิสลามียะฮฺ

[7] มุฮัมมัด อิบนุ ระฏอ อัลกุมมี อัลมัชฮะดียฺ กันซุลดะกออิด เล่ม 3 หน้า 343

[8]  กอฎีย์ เฏาะบาเฏาะบาอียฺ การวิจัยเกี่ยวกับมรดกของสตรี จากทรัพย์ของสามี มีฮัน 1553 หน้า 143

[9]  มุรตะฎอมุเฏาะฮะรีย นิซอมฮุกูกซันดัรอิสลาม หน้า 253 สำนักพิมพ์ฟังฮังอิสลาม พิมพ์ครั้งแรก ปี 1353

[10]  ฏอละกอนีย์ ซัยยิดมะฮฺมูด พัรตูอัซกุรอาน เล่ม 6 หน้า 90 สำนักพิมพ์เตหะราน ห้างหุ้นส่วนจำกัดสำนักพิมพ์

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • ดิฉันเป็นวัยรุ่นคนหนึ่ง อยากจะทราบว่าอะไรคือเป้าหมายของชีวิต?
    8041 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2555/01/07
    อิสลามมีคำสอนที่เกี่ยวกับเป้าหมายของชีวิตมากมายกุรอานได้ชี้แนะว่า “อิบาดัต” คือเป้าหมายของมนุษย์อันจะนำมาซึ่งการบรรลุธรรมตลอดจนความผาสุกในโลกนี้และโลกหน้าอีกนัยหนึ่งจุดประสงค์ของชีวิตก็คือการแข่งขันกันทำความดีซึ่งฮะดีษหลายบทก็ได้แจกแจงถึงรายละเอียดของเป้าหมายชีวิตอย่างชัดเจน ส่วนการศึกษาฮะดีษของบรรดามะอ์ศูมีน(อ.)นั้นจำเป็นต้องคำนึงว่าแม้ฮะดีษเหล่านี้จะมีประโยชน์สำหรับทุกคนแต่การที่จะอ้างฮะดีษบทใดบทหนึ่งถึงพวกท่านเหล่านั้นจำเป็นต้องคำนึงถึงเงื่อนไขบางประการซึ่งจะนำเสนอในหน้าคำตอบแบบสมบูรณ์ ...
  • อิมามซะมาน (อ.) มีความคล้ายเหมือนและมีความต่างอย่างไร กับผู้ถูกสัญญาในศาสนาอื่นทั้งศาสนาที่มาจากฟากฟ้าและมิได้มาจากฟากฟ้า?
    6820 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/11/21
    ศาสนาที่มีชื่อเสียงบนโลกนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งศาสนาแห่งฟากฟ้าหรือศาสนาที่นับถือพระเจ้าจะมีจุดร่วมเดียวกันกล่าวคือจะมีชายคนหนึ่งปรากฏกายออกมาซึ่งบุคคลนั้นจะมีคุณค่ามากมายและรัฐบาลสากลของเขาจะสร้างความยุติธรรมความสงบสุข
  • การลอกข้อสอบผู้อื่นโดยที่บุคคลดังกล่าวยินยอม จะมีฮุกุมเช่นไร?
    15162 สิทธิและกฎหมาย 2554/11/19
    ว่ากันว่าบรรดาฟะกีฮ์มีทัศนะเป็นเอกฉันท์ว่าการลอกข้อสอบถือเป็นฮะรอมดังที่หนังสือ “ประมวลคำถามของนักศึกษา” ได้ตั้งคำถามว่าการลอกข้อสอบมีฮุกุมอย่างไร? คำตอบคือทุกมัรญะอ์ให้ความคิดเห็นว่าไม่อนุญาต[1]หนังสือดังกล่าวได้ให้คำตอบต่อข้อคำถามที่ว่ากรณีที่ยินยอมให้ผู้อื่นลอกข้อสอบจะมีฮุก่มเช่นไร? มัรญะอ์ทุกท่านตอบว่า “การยินยอมไม่มีผลต่อฮุกุมแต่อย่างใด”[2] หมายความว่าฮุกุมของการลอกข้อสอบซึ่งถือว่าเป็นฮะรอมนั้นไม่เปลี่ยนเป็นฮะลาลด้วยกับการยินยอมของผู้ถูกลอกแต่อย่างใดเกี่ยวกับประเด็นนี้มีอีกหนึ่งคำถามที่ถามจากมัรญะอ์บางท่านดังต่อไปนี้คำถาม "หากนักเรียนหรือนักศึกษาสอบผ่านด้วยการลอกข้อสอบและได้เลื่อนระดับขั้นที่สูงขึ้นอันทำให้ได้รับสิทธิประโยชน์ต่างๆกรณีเช่นนี้อนุญาตให้รับสิทธิประโยชน์ดังกล่าวได้หรือไม่?”