การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
5939
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2554/04/21
 
รหัสในเว็บไซต์ fa2379 รหัสสำเนา 13581
คำถามอย่างย่อ
เพราะสาเหตุใดส่วนแบ่งมรดกของสตรีจึงได้เพียงครึ่งหนึ่งของชาย?
คำถาม
เพราะสาเหตุใดส่วนแบ่งมรดกของสตรีจึงได้เพียงครึ่งหนึ่งของชาย?
คำตอบโดยสังเขป

จากการศึกษาเกี่ยวกับหลักนิติศาสตร์อิสลามและประวัติความเป็นมาของ ค่าปรับ จะเห็นว่าเป็นประเด็นที่มีความจำกัดพิเศษเกี่ยวกับเรื่องของ เศรษฐศาสตร์โดยเฉพาะ วัตถุประสงค์ได้ถูกกำหนดขึ้นเพื่อการชดเชยสิ่งที่เสียหายไป อีกด้านหนึ่งในสังคมซึ่งอิสลามได้พยายามที่จะเติมเต็มความสมบูรณ์ หรือพยายามสร้างสังคมที่มีความสมบูรณ์จึงได้กำหนดกิจกรรมหลังของสังคมด้านเศรษฐศาสตร์ให้อยู่ในความรับผิดชอบของสังคม กล่าวคือ อิสลามได้มองเรื่องเศรษฐศาสตร์ภาพรวมที่อยู่ในความรับผิดชอบของฝ่ายชาย ทำให้ได้รับผลอย่างหนึ่งว่า ผู้ชายมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบบางหน้าที่ซึ่งฝ่ายหญิงได้รับการละเว้นเอาไว้ ขณะที่หน้าที่รับผิดชอบที่สำคัญที่สุดสำหรับสตรีคนหนึ่งคือ การจัดระบบและระเบียบเรื่องค่าใช้จ่ายและการเป็นอยู่ของครอบครัว

ถ้าพิจารณาอย่างรอบคอบในบทความนี้ท่านผู้อ่านสมารถเข้าใจเหตุผลได้อย่างง่ายดายว่า อิสลามได้ให้การสนับสนุนภารกิจหนึ่ง ที่มีผลในทางเศรษฐศาสตร์สำหรับผู้ชาย และหนึ่งในนั้นคือเรื่องค่าปรับ หรือค่าชดเชย ตามหลักคำสอนของอสิลามถ้าหากพิจารณาถึงหน้าที่และบทบาทของฝ่ายชายในแง่ของรายได้ของครอบครัว ประกอบกับการพิจารณาถึงเรื่องค่าปรับและค่าชดเชย นั้นเกี่ยวข้องกับกายภาพของมนุษย์โดยตรง ฉะนั้น ในแง่ของรายได้ถ้าร่างกายมีความแข็งแรงมากเท่าใด ค่าชดเชยย่อมมีอัตรามากตามไปด้วย และเนื่องจากฝ่ายชายคือผู้รับผิดชอบด้านค่าใช้จ่ายของครอบครัว หรืออาจกล่าวได้ว่าชายคือผู้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของครอบครัว ดังนั้น ค่าชดเชยของชายจึงต้องมากกว่าฝ่ายหญิง สิ่งนี้มิได้หมายความว่าอิสลามได้ให้เกียรติผู้ชายสูงส่งกว่าผู้หญิง เนื่องจากถ้าจะกล่าวถึงในแง่ของเกียรติยศหรือคุณค่าของมนุษย์แล้วละก็ จะไม่มีวันเท่าเทียมกับเลยในเรื่องของค่าชดเชยระหว่างนักวิชาการ นักคิด ปักปราชญ์ หรือผู้นำศาสนา และนักการเมืองคุณภาพ กับบุคคลธรรมดาทั่วไป หรือคนงานธรรมดาคนหนึ่ง

อีกประเด็นหนึ่งบทบาทเรื่องความปลอดภัยของผู้ชายคนหนึ่งในครอบครัว เป็นที่ประจักษ์ชัดว่าโดยทั่วไปแล้วผู้ชายนั่นเองที่เป็นผู้นำพาความสงบสุขมาสู่ครอบครัว เป็นผู้ปกป้องความปลอดภัยของครอบครัวโดยไม่ให้มีบุคคลอื่นมาระราน ด้วยเหตุนี้ โดยธรรมชาติแล้ว ถ้าหากจะเกิดความเสียหายขึ้นกับครอบครัวในกรณีที่ไม่มีผู้ชายย่อมมีเสียหายมากกว่าการไม่มีผู้หญิง

และแล้วประเด็นสำคัญยิ่งไปกว่านั้นก็คือ สำหรับประเด็นที่กำลังกล่าวถึงนี้ ได้มีบทบัญญัติทางศาสนาเป็นตัวกำกับไว้ด้วย บนพื้นฐานทางความคิดและคำสอนของศาสนานั้นได้ให้ความสำคัญแก่บุรุษเอาไว้ ประกอบกับทัศนะต่างๆ ที่ได้กล่าวไว้เป็นพิเศษเกี่ยวกับประเด็นข้างต้น ด้วยเหตุนี้ ประเด็นเกี่ยวกับค่าปรับหรือค่าสินไหมในอิสลาม จึงได้ถูกบัญญัติขึ้นตามพื้นฐานหน้าที่หลักซึ่งได้มอบไว้ตามเจตนารมณ์เสรีของบุรุษและสตรี ประกอบกับเมื่อพิจารณาถึงกฎเกณฑ์โดยทั่วไปที่มีเหนือระบบครอบครัว อิสลามจึงได้วางกฎนี้ออกมา ซึ่งแน่นอนว่า เราไม่สามารถคัดค้านได้เลยว่าบทบัญญัติของอิสลามไม่เข้ากันกับสติปัญญา หรือว่าเป็นการเอาเปรียบฝ่ายหญิงแต่อย่างใด

