การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
7133
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2554/12/20
 
รหัสในเว็บไซต์ fa7883 รหัสสำเนา 19999
คำถามอย่างย่อ
ฐานะภาพของบรรดาอิมามสูงส่งกว่าบรรดานบีจริงหรือ?
คำถาม
อิมามโคมัยนี (ร.) กล่าวไว้ในหนังสือรัฐอิสลาม หน้า 25 ว่า “ฐานะภาพของอิมามสูงส่งถึงขั้นที่แม้แต่มลาอิกะฮ์และนบีท่านอื่นๆก็ไม่อาจจะเทียบทานได้” ถามว่าใครจะยอมเชื่อเช่นนี้?
คำตอบโดยสังเขป

ฮะดีษมากมายระบุว่าบรรดาอิมามมีความสูงส่งเหนือบรรดานบี ทั้งนี้ก็เนื่องจากรัศมีทางจิตใจของบรรดาอิมามหลอมรวมกับท่านนบีมุฮัมมัด (..) ฉะนั้น ในเมื่อท่านนบีมีศักดิ์เหนือบรรดานบีท่านอื่นๆ วุฒิภาวะที่บรรดาอิมามได้รับการถ่ายทอดจากนบีมุฮัมมัด (..) จึงเหนือกว่านบีทุกท่าน
ประเด็นที่ว่ามนุษย์มีศักดิ์ที่สูงกว่ามลาอิกะฮ์นั้น ถือเป็นสิ่งที่อิสลามยอมรับ ฉะนั้น การที่อิมามผู้ไร้บาปจะมีศักดิ์เหนือกว่ามลาอิกะฮ์จึงไม่ไช่เรื่องที่เหนือความคาดหมายแต่อย่างใด

คำตอบเชิงรายละเอียด

คำพูดของอิมามโคมัยนีข้างต้น ได้มาจากเนื้อหาของฮะดีษมากมายที่ปรากฏอยู่ในตำราฮะดีษที่ได้รับการยอมรับ อาทิเช่นฮะดีษนี้:

أَحْمَدُ بْنُ مُحَمَّدٍ عَنْ مُحَمَّدِ بْنِ الْحُسَیْنِ عَنْ مَنْصُورِ بْنِ الْعَبَّاسِ عَنْ صَفْوَانَ بْنِ یَحْیَى عَنْ عَبْدِ اللَّهِ بْنِ مُسْکَانَ عَنْ مُحَمَّدِ بْنِ عَبْدِ الْخَالِقِ وَ أَبِی بَصِیرٍ قَالَ قَالَ أَبُو عَبْدِ اللَّهِ ع یَا أَبَا مُحَمَّدٍ إِنَّ عِنْدَنَا وَ اللَّهِ سِرّاً مِنْ سِرِّ اللَّهِ وَ عِلْماً مِنْ عِلْمِ اللَّهِ وَ اللَّهِ مَا یَحْتَمِلُهُ مَلَکٌ مُقَرَّبٌ وَ لَا نَبِیٌّ مُرْسَلٌ وَ لَا مُؤْمِنٌ امْتَحَنَ اللَّهُ قَلْبَهُ لِلْإِیمَانِ وَ اللَّهِ مَا کَلَّفَ اللَّهُ ذَلِکَ أَحَداً غَیْرَنَا وَ لَا اسْتَعْبَدَ بِذَلِکَ أَحَداً غَیْرَنَا...[1]

อิมามศอดิก(.)กล่าวว่าแท้จริงพวกเรามีสิ่งเร้นลับและองค์ความรู้ประเภทหนึ่งที่พระองค์ทรงประทานให้ ซึ่งไม่มีมลาอิกะฮ์ระดับสูงสุดองค์ใด และเราะซู้ลท่านใด และผู้ศรัทธาที่อัลลอฮ์ทดสอบอีหม่านแล้วคนใดจะสามารถแบกรับสิ่งเหล่านี้ได้ ขอสาบานต่อพระองค์ พระองค์มิได้ทรงมอบภารกิจนี้แก่ผู้ใดนอกจากพวกเรา และไม่มีใครใช้สิ่งเหล่านี้เป็นเหตุจูงใจในการทำอิบาดะฮ์เสมือนพวกเรา

ฉะนั้นจึงจำเป็นต้องพิจารณาความเป็นเลิศทางฐานันดรภาพและวิทยฐานะของบรรดาอิมามจากเนื้อหาของฮะดีษข้างต้น เนื่องจากผุ้รู้ฝ่ายชีอะฮ์มักจะอ้างอิงความเชื่อดังกล่าวไปยังฮะดีษประเภทนี้เป็นส่วนใหญ่

ก่อนที่จะพิจารณาถึงเรื่องดังกล่าว เห็นควรที่จะเกริ่นนำเบื้องต้นว่า ความประเสริฐของมนุษย์ที่มีเหนือมลาอิกะฮ์นั้น ถือเป็นเรื่องที่ปราศจากข้อกังขาใดๆในทัศนะอิสลาม ฉะนั้นจึงไม่ไช่เรื่องแปลกหากจะยอมรับว่าบรรดาอิมามผู้ไร้บาปมีสถานะที่เหนือกว่าเหล่ามลาอิกะฮ์ ส่วนการที่บรรดาอิมามเหนือกว่าบรรดานบีนั้น สามารถพิสูจน์ได้จากหลายแง่มุมโดยไม่ขัดต่อหลักการใดๆในอิสลาม หากแต่จะช่วยเสริมสร้างศรัทธาที่มุสลิมควรจะทราบไว้ เราจะร่วมกันพิสูจน์ด้วยข้อสังเกตุต่อไปนี้:

