การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
15212
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2554/10/22
 
รหัสในเว็บไซต์ fa2394 รหัสสำเนา 17839
คำถามอย่างย่อ
นมาซหมายถึงอะไร? เพราะเหตุใดเยาวชนจึงหลีกเลี่ยงการนมาซ
คำถาม
นมาซหมายถึงอะไร? เพราะเหตุใดเยาวชนจึงหลีกเลี่ยงการนมาซ
คำตอบโดยสังเขป

นมาซ,คือขั้นสุดท้ายของการพัฒนาจิตวิญญาณของผู้ขัดเกลาทั้งหลาย ซึ่งเขาจะได้สัมผัสและสนทนากับพระเจ้าของตนโดยปราศจากสื่อกลางในการพูด

อัลลอฮฺ (ซบ.) ตรัสไว้ในอัลกุรอานว่า : จงนมาซเถิด เพื่อจะได้ฟื้นฟูการรำลึกถึงฉัน และฉันจะรำลึกถึงพวกท่านโดยผ่านนมาซ ถ้าหากการรำลึกถึงอัลลอฮฺจะปรากฏออกมาโดยผ่านนมาซแล้วละก็, จะทำให้หัวใจของมนุษย์มีความมั่นใจมากยิ่งขึ้น, เนื่องจากการรำลึกถึงพระเจ้าจะทำให้จิตใจมีความเชื่อมั่น, ผู้นมาซทุกท่านเท่ากับได้ทำลายสัญชาติญาณแห่งความเป็นเดรัจฉานของตน และฟื้นฟูธรรมชาติแห่งความเป็นมนุษย์ของตนเองให้มีชีวิตชีวา,คุณลักษณะพิเศษของนมาซ, คือการฟื้นฟูธรรมชาติแห่งตัวตน,ผู้นมาซทุกคนที่ได้รับความมั่นใจ และความสงบอันเกิดจากนมาซ จะไม่แสดงความอ่อนไหวต่อสภาพชีวิตการเป็นอยู่ จะไม่แสดงความอ่อนแอแม้จะอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่และมีความลำบากยิ่ง ถ้าหากมีความดีงามมาถึงยังพวกเขา, พวกเขาจะไม่กีดกันและจะไม่หวงห้ามสำหรับคนอื่น

นมาซคือ เกาซัร (สระน้ำ) ซึ่งจะคอยชำระล้างมนุษย์ให้มีความสะอาดบริสุทธิ์, แน่นอน ถ้าหากผู้นมาซไม่รู้สึกว่าตนได้รับความสะอาด หรือประกายแสงอันเจิดจรัสจากนมาซแล้วละก็ ต้องยอมรับโดยดุษณีว่าตนยังไม่ได้นมาซที่แท้จริง, บางครั้งนมาซอาจถูกปฏิบัติอย่างถูกต้องตามหลักการ,แต่ไม่เป็นที่ยอมรับ ณ เอกองค์อัลลอฮฺ (ซบ.) เนื่องจากนมาซอันเป็นที่ยอมรับจะทำให้จิตวิญญาณของมนุษย์บังเกิดความสะอาด, ดังนั้น ขณะนมาซถ้าหากมนุษย์สามารถควบคุมจิตใจของตนให้อยู่กับร่องกับรอยได้ นอกเหนือเวลานมาซเขาก็สามารถควบคุมการมอง และการฟังของเขาได้เช่นกัน

นมาซคือ การเข้าพบและเข้าเยี่ยมผู้เป็นที่รักยิ่งของตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์พระผู้อภิบาลพระผู้ทรงพลานุภาพยิ่ง. เป็นช่วงเวลาของการกระซิบกระซาบกันระหว่างคนรักกัน เป็นช่วงเวลาแห่งการสารภาพความจริงแด่พระเจ้าผู้ทรงเป็นเอกะ, นมาซได้เริ่มต้นด้วยเสียงตักบีร อัลลอฮุอักบัร และรอยยิ้มแห่งความรักและความปิติยินดี พร้อมกับสิ้นสุดลงด้วยการมีสมาธิและคำกล่าวว่า อัสลามุอะลัยกุม เป็นการยืนยันให้เห็นความจริงว่า ข้าพระองค์จะรอคอยการกลับมาอีกครั้งด้วยความรัก รอยยิ้ม และความปลาบปลื้ม ดังนั้น จงรู้คุณค่าของนมาซเถิด ตราบที่เรายังไม่รู้จักพระองค์ และตราบที่เรายังไม่ได้ให้ความสำคัญแก่คนอื่นจนหลงลืมพระองค์?

คำตอบเชิงรายละเอียด

โอ้ ใบไม้ผลิแห่งชีวิต โอ้ ชีวิตแห่งใบไม้ผลิ

พระองค์คือผู้ประทานมวลเมฆแห่งความโปรดปราน ทำให้เรามีชีวิตใหม่เสมอ

ขอพระองค์ อย่าทรงถอดถอนความสัมฤทธิผลไปจากเรา

ขอพระองค์ อย่าวางมือจากจิตใจของเรา

ขอพระองค์ อย่าทำให้การทดสอบเป็นเชื้อเพลิงเผาไหม้เรา

ขอพระองค์ โปรดนำทุกสิ่งมาให้เราตามพระประสงค์

ณ พระองค์คือทุ่งหญ้าอันเขียวขจีแห่งความการุณย์

ขอพระองค์ อย่าทรงขับเคลื่อนร่มเงาของพระองค์ไปจากเรา[1]

โอ้ อัลลอฮฺ ผู้ใดเล่าได้ดื่มด่ำความรักจากพระหัตถ์ของพระองค์ เขาจะกล้าสวมแหวนแห่งความเป็นบ่าวของคนอื่นได้อย่างไร? มะลิดอกไหนหรือ,เมื่อได้เปล่งบานออกจากแหล่งของพระองค์ แล้วจะไม่ส่งกลิ่นรัญจวนเวียนไปหาพระองค์อีก? โอ้ ที่รักทั้งหลายดอกบัวหลวงที่ได้เชิดชูดอกด้วยความรักในพระองค์ มันจะดึงดูดความเมตตาจากท่านให้เหลียวมอง และหลงใหลในความสวยงาม, คนรัก, มนุษย์คนใดหรือเมื่อได้แนบหน้าผากไว้บนดิน เนื่องด้วยการบริบาลของพระองค์ และได้ชิมรสชาติหวานชื่นของพระองค์ แล้วเขาจะหมายใจไปหาคนอื่นได้อย่างไร[2]