คำตอบเชิงรายละเอียด

บทบัญญัติทั้งหมดของอิสลามวางอยู่บนพื้นฐานของสิ่งถูกต้อง และความเสียหายอันเฉพาะด้วยความมั่นคง ซึ่งสำหรับทุกๆ กฎเกณฑ์ย่อมมีวิทยปัญญาอันเฉพาะ และสำหรับทุกการร่างบทบัญญัติย่อมมีความดีและสิ่งถูกต้องควบคู่เสมอไป ถ้าหากอิสลามได้ห้ามมนุษย์จากสิ่งหนึ่ง ก็เนื่องจากว่าสิ่งนั้นมีความเสียหายร่วมอยู่อย่างแน่นอน ขณะเดียวกันถ้าอิสลามได้มีบัญชาให้กระทำสิ่งหนึ่งก็เนื่องจากว่าสิ่งนั้นมีความดีงามแอบแฝงอยู่ แน่นอนว่าการที่เราจะติดตามความดีและไม่ดีของทุกบทบัญญัตินั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ แต่จะมีกฎโดยรวมวางไว้เพื่อช่วยให้เราได้สัมฤทธิ์ผลโดยเร็ว นั่นคือ สติปัญญาสมบูรณ์ หรือความจริงภายนอก และคำอธิบายของบรรดาผู้นำบริสุทธิ์ (.) ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นองค์ประกอบสำคัญทำให้เราได้เข้าใจถึงมุมมองหนึ่งของบทบัญญัติเหล่านั้น ดังนั้น การที่อิสลามได้บัญญัติว่า ค่าชดเชย หรือค่าปรับ หรือค่าสินไหมของสตรีนั้นน้อยกว่าบุรุษครึ่งหนึ่ง แสดงให้เห็นว่าสิ่งนั้นย่อมมีวิทยปัญญาซ่อนเร้นอยู่ ซึ่งพอจะสรุปได้ดังนี้ว่า

1) ถ้าหากอิสลามเป็นศาสนาแห่งวัตถุโดยสมบูรณ์ โดยมีเป้าหมายอยู่ที่วัตถุปัจจัย เศรษฐกิจ และทรัพย์สินเป็นหลัก เวลานั้นได้กำหนดว่า ค่าชดเชยของสตรีน้อยกว่าบุรุษครึ่งหนึ่ง ตรงนี้ข้อท้วงติงที่ว่าเป็นการลดคุณค่าของสตรีให้น้อยไปจากบุรุษ เพราะเหตุใดราคาของสตรีจึงมีค่าเพียงครึ่งหนึ่งของบุรุษ จึงจะสมจริง ขณะที่อิสลามถือว่าคุณค่าของมนุษย์นั้นอยู่ที่จิตวิญญาณและจิตด้านในที่มีความสมบูรณ์ของพวกเขา สิ่งที่อิสลามได้ให้ความสำคัญมากที่สุดคือมาตรฐานของคุณค่าอันได้แก่ ความสำรวมตนจากบาป มนุษย์สามารถเป็นเยี่ยงศาสดามูซา (.) หรือท่านหญิงมัรย้ม (.) ที่สามารถติดต่อกับอัลลอฮฺ (ซบ.) โดยผ่านวะฮฺยูก็ได้ สตรีและบุรุษที่อยู่ในหนทางของการแสวงหาความจำเริญ และการได้รับตำแหน่งอันสูงส่งทางด้านจิตวิญญาณ มีความเท่าเทียมกันไม่ได้มีความแตกต่างกันแม้แต่น้อยระหว่างบุรุษและสตรี ซึ่งขึ้นอยู่กับความอดทนและความพยายามของแต่ละบุคคล 

แต่เรื่องค่า ชดเชย เป็นประเด็นเกี่ยวกับเรื่องรายได้ ซึ่งเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับร่างกายมนุษย์ ด้วยเหตุผลนี้เองจึงมีความแตกต่างกันระหว่างค่าชดเชยของผู้นำประเทศ กับพลเมืองที่เป็นคนงานธรรมดาคนหนึ่ง[1]

2) ในมุมมองหนึ่งสามารถกล่าวได้ว่า มนุษย์ทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นบุรุษหรือสตรีมี 3 ลักษณะสำคัญดังต่อไปนี้

2.1 ความสูงส่งในความเป็นมนุษย์ ประเด็นนี้ไม่มีความแตกต่างกันทั้งบุรุษและสตรี ประกอบกับหนทางที่จะมุ่งไปสู่ความเป็นมนุษย์แห่งพระเจ้านั้น ก็ไม่มีความจำกัดแต่อย่างใดหนทางเปิดกว้างสำหรับทั้งสองเสมอ

อัลกุรอานบทอันนะฮฺลุ โองการที่ 97 กล่าวว่าผู้ใดปฏิบัติความดีไม่ว่าจะเป็นเพศชายหรือเพศหญิงก็ตาม โดยที่เขาเป็นผู้มีศรัทธา ดังนั้นเราจะให้เขาดำรงชีวิตที่ดี แน่นอนเราจะตอบแทนพวกเขาซึ่งรางวัลของ พวกเขา ที่ดียิ่งกว่าที่พวกเขาได้เคยกระทำไว้

อัลกุรอาน บทอะฮฺซาบ โองการที่ 35 ก็ได้ถึงความหมายดังกล่าวไว้เช่นกัน

2.2 ในแง่ของความรู้ ในมุมมองนี้เช่นกันไม่มีความแตกต่างกันระหว่างบุรุษและสตรี อิสลามไม่เคยให้ความแตกต่างในการแสวงหาความรู้ทั้งบุรุษและสตรี รายงานฮะดีซกล่าวว่า 

"طلب العلم فریضة على کل مسلم و مسلمة".

