การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
15820
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2554/09/21
 
รหัสในเว็บไซต์ fa1343 รหัสสำเนา 16882
คำถามอย่างย่อ
เงื่อนไขของอิสลามและอีหม่านคืออะไร?
คำถาม
กรณีที่หากมีผู้รับอิสลาม ทราบมาว่าเขาจะต้องศรัทธาในพระเจ้าและนบี(ซ.ล.) อีกทั้งศรัทธาในห้าหลักการ และจะต้องปฏิบัติศาสนกิจในฐานะที่เป็นมุสลิมคนหนึ่ง ปัญหาอยู่ที่ว่า หากเขามีศรัทธาต่อสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด แต่สมมติว่าเขาไม่นมาซ ถามว่าเขายังคงสภาพความเป็นมุสลิมอยู่หรือไม่? และเคยอ่านมาว่าประชากรมุสลิมทั่วโลกมีถึงหนึ่งพันสองร้อยล้านคน แต่บางคนเชื่อว่าเป็นตัวเลขที่ไม่ตรงกับความเป็นจริงนัก เนื่องจากในจำนวนนี้มีผู้ที่มิได้เป็นมุสลิมในเชิงปฏิบัติมากมาย เนื่องจากเฉยเมยไม่สนใจที่จะปฏิบัติตามศาสนกิจอิสลาม ถามว่าคนเหล่านี้ยังนับว่าเป็นมุสลิมอยู่หรือไม่?
คำตอบโดยสังเขป

อิสลามและอีหม่านมีระดับขั้นที่แตกต่างกัน ระดับแรกซึ่งก็คือการรับอิสลามนั้น หมายถึงการที่บุคคลสามารถเข้ารับอิสลามได้โดยเปล่งปฏิญาณว่า  اشهد أن لا اله الا الله" و اشهد أنّ محمداً رسول الله โดยสถานะความเป็นมุสลิมจะบังเกิดแก่เขาทันที อาทิเช่น ร่างกายของเขาและลูกๆจะสิ้นสภาพนะญิส เขาสามารถแต่งงานกับสตรีมุสลิมได้ สามารถทำธุรกรรมกับมุสลิมได้ทุกประเภท ทรัพย์สินและศักดิ์ศรีของเขาจะได้รับการพิทักษ์เป็นพิเศษ ฯลฯ
แต่อย่างไรก็ดี เมื่อปฏิญาณตนเข้ารับอิสลามก็ย่อมมีผลพวงในแง่ความรับผิดชอบทางศาสนา เช่นการนมาซ ถือศีลอด ชำระคุมุส จ่ายซะกาต ประกอบพิธีฮัจย์ ศรัทธาต่อสิ่งที่เหนือญาณวิสัย ยอมรับวันปรโลกสวรรค์และนรก ตลอดจนศรัทธาต่อเหล่าศาสนทูต เหล่านี้ถือเป็นระดับชั้นที่สูงและสมบูรณ์ขึ้นของอีหม่าน

นอกเหนือจากการปฏิบัติศาสนกิจแล้ว การหลีกห่างสิ่งต้องห้ามทางศาสนาย่อมจะช่วยยกระดับอีหม่านได้เป็นอย่างดี
ยิ่งไปกว่านั้น คำสอนของกุรอาน นบี(..)และบรรดาอิมามมะอ์ศูมยังบ่งชี้ว่าอิสลามที่ปราศจากการยอมรับ "วิลายะฮ์"ของอิมามสิบสองท่าน ย่อมถือว่าไม่ครบถ้วนสมบูรณ์และไม่เป็นที่ยอมรับ  อัลลอฮ์
นอกจากนี้ จิตใจของมุสลิมผู้ศรัทธาจะต้องปราศจากชิริกและการเสแสร้ง เพราะจะทำให้อะมั้ลอิบาดะฮ์ที่กระทำมาสูญเสียคุณค่าไปโดยปริยาย และจะทำให้หมดโอกาสที่จะได้รับความผาสุก และต้องถูกเผาไหม้ในเพลิงพิโรธของพระองค์ ฉะนั้น ประชากรมุสลิมทั้งหมดที่กล่าวกะลิมะฮ์ล้วนเป็นมุสลิมทุกคน แม้ว่าบางคนจะอยู่ในระดับพื้นฐานของอิสลาม โดยที่การละเลยศาสนกิจบางประการมิได้ส่งผลให้ต้องพ้นสภาพความเป็นมุสลิมแต่อย่างใด

