การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
14025
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2554/06/28
 
รหัสในเว็บไซต์ fa863 รหัสสำเนา 14813
คำถามอย่างย่อ
“มุอ์มินีน”หมายถึงมุสลิมกลุ่มใด?
คำถาม
มุสลิมกลุ่มใดคือ“มุอ์มินีน”ที่กุรอานกล่าวถึงบ่อยครั้ง?
คำตอบโดยสังเขป

มุอ์มินีน คือกลุ่มผู้ศรัทธา ยอมจำนนต่ออัลลอฮ์ และเชื่อฟังศาสนทูตของพระองค์ทุกท่าน  ซึ่งหากพิจารณาจากการที่อีหม่านของคนเรามีระดับที่ไม่เท่ากัน รวมถึงการที่กุรอานและฮะดีษถือว่าการเชื่อฟังอะฮ์ลุลบัยต์เป็นสัญลักษณ์ของผู้มีอีหม่านระดับสูง และจากการเปรียบเทียบแนวคิดของมัซฮับต่างๆกับเนื้อหาของอัลกุรอาน ก็จะได้ผลลัพธ์ว่า ผู้เจริญรอยตามอะฮ์ลุลบัยต์เท่านั้นที่เป็นผู้ศรัทธาที่มีระดับอีหม่านสูงเด่นตามทัศนะกุรอาน
อย่างไรก็ดี คำว่ามุอ์มินดังที่กล่าวมาข้างต้น ย่อมหมายถึงผู้ที่เชื่อมั่นในอะฮ์ลุลบัยต์ ทั้งในแง่แนวคิดและภาคปฏิบัติอย่างแท้จริง มิไช่บุคคลที่แอบอ้างอย่างฉาบฉวย

อย่างไรก็ดี จำเป็นต้องคำนึงถึงข้อเตือนใจสามประการ คือ.
หนึ่ง: คำว่าอิสลามกินความหมายกว้างกว่าคำว่าอีหม่านโดยที่ฮะดีษบทต่างๆ ได้อธิบายคุณลักษณะของมุอ์มินไว้แล้ว ฉะนั้น แม้ผู้ใดมีคุณสมบัติไม่ครบ ก็มิได้หมายความว่าเขามิไช่มุสลิม

สอง: นับตั้งแต่อิสลามยุคแรกเป็นต้นมา ทุกมัซฮับต่างก็แสดงความรักและให้เกียรติอะฮ์ลุลบัยต์ด้วยกันทั้งสิ้น ผู้รู้ฝ่ายซุนหนี่หลายท่านก็เคยประพันธ์หนังสือมากมายเกี่ยวกับอัตชีวประวัติของอะฮ์ลุลบัยต์  ซึ่งเราจะหยิบยกมานำเสนอในส่วนของรายละเอียดคำตอบ.

สาม: ผู้ที่ถือตามมัซฮับอื่นๆล้วนได้รับเกียรติในสายตาของผู้ยึดถือแนวทางอะฮ์ลุลบัยต์ และมีการถ้อยทีถ้อยอาศัยกันมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเรื่องความสัมพันธ์ในครอบครัว การศึกษา ความร่วมมือทางการเมืองและสังคม จึงทำให้สามารถพบเห็นผู้รู้ชีอะฮ์บางท่านเคยเล่าเรียนศาสตร์บางแขนงจากผู้รู้ฝ่ายซุนหนี่ ขณะเดียวกัน ในตำราฮะดีษของฝ่ายซุนหนี่ก็มีรายชื่อนักรายงานฮะดีษชีอะฮ์ปรากฏอยู่มากมาย

อย่างไรก็ดี การเสริมสร้างเอกภาพระหว่างพี่น้องมุสลิมถือเป็นวิธีขับเคลื่อนอิสลามสู่ความก้าวหน้า อีกทั้งยังเป็นปราการแข็งแกร่งที่ป้องกันศัตรูอิสลาม จึงจำเป็นต้องคำนึงถึงเอกภาพมากกว่ารายละเอียดปลีกย่อยอื่นๆ.

คำตอบเชิงรายละเอียด

คำว่ามุอ์มินมาจากรากศัพท์امنซึ่งมีความหมายว่า การแสดงท่าทียอมรับ, เชื่อมัน และความอุ่นใจ, การยอมสยบ.[1] คำว่ามุอ์มินีนจึงแปลว่า กลุ่มผู้ให้การยอมรับ
ส่วนความหมายในแวดวงอิสลาม คำนี้ใช้กับผู้ศรัทธาในอัลลอฮ์ ภักดีและยอมสยบต่อพระองค์ รวมทั้งเชื่อฟังบรรดาศาสนทูต  ท่านนบีกล่าวว่าอีหม่านประกอบด้วยการบรรลุด้วยใจ เอ่ยด้วยวจี และปฏิบัติด้วยสรรพางค์กาย[2]