 ข้อสังเกตุแรก
ผู้ไร้บาปสิบสี่ท่านล้วนเปรียบเสมือนรัศมีเดียวกัน เรื่องนี้มีการกล่าวถึงในฮะดีษมากมายหลายบท ทั้งนี้ บางบทกล่าวเฉพาะห้าท่านแห่งผ้าคลุมกิซาอ์ และบางบทกล่าวรวมถึงทั้งสิบสี่ท่าน เราจะขอหยิบยกมานำเสนอทั้งสองประเภทดังนี้
อัลลอฮ์ทรงตรัสว่า 

یَا مُحَمَّدُ إِنِّی خَلَقْتُکَ وَ خَلَقْتُ عَلِیّاً وَ فَاطِمَةَ وَ الْحَسَنَ وَ الْحُسَیْنَ مِنْ سِنْخِ نُورِی وَ عَرَضْتُ وَلَایَتَکُمْ عَلَى أَهْلِ السَّمَاوَاتِ وَ الْأَرَضِینَ فَمَنْ قَبِلَهَا کَانَ عِنْدِی مِنَ الْمُؤْمِنِینَ وَ مَنْ جَحَدَهَا کَانَ عِنْدِی مِنَ الْکَافِرِینَ یَا مُحَمَّدُ لَوْ أَنَّ عَبْداً مِنْ عِبَادِی عَبَدَنِی حَتَّى یَنْقَطِعَ أَوْ یَصِیرَ کَالشَّنِّ الْبَالِی ثُمَّ أَتَانِی جَاحِداً لِوَلَایَتِکُمْ مَا غَفَرْتُ لَهُ أَوْ یُقِرَّ بِوَلَایَتِکُم‏...[2]

ฮะดีษนี้เป็นวจนะของอัลลอฮ์เมื่อครั้งสนทนากับท่านนบี(..)ขณะเมี้ยะรอจ พระองค์ตรัสว่า โอ้มุฮัมมัด ข้าได้สร้างเจ้า และอลี ฟาฏิมะฮ์ ฮะซัน และฮุเซนจากรัศมีแห่งข้า และได้เสนอวิลายะฮ์ของพวกเจ้าแก่ชาวฟ้าและชาวโลก หากผู้ใดยอมรับ เขาจะถือเป็นผู้ศรัทธาในปริทรรศน์ของข้า แต่หากผู้ใดดื้อแพ่ง ก็จะถือว่าเป็นผู้ปฏิเสธในปริทรรศน์ของข้า โอ้มุฮัมมัด มาตรว่าบ่าวผู้ใดในปวงบ่าวของข้า เพียรบำเพ็ญอิบาดัตจนหมดลมหรือตาฝ้าฟาง แต่คืนกลับสู่ข้าในสภาพที่ดื้อแพ่งไม่ยอมรับวิลายะฮ์ของสูเจ้า ข้าจะไม่อภัยโทษแก่เขาเว้นแต่จะยอมรับวิลายะฮ์ของสูเจ้า...”

یَا مُحَمَّدُ إِنِّی خَلَقْتُ عَلِیّاً وَ فَاطِمَةَ وَ الْحَسَنَ وَ الْحُسَیْنَ وَ الْأَئِمَّةَ مِنْ نُورٍ وَاحِدٍ ثُمَّ عَرَضْتُ وَلَایَتَهُمْ عَلَى الْمَلَائِکَةِ فَمَنْ قَبِلَهَا کَانَ مِنَ الْمُقَرَّبِینَ وَ مَنْ جَحَدَهَا کَانَ مِنَ الْکَافِرِینَ یَا مُحَمَّدُ لَوْ أَنَّ عَبْداً مِنْ عِبَادِی عَبَدَنِی حَتَّى یَنْقَطِعَ ثُمَّ لَقِیَنِی جَاحِداً لِوَلَایَتِهِمْ أَدْخَلْتُهُ النَّار...[3]

ทั้งสองบทข้างต้นมีความหมายคล้ายกัน แต่บทที่สองระบุว่าบรรดาอิมามคือรัศมีหนึ่งเดียว

ข้อสังเกตุที่สอง:
อะฮ์ลุลบัยต์ทุกท่านล้วนมีฐานภาพแห่งวิลายะฮ์[4] กล่าวคือ นอกจากบุคคลเหล่านี้จะเป็นตัวแทนท่านนบี(..)ในแง่ผู้ปกครองสังคมและไขปัญหาศาสนาแล้ว ยังเป็นปูชนียบุคคลทางจิตวิญญาณที่ปราศจากบาปกรรม อีกทั้งมีอิทธิพลเหนือกลไกของโลกด้วยพระเมตตาของอัลลอฮ์ อันทำให้สามารถหยั่งรู้และควบคุมจิตวิญญาณของผู้คนได้
อัลลามะฮ์ เฏาะบาเฏาะบาอี (.) กล่าวว่า ฐานะความเป็นอิมามถือเป็นวิลายะฮ์ (อิทธิพล) ประเภทหนึ่งที่มีต่อจิตวิญญาณของผู้คน อันเสริมด้วยการฮิดายะฮ์ในลักษณะการนำพาสู่จุดหมาย มิไช่เพียงแค่ชี้ทางรอดอย่างที่บรรดานบี และผู้ศรัทธาทั่วไปกระทำกันเป็นปกติด้วยการตักเตือนสั่งสอนผู้คน[5]