นมาซคือ บุรอกและรัฟรัฟ พาหะนะของนักจาริกจิตและผู้ถวิลการขัดเกลา,บุคคลใดก็ตามที่เป็นนักขัดเกลาจิตวิญญาณไปสู่อัลลอฮฺ นมาซคือหนทางอันเฉพาะสำหรับเขา และเขาจะได้รับการอำนวยจากนมาซ และเมื่ออัลกุรอานกล่าวถึงนมาซ กล่าวว่า “และจงดํารงไว้ซึ่งการนมาซ เพื่อรำลึกถึงฉัน"[3] และข้าจะรำลึกถึงเจ้าด้วยนมาซ ถ้าหารการรำลึกถึงอัลลอฮฺผ่านการนมาซแล้วละก็ เวลานั้นดวงจิตของเขาจะบังเกิดความมั่นใจ.อีกด้านหนึ่งการรำลึกถึงอัลลอฮฺ ทำให้บังเกิดความั่นใจ[4] ดังนั้น จิตใจของมนุษย์ผู้ดำรงนมาซ จะมีความสงบมั่นใจเสมอ. และจะไม่เกรงกลัวผู้อื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ. จะไม่มีศัตรูคนใดทั้งจากภายในและภายนอกสร้างความเสียหายแก่เขาได้ เนื่องจาก ผู้ดำรงนมาซจะรำลึกถึงอัลลอฮฺเสมอ, และการรำลึกถึงอัลลอฮฺ อยู่เสมอนั้นคือปัจจัยสร้างความมั่นใจและความสงบ. อัลลอฮฺ (ซบ.) ตรัสไว้ในบทอัลมะริจญ์ เกี่ยวกับความยิ่งใหญ่ของนมาซได้ว่า : แน่นอน มนุษย์ถูกบังเกิดขึ้นมาให้เป็นคนหวั่นไหวไร้ความอดทน ที่จริงแล้วธรรมชาติของมนุษย์วางอยู่บนเตาฮีดและธรรมชาติ แต่จิตของเขาก็จะนำไปสู่ความต่ำทรามอยู่ร่ำไป แต่ธรรมชาติของมนุษย์บรรดาศาสดาได้มาปลูกให้ตื่น และธรรมชาติมิได้เป็นอะไรมากไปจาก สิ่งสกปรกโสโครก อลกุรอาน กล่าว่าเมื่อความทุกข์มาประสบ เขาจะไม่แสดงความสุขุมคัมภีร์ภาพ แต่เมื่อคุณความดีประสบเขาจะหวงแหน (แสดงความตระหนี่โดยไม่แบ่งปันให้ผู้ใด) ยกเว้นบรรดาผู้ดำรงนมาซ พวกเขาจะดำรงมั่นอยู่ในนมาซของตนสมอ”[5]

บรรดาผู้ดำรงนมาซทั้งหลาย, เขาได้ทำลายธรรมชาติ และฟื้นฟูสัญชาติญาณ. ความพิเศษของนมาซคือ การฟื้นฟูสัญชาติญาณ. ผู้ดำรงนมาซคือบุคคลที่ควบคุมและทำลายธรรมชาติแห่งตัวตน หรือทำให้สงบ.เขาจะไม่ทำให้การมีชีวิตของตนต้องอ่อนแอด้วยทุนแห่งความสงบ ที่เขาได้สรรหามาได้วิถีของนมาซ และจะไม่ยอมพ่ายแพ้ต่อความยากลำบากที่ถาถมเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง. ถ้าหากมีความดีงามหนึ่งมาถึงเขาสิ่งนั้นก็จะไม่กลายอุปสรรคปัญหา และเขาจะไม่หันเหออกจากคนอื่น[6] ท่านอิมามบากิริลอุลูม (อ.) รายงานจากท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ว่า : เมื่อบ่าวผู้ศรัทธาได้ยืนปฏิบัตินมาซ อัลลอฮฺ ผู้ทรงเกรียงไกรมองเขาจนกว่าเขาจะนมาซเสร็จ และเบื้องบนศีรษะจนถึงเส้นขอบฟ้าเขาจะอยู่ภายใต้เส้นแห่งความเมตตาของพระเจ้า บรรดามวลมลาอิกะฮฺจะห้อมล้อมเขาเอาไว้ และอัลลอฮฺจะทรงมอบให้มลาอิกะฮฺรับผิดชอบ กล่าวกับเขาว่า : โอ้ ผู้นมาซเอ๋ย, ถ้าท่านรู้ว่าผู้กำลังมองเจ้าอยู่ และกำลังรอคอยการวิงวอนจากท่าน แน่นอนท่านจะไม่มีวันสนใจคนอื่นใดอีก และจะไม่ถอนตัวออกจากสถานที่นมาซของท่านแน่นอน”[7] แทนที่ด้วยดำรัสแห่งพระเจ้า ใบหน้าอันงดงามของยูซุฟใบจำกัดลิ้นมิให้เอื้อนเอ่ย.แล้วจะเป็นเฉกเช่นไรกับความงามบริสุทธิ์, ซึ่งทุกความงามล้วนอยู่ใต้ความงามของพระองค์ทั้งสิ้น? ดังนั้น ความเฉพาะของผู้จาริกจิตจะอยู่ในสภาพของการจมปรัก เมื่อได้รำลึกและได้อิบาดะฮฺ[8]