สัญลักษณ์ของมุอ์มินที่ระบุในกุรอาน

กุรอานได้ระบุถึงสัญลักษณ์ของผู้ศรัทธาไว้ อาทิเช่น มุอ์มินเป็นผู้ที่ดำรงนมาซด้วยความนอบน้อม บริจาคในหนทางของพระองค์ หวังความสำเร็จจากพระองค์ กำชับกันในความดีและห้ามปรามจากความชั่ว หลีกห่างสิ่งไร้สาระ รักนวลสงวนตน เชื่อฟังและยอมสยบต่ออัลลอฮ์และท่านนบี(..)[3]
สัญลักษณ์ของมุอ์มินที่ระบุในกุรอานมิได้มีเพียงเท่านี้ สามารถกล่าวโดยสรุปได้ว่า มุอ์มินที่แท้จริงคือผู้ที่สยบต่อคำบัญชาและสารธรรมจากอัลลอฮ์และท่านนบี(..)โดยดุษณี[4] มิไช่ผู้ที่เลือกปฏิบัติศาสนกิจตามใจชอบ ทั้งนี้ฮะดีษต่างๆได้สาธยายคุณสมบัติของมุอ์มินไว้ดังนี้: เป็นผู้สงวนตนจากกิเลศตัณหาแม้ในที่ลับตาคน บริจาคทานทั้งที่ตนเองขัดสน อดทนต่อความทุกข์ยาก ระงับอารมณ์ยามโกรธ รักษาสัจจะ หวังความสำเร็จจากพระองค์ เชื่อฟังคำสั่งและพึงพอใจในลิขิตของพระองค์[5]

อนึ่ง แม้มุอ์มินทุกคนจะมีจุดร่วมเดียวกันในฐานะที่ยอมรับและเชื่อฟังพระองค์ แต่เนื่องจากมนุษย์เรามักจะมีความแตกต่างกันในแง่ของความรู้และความมุ่งมั่น จึงส่งผลให้ระดับอีหม่านของแต่ละคนแตกต่างกัน เป็นเหตุให้ฐานะภาพของมุอ์มินไม่เท่าเทียมกัน[6]ท่านอิมามศอดิก(.)กล่าวว่าอีหม่านเปรียบดั่งบันไดสิบขั้น ซึ่งจะต้องก้าวขึ้นไปละขั้น[7]

การยอมรับในวิลายะฮ์ของอะฮ์ลุลบัยต์ก็ถือเป็นหนึ่งในองค์ประกอบหลักของอีหม่าน บทสรุปที่ได้จากการศึกษากุรอานและฮะดีษก็คือความเชื่อที่ว่า การเชื่อฟังอะฮ์ลุลบัยต์มีบทบาทสำคัญในการสร้างเสริมอีหม่าน และหากผู้ใดมิได้ดำเนินชีวิตบนแนวทางของอะฮ์ลุลบัยต์ ย่อมถือว่าองค์ประกอบอีหม่านของเขายังบกพร่องอยู่

เราขอพิสูจน์วาทกรรมดังกล่าวโดยอ้างอิงโองการกุรอานและฮะดีษดังต่อไปนี้

1. โองการตับลีฆที่กล่าวว่าโอ้ศาสนทูต จงเผยแผ่สิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าของเจ้าประทานแด่เจ้า และมาตรว่าเจ้าไม่กระทำ (เท่ากับว่า)เจ้ามิได้เผยแผ่ศาสนสาส์นใดๆของพระองค์เลย[8]
อิบนุ อะซากิร(ผู้รู้ที่มีชื่อเสียงฝ่ายซุนหนี่) ได้รายงานจากอิบนุ สะอี้ด คุดรีด้วยสายรายงานศ่อเฮี้ยะห์ว่า โองการนี้ประทานแก่ท่านนบีในวันแห่งเฆาะดีร คุม โดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับท่านอลี()[9] จากโองการนี้ทำให้ทราบว่า การเผยแผ่ตำแหน่งวิลายะฮ์ของท่านอิมามอลี(.)ถือเป็นองค์ประกอบสำคัญในภารกิจการเป็นศาสนทูตของท่านนบี(..) นั่นหมายความว่า การยอมรับวิลายะฮ์ของท่านอิมามอลี(.)คือองค์ประกอบหลักของการยอมรับความเป็นศาสดาของท่านนบี(..)

2. โองการวิลายะฮ์ที่กล่าวว่าผู้มีสิทธิเหนือสูเจ้ามีเพียงอัลลอฮ์ และศาสนทูตของพระองค์ และเหล่ามุอ์มินที่ดำรงนมาซและบริจาคท่านแก่ผู้ยากไร้ขณะโค้งรุกู้อ์[10]
ตำราอรรถาธิบายกุรอานและตำราฮะดีษของฝ่ายซุนหนี่ต่างเห็นพ้องกันว่า โองการดังกล่าวประทานลงมาในกรณีของท่านอลี (.)[11]

ฉะนั้นจึงกล่าวได้ว่า หากผู้ใดเมินเฉยไม่ยอมรับวิลายะฮ์ของท่านอิมามอลี(.) เท่ากับว่าเขากำลังเมินเฉยต่อคำบัญชาที่สำคัญที่สุดประการหนึ่งของพระองค์เลยทีเดียว โองการข้างต้นระบุชัดเจนว่าวิลายะฮ์ของท่านอิมามอลีอยู่เคียงข้างวิลายะฮ์ของอัลลอฮ์และท่านนบี(..) และในเมื่อความศรัทธาต่ออัลลอฮ์และท่านนบี(..)ถือเป็นองค์ประกอบหลักของอีหม่าน วิลายะฮ์ของท่านอิมามอลี(.)จึงนับเป็นองค์ประกอบหลักของอีหม่านด้วยเช่นกัน ยังมีอีกหลายโองการที่ยืนยันเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่เพื่อไม่ให้คำตอบยืดยาวจึงขอยกมาเพียงสองโองการ

นอกจากนี้ยังมีฮะดีษรายงานจากท่านนบี(..)อีกมากมาย ซึ่งเราขอหยิบยกมาบางส่วนดังต่อไปนี้
1. ฮะดีษษะเกาะลัยน์: ทั้งฝ่ายชีอะฮ์และซุนหนี่ต่างรายงานตรงกันว่า ท่านนบี(..)ได้กล่าวว่าฉันขอฝากฝังเกี่ยวกับสองสิ่งสำคัญ ที่หากพวกท่านยึดเหนี่ยวไว้ ก็จะไม่หลงทางอย่างแน่นอน, นั่นคือคัมภีร์ของอัลลอฮ์ และวงศ์วานของฉัน[12]
ฮะดีษนี้ชี้ชัดว่าหากไม่ยึดเหนี่ยวอะฮ์ลุลบัยต์ ย่อมต้องพบกับความหลงทางอย่างไม่ต้องสงสัย จึงเข้าใจได้ว่าการเชื่อฟังอะฮ์ลุลบัยต์เป็นส่วนสำคัญของอีหม่านอย่างแท้จริง.