คำตอบเชิงรายละเอียด

ในเชิงคำศัพท์แล้ว อิสลามแปลว่าการยอมจำนนโดยดุษณี แต่สิ่งที่เป็นที่รับรู้ทั่วไปก็หมายถึง ศาสนาที่ท่านนบีมุฮัมมัด(..)นำเสนอจากพระผู้เป็นเจ้าในฐานะศาสนาอันถาวร(ไม่ถูกยกเลิกจวบจนวันโลกาวินาศ)และครอบคลุมทุกปัญหา
ปัจจัยสำคัญที่จำแนกอิสลามออกจากศาสนาอื่นก็คือ การศรัทธาต่อเตาฮี้ด(เอกานุภาพ)ของอัลลอฮ์ ภาวะศาสนทูตของนบี(..) และการยอมรับสารธรรมเตาฮี้ดอันบริสุทธิ
ความศรัทธาต่ออิสลามมีระดับขั้นที่แตกต่างกัน โดยขอนำเสนอดังต่อไปนี้
ก้าวแรกอันถือเป็นเงื่อนไขในการเข้าสู่อิสลามก็คือ การปฏิญาณตนยอมรับสองหลักการ(เตาฮี้ดและภาวะนบี) ประโยค لا اله الا الله เปรียบเสมือนแก่นของอิสลามที่เป็นศูนย์รวมทุกมิติเตาฮี้ด ส่วนการยอมรับภาวะศาสนทูตของท่านนบี(..)ก็คือการยอมรับในภาวะปัจฉิมศาสดาและปัจฉิมศาสนา รวมถึงเชื่อว่าแนวทางอื่นๆล้วนถูกยกเลิกไปแล้วทั้งสิ้น
ระดับที่สูงขึ้นอีกขั้นหนึ่งของอีหม่าน(ความศรัทธา)เริ่มตั้งแต่การจำนนต่อคำสอนสั่งของท่านนบี(..) โดยมีระดับขั้นที่สูงขึ้นไปอีกเรื่อยๆ
ฉะนั้น ผู้ที่ปฏิญาณตนยอมรับในสองหลักการข้างต้นแล้วจะถือว่าหลุดพ้นสภาวะศาสนิกของศาสนาเก่า และเข้าร่วมในครอบครัวอิสลาม ซึ่งจะทำให้สิทธิหน้าที่บังเกิดแก่เขาในฐานะมุสลิมคนหนึ่ง อาทิเช่น การที่สามารถแต่งงานได้ ทำธุรกรรมได้ การที่เนื้อตัวของเขาและลูกๆไม่เป็นนะญิส[1] นอกจากนี้ การดูแลรักษาทรัพย์สินและศักดิ์ศรีของเขาก็เป็นหน้าเหนือรัฐบาลหรือสังคมอิสลาม นี่คืออีหม่านขั้นพื้นฐานที่ทำให้ไม่สามารถกล่าวหาเขาว่าเป็นกาเฟรมุชริกีนได้

ฉะนั้น แม้บางสำนักคิดอย่างพวกค่อวาริจจะมองว่าผู้กระทำบาปใหญ่คือกาเฟรและสามารถหลั่งเลือดได้ หรือกลุ่มมุอ์ตะซิละฮ์ที่มองว่าคนจำพวกนี้ไม่ไช่ทั้งมุอ์มินและกาเฟร หรือกรณีของกลุ่มวะฮาบีที่ถือว่าการสุญูดบนดินและจุมพิตเอาบะรอกัตจากดินสุสานอิมาม(.)ถือเป็นชิริก แนวคิดเหล่านี้ทั้งหมดถือเป็นการเข้าใจที่คลาดเคลื่อน

ทัศนะของชีอะฮ์สิบสองอิมาม(ญะอ์ฟะรียะฮ์)ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานของกุรอานและฮะดีษจากบรรดาอิมาม(.) ถือว่าอีหม่านและอะมั้ลอิบาดะฮ์(การบำเพ็ญศาสนบัญญัติ)จะได้รับการยอมรับ  พระองค์ก็ต่อเมื่อเคียงข้างด้วยการยอมรับอิมามสิบสองท่านในฐานะผู้นำและตัวแทนนบี(..)เท่านั้น ทั้งนี้ก็เนื่องจากภาระผูกพันของการยอมรับนบี(..)และกุรอานในฐานะที่เป็นวิวรณ์บริสุทธิจากพระองค์ก็คือ การปฏิบัติตามคำสอนของนบี(..)และกุรอานทุกกระเบียดนิ้ว และหนึ่งในคำสอนของท่านนบีก็คือการรณรงค์ให้ยึดเหนี่ยวและปฏิบัติตามอะฮ์ลุลบัยต์(.) ซึ่งหากมองในมุมกลับ การเพิกเฉยต่ออะฮ์ลุลบัยต์ก็นับเป็นการเพิกเฉยต่อคำสั่งของอัลลอฮ์และนบี(..)ได้เช่นกัน ดังที่กุรอานระบุว่าระดับขั้นอีหม่านอยู่เหนือระดับขั้นการรับอิสลาม 