โอ้ พระผู้อภิบาล โปรดอย่าได้ปฏิเสธหรือวางความรักไว้ใต้สุญญากาศ

โปรดรินหลั่งการรู้จักแก่ย่างก้าวของเรา

โปรดสำเหนียกเสียงตักบีรที่เรากล่าว

พระองค์ทรงมองเห็นทุกสิ่ง

โปรดเติมเวลาแด่การโค้งคาราวะของเราให้ยาวนานขึ้น

โปรดยกฐานันดรของเราในการกราบกรานให้สูงส่ง

ขณะกุนูตอย่าให้เราได้ปล่อยเวลาอย่างไร้ค่า

ข้อความและความสุขของเราที่ออกจากริมฝีปากของเราคือสาร

โปรดให้เราได้เพลิดเพลินกับช่วงเวลาแห่งการเป็นชะฮีด

โปรดเจียระไนเราเมื่อสิ้นสุดสลามของเรา[9]

ซัยยิดชุฮะดา (อ.) ได้กล่าวกับอบัลฟัฎล์ (อ.) เมื่อตอนบ่ายตาซูอาว่า : จงบอกกับหมู่ชนพวกนี้ว่า, คืนนี้คือค่ำอาชูรอ โปรดให้เวลาแก่ฉัน. เนื่องจากอัลลอฮฺผู้ทรงพิสุทธิ์ยิ่งทรงทราบเป็นอย่างดีว่า นมาซ คือสิ่งที่ฉันรักที่สุด[10]

แน่นอน ระหว่างบุคคลที่กล่าวว่า : ฉันนมาซ กับประโยคที่ท่านอิมามกล่าวว่า: ฉันรักนมาซ และนมาซเป็นที่รักของฉัน มีความแตกต่างกันอย่างมากมาย.บุตรของท่านอิมามซัจญาด และอิมามบากิร และมะอฺซูมท่านอื่น (อ.) ต่างมีสภาพดังกล่าวเหมือนกันทั้งหมด ซึ่งทั้งหมดพยายามจะเล่นเมื่อบิดาของท่านนมาซ เพราะทั้งหมดทราบดีว่าเมื่อบิดาของพวกท่าน เริ่มนมาซจะไม่สนใจพวกเขา พวกเขาจะเริ่มเล่นตามใจต้องการ ไม่ว่าพวกเราจะส่งเสียงดังเพียงใดก็ตาม[11]วันหนึ่งในสถานที่แห่งหนึ่งใกล้กับอิมาม, ขณะนั้นอิมามกำลังนมาซ เผอิญได้เกิดไฟไหม้ประชาชนต่างส่งเสียงดังไปทั่วและช่วยกันดับไฟ หลังจากอิมามนมาซเสร็จแล้ว มีผู้ไปบอกท่านอิมามว่าบริเวณใกล้อิมามไฟไหม้ ผู้คนส่งเสียงดังไปทั่วท่านไม่ได้ยินหรอกหรือ? อิมาม (อ.) กล่าวว่า : ไม่ ฉันไม่ได้ยิน เขาได้ถามว่าเป็นไปได้อย่างไร? ท่านอิมามกล่าวว่า : เพราะฉันกำลังดับไฟอีกอย่างหนึ่ง, ฉันกำลังดับไฟอีกโลกหนึ่ง[12]

ใช่แล้ว วัตถุประสงค์ของนมาซ, คือการที่จิตใจมีสมาธิสมบูรณ์ และได้พลีตัวตนของผู้นมาซ ในการแสดงความเคารพภักดี เพื่อความสำเร็จในการที่จะได้พบกับความจริงขั้นสูงสุด แต่สำหรับผู้เริ่มต้นใหม่เพื่อจะไปถึงยังตำแหน่งดังกล่าว, จำเป็นต้องฝึกฝนและใช้ความอุตสาหะอย่างยิ่งยวด ซึ่งถ้าระยะเวลาหนึ่งตนไม่รู้จักจัดการกับจิตใจตัวเอง,ก็จะไม่มีวันรู้จักรหัสของนมาซอย่างเด็ดขาด แต่โดยทั่วไปแล้ว,ผู้ปราชญ์ผู้อาวุโสได้อธิบายรหัสของนมาซไว้ 6 ระดับด้วยกัน กล่าวคือ :

หนึ่ง.การตั้งจิตใจให้มั่น,กล่าวคือขณะนมาซจะต้องไม่ปล่อยจิตใจให้ฟุ้งซ่านคิดถึงสิ่งอื่นใด นอกจากอัลลอฮฺเท่านั้น

สอง. ต้องทำความเข้าใจความหมายของคำอ่าน สิ่งที่กล่าว และตัสบีฮฺของนมาซ,ในลักษณะที่ว่าเมื่อปากได้กล่าวคำพูด ใจก็เข้าใจในความหมายไปพร้อมกัน

สาม .ยกย่องความยิ่งใหญ่, กล่าวคือขณะนมาซต้องยกย่องผู้ที่เราแสดงความเคารพ และเป้าหมายของผู้สร้างในอยู่ในความทรงจำเสมอ

สี่. แสดงความเกรงกลัว,กล่าวคือจงแสดงความเกรงกลัวในความยิ่งใหญ่ที่สุดของอัลลอฮฺ ซึ่งจะต้องไม่ปล่อยให้การอิบาดะฮฺนั้นมีความบกพร่อง

ห้า.มีความหวัง,ในฐานะอันมีเกียรติยิ่งแห่งการมีอยู่ของพระองค์ เพราะพระองค์คือผู้ทรงมีเกียรติเป็นที่สุด ซึ่งเป็นที่รับรู้เป็นอย่างดีสำหรับพวกเราถึงความเมตตาของพระองค์,แน่นอน พวกเราจะไม่ผิดหวังในความเมตตา และพระองค์จะทรงอภัยในความผิดของเรา

หก.มีความละอาย,กล่าวคือต้องเจียมตัวเองและอิบาดะฮฺของตนและสำนึกเสมอว่า สิ่งที่กำลังทำเล็กเพียงนิดเดียว ณ เบื้องพระพักตร์ของพระองค์ อิบาดะฮฺของตนคือการแสดงความอับอายที่สุด และตนต้องแสดงความเป็นบ่าวที่ต่ำต้อยออกมา[13]