2. ฮะดีษสะฟีนะฮ์: ท่านนบีกล่าวว่าอุปมาอะฮ์ลุลบัยต์ของฉัน อุปไมยสำเภาท่านนบีนู้ห์ ผู้ใดเมินเฉยไม่สนใจ เขาจะพินาศในไฟนรก[13] ฮะดีษนี้มีนัยยะชัดเจนว่าการเคารพเชื่อฟังอะฮ์ลุลบัยต์ ถือเป็นส่วนหนึ่งของแก่นแท้แห่งอีหม่าน.

3. ฮะดีษมันซิละฮ์: ท่านนบีกล่าวแก่อิมามอลีว่าฐานะภาพของเธอที่มีต่อฉัน เทียบเท่าฐานะภาพของนบีฮารูนที่มีต่อนบีมูซา จะต่างกันเพียงว่าหลังจากฉันจะไม่มีศาสดาคนใดอีก[14] เนื้อหาของฮะดีษนี้ระบุชัดเจนว่า นอกจากตำแหน่งศาสดาแล้ว ท่านอิมามอลีมีฐานะภาพคล้ายคลึงกับท่านนบี(..)ทุกอย่าง  ทำให้ทราบว่า การเคารพเชื่อฟังท่านอิมามอลีมีผลโดยตรงต่อระดับอีหม่านในทำนองเดียวกับการเคารพเชื่อฟังท่านนบี(..)

ท่านอิมามบากิร กล่าวว่าอิสลามตั้งอยู่บนพื้นฐานห้าประการ นมาซ, ซะกาต, ศีลอด, ฮัจย์ และวิลายะฮ์ แต่ไม่มีประการใดจะได้รับการเน้นย้ำเชิญชวนเท่ากับวิลายะฮ์[15]
ท่านอิมามศอดิก กล่าวว่าหากแผ่นดินปราศจากอิมามเมื่อใด มันจะพังพินาศในบัดดล[16]
ฮะดีษเหล่านี้ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของหลักอิมามะฮ์และวิลายะฮ์(ภาวะผู้นำของอะฮ์ลุลบัยต์)ในการจุดคบเพลิงศรัทธาได้เป็นอย่างดี

จากเนื้อหาที่นำเสนอท่านผู้อ่านทั้งหมด ทำให้ทราบว่า มัซฮับเดียวที่สอดคล้องกับคำสอนของกุรอานอย่างแนบสนิท ทั้งในแง่ของความเชื่อ แนวคิด ทฤษฎีด้านศีลธรรม นิติศาสตร์และวิถีปฏิบัติ ก็คือมัซฮับที่เชื่อฟังอะฮ์ลุลบัยต์ อันเป็นแนวทางที่ทำให้สามารถเข้าใจแก่นแท้ของกุรอานและฮะดีษ ทำให้รอดพ้นความหลงผิดและข้อบิดเบือนคำสอนอิสลาม 

เพื่อพิสูจน์ทัศนคติดังกล่าว ควรคำนึงถึงสองประเด็นต่อไปนี้
หนึ่ง: ทั้งสายชีอะฮ์และซุนหนี่ต่างรายงานฮะดีษจากท่านนบีตรงกันว่า มุสลิมกลุ่มที่จะได้รับชัยชนะก็คือชีอะฮ์[17]
สอง: ควรศึกษาความเชื่อของฝ่ายชีอะฮ์โดยเปรียบเทียบกับกุรอาน
ผู้ที่สนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ ควรศึกษาจากหนังสือที่ผู้รู้ฝ่ายชีอะฮ์เขียนขึ้นเพื่อชี้แจงหลักความเชื่อของตน อาทิเช่น อะกออิดุช ชีอะฮ์ โดย มัรฮูม มุซ็อฟฟัร, บทเรียนอะกออิด โดย อุสตาซ มิศบาฮ์, ประมวลความเชื่อชีอะฮ์ โดย อุสตาซ ซุบฮานี, ชีอะฮ์ โดย อัลลามะฮ์ ฏอบาฏอบาอี, อัลมุรอญะอ้าต และ อัศลุชชีอะฮ์ วะ อุศูลุฮา ...ฯลฯ