การแสวงหารความรู้เป็นข้อบังคับสำหรับมุสลิมทุกคนทั้งบุรุษและสตรี[2]

อัลกุรอาน ได้กล่าวถึงประเด็นนี้ว่า ไม่มีความแตกต่างกันระหว่างบุรุษและสตรีในการแสวงหาความรู้ หรือในแง่ของความรู้ ซึ่งมีโองการกล่าวโดยรวมถึงประเด็นเหล่านี้เกินกว่า 40 โองการด้วยกัน

2.3 ในแง่ของเศรษฐศาสตร์ ระหว่างสตรีและบุรุษตามทัศนะของอิสลามจากรายงานฮะดีซ หน้าที่ด้านนี้มีความแตกต่างกัน เนื่องจากหน้าที่นี้วางอยู่บนพื้นฐานความสามารถ ศักยภาพ และพลังของร่างกาย ซึ่งได้จัดแบ่งไว้แล้วตามลักษณะของจิตวิญญาณระหว่างสตรีและบุรุษ สตรีนั้นในแง่ของการแบกรับภาระด้านเศรษฐกิจอ่อนแอกว่าบุรุษ แม้ว่าในแง่ของไหวพริบและสติปัญญาทางด้านเศรษฐศาสตร์อาจเท่าเทียมหรือดีกว่าบุรุษก็ตาม แต่การแบกรับภาระอันหนักอึ้งนี้เธออ่อนแอกว่า แม้แต่ในสังคมตะวันตกที่มีค่านิยมและแสดงความเห็นว่าว่าบุรุษและสตรีเท่าเทียมกัน ก็ให้การยอมรับว่าการแบกรับภาระอันหนักอึ้งนี้สตรีอ่อนแอกว่าบุรุษ

ตามความเป็นจริงแล้วสตรีมีหน้าที่หลักคือ การให้กำเนิดบุตร เธอต้องตั้งครรภ์และหลังจากคลอดบุตรแล้วเธอต้องให้นมลูก ต้องคอยดูแลปกปักรักษาและคอยเลี้ยงดูจนกว่าจะเติบโต ดังนั้น ช่วงเวลาตั้งครรภ์และการให้นมนั้นได้บั่นทอนความสามารถของสตรีไปไม่น้อย พลังงานและเวลาของเธอได้ถูกใช้ไปเป็นจำนวนมาก แม้ว่าภารกิจนี้โดยตัวของมันแล้วเป็นงานใหญ่ และมีคุณค่าอันมหาศาล แต่อย่างไรก็ตามงานด้านเศรษฐกิจนั้นต่างไปจากสิ่งที่กล่าวมา อีกด้านหนึ่งโครงสร้างทางกายภาพของสตรีและบุรุษนั้นมีความแตกต่างกัน สตรีนั้นมีร่างกายและโครงสร้างที่อ่อนแอพร้อมที่จะรับผลกระทบและความเสียหายต่างๆ ได้สูง ขณะที่โครงสร้างด้านร่างกายของบุรุษมีความแข็งแรงกว่า มีความอดทนกับความลำบาก และเหมาะสมกับงานหนักต่างๆ ได้เป็นอย่างดี ด้วยเหตุผลนี้เองการงานและอาชีพส่วนใหญ่ในสังคมจึงมีความเหมาะสมกับบุรุษมากกว่า ฉะนั้น เป็นที่ประจักษ์ว่าการปราศจากผู้ชายในสังคม ครอบครัวจะพบกับความเสียหายมากกว่า ด้วยเหตุนี้ เป็นความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องจ่ายค่า ชดเชยจำนวนมากเมื่อสูญเสียบุรุษไป[3]

3. ความว่างเปล่าเนื่องจากครอบครัวปราศจากผู้ชาย นั้นจะมีช่องว่างมากกว่าขาดสตรี จากการค้นคว้าของนักนิติศาสตร์และประวัติศาสตร์[4] ดียะฮฺ หรือค่าชดเชยนั้นมีวัตถุประสงค์ เพื่อชดเชยค่าเสียหายอันเนื่องมาจากการกระทำผิด หรือการก่ออาชญากรรมกับคนๆ หนึ่ง หรือกับครอบครัวหนึ่ง ขณะที่สังคมเป็นสังคมศาสนาภารกิจด้านเศรษฐกิจส่วนใหญ่ จึงอยู่ในการดูแลของบุรุษ ส่วนสตรีมีหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยในครอบครัว เป็นธรรมชาติที่ว่าร่องรอยของงานทางด้านเศรษฐกิจที่เกิดจากผู้ชายนั้นมีมากกว่าสตรี ด้วยเหตุนี้การปราศจากผู้ชายไปจากสังคมและครอบครัว ในแง่ของเศรษฐกิจถือว่าเป็นความเสียหายอย่างใหญ่หลวงแก่ครอบครัว เนื่องจากขาดผู้นำและคนหาเลี้ยงครอบครัว ด้วยเหตุนี้ ค่าชดเชยของผู้ชายจึงต้องจ่ายตามเหมาะสมกับสถานภาพของเขาในครอบครัว[5]

นอกจากนั้นแล้ว ค่าเลี้ยงดูครอบครัวยังเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของผู้ชาย มิใช่ผู้หญิง ด้วยเหตุนี้การสูญเสียผู้ชายไปบรรดาลูกๆ อีกหลายคนที่ต้องอาศัยค่าเลี้ยงดูจากเขายังคงอยู่ ดังนั้น จำเป็นต้องชดเชยในลักษณะเติมเต็มความว่างเปล่าของเขา ด้วยเหตุผลนี้เอง โดยหลักการแล้วค่าชดเชยของผู้ชายจำเป็นต้องมากกว่าผู้หญิง ซึ่งประเด็นนี้มิได้เกี่ยวข้องกับปัญหาว่าใครดีกว่าใคร หรือผู้ชายดีกว่าผู้หญิงแต่อย่างใด ทว่าได้พิจารณาจากองค์ประกอบภายนอกถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเขา และบทบาทของเขาในครอบครัวเป็นหลัก[6]