ระดับขั้นอีหม่านเองก็แบ่งออกเป็นหลายระดับด้วยกัน กุรอานได้แจกแจงมาตรวัดอีหม่านไว้ดังนี้ "ความดีงามคือการศรัทธาต่อพระเจ้า และวันพิพากษา และมลาอิกะฮ์ และคัมภีร์ และบรรดานบี"[2] โดยถือว่าการปฏิเสธ การเสแสร้ง และการตั้งภาคี ล้วนเป็นเหตุให้สิ้นสภาพมุสลิมและต้องทนทรมานในนรกชั่วกัปชั่วกัลป์[3] ฉะนั้น มุสลิมที่มีอีหม่านแนระดับที่ต่ำสุดต้องมีคุณสมบัติเหล่านี้เป็นอย่างน้อย
1.ศรัทธาต่อเอกานุภาพทุกประเภทของพระองค์
2. ศรัทธาต่อสถานะศาสนทูตท่านสุดท้ายของนบีมุฮัมมัด(..)
3. เชื่อฟังคำสั่งนบี(..)อาทิเช่นคำสอนเกี่ยวกับวิลายะฮ์ของอะฮ์ลุลบัยต์
4. ศรัทธาต่อชีวิตหลังความตาย ตลอดจนรายละเอียดปลีกย่อยที่กุรอานและฮะดีษจากนบี(.(..)และอิมาม(.)ระบุไว้

แต่เนื่องจากอีหม่านที่แท้จริงย่อมมีผลพวงในแง่ศาสนบัญญัติ ฉะนั้น การกล่าวอ้างว่ารับอิสลามแต่ไม่ยอมปฏิบัติตามคำสั่งของอัลลอฮ์และนบี(..) ย่อมไม่ทำให้เขาพบกับทางนำและความผาสุก แม้จะทำให้เขาได้รับสิทธิทางสังคมในแง่กฏหมายอิสลามก็ตาม ดัวยเหตุนี้เองที่กุรอานถือว่าการบรรลุสู่ชีวิตอันผาสุกจำเป็นต้องมีอีหม่านและอะมั้ลอิบาดะฮ์เคียงคู่กันเสมอ[4]
ผู้ที่มีอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น อ้างอีหม่านโดยไม่ปฏิบัติศาสนกิจ หรือประพฤติดีแต่ไม่ศรัทธา เปรียบเสมือนนกที่มีปีกข้างเดียว ซึ่งแน่นอนว่าไม่สามารถที่จะโผบินสู่ความผาสุกได้เด็ดขาด เว้นแต่จะปรับปรุงตนเองโดยการเติมเต็มอีหม่านและอะมั้ลซอและฮ์ให้ครบถ้วน เพื่อจะได้ใกล้ชิด  พระองค์และได้รับสรวงสววรค์ ทั้งนี้เมื่อมีความรู้เกี่ยวกับอิสลาม อีหม่าน ตลอดจนคำบัญชาของอัลลอฮ์และนบี(..)สูงขึ้น กอปรกับมีความบริสุทธิใจในการปฏิบัติศาสนกิจมากขึ้น ย่อมส่งผลให้อีหม่านของเขาได้รับการยกระดับให้สูงยิ่งขึ้นตามลำดับ

ในจุดนี้ขอเน้นบางประเด็นเป็นพิเศษ
1. อีหม่านและอะมั้ลซอและฮ์มีความเชื่อมโยงกันโดยตรง หากอีหม่านแข็งแกร่ง ปริมาณและประสิทธิผลของอะมั้ล ตลอดจนความสามารถในการหลีกเลี่ยงสิ่งต้องห้ามก็จะเพิ่มขึ้นโดยปริยาย ในทำนองเดียวกัน หากปฏิบัติอะมั้ลซอและฮ์และหลีกเลี่ยงสิ่งต้องห้ามเป็นนิจสิน อีหม่านก็จะหยั่งรากลึกในหัวใจมากยิ่งขึ้น กระทั่งทำให้มนุษย์บรรลุความผาสุกสูงสุดของความเป็นมนุษย์อย่างเต็มภาคภูมิ ในทางตรงกันข้าม การทำบาปบ่อยๆก็จะค่อยๆลบเลือนอีหม่านให้อันตรธานไปจากหัวใจ ซึ่งการกระทำบาปเป็นผลพวงมาจากอีหม่านที่อ่อนแอ