โอ้ ท่านที่รักทั้งหลาย, และนี่คือขั้นสุดท้ายของการจาริกจิต ของผู้แสวงการขัดเกลาทั้งหลาย ซึ่งปราศจากสื่อกลางระหว่างเขากับอัลลอฮฺ ประโยคอันจำเริญหนึ่งกล่าวว่า (เพียงเฉพาะพระองค์เท่านั้นที่เรานมัสการและเฉพาะพระองค์เท่านั้นที่เราขอความช่วยเหลือ) ซึ่งเรามักกล่าวประโยคนี้ซ้ำอยู่เสมอ

โอ้ อัลลอฮฺ, แม้คำพรรณนาเสียงสรรเสริญที่กึกก้องเทียมท้องฟ้า ก็มิอาจพรรณนาถึงพระองค์ได้ สติปัญญาแม้จะโบยบินไปสู่ความสง่างามของพระองค์ แต่ก็มิอาจไปถึงได้, โอ้ อัลลอฮฺ ความเข้าใจเพียงน้อยนิดของพวกเรา เมื่อไหร่จะเข้าใจและรับรู้ถึงพระองค์ได้ มันสมองที่ชาญฉลาดของเรา เมื่อไหร่จะสามารถบรรจุความสง่างามของพระองค์เอาไว้ได้? โอ้ อัลลอฮฺ โปรดทำให้เราเป็นเช่นต้นไม้ที่ขึ้นชูช่อและกิ่งก้านอยู่ในสวน รากของมันได้ชยชอนไชเพื่อแสวงหาอาหาร ประกายแห่งความรักของพระองค์ได้จุดสว่างอยู่ในหัวใจของพวกเขา และความสง่างามของพระองค์ได้เติบโตอยู่ในความคิดของพวกเขาเสมอ พวกเขาอยู่ในเรือกสวนที่ใกล้ชิดกับพระองค์ ทุ่งหญ้าอันเขียวขจีได้ขึ้นบานพร้อมสะพรั่ง พวกเขาได้ดื่มด่ำความรักด้วยถ้วยแก้วแห่งพระเมตตาของพระองค์ บรรดาพวกที่ได้เลือกสถานที่พักพิงเป็นเพื่อนบ้านของท่าน เขาต่างได้ดื่มน้ำฝนแห่งเมตตาของพระองค์ และสวมใส่อาภรณ์อันเป็นความการุณย์ของพระองค์[14]

ท่านอิมามซัยนุลอาบิดีน (อ.) กล่าวว่า : “โอ้ อัลลอฮฺ โปรดให้ข้าพระองค์ได้ลิ้มรสความหวานชื่นในการรำลึกถึงพระองค์”[15]

เนื่องจากพวกเรายังมิเคยได้รับความหวานชื่นอันนั้น.นมาซสำหรับเราจึงเป็นเรื่องธรรมดาสามัญที่สุด. ทั้งที่เรานมาซ แต่เรายังไม่เคยรู้สึกว่าได้รับรัศมีอันเจิดจรัสของนมาซแม้แต่นิดเดียว เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า เรายังไม่เคยนมาซด้วยมารยาท ด้วยการรับรู้ และด้วยความรักที่มีต่อความเร้นลับของนมาซ[16]

ท่านอิมามอะลี (อ.) กล่าวไว้ในนะฮฺญุลบะลาเฆาะฮฺ โดยรายงานมาจากท่านเราะซูล (ซ็อล ฯ) ว่า ท่านได้กล่าวว่า : ฉันรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง สำหรับบุคคลที่ภายในบ้านของเขามีตาน้ำ และเขาได้ชำระล้างตนในตาน้ำนั้น วันหนึ่ง 5 ครั้ง แต่เขาก็ยังสกปรกเหมือนเดิม. เนื่องจากนมาซนั้นประหนึ่งตาน้ำที่ใสสะอาด ซึ่งมนุษย์จะชำระล้างตนเองในตาน้ำวันหนึ่ง 5 ครั้ง”[17]

นมาซคือ เกาซัร ซึ่งจะทำความสะอาดมนุษย์ให้สะอาดอยู่เสมอ แต่ถ้าเขายังไม่รู้สึกถึงความสะอาดนั้น พึงรู้ไว้เถิดว่า ตนยังมิได้นมาซที่แท้จริง เป็นไปได้ว่านมาซนั้นถูกต้องทุกประการ แต่ไม่เป็นทียอมรับ ณ อัลลอฮฺ, เนื่องจากนมาซที่ถูกยอมรับคือ นมาซที่ทำความสะอาดจิตวิญญาณของมนุษย์ให้สะอาดหมดจด.เมื่อใดก็ตามที่มนุษย์สามารถควบคุมจิตใจตนขณะนมาซให้มีสมาธิได้ เขาก็จะสามารถควบคุมสายตาและหูนอกเวลานมาซให้มีสมาธิได้เช่นกัน[18]

โอ้ ท่านผู้เป็นที่รักทั้งหลาย, จงมอบเรือนร่างแก่โลก และหัวใจแก่เมาลา,เพื่อเราจะได้รู้จักพระองค์, และสาส์นของพระองค์จะได้ให้ความสงบมั่นแก่จิตใจ. เพื่อหัวใจของผู้มีความรักจะได้เข้ากันได้กับสาส์น และจะได้พบกับความจริง และสิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าระว่างจิตใจและเจ้าของจิตใจนั้นไม่มีม่านกีดขวาง จงพยายามขวนขวายเพื่อว่าในทุกภาวะกาลหัวใจของเราจะได้อยู่กับผู้ที่เรารัก มิใช่เร่ร่อนอยู่ตามตรอกซอกซอย หรือตามตลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลานมาซ เนื่องจาก “ผู้นมาซทุกคนในเวลานมาซเขาจะวิงวอน สารภาพ และเผยความในใจกับพระผู้อภิบาลของตน”[19]