จากสิ่งที่อธิบายมานี้สามารถสรุปได้ว่า ปัญหาเรื่องค่าชดเชย ไม่ได้ขึ้นอยู่กับคุณค่าของสตรีหรือบุรุษ อันเป็นสาเหตุให้ความแตกต่างระหว่างทั้งสองนั้นได้รับการทักท้วง อีกด้านหนึ่ง หน้าที่ความรับผิดชอบทางด้านเศรษฐกิจซึ่งเป็นหน้าที่ของบุรุษในครอบครัวก็ได้สนับสนุนประเด็นดังกล่าวได้เป็นอย่างดีว่า ความแตกต่างของค่าชดเชยขึ้นอยู่กับเรื่องค่าใช้จ่ายของครอบครัวเป็นหลัก 

ผู้ชายในแง่ของร่างกายทางกายภาพนั้นมีความแข็งแกร่งกว่าสตรี สามารถปฏิบัติหน้าที่หนักได้ การมีอยู่ของผู้ชายสำหรับครอบครัวแล้วถือว่าสร้างความมั่นใจและให้พลังแก่จิตใจได้เป็นอย่างดี อีกด้านหนึ่งการไม่มีผู้ชายในครอบครัวเป็นสาเหตุทำให้ผู้อยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของเขาต้องปราศจากผู้นำ และผู้รับผิดชอบ ด้วยเหตุนี้ เป็นธรรมดาที่ว่าเมื่อต้องสูญเสียผู้ชายไปเนื่องจากอุบัติเหตุหรือด้วยสาเหตุอื่นๆ ค่าชดเชยของเขาจึงต้องมากกว่าผู้หญิง[7]

สุดท้ายของบทความใคร่จะชี้ให้เห็นถึงประเด็นสำคัญประเด็นหนึ่ง ซึ่งมิได้หลุดพ้นไปจากความการุณย์ของพระเจ้าแต่อย่างใด ประเด็นดังกล่าวคือ 

ประการแรก ค่าชดเชยของหญิงซึ่งน้อยกว่าผู้ชายครึ่งหนึ่งนั้น ตราบที่ค่าชดเชยนั้นมีไม่ถึง หนึ่งในสามส่วน มิเช่นนั้นแล้วค่าชดเชยของผู้ชายและผู้หญิงถ้าน้อยกว่า หนึ่งในสามจะเท่ากัน ด้วยเหตุผลนี้เอง ถ้าเหตุผลที่กล่าวว่า ค่าชดเชยของสตรีน้อยกว่าบุรุษครึ่งหนึ่งนั้นก็เนื่องจากความพร่องของนาง ดังนั้น ในทุกที่ค่าชดเชยของเธอโดยทั่วไปแล้วต้องน้อยกว่าผู้ชายครึ่งหนึ่ง

ประการที่สอง บุรุษคือผู้ที่ได้รับค่าชดเชยมากกว่าผู้หญิงครึ่งหนึ่ง เขามีหน้าที่ต้องรับผิดชอบในการจ่ายค่าชดเชยกรณีที่ญาติของตนได้สังหารชีวิตผู้อื่น หรือก่ออาชญากรรมในลักษณะของความผิดพลาด ขณะที่ผู้หญิงได้รับการยกเว้นในกรณีนี้

เป็นไปได้ว่าในสมัยนี้ สตรีและบุรุษมีความเท่าเทียมกัน สตรีก็ประกอบหน้าที่การงานในสังคม มีการทำธุระกรรมด้านการเงินมากขึ้น มีส่วนร่วมกับผู้ชายในการจัดหาค่าเลี้ยงดูครอบครัว ดังนั้น ในสมัยนี้จึงไม่มีเหตุผลอันใดที่จะมากล่าวว่า ค่าชดเชย ของสตรีนั้นน้อยกว่าบุรุษครึ่งหนึ่ง

คำตอบ สามารถกล่าวได้ว่า ถูกต้องที่ทุกวันนี้สตรีได้ประกอบอาชีพเยี่ยงบุรุษ หรือเคียงบ่าเคียงไหล่กับบุรุษในการแสวงหาปัจจัยเลี้ยงดูครอบครัว แต่ขณะเดียวกันสตรีไม่อาจสร้างความสงบหรือความปลอดภัยให้แก่ครอบครัวได้เยี่ยงบุรุษ ตามความเป็นจริงแล้วการปกป้องครอบครัวนั้นสตรีไม่อาจทำได้เยี่ยงบุรุษ ประการที่สอง ดังที่กล่าวไปแล้วว่าอาชีพที่มีรายได้มากจำนวนมากมายในสังคมที่ไม่มีความเหมาะสมกับสภาพร่างกายที่อ่อนแอของสตรี จึงเป็นการผูกขาดไว้ที่ผู้ชาย และเป็นธรรมชาติที่ว่าผลผลิตทางเศรษฐกิจจากผู้จะเพิ่มมากขึ้น แต่ถ้าผลทางเศรษฐกิจระหว่างผู้ชายกับผู้หญิงเท่าเทียมกัน แล้วเป็นเพราะสาเหตุใดในสังคมที่มีการกล่าวอ้างถึง สิทธิของสตรีตำแหน่งรัฐมนตรี ผู้บริหารระดับสูง หรือนักกฎหมายจึงอยู่ในความรับผิดชอบของผู้ชาย?