2. การศรัทธาต่อนบีท่านอื่นๆตลอดจนคัมภีร์ของพวกท่าน มิได้หมายความว่าเราจะต้องปฏิบัติตามศาสนกิจของท่านเหล่านั้น เนื่องจากศาสนกิจเหล่านี้บางข้อบังคับใช้ในกลุ่มชนบางกลุ่มเป็นการเฉพาะ ซึ่งจะถูกยกเลิกเมื่อมีศาสนกิจใหม่มาแทนที่เสมือนกฏหมายที่หมดอายุความ ฉะนั้น การศรัทธาต่อบรรดานบีจึงหมายถึงการเชิดชูเกียรติภูมิในฐานะศาสนทูตที่ทุ่มเทและเสียสละเพื่ออัลลอฮ์ มิได้หมายรวมถึงการที่ต้องปฏิบัติตามศาสนบัญญัติในยุคของศาสดาเหล่านั้น

3. หลักปฏิบัติที่สำคัญๆ ซึ่งจำแนกมุสลิมออกจากต่างศาสนิกในภาคปฏิบัติ เราเรียกว่า"ฟุรูอุดดีน"  โดยผู้ที่มีเงื่อนไขทางศาสนาครบถ้วนจำเป็นต้องเรียนรู้และนำสู่การปฏิบัติ
และหากผู้ใดไม่ถึงขั้นปฏิเสธในหลักการแต่กลับดื้อแพ่งไม่ปฏิบัติ ก็จะทำให้สูญเสียโอกาสที่จะได้เข้าสรวงสวรรค์ และหากไม่แก้ไขให้ดีขึ้นจนถึงบั้นปลายชีวิต ก็จะต้องถูกทรมานชั่วกัปชั่วกัลป์

4. อีหม่านจะต้องมีลักษณะครอบคลุม เพราะความศรัทธาไม่อาจเลือกได้ตามใจชอบ ฉะนั้น มุสลิมที่มีศรัทธาอย่างแท้จริงไม่ได้รับอนุมัติให้เลือกปฏิบัติตามคำสอนศาสนาเฉพาะบางส่วน กุรอานให้เหตุผลว่าพฤติกรรมเช่นนี้ถือเป็นการถือตามกิเลสของตนเอง และนับเป็นการปฏิเสธประเภทหนึ่ง หาไช่ความศรัทธาต่ออัลลอฮ์ นบี และวันพิพากษาไม่[5]

5. อีหม่านและอะมั้ลที่ซอและฮ์มีหลายระดับขั้น ผู้ศรัทธาที่บำเพ็ญความดีมิได้มีสถานภาพที่เท่ากันเสมอไป ระดับขั้นบนสรวงสวรรค์ของแต่ละคนก็แตกต่างกัน  พระองค์ ฉะนั้นจึงจะต้องยกระดับอะมั้ลอิบาดะฮ์ไม่ว่าในแง่ปริมาณและคุณภาพด้วยการเรียนรู้ ระมัดระวัง และมุ่งมั่นปฏิบัติตามคำสอนอิสลาม เพื่อจะได้รับการยกระดับให้สูงขึ้นไปอีก[6]

6. การปฏิเสธหลักศรัทธาอิสลาม ตลอดจนการปฏิเสธข้อบังคับทางศาสนาที่ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นคำสั่งให้กระทำหรือคำสั่งห้ามมิให้กระทำ เท่ากับการปฏิเสธหลักเบื้องต้นของศาสนา และหากตรงตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ ก็จะทำให้พ้นจากสภาพความเป็นมุสลิม หรือที่เรียกว่าตกมุรตัด

สรุปคือ ระหว่างการรับอิสลามกับการศรัทธาในอิสลามมีความแตกต่างกัน และดังที่ได้นำเสนอไปแล้วว่าอิสลามและอีหม่านมีหลายระดับขั้นด้วยกัน และประชากรมุสลิมกว่าพันสองร้อยล้านคนที่ปฏิญาณตนด้วยกะลิมะฮ์ชะฮาดะฮ์ ทั้งหมดล้วนถือเป็นมุสลิมและได้รับสิทธิหน้าที่ในฐานะมุสลิม แม้ว่าจะมีระดับขั้นในแง่อิสลามค่อนข้างต่ำก็ตาม ทั้งนี้ก็เพราะการละเลยไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาสนาบางข้อ มิได้ทำให้บุคคลพ้นจากสภาพความเป็นมุสลิม