กล่าวอีกนัยหนึ่ง เราสามารถจำแนกวิลายะฮ์ออกเป็นสองประเภทด้วยกัน: วิลายะฮ์ตัชรีอี และวิลายะฮ์ตั้กวีนี
วิลายะฮ์ตัชรีอี หมายถึงสิทธิขาดในการบัญญัติกฏเกณฑ์ อันเป็นกรรมสิทธิของอัลลอฮ์เพียงผู้เดียว ซึ่งแม้แต่ท่านนบี(..) ก็ไม่มีสิทธิดังกล่าว[6] แต่เป็นเพียงผู้แจ้งข่าวดีและข่าวร้าย เป็นผู้เผยแพร่กฏเกณฑ์ของอัลลอฮ์[7]

วิลายะฮ์ตั้กวีนี หมายถึงศักยภาพทางจิตวิญญาณที่สามารถควบคุมสรรพสิ่งในโลกได้ด้วยความอนุเคราะห์ของพระองค์
กล่าวได้ว่า มุอ์ญิซาตหรืออภินิหารเชิงกิจกรรม[8]ของบรรดาเอาลิยาอ์ของอัลลอฮ์ล้วนเกิดจากศักยภาพดังกล่าว อาทิเช่น การผ่าดวงจันทร์[9] และการผ่าต้นไม้โดยท่านนบี(..)[10] เหตุการณ์แผ่นดินสูบ[11]และการแยกทะเล[12]โดยท่านนบีมูซา(.)ในกรณีของกอรูนและฟิรอูน การแยกภูเขาโดยนบีศอลิห์(.)[13] การรักษาโรคเรื้อนและฟื้นชีพคนตาย[14]โดยท่านนบีอีซา(.) ตลอดจนการดึงประตูค็อยบัรโดยท่านอิมามอลี(.)[15] ล้วนเกิดจากศักยภาพแห่งวิลายะฮ์ ตั๊กวีนีของมนุษย์ผู้สมบูรณ์ที่มีเหนือสรรพสิ่งต่างๆทั้งสิ้น

ข้อสังเกตุที่สาม:
วิลายะฮ์ได้มาจากการใกล้ชิดและสลายอัตตา(ฟะนาอ์)[16]เพื่อพระองค์ และความใกล้ชิดดังกล่าวก็เกิดขึ้นได้ด้วยการภักดีและประพฤติตามครรลองจริยธรรมของพระองค์เท่านั้น แม้ว่ามนุษย์ไม่อาจจะเป็นพระเจ้าได้ แต่สามารถจะเชื่อมโยงกับพระองค์ได้ ยิ่งมนุษย์เชื่อมโยงกับพระองค์ซึ่งเป็นขุมอำนาจอันไร้ขีดจำกัดเท่าใด ยิ่งฉีกม่านกิเลสที่บังตาได้มากเท่าใด ยิ่งมองข้ามอัตตาได้เพียงใด สัญลักษณ์และคุณลักษณะแห่งพระองค์ก็ยิ่งบังเกิดแก่เขามากเท่านั้น[17] และในเมื่ออัลลอฮ์มีอำนาจควบคุมทุกสรรพสิ่งอย่างไร้ขีดจำกัด มนุษย์ก็สามารถมีศักยภาพนี้ได้ตามระดับการเชื่อมโยงกับอำนาจอันไร้ขีดจำกัดของพระองค์

มีฮะดีษระบุว่า อัลลอฮ์ทรงตรัสว่า โอ้ปวงบ่าวของข้า จงภักดีต่อข้า เพื่อข้าจะได้ทำให้สูเจ้าเป็นภาพลักษณ์ของข้า[18] โอ้เผ่าพันธุ์ของอาดัม ข้ามีเพียบพร้อมทุกสิ่งโดยไม่มีวันยากไร้ จงภักดีต่อข้า เพื่อสูเจ้าจะได้ปลอดจากความยากไร้ ข้าดำรงอยู่อย่างอมตะ จงภักดีต่อข้า เพื่อข้าจะบันดาลให้สูเจ้าเป็นอมตะ ข้ามีประกาศิตใดสิ่งนั้นย่อมจะเกิดขึ้น จงภักดีต่อข้า เพื่อข้าจะบันดาลให้สูเจ้ามีประกาศิตที่หากประสงค์สิ่งใดก็จะเป็นไปตามนั้น[19]

ข้อสังเกตุที่สี่:
สถานะแห่งวิลายะฮ์เหนือกว่าสถานะความเป็นนบีในแง่ลำดับชั้น เนื่องจากมีความแตกต่างกันอยู่หลายประการ
กล่าวคือวะลีคือผู้ที่บรรลุถึงแก่นสัจธรรมแห่งพระเจ้ายามที่สลายแล้วซึ่งอัตตา ด้วยเหตุนี้จึงรับรู้ความเร้นลับเบื้องสูงและนำแจ้งแก่ผู้อื่น เราเรียกการรับรู้นี้ว่านุบูวะฮ์เชิงกว้าง”,“นุบูวะฮ์เชิงฐานันดร”,“นุบูวะฮ์ตะอ์รี้ฟซึ่งตรงข้ามกับนุบูวะฮ์ตัชรี้อ์
ผู้ที่เป็นนบีสามารถบอกเล่าเกี่ยวกับอาตมัน คุณลักษณะ และกิจของพระเจ้าตามฐานะแห่งนุบูวะฮ์ตะอ์รี้ฟ และเผยแพร่บทบัญญัติของอัลลอฮ์ อบรมจริยธรรม สอนสั่งวิทยปัญญา บริหารบ้านเมืองในฐานะที่เป็นนุบูวะฮ์ตั๊กวีนี กุรอานระบุว่า:
وَ لَمَّا بَلَغَ أَشُدَّهُ آتَیْناهُ حُکْماً وَ عِلْماً وَ کَذلِکَ نَجْزِی الْمُحْسِنین[20]
กล่าวคือ มนุษย์ผู้บรรลุถึงขุมคลังแห่งความดีงาม ย่อมจะได้รับกลิ่นอายแห่งนบี นั่นหมายความว่าเข้าถึงนุบูวะฮ์เชิงฐานันดรแล้ว แม้ว่าจะไม่ได้รับตำแหน่งนุบูวะฮ์ตัชรี้อ์ก็ตาม[21] ฉะนั้น แม้ว่าบุคคลทั่วไปไม่ได้รับตำแหน่งนุบูวะฮ์ตัชรี้อ์ แต่สามารถที่จะได้รับสถานะความเป็นวะลีด้วยการภักดีต่ออัลลอฮ์และจาริกทางจิตวิญญาณกระทั่งบรรลุสู่ความใกล้ชิดพระองค์ (ไม่ว่าจะในแง่อาสาหรือกำชับ) อันถือเป็นนุบูวะฮ์เชิงฐานันดรหรือตำแหน่งวิลายะฮ์นั่นเอง