อย่างไรก็ดี การที่จะศึกษาความเชื่อของมัซฮับใดอย่างถ่องแท้ ควรพิจารณาดังนี้
1. ควรพิจารณาความเชื่อของมัซฮับที่ต้องการศึกษาจากแหล่งข้อมูลที่เป็นที่ยอมรับของมัซฮับนั้นๆ ก่อนจะตัดสินว่ามัซฮับดังกล่าวถูกหรือผิด.
2.
ไม่ควรนำระดับความเคร่งครัดของผู้นับถือมัซฮับมาใช้พิจารณาความถูกต้องของเนื้อหามัซฮับได้ ต้องทราบว่า ชีอะฮ์ที่แท้จริงคือผู้ที่เข้าใจและยึดมั่นในความเชื่อของชีอะฮ์  ไม่ว่าจะในแง่ความรู้ ทัศนคติ และแนวพฤติกรรม มิไช่ผู้ที่แอบอ้างอย่างฉาบฉวย หรือผู้ที่เป็นชีอะฮ์ตามผู้อื่น
ทั้งนี้ บรรดาอิมามได้ระบุคุณสมบัติของชีอะฮ์ไว้อย่างชัดเจน ท่านอิมามบากิรกล่าวว่าขอสาบานต่ออัลลอฮ์ บุคคลที่ขาดคุณสมบัติต่อไปนี้หาไช่ชีอะฮ์ของเราไม่ เขาต้องยำเกรงและเชื่อฟังอัลลอฮ์ เห็นได้จากการที่เขานอบน้อมถ่อมตน ซื่อสัตย์ ปรนนิบัติบุพการี ช่วยเหลือเพื่อนบ้านผู้ยากไร้ ผู้มีหนี้สิน และลูกกำพร้า มีสัจจะวาจา อัญเชิญกุรอานเป็นประจำ และไม่เอ่ยวาจาต่อผู้ใดเว้นแต่คำอันไพเราะ[18]

สุดท้ายนี้ไคร่ขอนำเสนอสามประเด็นสำคัญ
1. ความหมายของคำว่าอิสลามย่อมกว้างกว่าคำว่าอีหม่านเสมอ ส่วนคำว่ามุอ์มินเป็นศัพท์ที่ได้รับการอธิบายโดยฮะดีษต่างๆไว้แล้ว ซึ่งหมายความว่าหากผู้ใดยังมีคุณสมบัติไม่ครบตามเงื่อนไข ก็มิได้หมายความว่าเขาพ้นสภาพมุสลิมแต่อย่างใด.
อิมามบากิร(.) กล่าวว่าอีหม่านคือสิ่งที่สถิตอยู่  หัวใจ และจะเชื่อมโยงระหว่างมนุษย์กับพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งได้รับการยืนยันโดยการปฎิบัติตามคำบัญชาและยอมสยบต่อพระองค์ ส่วนอิสลามคือสิ่งที่เผยออกทางวาจาหรือพฤติกรรม อันเป็นสิ่งที่ผู้คนจากทุกมัซฮับล้วนให้การยอมรับ ส่งผลให้พวกเขาได้รับความปลอดภัยในชีวิต ได้รับมรดก และสมรสกันอย่างถูกทำนองคลองธรรม ผู้คนจะปฏิบัตินมาซ จ่ายซะกาต ถือศีลอด และประกอบพิธีฮัจย์ โดยสิ่งเหล่านี้จะจำแนกพวกเขาออกจากกุฟร์(มิจฉาทิฐิ) และนำพาสู่อีหม่าน...”[19]

2. ทุกมัซฮับล้วนให้เกียรติอะฮ์ลุลบัยต์ด้วยกันทั้งสิ้น เห็นได้จากการที่มุสลิมจากทุกมัซฮับนับตั้งแต่อิสลามยุคแรกจวบจนปัจจุบัน ล้วนแสดงความรักความนิยมต่ออะฮ์ลุลบัยต์มาโดยตลอด อุละมาอ์ฝ่ายอะฮ์ลิสซุนนะฮ์บางท่านได้ประพันธ์หนังสือเกี่ยวกับบรรดาอิมามในวงศ์วานอะฮ์ลุลบัยต์โดยเฉพาะ อาทิเช่น
มะวัดดะตุล กุรบา, มีร ซัยร์ อลี ชาฟิอี.
ยะนาบีอุล มะวัดดะฮ์, เชค สุลัยมาน บัลคี ฮะนะฟี.
มิอ์รอญุล วุศูล ฟี มะอ์ริฟะติ อาลิร เราะซูล, ฮาฟิซ ญะมาลุดดีน ซะร็อนดี.
มะนากิ้บ วะ ฟะฎออิล อะฮ์ลิลบัยต์, ฮาฟิซ อบูนะอีม อิศฟะฮานี.
มะนากิ้บ อะฮ์ลิลบัยต์, อิบนุ มะฆอซิลี ฟะกีฮ์ ชาฟิอี.
ร็อชฟะตุศ ศอดี มิน บะฮ์ริ ฟะฎออิลิ บะนิน นบียิล ฮาดี, ซัยยิด อบีบักร์ บิน ชะฮาดะตุดดีน อะละวี.
อัลอิตฮาฟ บิฮุบบิล อัชรอฟ, เชค อิบดุลลอฮ์ มุฮัมมัด บิน อามิร ชิบรอวี.
อิห์ยาอุล มัยยิต บิฟะฎออิลิ อะฮ์ลิลบัยต์, ญะลาลุดดีน สุยูฏี.
ฟะรออิดุส สิมฏ็อยน์ ฟี ฟะฎออิลิล มุรตะฎอ วัซซะฮ์รอ วัซซิบฏ็อยน์, ชัยคุลอิสลาม อิบรอฮีม บิน มุฮัมมัด เฮาบะนี.
ซะคออิรุล อุกบา, อิมามุล ฮะร็อม ชาฟิอี.
ฟุศูลุล มุฮิมมะฮ์ ฟี มะอ์ริฟะติล อะอิมมะฮ์, นูรุดดีน บิน ศ่อบ้าฆ มาลิกี.
ตัซกิเราะตุล เคาะวาศิล อุมมะฮ์ ฟี มะอ์ริฟะติล อะอิมมะฮ์, ยูซุฟ สิปฏ์ บิน เญาซี.
กิฟายะตุฏฏอลิบ, มุฮัมมัด บิน ยูสุฟ ฆันญี ชาฟิอี.
มะฏอลิบิส สุอ์ลิ ฟี มะนากิบิ อาลิร เราะซูล, มุฮัมมัด บิน ฏ็อลหะฮ์ ชาฟิอี.