เพื่อศึกษาเพิ่งเติม กุรณาอ่านคำตอบต่อไปนี้
1. รู้จักผู้ศรัทธาที่แท้จริง,คำถามที่ 863
2.
ความไม่ตรงกันระหว่างคำสอนอิสลามและพฤติกรรมมุสลิม,คำถามที่ 798
3.
กุรอานและการนิยามอิสลามและมุสลิมีน,คำถามที่ 829

หนังสืออ้างอิง
อัลมิลัลวันนิฮัล,.ญะอ์ฟัร ซุบฮานี,เล่ม2 หน้า 53
มิลัลวันนิฮัล,อับดุลกะรีน ชะฮ์ริสตานี,สนพ.อัลอันญะโล อิยิปต์,เล่ม 1,2 หน้า 46
บทเรียนเทววิทยาอิสลาม,เล่ม 1 หน้า161-163 เล่ม 2 ,หน้า 135
กัชฟุ้ลมุร้อด,คอญะฮ์นะศีรุดดีน ฏูซี, หน้า 454
บทเรียนหลักศรัทธา,มุฮัมมัดตะกี มิศบาห์ ยัซดี,เล่ม3 หน้า 126-163,บทที่ 54-58
อัคล้ากในกุรอาน,มุฮัมมัดตะกี มิศบาห์ ยัซดี,เล่ม1 หน้า 122-145



[1] ทว่าอุละมาอ์อาจมีความเห็นแตกต่างกันเล็กน้อยในกรณีความเป็นนะญิสของร่างกายต่างศาสนิก(ไม่ว่าเป็นชาวคัมภีร์หรือไม่ก็ตาม) โปรดอ่านหนังสือประมวลศาสนบัญญัติของแต่ละท่าน

[2] อัลบะเกาะเราะฮ์,177,285 และ อันนิซาอ์,136

[3] อันนิซาอ์, 140,145

[4] อันนะฮ์ลิ, 97 และอัลบะเกาะเราะฮ์, 103 อันนิซาอ์, 57,122

[5] อัลบะเกาะเราะฮ์, 85 อันนิซาอ์, 150,151

[6] ย่อความจากคำถามที่ 888(ความเชื่อเบื้องต้นของมุสลิม)