ท่านอายะตุลลอฮ์คอเมเนอี “การลอกข้อสอบถือว่าเป็นฮะรอมแต่กรณีที่บุคคลผู้นั้นมีความชำนาญและความเชี่ยวชาญในหน้าที่การงานที่เขาได้รับการว่าจ้างโดยที่เขาทำตามกฎระเบียบของการว่าจ้างอย่างเคร่งครัดการว่าจ้างและการรับค่าจ้างถือว่าถูกต้อง”ท่านอายาตุลลอฮ์ฟาฏิลลังกะรอนี “ไม่อนุญาตและไม่มีสิทธิรับสิทธิประโยชน์ใดๆที่ได้มาโดยการนี้”ท่านอายาตุลลอฮ์บะฮ์ญัต “จะต้องเรียนชดเชยวิชานั้น”ท่านอายาตุลลอฮ์ตับรีซี “การลอกข้อสอบคือการโกหกภาคปฏิบัตินั่นเองและถือว่าไม่อนุญาตส่วนผู้ที่กระทำเช่นนี้แล้วได้บรรจุเข้าทำงานที่ไม่จำเป็นต้องใช้ทักษะพิเศษก็ถือว่าสามารถทำได้แต่หากเป็นงานที่ต้องใช้ทักษะที่ตนไม่มีก็ไม่อนุญาตให้รับผิดชอบงานนั้นท่านอายาตุลลอฮ์ศอฟีโฆลพอยฆอนี “การคดโกงไม่ว่าในกรณีใดถือว่าไม่อนุญาต”ท่านอายาตุลลอฮ์มะการิมชีรอซี “ในกรณีที่มีการลอกข้อสอบในหนึ่งหรือสองวิชาแม้ว่าถือเป็นการกระทำที่ผิดแต่การรับวุฒิบัตรและการศึกษาต่อในระดับที่สูงกว่านั้นหรือรับงานด้วยกับวุฒิบัตรดังกล่าวถือว่าอนุญาต”ท่านอายาตุลลอฮ์ซิซตานี “เขาสามารถใช้ได้แม้นว่าการกระทำของเขา (การลอกข้อสอบ) ถือว่าไม่อนุญาต”
  • สามารถจะติดต่อกับอิมามมะฮ์ดี(อ.)ได้หรือไม่?
    6757 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/07/19
    โดยทั่วไป สัมพันธภาพจะไม่เกิดขึ้นระหว่างคนแปลกหน้าสองคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน นอกจากจะมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งรู้จักและมีไมตรีจิตต่อฝ่ายตรงข้าม จึงจะค่อยๆสานเป็นความสัมพันธ์อันดีต่อกันในอนาคตกรณีของท่านอิมามมะฮ์ดีก็เช่นกัน ท่านรู้จักเราและมีไมตรีจิตต่อเราอย่างอบอุ่น  แต่เราซึ่งเป็นอีกด้านหนึ่งของสายสัมพันธ์ หากได้รู้จักฐานะภาพของท่านอย่างแท้จริง ก็จะทำให้สามารถสานสัมพันธ์และติดต่อกับท่านได้ ดังที่อุละมาอ์ระดับสูงหรือผู้ที่สำรวมตนขัดเกลาจิตใจบางท่านสามารถติดต่อกับท่านอิมาม(อ.)ได้ในอดีตกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ การสานสัมพันธ์กับท่านอิมามมะฮ์ดี(อ.)นั้น แบ่งออกเป็นสองประเภท 1.เชื่อมสัมพันธ์ทางจิตใจ 2.เชื่อมสัมพันธ์ในระดับการเข้าพบ อย่างไรก็ดี แม้ว่าความสัมพันธ์ทั้งสองประเภทนี้จะมิไช่เรื่องที่ไกลเกินเอื้อม แต่หากต้องการจะมีความสัมพันธ์ในระดับเข้าพบ ก็จะต้องมีคุณสมบัติพิเศษ กล่าวคือ จะต้องมีสัมพันธภาพทางจิตใจพร้อมกับจะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขต่างๆที่จำเป็นด้วย จึงจะถือเป็นการตระเตรียมโอกาสที่จะได้เข้าพบท่าน(อ.) ...
  • สัมพันธภาพระหว่างศรัทธาและความสงบมั่นที่ปรากฏในกุรอานเกิดขึ้นได้อย่างไร?