3. กลุ่มผู้เจริญรอยตามอะฮลุลบัยต์ต่างให้เกียรติพี่น้องต่างมัซฮับ และมีพฤติกรรมถ้อยทีถ้อยอาศัยกันมาโดยตลอด ไม่ว่าจะในด้านความสัมพันธ์ฉันเครือญาติ การเรียนการสอน ความร่วมมือด้านการเมืองและสังคม. ดังจะเห็นได้จากการที่อุละมาอ์ชีอะฮ์บางท่านเรียนรู้ศาสตร์บางแขนงจากอาจารย์ฝ่ายซุนหนี่ ดังกรณีของชะฮีด เอาวัล(มุฮัมมัด บิน มักกี) ซึ่งกล่าวกันว่าท่านได้รับอนุญาตให้สามารถรายงานฮะดีษจากอุละมาอ์ซุนหนี่กว่าสี่สิบท่านอย่างเป็นทางการ.[20]
ในทางตรงกันข้าม นักรายงานฮะดีษชีอะฮ์ก็มีบทบาทในการสืบทอดฮะดีษตามตำราสำคัญๆของฝ่ายซุนหนี่ไม่น้อย โดยท่านซัยยิด ชะเราะฟุดดีนได้รวบรวมชื่อบุคคลเหล่านี้ไว้ถึงหนึ่งร้อยท่านในหนังสือ อัลมุรอญะอาต.
อย่างไรก็ดี เอกภาพและความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันระหว่างพี่น้องมุสลิม ถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการขับเคลื่อนประชาคมมุสลิมสู่ความก้าวหน้า และยังเป็นเกราะป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุดในการเผชิญหน้ากับศัตรูอิสลาม.

ผู้สนใจสามารถหาอ่านเพิ่มเติมจาก:
คำถาม248, ดัชนี ชีอะฮ์กับสวรรค์
คำถาม283, ดัชนี สวรรค์กับต่างศาสนิก
คำถาม323, ดัชนี ผู้ผิดกับการรอดพ้นจากนรก.


[1] มุอ์ญัม มะกอยีซุล ลุเฆาะฮ์, อักร่อบุลมะวาริด, พจนานุกรมรวม, คำว่าامن

[2] กันซุ้ล อุมม้าล, หน้า 95.

[3] อัลอันฟาล, 2-4 และ อัตเตาบะฮ์, 71 และ อัลมุอ์มินูน, 1-11.

[4] อันนิซาอ์, 65, 150.

[5] อุศู้ล อัลกาฟี, เล่ม 2, หน้า 71, 232.

[6] อัลอันฟาล, 4 และ อัลมุญาดะละฮ์, 11 และ อัตเตาบะฮ์, 20.

[7] อุศู้ล อัลกาฟี, เล่ม 2, หน้า 45.

[8] อัลมาอิดะฮ์, 67.

[9] อิบนุ อะซากิร, ตัรญิมะฮ์ อิมามอลี(), เล่ม 2, หน้า 86.

[10] อัลมาอิดะฮ์, 55.

[11] วาฮิดี, อัสบาบุ้นนุซูล,หน้า 133 และ อัลกัชช้าฟ เล่ม 1, หน้า 649. และ อบูบักร์ ญัศศอศ, อะห์กามุ้ลกุรอาน, เล่ม 2, หน้า 446.

[12] เศาะฮี้ห์ ติรมิซี, เล่ม 5, หน้า 621.

[13] อิบนิ อะษี้ร, นิฮายะฮ์, รากศัพท์ زخ

[14] เศาะฮี้ห์ ติรมิซี, เล่ม 5, หน้า 641.

[15] อัลกาฟี, เล่ม 2,หน้า 18.

[16] อ้างแล้ว, เล่ม 1,หน้า 179.

[17] ดุรรุ้ล มันษู้ร, เล่ม 6,อธิบายโองการ7 ซูเราะฮ์อัลบัยยินะฮ์ และ อัลมีซาน, เล่ม 2,หน้า 341.

[18] ตุฮะฟุ้ล อุกู้ล, หน้า 338.