มาตรว่ากรุณาธิคุณจากเบื้องบนโปรยปรายมา
ปุถุชนกับศาสดาอีซาก็หาต่างกันไม่

อย่างไรก็ดี สามารถระบุความแตกต่างระหว่างสถานะวิลายะฮ์กับนุบูวะฮ์ได้ดังนี้
1. วิลายะฮ์คือภาวะเชิงฮักกอนี ส่วนนุบูวะฮ์คือภาวะเชิงค็อลกี กล่าวคือนุบูวะฮ์เป็นภาพลักษณ์ของนุบูวะฮ์ ส่วนนุบูวะฮ์เป็นแก่นแท้ของวิลายะฮ์
2. อัมบิยาอ์เข้าถึงศาสตร์อันเร้นลับของสรรพสิ่งเนื่องจากสลายอัตตาแล้ว อีกนัยหนึ่งคือได้จุติขึ้นภายหลังจากสลายอัตตาแล้ว จึงสามารถบอกเล่าฮะกีกัตที่ตนทราบได้ แต่อย่างไรก็ดี ที่มาของภาวะดังกล่าวก็คือภาวะฮักกี หรือวิลายะฮ์นั่นเอง
3. วะลีเป็นผู้มีความเข้าใจชะรีอัตภายนอกและฮะกีกัตภายในอย่างลึกซึ้ง แต่ภาระหน้าที่ของอัมบิยาอ์จำกัดเฉพาะชะรีอัตภายนอกเท่านั้น
4. วะลีดูแลกิจภายนอกและกิจทางจิตใจของมนุษย์ จึงต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
จงเฟ้นหาครูบาเพราะทางสู่จุดหมาย
เต็มไปด้วยภยันตรายกร้ำกรายเรา[22]
5. นบีและเราะซู้ลทั่วไปได้รับความรู้จากอัลลอฮ์ผ่านมลาอิกะฮ์และสื่อกลางอื่นๆ ทว่าวะลีได้รับความรู้จากฮะกีกัตแห่งศาสดามุฮัมมัดโดยตรง[23]
6
. นุบูวะฮ์และริซาละฮ์จำกัดอยู่ในกรอบเวลาและสถานที่ จึงมีวันสิ้นสุดภารกิจ แต่วิลายะฮ์มิได้เป็นเช่นนี้ เพราะคำว่าวะลีถือเป็นหนึ่งในพระนามของอัลลอฮ์[24] และพระนามของอัลลอฮ์ย่อมเป็นนิรันดร์[25] เนื่องจากพระนามของพระองค์ย่อมต้องมีตัวตนภายนอก(มัซฮัร) วิลายะฮ์จึงไม่สิ้นสุดลง[26] มนุษย์ผู้สมบูรณ์ถือเป็นตัวตนภายนอกอันสมบูรณ์ของพระนามเหล่านี้ และยังมีวิลายะฮ์เชิงกว้างด้วย ทว่านบีและเราะซู้ลมิไช่ตัวตนของพระนามอัลลอฮ์ และสถานภาพความเป็นนบีและเราะซู้ลยังต้องเกี่ยวข้องกับกาลเวลา ซึ่งย่อมสิ้นสุดลงตามกาลเวลา
7. ปัจจัยที่ส่งมอบนุบูวะฮ์และริซาละฮ์คือพระนามอันชัดแจ้ง(อัสมาอ์ ซอฮิร) ซึ่งเกี่ยวข้องกับภาวะปลอดสิ่งคุกคาม(ตัจลียะฮ์) แต่ปัจจัยที่ส่งมอบวิลายะฮ์คือพระนามอันลึกล้ำ(อัสมาอ์ บาฏิน) อันเกี่ยวข้องกับภาวะประดับประดา(ตะฮ์ลียะฮ์)
8. วิลายะฮ์คือหัวใจของนุบูวะฮ์และริซาละฮ์ ซึ่งจะเข้าถึงสองสภาวะนี้ได้ด้วยวิลายะฮ์[27]