ปัญหาอีกประการหนึ่งที่อาจจะกล่าวเพิ่มได้ในที่นี้ก็คือ ค่าชดเชยของสตรีมีค่าครึ่งหนึ่งของบุรุษ เท่ากับเป็นการแบ่งชนชั้นและให้ความโปรดปรานพิเศษแก่ผู้ชาย

คำตอบ สำหรับคำถามเหล่านี้คือ อิสลามเป็นศาสนาแห่งความเสมอภาค ความเป็นบุรุษและสตรีในแง่ของศาสนาไม่มีความแตกต่างอันใดทั้งสิ้น แต่ในกรณีที่ค่าชดเชยของฝ่ายหญิงน้อยกว่าผู้ชายครึ่งหนึ่ง นั้นย่อมีความดีอยู่ในนั้น ดังเช่นที่บทบัญญัติอื่นของอิสลามอันเนื่องจากมีวิทยปัญญาอยู่ในนั้น จึงได้ร่างขึ้นเพื่ออำนวยประโยชน์แก่สตรี เช่น ถ้าหากมุสลิมตกศาสนา (มุรตัดฟิฎรีย) หมายถึงเป็นมุสลิมและได้ตกสภาพการเป็นมุสลิม แม้ว่าจะขอลุแก่โทษแล้ว บรรดานักปราชญ์ส่วนใหญ่มีความเห็นพร้องต้องกันว่าโทษของเขาคือ การประหารชีวิต แต่ถ้าเป็นสตรีถ้าตกศาสนาและเธอได้ขอลุแก่โทษแล้ว เธอจะได้รับอิสรภาพและดำเนินชีวิตเยี่ยงคนธรรมดาสามัญทั่วไป

หรือการลงโทษบุคคลที่จะก่อกบฏในรัฐอิสลาม ถ้าเป็นชายนอกจากจะได้รับการลงโทษทางกายแล้ว ยังจะถูกเนรเทศไปยังเมืองอื่นอีกด้วย แต่ถ้าเป็นหญิงไม่ต้องถูกเนรเทศ หรือสาเหตุของการยกเลิกการแต่งงาน ถ้าเป็นผู้ชายหลักจากอ่านอักด์นิกาฮฺแล้วกลายเป็นคนวิกลจริต ผู้หญิงมีสิทธิ์ยกเลิกการแต่งงานนั้น แต่ในทางตรงกันข้ามถ้าสิ่งนี้ได้เกิดกับผู้หญิง ผู้ชายไม่มีสิทธิ์ยกเลิกการแต่งงาน[8]



[1]  ญะวาดี ออมูลีย์ อับดุลลอฮฺ ซันดัรอออีเนะฮฺ ญะลาล วะญะมาล หน้า 400,401

[2] มัจญิลิสซีย์ บิฮารุลอันวาร เล่ม 67 หน้า 68 หมวดที่ 45, มุสตัดร็อกวะซาอิล เล่ม 17 หน้า 249

[3]  มะการิมชีรอซีย์ นาซิร บทเรียนฟิกฮฺระดับสูงหัวข้อ เรื่องค่าชดเชย หนังสือพิมพ์ ฟัยฎียะฮฺ ฉบับที่ 18

[4] ชะฟีอียฺ ซุรูซตานีย์ อิบรอฮีม กฎหมายว่าด้วยเรื่องการชดเชยและความจำกัดของเวลา ศูนย์ค้นคว้าข้อมูลพิเศษสำนักประธานาธิบดี พิมพ์ครั้งแรก

[5] ชะฟีอียฺ ซุรูซตานีย์ อิบรอฮีม ความต่างระหว่างหญิงกับชายในเรื่องการชดเชยและการลงโทษ สะฟีร เระฮฺซุบฮฺ พิมพ์ครั้งแรก หน้า 93

[6]  คอมเมเนอี ซัยยิดมุฮัมมัด สิทธิสตรี สำนักพิมพ์ อินติชารอตอิลมี ฟังฮังกีย์ ปี 1375 พิมพ์ครั้งที่ 2 หน้า 98

[7] มะฮฺมูดีย อับบาซอะลี ความเสมอภาคระหว่างบุรุษและสตรีในการลงโทษ สำนักพิมพ์ บิอ์ษัต พิมพ์ครั้งแรก ปี 1365 หน้า 83, มุฮัมมัด ฮุเซน ฟัฎลุลลอฮฺ สตรีในสิทธิอิสลาม แปลโดยอับดุลฮาดีย์ ฟะกีฮีย์ ซอเดะฮฺ สำนักพิมพ์สำนักผู้พิพากษา หน้า 24

[8]  คัดเลือกมาจากทัศนะของนักปราชญ์แห่งยุคสมัย และริซาละฮฺเตาฎีฮุลมะซาอิลของบรรดามัรญิอ์ทั้งหลาย