    6904 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/03/07
    อีหม่านให้ความหมายว่าการให้การยอมรับ ซึ่งตรงข้ามกับการกล่าวหาว่าโกหก แต่ในสำนวนทั่วไป อีหม่านหมายถึงการยอมรับด้วยวาจา ตั้งเจตนาในใจ และปฏิบัติด้วยสรรพางค์กาย ส่วน “อิฏมินาน” หมายถึงความสงบภายหลังจากความกระวนกระวายใจ ความแตกต่างระหว่างอีหม่านและความสงบมั่นทางจิตใจก็คือ ในบางครั้งสติปัญญาของคนเราอาจจะยอมรับเรื่องใดเรื่องหนึ่งด้วยกระบวนการพิสูจน์เชิงเหตุและผล ทว่ายังไม่บังเกิดความสงบมั่นใจจิตใจ แต่ถ้าลองได้มั่นใจในสิ่งใดแล้ว ความมั่นใจนี้จะนำมาซึ่งความสงบมั่นทางจิตใจในที่สุด มีผู้ถามอิมามริฎอ(อ.)ว่า ท่านนบีอิบรอฮีม(อ.)มีความเคลือบแคลงสงสัยหรืออย่างไร? ท่านตอบว่า “หามิได้ ท่านมีความมั่นใจจริง แต่ทว่าท่านขอให้พระองค์ทรงเพิ่มพูนความมั่นใจแก่ตนเองอีก” ...
  • จุดประสงค์ของการสร้างคืออะไร จงอธิบายเหตุผลในเชิงเหตุผลนิยม ถ้าเป้าหมายคือความสมบูรณ์แล้วทำไมพระเจ้าไม่ทรงสร้างมนุษย์ให้สมบูรณ์แบบ
    13588 เทววิทยาดั้งเดิม 2553/10/21
    พระเจ้าคือผู้ดำรงอยู่ที่ไม่มีความจำกัด พระองค์ทรงมีความสมบูรณ์แบบทุกประการ การสร้าง (บังเกิด) เป็นความงดงาม และพระองค์คือผู้มีความงดงามความงดงามอันสมบูรณ์แบบของพระองค์ เป็นตัวกำหนดว่าพระองค์ทรงสร้างทุกอย่างขึ้นตามคุณค่าของมัน ดังนั้น พระเจ้าทรงสร้างเป็นเพราะพระองค์คือผู้งดงาม หมายถึงจุดประสงค์และเป้าหมายในการสร้างของพระองค์นั้นงดงาม อีกด้านหนึ่งคุณลักษณะอาตมันของพระเจ้าไม่ได้แยกออกจากอาตมันของพระองค์ จึงสามารถกล่าวได้ว่าจุดประสงค์ของการสร้างคือ อาตมันของพระเพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์มาโดยให้มีแนวโน้มที่ดีและความชั่วร้ายภายใน และทรงประทานผู้เชิญชวนภายนอก 2 ท่าน ที่ดีได้แก่ศาสดา (นบี) และความชั่วร้ายได้แก่ชัยฎอน (ปีศาจ), ทั้งนี้มนุษย์สามารถบรรลุความสมบูรณ์สูงสุดของสรรพสิ่งที่อยู่หรือก้าวไปสู่ความชั่วช้าที่ต่ำทรามที่สุดก็เป็นได้ ทั้งที่มนุษย์นั้นมีพลังของเดรัจฉานและการลวงล่อของซาตานที่ล่อลวงอยู่ตลอดเวลา ...
  • ขณะวุฎูอฺ แต่ไม่ได้อยู่ในสภาพที่จำเป็น, โดยมีบุคคลอื่นราดน้ำลงบนมือและแขนให้เรา ถือว่ามีปัญหาทางชัรอียฺหรือไม่?