[19] عِدَّةٌ مِنْ أَصْحَابِنَا عَنْ سَهْلِ بْنِ زِیَادٍ وَ مُحَمَّدُ بْنُ یَحْیَى عَنْ أَحْمَدَ بْنِ مُحَمَّدٍ جَمِیعاً عَنِ ابْنِ مَحْبُوبٍ عَنْ عَلِیِّ بْنِ رِئَابٍ عَنْ حُمْرَانَ بْنِ أَعْیَنَ عَنْ أَبِی جَعْفَرٍ ع قَالَ سَمِعْتُهُ یَقُولُ الْإِیمَانُ مَا اسْتَقَرَّ فِی الْقَلْبِ وَ أَفْضَى بِهِ إِلَى اللَّهِ عَزَّ وَ جَلَّ وَ صَدَّقَهُ الْعَمَلُ بِالطَّاعَةِ لِلَّهِ وَ التَّسْلِیمِ لِأَمْرِهِ وَ الْإِسْلَامُ مَا ظَهَرَ مِنْ قَوْلٍ أَوْ فِعْلٍ وَ هُوَ الَّذِی عَلَیْهِ جَمَاعَةُ النَّاسِ مِنَ الْفِرَقِ کُلِّهَا وَ بِهِ حُقِنَتِ الدِّمَاءُ وَ عَلَیْهِ جَرَتِ الْمَوَارِیثُ وَ جَازَ النِّکَاحُ وَ اجْتَمَعُوا عَلَى الصَّلَاةِ وَ الزَّکَاةِ وَ الصَّوْمِ وَ الْحَجِّ فَخَرَجُوا بِذَلِکَ مِنَ الْکُفْرِ وَ أُضِیفُوا إِلَى الْإِیمَانِ وَ الْإِسْلَامُ لَا یَشْرَکُ الْإِیمَانَ وَ الْإِیمَانُ یَشْرَکُ الْإِسْلَامَ وَ هُمَا فِی الْقَوْلِ وَ الْفِعْلِ یَجْتَمِعَانِ کَمَا صَارَتِ الْکَعْبَةُ فِی الْمَسْجِدِ وَ الْمَسْجِدُ لَیْسَ فِی الْکَعْبَةِ وَ کَذَلِکَ الْإِیمَانُ یَشْرَکُ الْإِسْلَامَ وَ الْإِسْلَامُ لَا یَشْرَکُ الْإِیمَانَ وَ قَدْ قَالَ اللَّهُ عَزَّ وَ جَلَّ قالَتِ الْأَعْرابُ آمَنَّا قُلْ لَمْ تُؤْمِنُوا وَ لکِنْ قُولُوا أَسْلَمْنا وَ لَمَّا یَدْخُلِ الْإِیمانُ فِی قُلُوبِکُمْ فَقَوْلُ اللَّهِ عَزَّ وَ جَلَّ أَصْدَقُ الْقَوْلِ قُلْتُ فَهَلْ لِلْمُؤْمِنِ فَضْلٌ عَلَى الْمُسْلِمِ فِی شَیْ‏ءٍ مِنَ الْفَضَائِلِ وَ الْأَحْکَامِ وَ الْحُدُودِ وَ غَیْرِ ذَلِکَ فَقَالَ لَا هُمَا یَجْرِیَانِ فِی ذَلِکَ مَجْرَى وَاحِدٍ وَ لَکِنْ لِلْمُؤْمِنِ فَضْلٌ عَلَى الْمُسْلِمอัลกาฟี, เล่ม 2,หน้า 26.

[20] อัลลุมอะฮ์ อัดดิมัชกียะฮ์, หน้า 16.