สรุปสิ่งที่กล่าวมา นมาซ คือ : การพบปะกันระหว่างคนรัก, การปลีกเวลาเพื่ออยู่กับพระองค์, สิ้นสุดของการเดินทาง, ช่วงเวลาแห่งการสร้างความสัมพันธ์, การมีสมาธิ ณ เบื้องพระพักตร์ของจอมราชันย์แห่งโลกและจักรวาล, บางครั้งลิ้นได้สรรเสริญและพรรณนาถึงพระองค์, ช่วงเวลาแห่งการเปิดเผยความไร้สามารถ, การอนุญาตให้เข้าพบเพื่อสารภาพและแจ้งความต้องการ, เพื่อพบความเปล่งบานและความสง่างามของพระองค์, แบกความต้อยต่ำของตนไปยังความสงบมั่น, เป็นช่วงโอกาสทอง, การรำลึกถึงความสง่างามและความยิ่งใหญ่ของพระองค์, เนื่องจากเรามิได้ไปหาพระองค์ด้วยความวิสาสะ ทว่าเป็นการเชิญของพระองค์, เป็นการรักษามารยาทและสมาธิ, การเข้าไปใกล้เพื่อกระซิบกระซาบกับคนรัก, เป็นการแสดงให้เห็นถึงความดีและบ่าวที่เป็นกัลป์ญาณชน, ความเป็นกันเอง,การเอื้อนเอยพระนามอันไพรจิตของพระองค์ด้วยลิ้น, และ ....การจากคนรักด้วยความเศร้าสลดและสิ้นสุดเวลาเยี่ยมเพื่อเตรียมพบในโอกาสต่อไป, ได้กล่าวสลามแด่พระองค์เพื่อยืนยันการพบกันในครั้งต่อไป, ขณะที่ลิ้นได้เอ่ยนามอันจำเริญของพระองค์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า,ด้วยหัวใจและด้วยชีวิต, ด้วยการรำลึกถึงพระองค์เราจึงดำรงชีวิตอยู่ต่อไป

ดังนั้น โอ้ ท่านผู้เป็นที่รักทั่งหลาย,การที่เราไม่รู้จักคนรัก,ไม่รู้จักพระลักษณะอันสง่างาม,การไม่มอบหัวใจแด่พระองค์,การไม่ได้ยินเสียงร้องเรียกของพระองค์, การนอนหลับ ความขี้เกลียด ความอิ่มแป้ และหัวใจที่มกมุ่นกับภารกิจทางโลก และการไม่อุทิศความสามารถเพื่อพระองค์, ฉะนั้น สภาพเช่นนี้เราจะเข้าพระองค์ได้อย่างไร? การไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้า การไม่หวาดกลัว หรือจะรอจนหน้าเปลี่ยนสี และเท้าสั่นเทาเสียก่อน? ตราบที่ตนยังมกมุ่นอยู่ และเท้ายังก้าวเดินอยู่ภายนอก เมื่อไหร่เราจะประสบความสำเร็จได้พบพระองค์?

ต้องไม่ลืมว่าการเติบโตและความสำเร็จของเยาวชน ขึ้นอยู่กับการอบรมสั่งสอนของครอบครัว, ครอบครัวคือเคหสถาน คือสวนแห่งไม้พันธ์ที่ส่งกลิ่นหอมรัญจวน ถ้าหากบรรยากาศกลายเป็นความเศร้า,แล้วเราจะอยู่ในสภาพแวดล้อมนั้นได้อย่างไร



[1] ฟัยฎ์กาชานี,มุลลามุฮฺซิน,ดีวอน ชะเอร

[2] ชุญาอัต,ซัยยิดมะฮฺดี, ดัสต์ดุอาอฺจิชอุมีดมะนาญาตคอมซะตะ อะชะเราะ, มะนาญาตที่ 6, หน้า 81

[3] อัลกุรอาน บทฏอฮา โองการที่ 14

[4] อัลกุรอาน บทอัรเราะอฺดุ 28.

[5] อัลกุรอาน บทมะอาริจญ์, 19 - 23

[6] ญะวาดี ออมูลี,อับดุลลอฮฺ, ฮิกมะฮฺอิบาดะฮฺ, หน้า 95

[7] มันลายะฮฺเฎาะเราะฮุลฟะกีฮฺ, เล่ม 1, หน้า 210, ฮะดีซที่ 636.

[8]ซับซะวารีย์, มุลลาฮาดี,อัสรอรุลฮะกัม,หน้า 528

[9] เฟฎ กาชานีย์, ดีวอนเชรอ์

[10] มักตัลฮุเซน (.) มุก็อรริม, หน้า 232.

[11] อันวารุลบะฮียะฮฺ, หน้า 49

[12] บิฮารุลอันวาร, เล่ม 46,หน้า 78.

[13] มิกดาร เอซฟาฮาน, อะลี, เนะชอนอัซบีเนะชอนฮอ, เล่ม 1, หน้า 325.

[14] ชุญออัต, ดัสต์ ดุอาอฺ จิชอุมีด, มะนาญาตบทที่ 12.

[15] มะฟาตีฮุลญินาน,มะนาญาตบทที่ 15.

[16] ญะวาดี ออมูลี, ฮิกมัตอิบาดาต, หน้า 105.

[17] นะฮฺญุลบะลาเฆาะฮฺ, คำเทศนาที่ 199.

[18] ญะวาดี ออมูลี, ฮิกมัตอิบาดาต, หน้า 115, 116.

[19] ฮะซัน ซอเดะฮฺ ออมูลี, ตอซิยอเนะ ซุลูก, หน้า 12.