สรุป
จากข้อมูลที่นำเสนอทั้งหมดทำให้ทราบว่า
หนึ่ง. วิลายะฮ์ของผู้เป็นเราะซูลและนบี เหนือกว่าตำแหน่งริซาละฮ์และนุบูวะฮ์ของพวกท่านเหล่านั้น
สอง. เป็นไปได้ที่ผู้เป็นวะลีบางคนอาจไม่มีสถานะเป็นนบี แต่มีวุฒิภาวะและสถานภาพเหนือกว่านบีในแง่วิลายะฮ์ เพราะเหตุนี้เองที่ท่านคิเฎรสามารถปรารภกับนบีมูซาว่า انک لن تستطیع معی صبرا (ท่านไม่สามารถจะทนอยู่เคียงข้างฉันได้หรอก) อีกทั้งยังสำทับอีกว่า ألم اقل انک لن تستطیع معی صبرا (ฉันมิได้บอกท่านดอกหรือว่าท่านไม่อาจจะทนอยู่เคียงข้างฉันได้) สุดท้ายก็ลงเอยด้วยการตัดบทว่า هذا فراق بینی و بینک (นี่คือจุดจบระหว่างท่านกับฉัน)[28]
และด้วยเหตุผลที่กล่าวมาแล้ว จึงเข้าใจได้ว่าเหตุใดท่านนบีอีซา(.)จึงละหมาดตามหลังท่านอิมามมะฮ์ดี(.)ภายหลังจากที่ท่านปรากฏกาย[29] ทั้งที่ท่านนบีอีซา(.)ถือเป็นหนึ่งในห้าศาสดาระดับอุลุ้ลอัซม์ กล่าวคือ แม้ท่านคิเฎรและอิมามมะฮ์ดีจะไม่มีสถานภาพนุบูวะฮ์ ตัชรี้อ์อย่างนบีอีซา(.) แต่ในแง่ของวิลายะฮ์ตั้กวีนีแล้ว ท่านคิเฎรเหนือกว่าท่านนบีมูซา และท่านอิมามมะฮ์ดีเหนือกว่านบีอีซา และเพราะเหตุนี้เองที่ท่านอิมามอลี(.)กล่าวว่า 

أَرَى نُورَ الْوَحْیِ وَ الرِّسَالَةِ وَ أَشُمُّ رِیحَ النُّبُوَّةِ وَ لَقَدْ سَمِعْتُ رَنَّةَ الشَّیْطَانِ حِینَ نَزَلَ الْوَحْیُ عَلَیْهِ(ص)...
ฉันประจักษ์ถึงรัศมีแห่งวะฮีย์และริซาละฮ์ และได้กลิ่นอายแห่งนุบูวะฮ์ และได้ยินเสียงโหยหวนของชัยฏอนขณะที่มีวะฮีย์ประทานแก่ท่านนบี(..)

ท่านนบีกล่าวแก่ท่านว่า
إِنَّکَ تَسْمَعُ مَا أَسْمَعُ وَ تَرَى مَا أَرَى إِلَّا أَنَّکَ لَسْتَ بِنَبِی
เธอจะได้ยินอย่างที่ฉันได้ยิน และเห็นอย่างที่ฉันเห็น เว้นแต่ว่าเธอมิไช่นบี[30]

อิมามฮะซัน(.)กล่าวหลังการจากไปของท่านอิมามอลี(.)ผู้เป็นบิดาว่า:
و الله لقد قبض فیکم اللیلة رجل ما سبقه الأولون إلا بفضل النبوة، و لایدرکه الآخرون‏
ขอสาบานต่อพระองค์ ค่ำคืนนี้อัลลอฮ์ได้เก็บคืนดวงวิญญาณของชายผู้หนึ่ง ที่ไม่มีบรรพชนคนใดเหนือกว่าเขาเว้นแต่หากไม่นับฐานะแห่งนุบูวะฮ์ และไม่มีชนรุ่นหลังคนใดบรรลุถึงเขาได้อีกแล้ว[31]

ท่านนบี(..)เคยกล่าวว่า
إن لله عبادا لیسوا بأنبیاء یغبطهم النبیون بمقاماتهم و قربهم إلى الله تعالى
แท้จริง อัลลอฮ์ทรงมีปวงบ่าวที่มิไช่นบี ทว่าบรรดานบีไฝ่ฝันจะได้รับฐานันดรอย่างพวกเขา[32]ฮะดีษล่าสุดนี้ นอกจากจะบ่งบอกถึงสภาวะที่เหนือกว่าบรรดานบีแล้ว ยังเฉลยถึงเหตุผลของสภาวะดังกล่าวด้วยว่า و قربهم إلى الله تعالى ดังที่กล่าวไปแล้วว่าความใกล้ชิดพระองค์คือรหัสแห่งสถานะดังกล่าว และความใกล้ชิดขั้นสมบูรณ์ก็มิไช่อื่นใดนอกจากวิลายะฮ์เชิงตั้กวีนี

กุรอานกล่าวว่า
وَ یَقُولُ الَّذینَ کَفَرُوا لَسْتَ مُرْسَلا قُلْ کَفى‏ بِاللَّهِ شَهِیداً بَیْنِی وَ بَیْنَکُمْ وَ مَنْ عِنْدَهُ عِلْمُ الْکِتابِ

เหล่าผู้ปฏิเสธจะกล่าวแก่ว่า เจ้ามิไช่ศาสดา จงกล่าวเถิด เพียงพอแล้วที่อัลลอฮ์และผู้ที่มีวิทยปัญญาแห่งคัมภีร์จะเป็นพยานระหว่างฉันกับพวกท่าน [33]

ในอายะฮ์นี้ อัลลอฮ์ได้ระบุผู้เป็นพยานอยู่สองกรณี หนึ่งก็คือพระองค์เอง สองก็คือผู้ที่รอบรู้วิทยปัญญาแห่งคัมภีร์ ประจักษ์พยานของอัลลอฮ์ก็คืออภินิหาร(มุอ์ญิซาต)ต่างๆ ซึ่งอัลกุรอานก็ถือเป็นอภินิหารประเภทหนึ่ง