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

คำถามสุ่ม

  • ถ้าหากมุสลิมคนหนึ่งหลังจากการค้นคว้าแล้วได้ยอมรับศาสนาคริสต์ ถือว่าตกศาสนาโดยกำเนิด และต้องประหารชีวิตหรือไม่?
    9922 ปรัชญาของศาสนา 2555/04/07
    แม้ว่าศาสนาอิสลามอันชัดแจ้งได้เชิญชวนมนุษย์ทั้งหมดไปสู่การเคารพภักดีต่ออัลลอฮฺ, แต่ก็มิได้หมายความว่าบังคับให้ทุกคนต้องยอมรับเช่นนั้น, เนื่องจากอีมานและความเชื่อศรัทธาต้องไม่เกิดจากการบีบบังคับ, แน่นอน แต่สิ่งนี้ก็มิได้หมายความว่าเป็นการเปิดโอกาสให้ขัดแย้งต่อรากหลักของศาสนา, เนื่องจากรากหลักของอิสลามวางอยู่บน หลักความเป็นเอกภาพของพระเจ้า และปฏิเสธการตั้งภาคีเทียบเทียมโดยสิ้นเชิง, และในทัศนะของอิสลามบุคคลใดที่ยอมรับอิสลามแล้ว และเจริญเติบโตขึ้นมาในครอบครัวอิสลาม, ต่อมาเขาได้ปฏิเสธรากศรัทธาของอิสลาม และเป็นปรปักษ์ซึ่งปัญหาความเชื่อส่วนตัวได้ลามกลายเป็นปัญหาสังคม และได้เผชิญหน้ากับศาสนา หรือสร้างฟิตนะฮฺ (ความเสื่อมทราม) ให้เกิดขึ้นทางความคิดของสังคมส่วนรวม และบังเกิดความลังเลใจในการตัดสินใจระหว่างสิ่งถูกกับสิ่งผิด, เท่ากับเขากลายเป็นอาชญากรของสังคม ดังนั้น จำเป็นต้องแบกรับบทลงโทษที่ได้ก่อขึ้น บทลงโทษของบุคคลที่ออกนอกศาสนาโดยกำเนิด ก็เนื่องจากเหตุผลที่ว่าเขาเป็นอาชญากร กระทำความผิดให้เกิดแก่สังคม มิใช่เพราะความผิดส่วนตัว ด้วยเหตุนี้เอง การลงโทษบุคคลที่ตกศาสนา จะไม่ครอบคลุมถึงบุคคลที่ออกนอกศาสนาไปแล้ว, แต่ไม่ได้เปิดเผยให้เกิดความเสียหายแก่คนอื่น อีกนัยหนึ่ง, สมมุติว่าบุคคลหนึ่งได้พยายามทุ่มเทค้นคว้าหาความจริงด้วยตัวเองว่า ฉะนั้น การตกศาสนาของเขาย่อมได้รับการอภัย ณ อัลลอฮฺ, แน่นอนว่า บุคคลเช่นนี้ในแง่ของบทบัญญัติส่วนตัวเขามิได้กระทำความผิดแต่อย่างใด, แต่ถ้าเขาเพิกเฉยต่อการค้นคว้าหาความจริงละก็ ในแง่ของบทบัญญัติที่ว่าด้วยเรื่องส่วนตัวถือว่า เขาได้กระทำผิด, ส่วนการตกศาสนานั้นไม่ถือว่าเป็นความผิดส่วนตัว เนื่องจากการออกนอกศาสนานั้น เท่ากับได้ทำลายจิตวิญญาณศาสนาของสังคมไปจนหมดสิ้นแล้ว นอกจากนั้นยังได้ทำลายและเป็นการคุกคามความสำรวมของประชาชน ...
  • บรรดาเชลยแห่งกัรบะลาอฺมุฮัรรอม ได้เคลื่อนออกจากกัรบะลาอฺไปยังเมืองชามวันอะไร?
    6250 تاريخ کلام 2554/06/22
    ตามรายงานที่ปรากฏอยู่ในหนังสือประวัติศาสตร์และมะกอติล, กองคาราวานเชลยแห่งกัรบะลาอฺได้เคลื่อนออกจากกัรบะลาอฺในวันที่ 11 เดือนมุฮัรรอมและวันที่ 12 เดือนมุฮัรรอมได้มาถึงเมืองกูฟะฮฺและเคลื่อนออกจากเมืองกูฟะฮฺไปยังเมืองชามในวันที่ 19 เดือนมุฮัรรอมและถึงเมืองชามในวันที่ 1 เดือนเซาะฟัร[1]
  • ต้องอ่านดุอาเป็นภาษาอรับจึงจะเห็นผลใช่หรือไม่?
    6404 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/28
    ไม่จำเป็นจะต้องอ่านดุอาตามบทภาษาอรับเพราะแม้ดุอากุนูตในนมาซก็อนุญาตให้กล่าวด้วยภาษาอื่นได้แต่อย่างไรก็ตามเป็นการสมควรอย่างยิ่งที่จะอ่านและพยายามครุ่นคิดในบทดุอาภาษาอรับที่บรรดาอิมามได้สอนไว้ทั้งนี้ก็เนื่องจากเหตุผลที่ว่า:ดังที่กุรอานคือพระวจนะของอัลลอฮ์ที่ใช้สนทนากับมนุษย์ดุอาที่บรรดาอิมาม(อ.)สอนเราไว้ก็คือบทเอื้อนเอ่ยที่มนุษย์วอนขอต่ออัลลอฮ์ดังที่ดุอาได้รับการเปรียบว่าเป็น“กุรอานที่เหิรขึ้นเบื้องบน” นั่นหมายความว่าดุอาเหล่านี้มีเนื้อหาลึกซึ้งแฝงเร้นอยู่ดังเช่นกุรอานและเนื้อหาเหล่านี้จะได้รับการตีแผ่อย่างสมบูรณ์ด้วยภาษาอรับเท่านั้นด้วยเหตุผลดังกล่าวมุสลิมจึงควรเรียนรู้ความหมายของนมาซและดุอาต่างๆเพื่อให้รู้ว่ากำลังเอ่ยขอสิ่งใดจากพระผู้เป็นเจ้าหากทำได้ดังนี้ก็จะส่งผลให้ศาสนกิจของตนอุดมไปด้วยสำนึกทางจิตวิญญาณและจะทำให้สามารถโบยบินสู่ความผาสุกอันนิรันดร์ได้.นอกเหนือปัจจัยดังกล่าวแล้วควรให้ความสำคัญกับปัจจัยอื่นๆด้วยอาทิเช่นเนื้อหาดุอาไม่ควรขัดต่อจารีตที่พระองค์วางไว้ควรศอละวาตแด่นบีและวงศ์วานเสมอผู้ดุอาจะต้องหวังพึ่งพระองค์เท่านั้นมิไช่ผู้อื่นให้บริสุทธิใจและคำนึงถึงความยากไร้ของตนปากกับใจต้องตรงกันยามดุอาเคร่งครัดในข้อบังคับและข้อห้ามทางศาสนากล่าวขอลุแก่โทษต่อพระองค์พยายามย้ำขอดุอามั่นใจและไม่สิ้นหวังในพระองค์.[1][1]มุฮัมมัดตะกีฟัลสะฟี,อธิบายดุอามะการิมุ้ลอัคล้าก,เล่ม1,หน้า ...