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • มีข้อแนะนำใดบ้างที่คุณพ่อและคุณแม่ควรปฏิบัติก่อนคลอดบุตร?
    13215 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/21
    มีข้อแนะนำบางอย่างที่คุณพ่อและคุณแม่ควรปฏิบัติก่อนจะมีบุตรอาทิเช่นปฏิบัติศาสนกิจอย่างครบถ้วนปฏิบัติตามคำแนะนำเกี่ยวกับการร่วมหลับนอนบริโภคอาหารที่ฮะลาลและสะอาดโดยเฉพาะผลไม้นานาชนิดเข้ารับการตรวจโรคทางพันธุกรรมงดความเครียด  มองทิวทัศน์ที่สวยงามรักษาสุขอนามัยออกกำลังกายฯลฯหากปฏิบัติตามคำแนะนำเหล่านี้ได้ครบถ้วนก็จะทำให้มีสมาชิกครอบครัวที่มีสุขภาพดีและประสบความสำเร็จในชีวิตส่งผลให้สังคมก้าวสู่ความผาสุกในอุดมคติ ...
  • สตรีในทัศนะอิสลามมีสถานภาพสูงส่งเพียงใด ?พวกเธอมีสิทธิเท่าเทียมกับผู้ชายหรือ?
    12905 ปรัชญาของศาสนา 2554/10/22
    ในทัศนะอิสลาม, สตรีและบุรุษนั้นมีเป้าหมายร่วมกันนั่นคือ – การพัฒนาตนไปให้ถึงยังสถานอันสูงสุดของความเป็นมนุษย์ – และการไปถึงเป้าหมายดังกล่าว ทั้งสองจึงมีมาตรฐานอันเดียวกัน ซึ่งความต่างเรื่องเพศอันเป็นความจำเป็นของการสร้าง แทบจะไม่มีบทบาทอันใดทั้งสิ้นในการสร้าง หรือเพิ่มเติมศักยภาพและความสามารถดังกล่าวนั้น หรือคุณค่าในทางศาสนาเองก็มิได้มีบทบาทอันใดเช่นกัน ดังนั้น ความสมบูรณ์ของสตรีจึงมิได้อยู่ในฐานะภาพเดียวกันกับความสมบูรณ์ของบุรุษ หรือใช่ว่าบุรุษจะใช้ความเป็นเพศชาย มาควบคุมความเป็นสตรีก็หาไม่ดังนั้น ในทัศนะของอิสลาม :1.สตรี, จึงเป็นสถานที่ปรากฏความสวยงาม ความประณีต และความเงียบสงบ2.สตรี, คือที่มาแห่งความสงบมั่นของบุรุษ, ส่วนบุรุษนั่นเป็นสถานพำนักพักพิง ให้ความรับผิดชอบ และการเป็นผู้นำของสตรี
  • สถานะและบุคลิกภาพของซุรอเราะฮฺ ณ บรรดาอิมามเป็นอย่างไร?
    6831 تاريخ بزرگان 2555/05/17
    ซุรอเราะฮฺ เป็นหนึ่งในสหายของอิมามมะอฺซูม (อ.) ที่มีฐานะภาพและเกียรติยศอันยิ่งใหญ่ ณ อิมาม เขาถูกจัดว่าเป็นสหายอิจญฺมาอฺ หมายถึงความหน้าเชื่อถือ ความซื่อตรง และการพูดความจริงของเขา เป็นที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รับรู้กันดีในหมู่สหายของอิมาม (อ.) แม้ว่าจะมีรายงานกล่าววิจารณ์เขาอยู่บ้างก็ตาม, แต่เมื่อนำเอารายงานเหล่านั้นมารวมกันแล้ว สามารถสรุปให้เห็นถึงความถูกต้องของเขามากกว่า และจัดว่าเขาเป็นหนึ่งในสหายที่ยิ่งใหญ่ และมีเกียรติคนหนึ่งของอิมาม (อ.) ...
  • ประชาชนชาวเมืองกุมไม่ว่าจะกระทำผิดเพียงใดก็จะไม่ถูกลงโทษในไฟนรกกระนั้นหรือ?
    5848 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/11/21
    1.รายงานฮะดีซที่เกี่ยวข้องกับเมืองกุม, ที่ว่าประชาชนชาวกุมจะไม่ตกนรกนั้นไม่ถูกต้อง.2.การรู้จักมักคุ้นกับลูกหลานของท่านศาสดา (ซ็อล
  • ปรัชญาของการมีทาสในอิสลามคืออะไร? อิสลามมีวิธีการจัดการกับสิ่งเหล่าอย่างไร?
    12310 สิทธิและกฎหมาย 2555/08/22
    ถูกต้องบทบัญญัติเกี่ยวกับ การแต่งงานกับทาส, การเป็นมะฮฺรัมกับทาส, สัญญาซื้อขาย (ข้อตกลงที่จะปล่อยทาสเป็นไท) และ ...