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • เราจะทราบได้อย่างไรว่าอิมามมะฮ์ดีพอใจในตัวพวกเรา
    6216 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/17
    ผู้ศรัทธาและชีอะฮ์ของอิมามมะฮ์ดีทราบดีว่าการกระทำของตนเป็นที่ประจักษ์สำหรับอิมามตลอดเวลาพวกเขาพยายามใกล้ชิดกับอัลลอฮ์และขัดเกลาจิตวิญญาณของตนให้มากขึ้นและจะพยายามระมัดระวังไม่ทำในสิ่งที่อาจจะทำให้ท่านไม่พอใจทั้งนี้ก็เนื่องจากกลัวว่าท่านจะหม่นหมองใจหรือกลัวที่จะถูกละเว้นจากความโปรดปรานของท่านและเพื่อที่จะดึงดูดความสนใจของท่านมายังตนเองอิมามมะฮ์ดี(อ.)เป็นอิมามที่เปี่ยมด้วยเมตตาและมีความเอื้ออาทรมนุษย์ทุกคนและทุกสรรพสิ่งเนื่องจากเป้าหมายและภารกิจของบรรดาอิมามคล้ายคลึงกับเป้าหมายและภารกิจของท่านนบี(
  • เหตุใดกุรอานจึงใช้สำนวน فبشّرهم بعذاب الیم ทั้งๆที่คำว่าข่าวดีมีความหมายเชิงบวก?
    8214 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    กุรอานใช้คำว่า “บิชาเราะฮ์” เพื่อสื่อความหมายถึงทั้งข่าวดีและข่าวร้ายแต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับสำนวนแวดล้อมจะกำหนดความหมายใดกุรอานใช้คำว่าบิชาเราะฮ์ในความหมายเชิงลบในลักษณะอุปลักษณ์เพื่อสื่อว่าไม่มีสิ่งใดจะมอบแก่พวกเขาแล้วนอกจากการลงทัณฑ์ทั้งนี้ก็เพราะเหล่ากาฟิรมุชริกีนไม่ฟังคำตักเตือนใดๆทั้งสิ้นอัลลอฮ์จึงบัญชาให้ท่านนบี(ซ.ล.)แจ้งว่าพวกเขาจะถูกลงทัณฑ์อย่างแสนสาหัส ...
  • อัศล์ อะมะลีและดะลี้ล อิจติฮาดีหมายความว่าอย่างไร และมีความเกี่ยวโยงกันหรือไม่?
    7401 สิทธิและกฎหมาย 2555/02/18
    อัศล์อะมะลีอัศล์อะมะลีในวิชาฟิกเกาะฮ์หมายถึงหลักการที่นำมาใช้เมื่อไม่สามารถพิสูจน์ฮุก่มชัรอีได้โดยตรงโดยจะกำหนดหน้าที่ของมุกัลลัฟในยามที่ไม่พบหลักฐานหรือข้อสันนิษฐานใดๆกล่าวคืออัศล์อะมะลีหรืออุศู้ลอะมะลียะฮ์ก็คือหลักที่จะกำหนดหน้าที่ของมุกัลลัฟในกรณีที่เผชิญกับข้อสงสัยฉะนั้นมูลเหตุของอุศู้ลอะมะลียะฮ์ก็คือ “ข้อสงสัย” อีกชื่อหนึ่งของอัศล์อะมะลีก็คือ “ดะลี้ลฟะกอฮะตี” ดะลี้ลฟะกอฮะตีคือหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับการวินิจฉัยฮุก่มเฉพาะกาลอันได้แก่บะรออะฮ์เอียะฮ์ติยาฏตัคยี้รและอิสติศฮ้าบดะลี้ลอิจติฮาดีดะลี้ลอิจติฮาดีคือหลักฐานที่บ่งชี้ถึงฮุก่มที่แท้จริงสาเหตุที่ตั้งชื่อไว้เช่นนี้ก็เนื่องจากมีความเกี่ยวโยงกับนิยามของอิจติฮาด (การทุ่มเทความพยายามเพื่อแสวงหาข้อสันนิษฐานสู่ฮุกุ่มที่แท้จริง) และเนื่องจากหลักฐานประเภทนี้ทำให้เกิดข้อสันนิษฐานสู่ฮุกุ่มที่แท้จริงจึงขนานนามว่าดะลี้ลอิจติฮาดีซึ่งในส่วนของอัมมาเราะฮ์ก็ถือเป็นดะลี้ลอิจติฮาดีได้เช่นกันดะลี้ลอิจติฮาดีมีไว้เพื่อวินิจฉัยฮุ่กุ่มที่แท้จริงอันได้แก่กุรอานซุนนะฮ์อิจมาอ์และสติปัญญาความเชื่อมโยงระหว่างดะลี้ลและอัศล์ควรทราบว่าไม่มีความขัดแย้งระหว่างดะลี้ลและอัศล์แต่สองสิ่งนี้มีสัมพันธ์ในลักษณะลูกโซ่อยู่ทั้งนี้ก็เพราะหากข้อสงสัยใดมีดะลี้ลก็จะไม่เหลือความสงสัยอันเป็นมูลเหตุของอัศล์อะมะลีอีกต่อไปในประเด็นความขัดแย้งระหว่างดะลี้ลกับอัศล์นั้นในกรณีของดะลี้ลที่ชัดเจนแน่นอนว่าไม่มีอัศล์ใดจะสามารถเทียบเคียงได้เนื่องจากมูลเหตุของอัศล์คือความสงสัยเมื่อมีความแน่นอนในแง่มูลเหตุอัศล์ก็ย่อมหายไปแต่ในกรณีดะลี้ลที่ไม่ชัดเจนอย่างเช่นอิมาเราะฮ์ปะทะกับอัศล์ในกรณีเช่นนี้ถือเป็นการหักล้างกันซึ่งผู้เชี่ยวชาญด้านวิชาอุศู้ลเชื่อว่าควรถือข้างอิมาเราะฮ์มากกว่าอัศล์ทุกประเภทแม้กระทั่งอิสติศฮ้าบ (ตามหลักเฏาะรีกียะฮ์)[1][1]อ่านเพิ่มเติมได้ตามหนังสือวิชาอุศู้ล อาทิเช่น อุศูลุลฟิกฮ์ ของท่านมุซ็อฟฟัร, กิฟายะตุ้ลอุศู้ล ของออคูนด์โครอซอนี ฯลฯ ...