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • เพราะสาเหตุใดการใส่ทองคำจึงฮะรอมสำหรับผู้ชาย?
    11670 ปรัชญาของศาสนา 2554/06/22
    ตามทัศนะของนักปราชญ์และผู้รู้การสวมใส่ทองคำสำหรับผู้ชายมีผลกระทบที่สามารถทำลายล้างได้กล่าวคือก) เป็นการกระตุ้นประสาท[1], ข) การเพิ่มจำนวนที่มากเกินไปของเซลล์เม็ดเลือดขาว[2]เหล่านี้คือผลเสียที่สามารถกล่าวถึงได้แต่ประเด็นทีต้องพิจารณาความรู้ที่รับผิดชอบต่อ"สุขภาพพลานามัย" ของมนุษย์ในขณะการปรับปรุงและพัฒนามิติด้านอาณาจักรที่เร้นลับและมิติทางจิตวิญญาณของมนุษย์ผู้ที่เป็นกังวลสมควรเป็นมุสลิมมากที่สุดซึ่งต้องพิจารณาที่ "ร่างกาย" และ "ความรู้" ระดับในการแสดงออกและเป็นบทนำสำหรับการพิจาณาในขั้นต่อไปเนื่องจากมนุษย์มิใช่เป็นเพียงดินหรือวัตถุเท่านั้นความเป็นมนุษยชาติขึ้นอยู่กับการเติบโตของความสามารถและศักยภาพต่างๆของมนุษย์พระเจ้าผู้ทรงอำนาจได้ประทานให้แก่พวกเขาโดยมีประสงค์ให้เขาบรรลุตำแหน่งเคาะลิฟะฮฺของพระองค์แต่จริงๆแล้วแนวทางที่ทำให้พรสวรรค์นี้เติบโตคืออะไร? ศัตรูและอุปสรรคของหนทางนี้อยู่ตรงไหน?อัลลอฮฺ (ซบ.) ได้อธิบายถึงแนวทางและอุปสรรคขวางกั้นพรสวรรค์และศักยภาพของมนุษย์ไว้ในรูปแบบของบัญญัติแห่งศาสนาในฐานะที่เป็นพระมหากรุณาธิคุณด้วยการพิจารณาข้อเท็จจริงต่างๆแล้วไม่อาจมีข้อสงสัยใดๆได้เลยว่าบทบัญญัติพระเจ้าเป็นความจริงที่เกิดขึ้นภายนอกและในตัวเองแต่ถ้าต้องการทราบถึงปรัชญาของสิ่งนั้นจำเป็นต้องพิจารณาประเด็นต่อไปนี้ด้วย:1- มนุษย์สามารถรับรู้ปรัชญาทั้งหมดของบทบัญญัติของพระเจ้าได้หรือไม่? แน่นอนคำตอบคือไม่เนื่องจาก:ก) เนื่องจากในตำราทางศาสนามิได้กล่าวถึงปรัชญาทั้งหมดของบทบัญญัติเอาไว้ข) บทบัญญัติที่กล่าวถึงปรัชญาของตัวเองเอาไว้ไม่อาจรับรู้ได้ว่ากล่าวถึงปรัชญาทั้งหมดแล้วหรือไม่, ทว่าบางครั้งบทบัญญัติเพียงข้อเดียวก็มีปรัชญากล่าวไว้อย่างมากมายแต่พระเจ้าทรงเลือกสรรที่จะกล่าวบางข้อเหล่านั้นเพื่อเป็นการย้ำเตือนความทรงจำค) ความรอบรู้ของมนุษย์ก็สามารถค้นหาปรัชญาและวิทยปัญญาบางประการของบทบัญญัติได้เท่านั้นมิใช่ทั้งหมด
  • วันเวลาที่แน่ชัดของการเป็นชะฮาดัตของท่านหญิงฟาติมะฮ์ ซะฮ์รอ (ซ.) คืออะไร?
    6744 تاريخ بزرگان 2555/04/21
    ในตำราประวัติศาสตร์มีทัศนะหลายเกี่ยวกับวันคล้ายวันชะฮาดัตของท่านหญิงฟาติมะฮ์ (ซ.) นักประวัติศาสตร์บางคนเชื่อว่านางสเยชีวิตหลังจากการจากไปของท่านศาสดา (ซ.ล.) 40 วัน บ้างก็เชื่อว่า 6 เดือน และอีกกลุ่มก็เชื่อว่า 8 เดือน ส่วนฮะดีษที่รายงานจากบรรดาอะอิมมะฮ์ระบุไว้สองทัศนะ โดยอุลามาอ์ชีอะฮ์ส่วนใหญ่เชื่อว่าฮะดีษที่ระบุว่าเธอเสียชีวิต 95 วันหลังจากการจากไปของท่านศาสดา (ซ.ล.) เป็นรายงานที่น่าเชื่อถือมากกว่า ...
  • การพูดคุยกับผู้หญิงที่ไม่เคยเห็น จะเป็นอะไรหรือไม่?
    8369 สิทธิและกฎหมาย 2554/11/21
    ตามหลักการคำสอนของอิสลามศาสนาบริสุทธิ์, การติดต่อสัมพันธ์ในทุกรูปแบบระหว่างชายหนุ่มและหญิงสาว,ถ้าการติดต่อสัมพันธ์กันนั้นเกรงว่าจะนำไปสู่ข้อครหาหรือเกรงว่าจะนำไปสู่บาปแล้วละก็ถือว่ไม่อนุญาตและมีปัญหาด้านกฏเกณฑ์แน่นอน
  • เพราะเหตุใดท่านอิมามอะลี (อ.) จึงไม่ขัดวาง การห้ามมิให้ท่านศาสดา (ซ็อลฯ) เขียนพินัยกรรม?
    6454 เทววิทยาดั้งเดิม 2555/07/16
    การขัดขวางหรือห้ามมิให้นำปากกาและกระดาษมาให้ท่านศาสดา (ซ็อลฯ) (เพื่อที่จะเขียนพินัยกรรมบางอย่างก่อนที่ท่านจะจากไป) เป็นเหตุการณ์ที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รับรู้กันทางประวัติศาสตร์ ซึ่งมีชื่อกล่าวเรียกกันไปต่างๆ นานา เช่น วันพฤหัสทมิฬ, หรือ วันแห่งกระดาษและปากกา, การนิ่งเงียบของท่านอิมามอะลี (อ.) ต่อเหตุการณ์ดังกล่าว มิได้เป็นเหตุผลที่มายืนยันหรือปฏิเสธความจริงที่เกิดขึ้น ทว่าสิ่งที่ต้องพิจารณาคือ ท่านอิมามมีเหตุผลอะไรถึงทำเช่นนั้น และการนิ่งเงียบของท่านอิมามขัดแย้งกับความกล้าหาญของท่านหรือไม่? เมื่อศึกษาเหตุการณ์ »ปากกาและกระดาษ« ซึ่งปรากฏอยู่ในหนังสือประวัติศาสตร์และหนังสืออื่นๆ ทำให้ได้บทสรุปว่า 1.ท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ถูกกล่าวร้ายว่า เป็นคนพูดจาเพ้อเจ้อ ศาสดาผู้ซึ่งอัลกุรอานได้ประทานลงมาเกี่ยวกับท่านว่า: »ท่านจะไม่พูดจากด้วยอารมณ์ ทว่าจะพูดเฉพาะสิ่งที่เป็นวะฮฺยูที่ได้ประทานลงมายังท่านเท่านั้น« ขณะที่เรื่องพินัยกรรม ก็นับได้ว่าเป็นหนึ่งในเรื่องที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง กับการประกาศสาส์นของท่าน 2.การเริ่มต้นความขัดแย้งและทะเลาะวิวาทกัน ต่อหน้าท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ประกอบกับท่านป่วยอยู่ด้วยในขณะนั้น แน่นอนว่าการกระทำดังกล่าวไม่ถูกต้อง ...