ได้ถูกกล่าวไว้ในอัลกุรอาน, การมีทาสได้รับการยืนยันว่ามีจริงในสมัยของท่านเราะซูล (ซ็อลฯ) และต้นยุคอิสลาม แต่จำเป็นต้องกล่าวว่าอิสลามมีโปรแกรมที่ละเอียดอ่อน และมีกำหนดเวลาในการปลดปล่อยทาสให้เป็นไท ซึ่งบั้นปลายสุดท้ายของทั้งหมดเหล่านั้นคือ การได้รับอิสรภาพเป็นไททั้งสิ้น ดังนั้นการเผชิญหน้าของอิสลามกับปัญหาเหล่านี้ จำเป็นต้องกล่าวถึงประเด็นสำคัญดังต่อไปนี้: 1-อิสลามมิเคยเริ่มต้นปัญหาเรื่องทาส 2-อิสลามถือว่าปัญหาชะตากรรม และความเจ็บปวดใจของทาสในอดีตที่ผ่านมาคือ ปัญหาความล้าหลังอันยิ่งใหญ่ของสังคม 3-อิสลามได้วางโครงการที่ละเอียดอ่อน เพื่อปลดปล่อยทาสให้เป็นไท, เนื่องจากครึ่งหนึ่งของพลเมืองในสมัยก่อนเป็นทาสทั้งสิ้น, พวกเขาไม่มีอิสรเสรีในการประกอบอาชีพการงาน, ไม่มีปัจจัยสำหรับการดำเนินชีวิตต่อไป.ถ้าหากอิสลามได้มีคำสั่งต่อสาธารณชนว่าให้ทั้งหมดปล่อยทาสให้เป็นไท, ซึ่งเป็นไปได้ว่าส่วนใหญ่ของพวกเขาจะต้องสูญเสียชีวิต หรือไม่ชนส่วนใหญ่ก็จะต้องว่างงานไร้อาชีพ หิวโหย ถูกกีดกัน และพวกเขาต้องได้รับแรงกดดันจนกระทั่งเข้าทำร้ายและโจมตีในทุกที่ การประจัญบาน การนองเลือด และการทำลายกฎระเบียบของสังคมก็จะทวีความรุนแรงขึ้น ด้วยเหตุนี้เอง อิสลามได้วางแผนการไว้อย่างละเอียด เพื่อดึงดูดสังคมให้ทาสเหล่านี้ได้รับอิสรภาพ และเป็นไทไปที่ละน้อย ซึ่งแผนการดังกล่าวมีองค์ประกอบหลายประการด้วยกัน ...
  • ความสำคัญและความพิเศษ และคำวิจารณ์หนังสือบิฮารุลอันวาร?
    7581 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2554/12/21
    กลุ่มฮะดีซจากหนังสือบิฮารุลอันวาร,ถือได้ว่าเป็นผลงานที่สำคัญที่สุดของอัลลามะฮฺมัจญิลิซซียฺ, หรืออาจกล่าวได้ว่าหนังสือเล่มนี้เป็นดาอิเราะตุลมะอาริฟฉบับใหญ่ของชีอะฮฺซึ่งได้รวบรวมเอาปัญหาศาสนาเกือบทั้งหมด,เช่นตัฟซีรกุรอาน, ประวัติศาสตร์, ฟิกฮฺ, เทววิทยา, และปัญหาอื่นๆอีกบางส่วนที่สำคัญที่สุดและเป็นความพิเศษของหนังสือบิฮารุลอันวารคือ:เริ่มต้นบทใหม่ทุกบทจะกล่าวถึงโองการอัลกุรอาน
  • ทั้งที่พจนารถของอิมามบากิรและอิมามศอดิกมีมากมาย เหตุใดจึงไม่มีการรวบรวมไว้ในหนังสือสักชุดหนึ่ง?
    6799 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2555/01/07
    หากจะพิจารณาถึงสังคมและยุคสมัยของท่านอิมามบากิร(อ.)และอิมามศอดิก(อ.)ก็จะเข้าใจได้ว่าเหตุใดจึงไม่มีการรวบรวมตำราดังกล่าวขึ้นอย่างไรก็ดีฮะดีษของทั้งสองท่านได้รับการรวบรวมไว้ในบันทึกที่เรียกว่า “อุศู้ลสี่ร้อยฉบับ” จากนั้นก็บันทึกในรูปของ”ตำราทั้งสี่” ต่อมาก็ได้รับการเรียบเรียงเป็นหมวดหมู่ฟิกเกาะฮ์ในหนังสือวะซาอิลุชชีอะฮ์กว่าสามสิบเล่มโดยท่านฮุรอามิลีแต่กระนั้นก็ต้องทราบว่าแม้ว่าฮะดีษของอิมามสองท่านดังกล่าวจะมีมากกว่าท่านอื่นๆก็ตามแต่หนังสือดังกล่าวก็มิได้รวบรวมเฉพาะฮะดีษของท่านทั้งสองแต่ยังรวมถึงฮะดีษของอิมามท่านอื่นๆอีกด้วย ทว่าปัจจุบันมีการเรียบเรียงหนังสือในลักษณะเจาะจงอยู่บ้างอาทิเช่นมุสนัดอิมามบากิร(อ.) และมุสนัดอิมามศอดิก(
  • ฮัมมาดะฮ์เป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย และมีบุคลิกอย่างไร?
    7473 تاريخ بزرگان 2555/03/08
    ตำราวิชาสายรายงานฮะดีษระบุว่ามีสตรีที่ชื่อ “ฮัมมาดะฮ์” สองคน คนหนึ่งชื่อ “ฮัมมาดะฮ์ บินติ เราะญาอ์” ส่วนอีกคนคือ “ฮัมมาดะฮ์ บินติ ฮะซัน” แต่สันนิษฐานว่าสองรายนี้คือคนๆเดียวกัน สุภาพสตรีท่านนี้เป็นสาวิกาของท่านอิมามศอดิก(อ.) ซึ่งกุลัยนีและเชคเศาะดู้กได้รายงานฮะดีษของอิมามศอดิกจากนาง[1] ท่านนะญาชีระบุว่าพี่ชายของนางชื่อซิยาด บิน อีซา อบูอุบัยดะฮ์ ฮิซาอ์ ส่วนเชคฏูซีระบุว่าพี่ชายของนางชื่อ เราะญาอ์ บิน ซิยาด จะเห็นได้ว่ามีทัศนะที่ขัดแย้งกันในเรื่องชื่อของพี่ชายและบิดาของนาง ทำให้เข้าใจได้ว่าน่าจะมีสตรีสองคนที่ชื่อฮัมมาดะฮ์ อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาถึงสำนวนของนะญาชีทำให้สามารถสันนิษฐานได้ว่าสองคนนี้แท้ที่จริงก็คือสตรีคนเดียวกัน เหตุผลที่นำมาชี้แจงก็คือ[2] อบูอุบัยดะฮ์ ฮิซาอ์ มีชื่อจริงว่า ซิยาด บิน อบีเราะญาอ์ (มิไช่แค่เราะญาอ์) ส่วนชื่อจริงของอบูเราะญาอ์คือ มุนซิร หรือซิยาด ผลที่ได้ก็คือ ...