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • แนวทางที่ถูกต้อง และง่ายในการเลือกมัรญิอฺตักลีดที่มีความรู้สูงสุด สำหรับบุคคลที่เพิ่งเข้ารับอิสลาม และไม่สามารถแยกแยะอุละมาอฺได้คืออะไร?
    13476 สิทธิและกฎหมาย 2555/08/22
    การตักลีดกับมุจญฺตะฮิดที่มีความรู้สูงสุด หมายถึงมิได้จำกัดอยู่แค่บุคคลที่มีความเชื่ยวชาญพิเศษเฉพาะปัญหาฟิกฮฺ เพียงอย่างเดียวเท่านั้น การปฏิบัติหน้าที่ตามหลักชัรอียฺของตนนั้น จำเป็นต้องปฏิบัติตามมุจญฺตะฮิดที่มีความเชี่ยวชาญพิเศษ สมบูรณ์ในเรื่องฟิกฮฺ และต้องเป็นผู้รู้ที่มีความรู้มากกว่ามุจญฺตะฮิดด้วยกัน ในสมัยของตน และมุจญฺตะฮิดที่มีความรู้สูงสุดสามารถรู้จักได้จากหนึ่ง 3 วิธีดังนี้ : หนึ่ง : ตัวเราต้องมั่นใจด้วยตัวเอง สอง : มีผู้รู้สองคนที่ยุติธรรมยืนยันในความรู้ของมุจญฺตะฮิดท่านนั้น สาม : ผู้รู้กลุ่มหนึ่งได้ยืนยันและรับรองการเป็นมุจญฺตะฮิด และการเป็นผู้มีความรู้สูงสุดของเขา น่ายินดีว่าปัจจุบันบรรดาคณาจารย์ระดับสูงของสถาบันสอนศาสนา ณ เมืองกุม ได้แนะนำผู้รู้ที่มีคุณสมบัติของมุจญฺตะฮิดสมบูรณ์ ในฐานะของมัรญิอฺตักลีดไว้หลายคนด้วยกัน ซึ่งมุสลิมทุกคนสามารถเลือกปฏิบัติตามอุละมาอฺเหล่านั้น ในฐานะมัรญิอฺตักลีด ท่านหนึ่งท่านใดก็ได้ และกิจการงานของตนให้ถือปฏิบัติตามคำวินิจฉัยของท่าน ที่มีอยู่ในริซาละฮฺ เตาฎีฮุลมะซาอิล ในกรณีนี้ท่านจะมั่นใจได้ว่าได้ปฏิบัติหน้าที่ทางชัรอียฺของท่านแล้ว และปัจจุบันเนื่องจากการติดต่อสื่อสารนั้นสะดวกสบาย และเป็นไปได้ในรูปแบบต่างๆ มีหลายภาษาให้เลือก ดังนั้น สำหรับบุคคลที่เพิ่งเข้ารับอิสลาม สามารถรับรู้ข้อมูลนี้ได้อย่างง่ายดาย ...
  • สายรายงานของฮะดีษที่ท่านอิมามอลี(อ.)กล่าวแก่ชาวอรับเกี่ยวกับชาวเปอร์เซียว่า“พวกท่าน(อรับ)รบกับพวกเขา(เปอร์เซีย)เพื่อให้ยอมรับการประทานกุรอาน แต่ก่อนโลกนี้จะพินาศ พวกเขาจะรบกับพวกท่านเพื่อการตีความกุรอาน”เชื่อถือได้เพียงใด?
    8219 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2554/09/11
    ในตำราฮะดีษมีฮะดีษชุดหนึ่งที่มีนัยยะถึงการที่ท่านอิมามอลี(อ.)กล่าวกับชาวอรับเกี่ยวกับชาวเปอร์เซียว่า “พวกท่าน(อรับ)รบกับพวกเขา(เปอร์เซีย)เนื่องด้วยการประทานกุรอานแต่ก่อนโลกนี้จะพินาศพวกเขาก็จะรบกับพวกท่านเนื่องด้วยการตีความกุรอาน”สายรายงานของฮะดีษบทนี้เชื่อถือได้ ...
  • มีคำอธิบายอย่างไรเกี่ยวกับโองการที่ ซูเราะฮ์เราะอ์ด وَ لَوْ أَنَّ قُرْآناً سُیِّرَتْ بِهِ الْجِبالُ أَوْ قُطِّعَتْ بِهِ الْأَرْضُ أَوْ کُلِّمَ بِهِ الْمَوْتى‏ بَلْ لِلَّهِ الْأَمْرُ جَمیعا
    8896 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/18
    ในประเด็นที่ว่าโองการوَ لَوْ أَنَّ قُرْآناً سُیِّرَتْ بِهِ الْجِبالُ أَوْ قُطِّعَتْ بِهِ الْأَرْضُ... หมายความว่าอย่างไรนั้นนักอรรถาธิบายกุรอานได้นำเสนอไว้สองทัศนะด้วยกัน1. โองการต้องการจะสื่อว่าหากจะมีตำราใดที่จะสามารถเคลื่อนย้ายภูเขาหรือแยกแผ่นดินหรือทำให้ผู้ตายสนทนาได้ตำรานั้นย่อมมิไช่อื่นใดนอกจากกุรอานทั้งนี้ก็เพราะกุรอานประเสริฐเหนือทุกคัมภีร์2. โองการข้างต้นเป็นคำตอบโต้ข้อเรียกร้องของบรรดากาเฟรแห่งมักกะฮ์ที่เรียกร้องให้ท่านนบีแสดงอภินิหารโดยโองการนี้สื่อว่าคนพวกนี้มีนิสัยดื้อรั้นแม้หากกุรอานแสดงอภินิหารเคลื่อนย้ายภูเขาตามที่พวกเขาต้องการหรือแม้จะแยกแผ่นดินและผุดตาน้ำหรือแม้จะชุบชีวิตผู้ตายให้ปฏิญาณถึงความเป็นศาสดาของเจ้า (โอ้มุฮัมมัด)ให้เป็นที่ประจักษ์แก่พวกเขาก็ตามแต่คนเหล่านี้ก็จะยังดื้อแพ่งไม่ศรัทธาอยู่วันยังค่ำ. ...
  • เหตุใดท่านอิมามอลี(อ.)จึงวางเฉยต่อการหมิ่นประมาทท่านหญิงฟาฏิมะฮ์?
    8087 ประวัติหลักกฎหมาย 2554/10/09