  • ก่อนการปรากฏกายของท่านอิมามซะมาน (อ.) จะมีมัรญิอฺตักลีด 12 คน ในชีอะฮฺ ในอิสลามเกิดขึ้นใหม่ แต่หลังจากอิมามมะฮฺดียฺ (อ.) ปรากฏกายแล้ว พวกเขาจถูกสังหาร 11 คน จะมีชีวิตเหลืออยู่เพียงแค่คนเดียว? โปรดแจ้งแจงประเด็นนี้ด้วย
    7132 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/11/21
    จำคำถามที่กล่าวมามีความเป็นไปได้ 2 กรณี. หนึ่งมัรญิอฺตักลีด 11 คน
  • เพราะเหตุใดพระเจ้าผู้ทรงสามารถปกปักรักษาอิมามมะฮฺดียฺ (อ.) ในช่วงของการเร้นกายให้ปลอดภัยได้, แต่พระองค์มิทรงสัญญาเช่นนั้น เพื่อว่าท่านจะได้ปรากฏกาย และปกป้องท่านจากทุกภยันตราย
    6442 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/11/21
    หนึ่งในประเด็นสำคัญยิ่งที่ท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อล ฯ) และอิมามผู้บริสุทธิ์ (อ.) ได้ย้ำเตือนซ้ำแล้วซ้ำเล่าแก่ประชาชาติคือ คือการทำลายล้างอำนาจการกดขี่ข่มเหง และการขุดรากถอนโคนความอธรรมโดยน้ำมือของท่านอิมามมะฮฺดียฺ (อ.) ด้วยสาเหตุนี้เอง การดำรงอยู่ของท่านอิมามมะฮฺดียฺ (อ.) จึงได้รับความสนใจเป็นพิเศษจากชน 2 กลุ่ม, กลุ่มหนึ่งคือผู้ได้รับการอธรรมข่มเหงบนหน้าแผ่นดินหวังที่จะยื่นคำอุทรณ์และได้รับการสนับสนุน พวกเขาได้ชุมนุมกันเนื่องด้วยการดำรงอยู่ของท่านอิมาม ได้นำเสนอขบวนการและการต่อสู้ป้องกัน, กลุ่มที่สองคือ กลุ่มผู้อธรรมข่มเหง กลั่นแกล้งระราน ผู้ชอบการนองเลือดคอยควบคุมและกดขี่ประชาชาติผู้ด้อยโอกาส และเพื่อไปถึงยังผลประโยชน์ส่วนตัว และรักษาตำแหน่งของพวกเขาเอาไว้ พวกเขาจึงไม่กลัวเกรงการกระทำความชั่วร้าย และความลามกอนาจารใดๆ พวกเขาพร้อมที่จะให้ทุกประเทศเสียสละเพื่อตำแหน่งของพวกเขา คนกลุ่มนี้รู้ดีว่าการดำรงอยู่ของอิมามมะฮฺดียฺ (อ.) คือผู้ที่จะมากีดขวางและขัดผลประโยชน์ และเจตนาชั่วร้ายของพวกเขา อีกทั้งจะทำให้ตำแหน่งผู้นำและผู้บัญชาการของพวกเขาตกอยู่ในอันตราย พวกเขาจึงพยายามทุกวิถีทางที่จะขจัดท่านอิมามให้สูญสิ้นไป เพื่อพวกเขาจะได้ปลอดภัยจากภยันตรายอันใหญ่หลวงยิ่งนี้, แต่ทั้งหมดเหล่านี้ ถึงแม้ว่าอำนาจของอัลลอฮฺ (ซบ.) มิได้ถูกจำกัดให้คับแคบลงแต่อย่างใด เพียงแต่พระองค์ประสงค์ให้ทุกภารกิจการงานดำเนินไปตามธรรมชาติและหลักการทั่วไป มิได้เป็นเงื่อนไขเลยว่า เพื่อปกปักรักษาบรรดาศาสดา อิมามผู้บริสุทธิ์ และศาสนาศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ พระองค์จะหยุดยั้งการใช้วิธีการ สื่อ เครื่องมือ เหตุผล ...
  • กฎของการออกนอกศาสนาของบุคคลหนึ่ง, ต้องขึ้นอยู่กับการตัดสินของผู้ปกครองหรือไม่?
    6408 สิทธิและกฎหมาย 2555/05/17
    มีอยู่ 12 ประการที่ทำให้นมาซบาฏิล (เสีย) ซึ่งเรียกสิ่งเหล่านั้นว่า มุบฏิลลาตของนมาซ 1.สูญเสียหนึ่งในเงื่อนไขสำคัญระหว่างนมาซ 2.สิ่งที่เป็นสาเหตุทำให้วุฎูอฺ หรือฆุซลฺบาฏิล (เสีย) ได้เล็ดรอดออกมาขณะนมาซ 3. กอดอกขณะนมาซ 4.กล่าวคำว่า “อามีน” หลังจากกล่าวซูเราะฮฺฟาติฮะฮฺจบ 5. ผินหน้าออกจากกิบละฮฺ ขณะนมาซ 6.กล่าวคำพูดบางคำขณะนมาซ 7.หัวเราะโดยมีเสียดังออกมาหรือกระทำสิ่งที่คล้ายคลึงกัน 8.ตั้งใจร้องไห้เพื่อภารกิจทางโลก โดยมีเสียงดังออกมา 9. กระทำบางภารกิจอันเป็นเหตุทำให้สูญเสียสภาพนมาซ 10.กินและดื่ม
  • คำว่า “ฮุจซะฮ์”ในฮะดีษของมุฮัมมัด บิน ฮะนะฟียะฮ์ หมายความว่าอย่างไร?
    7516 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2555/02/12
    คำว่าฮุจซะฮ์ที่ปรากฏในฮะดีษบทต่างๆแปลว่าการยึดเหนี่ยวสื่อกลางในโลกนี้ระหว่างเรากับอัลลอฮ์ท่านนบีและบรรดาอิมาม(อ.) ซึ่งก็หมายถึงศาสนาจริยธรรมและความประพฤติที่ดีงามหากบุคคลยึดถืออิสลาม