    6231 สิทธิและกฎหมาย 2555/05/17
    วุฎูอฺ มีเงื่อนไขเฉพาะตัว ดังนั้น การไม่ใส่ใจต่อเงื่อนไขข้อใดข้อหนึ่ง เป็นสาเหตุให้วุฎูอฺบาฏิล หนึ่งในเงื่อนไขของวุฎูอฺคือ การล้างหน้า มือทั้งสองข้าง การเช็ดศีรษะ และหลังเท้าทั้งสองข้าง ผู้วุฎูอฺ ต้องทำด้วยตัวเอง ถ้าหากมีบุคคลอื่น วุฎูอฺ ให้แก่เขา, หรือช่วยเขาราดน้ำที่ใบหน้า มือทั้งสองข้างแก่เขา หรือช่วยเช็ดศีรษะและหลังเท้าทั้งสองแก่เขา วุฎูอฺ บาฏิล[1] มีคำกล่าวว่า บรรดานักปราชญ์แสดงความเห็นเกี่ยวกับเงื่อนไขนี้ ต่างกัน : 1.บางท่านแสดงทัศนะว่า : บุคคลต้อง วุฏูอฺ ด้วยตัวเอง ถ้าหากมีบุคคลอื่นช่วยเขาวุฎูอฺ ในลักษณะที่ว่าถ้าคนอื่นเห็นจะไม่พูดว่า บุคคลดังกล่าวกำลังวุฎูอฺ ถือว่าวุฏูอฺ บาฏิล
  • จะเชิญชวนชาวคริสเตียนให้รู้จักอิสลามด้วยรหัสยนิยมอิสลาม(อิรฟาน)ได้อย่างไร?
    10529 รหัสยทฤษฎี 2554/08/14
    คุณสามารถกระทำได้โดยการแนะนำให้รู้จักคุณสมบัติเด่นของอิรฟาน(รหัสยนิยมอิสลาม) และเล่าชีวประวัติของบรรดาอาริฟที่มีชื่อเสียงของอิสลามและสำนักคิดอะฮ์ลุลบัยต์1). อิรฟานแบ่งออกเป็นสองประเภทด้วยกันอิรฟานเชิงทฤษฎีและอิรฟานภาคปฏิบัติเนื้อหาหลักของวิชาอิรฟานเชิงทฤษฎีก็คือก. แจกแจงเกี่ยวกับแก่นเนื้อหาของเตาฮี้ด(เอกานุภาพของอัลลอฮ์)ข. สาธยายคุณลักษณะของมุวะฮ์ฮิด(ผู้ยึดถือเตาฮี้ด)ที่แท้จริงเตาฮี้ดในแง่อิรฟานหมายถึงการเชื่อว่านอกเหนือจากพระองค์แล้วไม่มีสิ่งใดที่“มีอยู่”โดยตนเองทั้งหมดล้วนเป็นภาพลักษณ์ของอัลลอฮ์ในฐานะทรงเป็นสิ่งมีอยู่เพียงหนึ่งเดียวทั้งสิ้น
  • จากเนื้อหาของดุอากุเมล บาปประเภทใดที่จะทำให้ม่านแห่งความละอายถูกฉีกขาด บะลาถาโถมมา และทำให้ดุอาไม่ได้รับการตอบรับ?
    10058 จริยธรรมปฏิบัติ 2555/02/13
    โดยปกติแล้วบาปทุกประเภทจะเป็นเหตุให้ม่านแห่งความละอายถูกฉีกขาดบาปทุกประเภทสามารถทำให้เกิดบะลายับยั้งการตอบรับดุอาและริซกีของมนุษย์ได้ทั้งสิ้นเหล่านี้เป็นผลกระทบตามธรรมชาติของการทำบาปซึ่งตำราวิชาการของเราก็เน้นย้ำไว้เช่นนี้อย่างไรก็ดีบางฮะดีษเจาะจงถึงผลลัพท์ของบาปบางประเภทเป็นการเฉพาะอาทิเช่นการกดขี่ข่มเหงผู้อื่น
  • บุคคลย้ำคิดย้ำทำที่ได้รับการอนุโลม ถามว่าได้รับการอนุโลมข้อสงสัยทุกประเภทหรือไม่?
    10530 สิทธิและกฎหมาย 2555/02/18
    ตามหลัก “لاشکّلکثیرالشک”แล้ว ผู้ที่ชอบย้ำคิดย้ำทำ(ช่างสงสัย) ไม่ควรให้ความสำคัญแก่การสงสัยของตน อุละมาส่วนใหญ่เชื่อว่าหลักการนี้มิได้จำกัดเฉพาะกรณีการนมาซเท่านั้น แต่ยังรวมถึงอะมั้ลที่กระทำก่อนนมาซ อาทิเช่น การอาบน้ำนมาซ, ฆุสุลและตะยัมมุม, อีกทั้งรวมไปถึงชุดอิบาดะฮ์อย่างเช่นการทำฮัจย์ และครอบคลุมถึงการทำธุรกรรม และประเด็นความศรัทธาด้วย อุละมายกหลักฐานสนับสนุนทัศนะของตนอันได้แก่ หลักการ لا

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60086 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    57474 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42167 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    39269 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    38910 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    33970 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    27986 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    27908 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    27732 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    25746 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...