  • คำว่าดวงวิญญาณที่ปรากฏในซิยารัตอาชูรอหมายถึงผู้ใด? اَلسَّلامُ عَلَیْکَ یا اَبا عَبْدِ اللَّهِ وَ عَلَى الْاَرْواحِ الَّتى حَلَّتْ بِفِنائکَ
    6138 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2555/01/02
    ارواح التی حلت بفنائک หมายถึงบรรดาชะฮีดที่พลีชีพเคียงข้างท่านอิมามฮุเซนณแผ่นดินกัรบะลาทั้งนี้เนื่องจากเหตุผลต่อไปนี้:1. ผู้เยี่ยมเยียนที่ยังไม่เสียชีวิตมักไม่เรียกกันว่าดวงวิญญาณ2. บทซิยารัตนี้มักจะอ่านโดยผู้เยี่ยมเยียนและแน่นอนว่าผู้อ่านย่อมมิไช่คนเดียวกันกับผู้เป็นที่ปรารภ3. ไม่มีซิยารัตบทใดที่กล่าวสลามถึงผู้เยี่ยมเยียนเป็นการเฉพาะ4. ซิยารัตอาชูรอรายงานไว้ก่อนที่จะมีสุสานที่รายล้อมกุโบรของอิมามฉะนั้นดวงวิญญาณในที่นี้ย่อมมิได้หมายถึงผู้ที่ฝังอยู่ณบริเวณนั้น5. จากบริบทของซิยารัตทำให้พอจะเข้าใจได้ว่าดวงวิญญาณในที่นี้หมายถึงบรรดาชะฮีดที่อยู่เคียงข้างท่านอิมามฮุเซนในกัรบะลาอาทิเช่นการสลามผู้ที่อยู่เคียงข้างท่านอิมามเป็นการเฉพาะ السلام علی الحسین و علی علِیّ بن الحسین و علی اولاد الحسین و علی اصحاب الحسین นอกจากที่เนื้อหาของซิยารัตอาชูรอจะสื่อถึงการสลามอิมามฮุเซนลูกหลานและเหล่าสาวกของท่านแล้วยังแสดงถึงการสวามิภักดิ์ต่อท่านและการคัดค้านศัตรูของท่านอีกด้วย6. ซิยารัตอาชูรอในสายรายงานอื่นมีประโยคที่ว่า السلام علیک و علی الارواح التی حلّت بفنائک و اناخت بساحتک و جاهدت فی ...
  • แถวนมาซญะมาอะฮฺควรตั้งอย่างไร? การเคลื่อนในนมาซทำให้บาฎิลหรือไม่?
    6455 สิทธิและกฎหมาย 2554/06/21
    เกี่ยวกับคำถามของท่านในเรื่องการจัดแถวนมาซญะมาอะฮฺมีกล่าวไว้แล้วในหนังสือฟิกฮต่างๆ :1. มะอฺมูมต้องไม่ยืนล้ำหน้าอิมามญะมาอะฮฺ[1]2. มุสตะฮับถ้าหากมะอฺมูม,เป็นชายเพียงคนเดียว, ให้ยืนด้านขวามือของอิมามญะมาอะฮฺ[2], และเป็นอิฮฺติยาฏวาญิบให้ยืนถอยไปด้านหลังของอิมามญะมาอะฮฺแต่ถ้ามีมะอฺมูมหลายคนให้ยืนด้านหลังของอิมามญะมาอะฮฺ[3]ดังนั้นโดยทั่วไปของเรื่องนี้ต้องการให้แต่ละคนจากมะอฺมูมคนที่ 1 และ 2 ปฏิบัติหน้าที่ของตนส่วนคำตอบสำหรับคำถามที่ว่ามะอฺมูมคนที่สองเป็นสาเหตุทำให้มะอฺมูมคนแรกต้องเคลื่อนที่ในนมาซญะมาอะฮฺอันเป็นสาเหตุทำให้นมาซของเขาบาฏิลหรือไม่นั้น, ต้องกล่าวว่า: การกระทำใดก็ตามที่ทำให้รูปแบบของมนาซต้องสูญเสียไปถือว่านมาซบาฏิล, เช่นการกอดอกหรือการกระโดดและฯลฯ[4]มัรฮูมซัยยิดกาซิมเฎาะบาเฏาะบาอียัซดีกล่าวว่า[5]ขณะนมาซ,ถ้าได้เคลื่อนเพื่อหันให้ตรงกับกิบละฮฺ[6]ถือว่าถูกต้อง,แม้ว่าจะถอยไปสองสามก้าวหรือมากกว่านั้น, เนื่องจากการเคลื่อนเพียงเท่านี้ไม่นับว่าเป็นอากับกริยาเพิ่มในนมาซทั้งที่มิได้มีการเคลื่อนมากมายและไม่ถือเป็นการทำลายรูปลักษณ์ของนมาซหรือเคลื่อนมากไปกว่านั้นก็ยังไม่ถือว่าทำลายรูปลักณ์ของนมาซอยู่ดีด้วยเหตุนี้มีรายงานอนุญาตให้กระทำเช่นนั้นด้วย
  • เพราะเหตุใดอัลลอฮฺ (ซบ.) จึงทรงสร้างชัยฏอน?
    9362 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/04/21
    ประการแรก: บทบาทของชัยฏอนในการทำให้มนุษย์หลงผิดและหลงทางออกไปนั้นอยู่ในขอบข่ายของการเชิญชวนประการที่สอง : ความสมบูรณ์นั้นจะอยู่ท่ามกลางการต่อต้านและสิ่งตรงกันข้ามด้วยเหตุผลนี้เองการสร้างสรรพสิ่งเช่นนี้ขึ้นมาในระบบที่ดีงามมิได้เป็นสิ่งไร้สาระและไร้ความหมายแต่อย่างใดทว่าถูกนับว่าเป็นรูปโฉมหนึ่งจากความเมตตาและความดีของพระเจ้า ...
  • ฮะดีษนบีและอะฮ์ลุลบัยต์ที่เกี่ยวกับความเศร้าหมองและการโอดครวญเทียบกับทัศนะของผู้รู้ชีอะฮ์ อย่างใดสำคัญกว่ากัน?
    7135 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/11/13