  • วจนะอันหนักอึ้งในโองการ إِنَّا سَنُلْقِی عَلَیْکَ قَوْلاً ثَقِیلاً (อัลมุซซัมมิล: 5) หมายถึงอะไร?
    9013 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/18
    วจนะอันหนักอึ้งในโองการ إِنَّا سَنُلْقِی عَلَیْکَ قَوْلاً ثَقِیلاً หมายถึงกุรอาน แม้ว่านักอรรถาธิบายจะตีความคำว่าวจนะอันหนักอึ้งแตกต่างกันไปตามแต่ละแง่มุมของโองการ แต่สันนิษฐานว่าความเป็นวจนะอันหนักอึ้ง (อันหมายถึงกุรอานอย่างมิต้องสงสัย)  เกิดจากแง่มุมต่างๆอันได้แก่ ความหนักอึ้งในแง่เนื้อหาโองการ ในแง่การแบกรับด้วยหัวใจ ในแง่การเผยแพร่คำสอน ในแง่การวางแผนและปฏิบัติ ฯลฯ ...
  • ถ้าหากท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) ประสบความสำเร็จในการยืนหยัดแห่งอาชูรอ ท่านจะได้จัดตั้งรัฐบาล แล้ววันนี้โลกอิสลามจะอยู่ในสถานภาพอย่างไร?
    8821 تاريخ بزرگان 2555/09/08
    สาเหตุหลักในการเคลื่อนไหวต่อสู้ของท่านอิมามฮุซัยน (อ.) คือ การฟื้นฟูตำสอนศาสนา และการกำชับความดี ห้ามปรามความชั่วร้าย ต่อสู้กับผู้ปกครองที่อธรรม ที่มีวัตถุประสงค์ที่จะกำจัดอิสลามให้สิ้นซาก ซึ่งความคิดอันเลวร้ายนั้นได้ลุกลามอย่างกว้างขวางในสังคมอิสลาม โดยมีความเชื่อว่าเคาะลีฟะฮฺหรือฮากิมอิสลาม จะเป็นใครก็ตาม และไม่ว่าจะก่ออาชญากรรมมากน้อยเพียงใดก็ตาม เขาก็คือเคาะลิฟะฮฺของอัลลอฮฺ วาญิบต้องเชื่อฟังปฏิบัติตามเขา การยืนหยัดของท่านอิมามฮุซัยนฺ ในแง่นี้ประสบความสำเร็จและได้รับชัยชนะอย่างท่วมท้น และถือว่าบรรลุเป้าหมายด้วย แม้ว่าเป้าหมายอันสูงส่งของอิสลาม ความสำเร็จของสังคมขึ้นอยู่การทำความดีต่างๆ และนำเอาบทบัญญัติมาดำเนินใช้ในสังคม การได้จัดตั้งรัฐอิสลาม ซึ่งแน่นอนว่า รูปแบบการจัดตั้งรัฐอิสลามโดยท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) พร้อมกับการโค่นล้มการปกครองของผู้อธรรม ซึ่งผลที่จะได้รับนอกจากจะได้รับรัฐอิสลาม และความสำเร็จของสังคมแล้ว เราก็จะได้เห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงของอิสลาม แน่นอนว่าสิ่งนี้จะเป็นประโยชน์อันอเนกอนันต์แก่ประชาชาติอิสลาม และถือว่านั้นคือความสำเร็จอย่างใหญ่หลวงในการเผยแผ่อิสลาม แต่น่าเสียดายว่าสิ่งนั้นมิได้เกิดขึ้นจริง ...
  • ทำอย่างไรมนุษย์จึงจะกลายเป็นที่รักยิ่งของอัลลอฮฺ?
    5764 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/21
    คำว่า “มุฮิบบัต” มาจากรากศัพท์คำว่า “ฮุบ” หมายถึงมิตรภาพความรัก. ความรักของอัลลอฮฺ (ซบ.) ที่มีต่อปวงบ่าวข้าทาสบริพารมิได้มีความเข้าใจเหมือนกับความรักสามัญทั่วไป, เนื่องจากความสิ่งจำเป็นของความรักในความหมายของสามัญคือปฏิกิริยาแสดงออกของจิตใจและอารมณ์ซึ่งอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงบริสุทธิ์จากสิ่งเหล่านี้, ทว่าความรักที่อัลลอฮฺทรงมีต่อปวงบ่าว,

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60361 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    57910 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42461 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    39733 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    39117 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    34216 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    28260 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    28187 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    28125 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    26065 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...