  • คำพูดทั้งหมดของพระศาสดา (ซ็อล ฯ) ถือว่าเป็นวะฮฺยูหรือไม่?
    7865 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/21
    มุมมองของผู้เชี่ยวชาญ,ในประเด็นที่กำลังกล่าวถึงแตกต่างกันบางคนได้พิจารณาการตีความของโองการที่ 3,4 ของอัลกุรอานบทนัจมฺ[i]ซึ่งเชื่อว่าคำพูดทั้งหมดของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ตลอดจนการกระทำต่างๆของท่านมาจากวะฮฺยูทั้งสิ้นบางคนเชื่อว่าโองการที่ 4 ของบทอันนัจมฺนั้นกล่าวถึงอัลกุรอานกะรีมและบรรดาโองการต่างๆที่ประทานให้แก่ท่านศาสดา,แม้ว่าซุนนะฮฺ (แบบฉบับ) ของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) จะเป็นข้อพิสูจน์และเป็นเหตุผลก็ตามซึ่งคำพูดการกระทำและการนิ่งเฉยของท่านมิได้เกิดจากอารมณ์อย่างแน่นอนสิ่งที่เข้าใจได้จากสิ่งที่กล่าวถึงในตรงนี้คือสามารถกล่าวได้อย่างมั่นใจว่าทั้งความประพฤติและแบบอย่างของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) มิได้กระทำลงไปโดยปราศจากวะฮียฺอย่างแน่นอนดังเช่นคำพูดของท่านก็เป็นเช่นนี้ด้วยแม้ว่าจะเป็นคำพูดประจำวันคำพูดสามัญทั่วไปตลอดการดำรงชีวิตของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ก็ตามสิ่งนั้นก็จะไม่เกิดจากอารมณ์อย่างเด็ดขาดซึ่งตามความเป็นจริงแล้วเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้แน่นอนว่าท่านศาสดา (ซ็อลฯ) จะล่วงละเมิดกระทำความผิด[i]
  • ท่านอิมามฮุเซน(อ.)มีบุตรสาวชื่อรุก็อยยะฮ์หรือสะกีนะฮ์ไช่หรือไม่ ที่เสียชีวิตที่ดามัสกัสขณะอายุได้สามหรือสี่ขวบ?
    7410 تاريخ بزرگان 2554/12/21
    แม้ว่านักประวัติศาสตร์จะมิได้กล่าวถึงบุตรสาวตัวน้อยของอิมามฮุเซน(อ.) ที่มีนามว่ารุก็อยยะฮ์หรือฟาฏิมะฮ์ศุฆรอฯลฯแต่ตำราบางเล่มก็สาธยายเรื่องราวอันน่าเวทนาของเด็กหญิงคนนี้ณซากปรักหักพังในแคว้นชามเราพบว่ามีเบาะแสเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวปรากฏในตำราประวัติศาสตร์บางเล่มอาทิเช่นก. เมื่อท่านหญิงซัยนับ(ส.) ได้เห็นศีรษะของอิมามฮุเซน(อ.) ผู้เป็นพี่ชายนางได้รำพึงรำพันบทกวีที่มีเนื้อหาว่า “โอ้พี่จ๋าโปรดคุยกับฟาฏิมะฮ์น้อยสักนิดเถิดเพราะหัวใจนางกำลังจะสูญสลาย”

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60417 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    57988 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42516 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    39813 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    39167 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    34277 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    28327 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    28252 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    28186 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    26125 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...