    การที่ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ถูกทุบตีมิได้ขัดต่อความกล้าหาญของท่านอิมามอลี(อ.) เพราะในสถานการณ์นั้นท่านต้องเลือกระหว่างการจับดาบขึ้นสู้เพื่อทวงสิทธิของครอบครัวที่ถูกละเมิดหรือจะอดทนสงวนท่าทีแล้วหาทางช่วยเหลืออิสลามด้วยวิธีอื่นจากการที่การจับดาบขึ้นสู้ในเวลานั้นเท่ากับการต่อต้านและสร้างความแตกแยกในหมู่มุสลิมอันจะทำให้สังคมมุสลิมยุคแรกอ่อนเปลี้ยส่งผลให้กองทัพโรมันเหล่าศาสดาจอมปลอมและผู้ตกศาสนาจ้องตะครุบให้สิ้นซากท่านอิมามอลี(อ.)ยอมสละความสุขของตนและครอบครัวเพื่อผดุงไว้ซึ่งอิสลามศาสนาที่เป็นผลงานคำสอนทั้งชีวิตของท่านนบี(ซ.ล.)และการเสียสละของเหล่าชะฮีดในสมรภูมิต่างๆ ...
  • จะเชื่อว่าพระเจ้าเมตตาได้อย่างไร ในเมื่อโลกนี้มีทั้งสิ่งดีและสิ่งเลวร้าย ความน่ารังเกียจและความสวยงาม?
    9227 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/07/10
    หากได้ทราบว่าพระองค์ทรงสร้างมนุษย์ให้มีคุณลักษณะที่ดีที่สุดอีกทั้งยังสนองความต้องการของเขาทั้งในโลกนี้และโลกหน้าตลอดจนได้สร้างสรรพสิ่งอื่นๆเพื่อให้เป็นประโยชน์แก่มนุษย์เมื่อนั้นเราจะรู้ว่าพระองค์ทรงมีเมตตาแก่เราเพียงใดส่วนความเมตตาของพระองค์ที่มีต่อสิ่งมีชีวิตอื่นๆก็เข้าใจได้จากการที่พระองค์ทรงประทานชีวิตประทานศักยภาพในการดำรงชีวิตและมอบความเจริญเติบโตให้ด้วยเมตตาอย่างไรก็ดีในส่วนของสิ่งเลวร้ายและอุปสรรคต่างๆนานาที่มีในโลกนั้น
  • จะชี้แจงความแตกต่างระหว่างคริสเตียนและอิสลามกรณีพระเจ้ามีบุตรอย่างไร?
    13212 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/07/31
    เมื่อพิจารณาถึงเนื้อหาซูเราะฮ์กุ้ลฮุวัลลอฮ์จะเข้าใจว่ามุสลิมเชื่อว่าอัลลอฮ์มิได้ถือกำเนิดจากผู้ใดและมิได้ให้กำเนิดผู้ใดศาสนาเอกเทวนิยมล้วนเชื่อเช่นนี้ซึ่งแนวทางของพระเยซูก็อยู่ในเกณฑ์เดียวกันเหตุเพราะศาสนาเทวนิยมล้วนตั้งอยู่บนพื้นฐานของสติปัญญาและธรรมชาติอันบริสุทธิ์ของมนุษย์สติปัญญาก็สามารถพิสูจน์ได้ว่าพระผู้สร้างทุกสรรพสิ่งย่อมไม่ต้องพึ่งพาสิ่งใดแน่นอนว่าผู้มีคุณลักษณะเช่นนี้ย่อมไม่ต้องมีบิดาหรือบุตรเพราะการมีบิดาหรือบุตรบ่งบอกถึงการมีสรีระเชิงวัตถุซึ่งย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องพึ่งพาอวัยวะและแน่นอนว่าพระเจ้าปราศจากข้อบกพร่องเหล่านี้ส่วนความเชื่อที่แพร่หลายในหมู่ชาวคริสเตียนในปัจจุบันนั้นชี้ให้เห็นว่ามีการบิดเบือนคำสอนอันทำให้ผิดเพี้ยนไปจากศาสนาคริสต์ดั้งเดิม ...
  • วะฮฺยูคืออะไร ประทานลงมาแก่ศาสดาอย่างไร
    22172 อัล-กุรอาน 2553/10/21
    วะฮฺยู (วิวรณ์) "ในเชิงภาษาความถึง การบ่ชี้อย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจเป็นไปได้ที่เป็นชนิดหนึ่งของคำ หรือเป็นรหัสหรืออาจเป็นเสียงอย่างเดียวปราศจากการผสม หรืออาจเป็นการบ่งชี้และสิ่งที่คล้ายคลึงกัน ความหมายและการนำไปใช้ที่แตกต่างกันของคำนี้ในพระคัมภีร์กุรอาน ทำให้เราได้พบหลายประเด็นที่สำคัญ : อันดับแรก วะฮฺยูไม่ได้เฉพาะพิเศษสำหรับมนุษย์เท่านั้น ทว่าหมายรวมถึงพืช สัตว์ และสิ่งไม่มีชีวิตอื่นด้วย .... (วะฮฺยู เมื่อสัมพันธ์ไปยังสิ่งมีชีวิตก็คือ การชี้นำอาตมันและสัญชาติญาณ หรือเรียกอีกอย่างว่าเป็นการชี้นำในเชิงตักวีนีของพระเจ้า เพื่อชี้นำพวกเขาไปยังเป้าหมายของพวกเขา) แต่ระดับชั้นที่สูงที่สุดของวะฮฺยู เฉพาะเจาะจงสำหรับบรรดาศาสดา และหมู่มวลมิตรของพระองค์เท่านั้น ซึ่งจุดประสงค์ในที่นี้หมายถึง การดลความหมายนบหัวใจของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) หรือการสนทนาของพระเจ้ากับท่านเหล่านั้น บทสรุปก็คือโดยหลักการแล้วการดลอื่นๆ ...
  • ในประโยคคำปฏิญาณ (อัชฮะดุ อันลา อิลาฮะ อิลลัลลอฮฺ) ได้นำเอาประโยคปฏิเสธขึ้นหน้าก่อนการปฏิญาณ (ในความเป็นเอกะของพระองค์) มีเหตุผลอันใดหรือ?
    25245 ادله نقلی 2557/10/06