    เกี่ยวกับเรื่องนี้จำเป็นต้องคำนึงถึงข้อเท็จจริงต่อไปนี้:1. ไม่ไช่ว่าฮะดีษทุกบทจะเชื่อถือได้ทั้งหมด2. ต้องคำนึงเสมอว่าปัจจัยกาลเวลาและสถานที่มีอิทธิพลต่อฮุก่ม(กฎศาสนา)3. ในจำนวนฮุก่มทั้งหมดมีฮุก่มวาญิบและฮะรอมเท่านั้นที่มีความอ่อนไหว4. จะต้องพิจารณาแหล่งอ้างอิงให้ถี่ถ้วนตัวอย่างเช่นกรณีของการร้องไห้นั้นยังมีข้อถกเถียงกันได้เพราะแม้ว่าวะฮาบีจะฟัตวาห้ามร้องไห้แก่ผู้ตายแต่ในแง่สติปัญญาแล้วถือว่าเป็นเรื่องที่ยอมรับได้นอกจากนี้ฮะดีษทั้งสายซุนหนี่และชีอะฮ์ก็ปรากฏเหตุการณ์ที่ท่านนบี(ซ.ล.)และบรรดาอิมาม(อ.)ร้องไห้ให้กับผู้ตายหรือบรรดาชะฮีดเช่นท่านฮัมซะฮ์หรือมารดาท่านนบี(ซ.ล.) ตลอดจนกรณีอื่นๆอีกมาก 5. อุละมาอ์และผู้รู้ระดับสูงสอนว่ามีบางพฤติกรรมที่ผู้ไว้อาลัยไม่ควรกระทำซึ่งบางกรณีอาจทำให้ต้องจ่ายกัฟฟาเราะฮ์ด้วยฉะนั้นจะต้องแยกแยะระหว่างพฤติกรรมที่ผิดหลักศาสนาของผู้คนที่ไม่รู้ศาสนากับคำสอนที่แท้จริงของอิสลามและบรรดาอุละมาอ์ ...
  • เป็นไปได้อย่างไรที่มนุษย์คนหนึ่งซึ่งตลอดอายุขัยเขาอยู่ท่ามกลางการหลงทาง และประพฤติผิด และ..? แล้วในปรโลกชะตาชีวิตของเขาได้เปลี่ยนแปลงไปได้ไหม เนื่องจากการทำดี ดุอาอฺ และการวิงวอนขออภัยของคนอื่น ทั้งที่เขาไม่มีบทบาทอันใด?
    7915 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/11/21
    ประเด็นที่คำถามได้กล่าวถึงมิใช่ว่าจะสามารถรับได้ร้อยเปอร์เซ็นต์เต็ม, หรือปฏิเสธโดยสิ้นเชิงร้อยทั้งร้อย, ทว่าขึ้นอยู่กับความผิดที่ได้กระทำลงไปโดยผู้กระทำผิด, เนื่องจากความผิดบางอย่างเช่น “การตั้งภาคีเทียบเทียมพระเจ้า”
  • ทั้งที่พจนารถของอิมามบากิรและอิมามศอดิกมีมากมาย เหตุใดจึงไม่มีการรวบรวมไว้ในหนังสือสักชุดหนึ่ง?
    6329 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2555/01/07
    หากจะพิจารณาถึงสังคมและยุคสมัยของท่านอิมามบากิร(อ.)และอิมามศอดิก(อ.)ก็จะเข้าใจได้ว่าเหตุใดจึงไม่มีการรวบรวมตำราดังกล่าวขึ้นอย่างไรก็ดีฮะดีษของทั้งสองท่านได้รับการรวบรวมไว้ในบันทึกที่เรียกว่า “อุศู้ลสี่ร้อยฉบับ” จากนั้นก็บันทึกในรูปของ”ตำราทั้งสี่” ต่อมาก็ได้รับการเรียบเรียงเป็นหมวดหมู่ฟิกเกาะฮ์ในหนังสือวะซาอิลุชชีอะฮ์กว่าสามสิบเล่มโดยท่านฮุรอามิลีแต่กระนั้นก็ต้องทราบว่าแม้ว่าฮะดีษของอิมามสองท่านดังกล่าวจะมีมากกว่าท่านอื่นๆก็ตามแต่หนังสือดังกล่าวก็มิได้รวบรวมเฉพาะฮะดีษของท่านทั้งสองแต่ยังรวมถึงฮะดีษของอิมามท่านอื่นๆอีกด้วย ทว่าปัจจุบันมีการเรียบเรียงหนังสือในลักษณะเจาะจงอยู่บ้างอาทิเช่นมุสนัดอิมามบากิร(อ.) และมุสนัดอิมามศอดิก(
  • ทำอย่างไรจึงจะฝันเห็นท่านเราะซูล(ซ.ล.)
    11255 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/21
    ในหนังสือมะฟาตีฮุลญินาน(เล่มสมบูรณ์)มีซิเกรและอะมั้ลที่ทำให้สามารถฝันเห็นเอาลิยาอ์ของอัลลอฮ์ได้อย่างไรก็ดีวิธีเหล่านี้ไม่อาจจะเป็นมูลเหตุสมบูรณ์ที่ทำให้สามารถฝันเห็นบุคคลที่เราต้องการเสมอไปกล่าวคือไม่ไช่ว่าทุกคนจะสามารถฝันเห็นท่านศาสดาด้วยอะมั้ลเหล่านี้ได้ทั้งนี้ก็เนื่องจากทักษะดังกล่าวจำเป็นต้องควบคู่กับการหยุดทำบาปและปฏิบัติศาสนกิจภาคบังคับอย่างเคร่งครัดตลอดจนต้องมีจิตใจอันบริสุทธิเพียงพอเสียก่อน. ...

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    59365 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    56820 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    41644 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    38392 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    38388 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    33427 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    27522 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    27214 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    27109 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    25180 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...