    คำว่า ชะฮาดะตัยนฺ คือการผนวกสองประโยคเข้าด้วยกันคือ คำปฏิญาณประโยคแรกคือ (อัชฮะดุ อันลา อิลาฮะ อิลลัลลอฮฺ) เพื่อพิสูจน์และสารภาพถึงความเป็นหนึ่งเดียวของพระเจ้า ซึ่งเฉพาะเจาะจงและคู่ควรยิ่งแก่การเคารพภักดี สำหรับองค์พระผู้อภิบาลแห่งสากลโลก ส่วนคำปฏิญาณที่สอง (อัชฮะดุ อันนะ มุฮัมมะดัน เราะซูลลุลอฮฺ) เพื่อพิสูจน์และปฏิญาณว่า ท่านนะบีมุฮัมมัดคือ ศาสนทูตแห่งอิสลาม มิได้พิสูจน์การเป็นศาสนทูตคู่ควรแก่ท่านนะบี ด้วยเหตุนี้ ชะฮาดัตแรก จึงเป็นเน้นอันเฉพาะเจาะจงสำหรับพระองค์ ประโยคจึงเริ่มต้นด้วย “การปฏิเสธ” ลานะฟีญินซฺ เพื่อเน้นให้เห็นความสำคัญของคำว่า “อิลาฮะ” ซึ่งถือว่าเป็นคำนามที่เป็นนักกิเราะฮฺ (มิได้ระบุเจาะจง) แน่นอน บริบทของการปฏิเสธนี้ ให้ประโยชน์ในแง่รวมทั้งหมด โดยปฏิเสธพระเจ้าที่มีทั้งหมดบนโลก และปฏิเสธการมีส่วนร่วมในความเป็นพระเจ้า ของพระเจ้าที่แท้จริง ดังนั้น การที่กล่าวว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใด “นอกจาก” อิลลา นั่นเป็นจำกัดให้เห็นถึงความสำคัญอันเฉพาะสำหรับ อัลลอฮฺ เพื่อประกาศให้รู้ว่าไม่มีใคร หรือสิ่งใดมีส่วนร่วมในการเป็นพระผู้อภิบาลของพระองค์ ดังนั้น ในความเป็นจริงจึงพิสูจน์ด้วยประโยคที่กล่าวว่า “นอกจากอัลลอฮฺ” ...
  • ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์มีบุคลิกภาพด้านใดบ้าง?
    12053 ชีวประวัติมะอฺซูม (อ.) 2554/09/22
    มิติบุคลิกภาพด้านต่างๆของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ลึกซึ้งและละเอียดอ่อนในลักษณะที่จะต้องได้รับการพินิจพิเคราะห์อย่างถี่ถ้วนเท่านั้นจึงจะสามารถประจักษ์ได้ซึ่งการนี้จะสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อมีการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับมิติด้านศีลธรรมและจิตใจความรู้และการต่อสู้ของนางทั้งในเชิงการเมืองและสังคมขอหยิบยกบุคลิกภาพอันโดดเด่นของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์(ที่กล่าวถึงในตำราฝ่ายซุนหนี่และชีอะฮ์)มานำเสนอโดยสังเขปดังนี้1. ท่านหญิงใช้ชีวิตเรียบง่ายและพอใจวิถีชีวิตสมถะทั้งที่สามารถจะได้รับความสะดวกสบายขั้นสูงสุด2. บริจาคของรักของตนมากมายทั้งที่ยังจำเป็นต้องใช้3. ทำอิบาอะฮ์และวิงวอนต่ออัลลอฮ์สม่ำเสมอด้วยความบริสุทธิใจ4. เป็นภาพลักษณ์แห่งจริตกุลสตรีและความเหนียมอาย5. แบบฉบับที่สมบูรณ์ด้านการสวมฮิญาบตามวิถีอิสลาม6. มีความรู้อันกว้างขวางซึ่งประจักษ์ได้จากการรับทราบเนื้อหาในตำรา"มุศฮัฟฟาฏิมะฮ์"7.
  • ชีอะฮ์และมุอ์ตะซิละฮ์มีทัศนคติเกี่ยวกับความยุติธรรมแตกต่างกันอย่างไร?
    11110 เทววิทยาดั้งเดิม 2555/04/24
    ทั้งสองสำนักคิดนี้ต่างก็ถือว่าความยุติธรรมของอัลลอฮ์คือหนึ่งในหลักศรัทธาของตน ทั้งสองเชื่อว่าความดีและความชั่วพิสูจน์ได้ด้วยสติปัญญา กล่าวคือสติปัญญาสามารถจะพิสูจน์ความผิดชอบชั่วดีในหลายๆประเด็นได้แม้ไม่ได้รับแจ้งจากชะรีอัตศาสนา ความอยุติธรรมก็เป็นหัวข้อหนึ่งที่สติปัญญาของมนุษย์ทุกคนพิสูจน์ได้ว่าเป็นความชั่ว ด้วยเหตุนี้ อัลลอฮ์จึงไม่ทรงลดพระองค์มาแปดเปื้อนกับความชั่วดังกล่าว แต่ทรงเป็นผู้ไว้ซึ่งความเที่ยงธรรมอย่างไม่ต้องสงสัย ข้อแตกต่างระหว่างสองสำนักคิดข้างต้นก็คือ เมื่อเผชิญข้อโต้แย้งที่ว่า “หากทุกการกระทำของมนุษย์มาจากพระองค์จริง แสดงว่าการให้รางวัลและการลงโทษมนุษย์ย่อมไม่มีความหมาย” มุอ์ตะซิละฮ์ชี้แจงด้วยการปฏิเสธเตาฮี้ด อัฟอาลี (เอกานุภาพเชิงกรณียกิจ) แต่ชีอะฮ์ปฏิเสธทางออกดังกล่าวที่ถือว่ามนุษย์ไม่ต้องพึ่งพาอัลลอฮ์ในการกระทำ โดยเชื่อว่าการกระทำของมนุษย์เชื่อมต่อกับการกระทำของอัลลอฮ์ในเชิงลูกโซ่ มิได้อยู่ในระนาบเดียวกัน จึงทำให้ตอบข้อโต้แย้งข้างต้นได้โดยที่ยังเชื่อในความยุติธรรมของพระองค์ดังเดิม ...

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60781 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    58465 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42883 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    40453 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    39495 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    34643 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    28702 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    28597 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    28555 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    26473 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...