  • ถ้าบุคคลหนึ่งใช้ความรุนแรง เพื่อกระทำผิดประเวณี จะมีบทลงโทษอย่างไร?
    6881 ฮุดู้ด,กิศ้อศ,ดิยะฮ์ 2557/05/22
    บุคคลที่ใช้ความรุนแรงในการข่มขืนกระทำชำเรา หรือบีบบังคับหญิงให้กระทำผิดประเวณี- ซินา –กับตน เขาจะถูกตัดสินลงโทษด้วยการ ประหารชีวิต[1] และถ้าหากหญิงต้องการหนึ่ เพื่อให้รอดพ้นจากน้ำมือของคนชั่วที่จะกระทำซินา โดยที่นางต้องต่อสู้กับเขา ซึ่งนางไม่มีทางเลือกอื่นใดอีก นอกจากต้องสังหารเขา ผู้ที่จะกระทำการข่มขืนกระทำชำเรา ดังนั้น การฆ่าเขา ถือว่าอนุญาต เลือดของเขาถือว่าไร้ค่า และนางไม่ต้องเสียค่าปรับ หรือค่าสินไหมชดเชยอันใดทั้งสิ้น[2] คำตอบของฯพณฯอายะตุลลอฮฺ ฮาดะวี เตหะรานนี สำหรับคำถามในท่อนแรก มีดังนี้ ถ้าวัตถุประสงค์ของ ซินา มิได้หมายถึงการทำชู้ (บุคคลที่ไม่มีภรรยาตามชัรอีย์ หรือมีแต่ไม่อาจมีเพศสัมพันธ์ด้วยได้) ให้ลงโทษด้วยการเฆี่ยนตี 100 ครั้ง แต่ถ้าเป็นการทำชู้ ให้ลงโทษด้วยการขว้างด้วยก้อนหิน แต่ถ้าจุดประสงค์หมายถึง การลิวาฏ (ร่วมเพศทางทวารหนัก) ต้องถูกตัดสินประหารชีวิต แน่นอนว่า ถ้าเขาได้ซินากับหญิง โดยการบีบบังคับ ขืนใจ ...
  • หลังจากเสียชีวิต วิญญาณมนุษย์สามารถรับรู้เรื่องราวในโลกดุนยาหรือไม่?
    14547 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/08/09
    นัยยะที่ได้จากกุรอานและฮะดีษจากบรรดามะอ์ศูมีนบ่งชี้ว่าภายหลังจากเสียชีวิตวิญญาณผู้ตายสามารถแวะเวียนมายังโลกนี้เพื่อจะรับทราบสารทุข์สุขดิบของญาติมิตรได้และหลักฐานทางศาสนาก็มิได้ปฏิเสธบทบาทของมะลาอิกะฮ์เกี่ยวกับเรื่องนี้แถมยังระบุไว้ชัดเจนอีกด้วยดังฮะดีษต่อไปนี้“แน่นอนว่าวิญญาณผู้ศรัทธาจะกลับมาเยี่ยมครอบครัวเขาจะได้เห็นสิ่งที่ดีงามแต่จะไม่ได้เห็นเรื่องที่ไม่พึงประสงค์”“อัลลอฮ์จะส่งมะลาอิกะฮ์มาพร้อมกับวิญญาณผู้ศรัแธาเพื่อชี้ให้เขาเห็นเฉพาะสิ่งที่น่ายินดี” ...
  • ผู้มีญุนุบที่ได้ทำตะยัมมุมแทนการอาบน้ำยกหะดัสใหญ่ สามารถเข้ามัสยิดได้หรือไม่?
    6611 สิทธิและกฎหมาย 2554/08/08
    ผู้ที่มีญุนุบที่อยู่ในเงื่อนไขที่สามารถทำตะญัมมุมแทนการอาบน้ำยกหะดัสใหญ่นั้นหลังจากที่ได้ทำการตะยัมมุมแทนการอาบน้ำยกหะดัสใหญ่แล้วก็สามารถเข้าไปในมัสยิดเพื่อร่วมทำนมาซญะมาอัตหรือฟังบรรยายธรรมได้ท่านอิมามโคมัยนีได้ให้คำตอบเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวว่า: “ผลพวงทางด้านชาริอะฮ์ที่เกิดขึ้นจากการอาบน้ำยกหะดัสใหญ่จะมีในกรณีการทำการตะยัมมุมทดแทนเช่นกันนอกจากกรณีการตะยัมมุมทดแทนด้วยเหตุผลที่จะหมดเวลานมาซมัรญะอ์ท่านอื่นๆก็มีทัศนะนี้เช่นเดียวกัน
  • มีหลักฐานอนุญาตให้มะตั่มให้แก่ท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) หรือทำร้ายตัวเองของมุสลิมในช่วงเดือนมุฮัรรอม หรือเดือนอื่นหรือไม่?
    7635 ประวัติหลักกฎหมาย 2554/12/21
    การจัดพิธีกรรมรำลึกถึงท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) นับได้ว่าเป็นหนึ่งในอิบาดะฮฺที่ดีที่สุดและการกระทำทุกสิ่งที่สังคมยอมรับว่านั่นเป็นส่วนหนึ่งของการจัดพิธีกรรมถือว่าอนุญาต, เว้นเสียแต่ว่าสิ่งนั้นได้สร้างเสื่อมเสียหรือมีอันตรายจริง, หรือเป็นสาเหตุทำให้แนวทางชีอะฮฺต้องได้รับการดูถูกเหยียดหยามอย่างรุนแรงซึ่งการทุบอก
  • การเดินทางไปยังสถานที่แสวงบุญในกรณีที่อาจจะมีอันตรายถึงชีวิตถึงว่าเป็นฮะรอมหรือไม่?
    5850 สิทธิและกฎหมาย 2554/10/02
    การเดินทางไปยังสถานที่แสวงบุญเพื่อเยี่ยมเยียนวสุสานอันบริสุทธิ์ของบรรดาอาอิมมะฮ์ (อ.) ถือเป็นสิ่งที่ดีงามและได้รับการสนับสนุนจากบรรดาอิมาม(อ.) เนื่องจากจะช่วยเชิดชูเกียรติภูมิผลงานและความทรงจำเกี่ยวกับบรรดาอิมาม(
  • หากต้องการรับประทานอาหาร จะต้องขออนุญาตจากเจ้าของบ้านก่อนหรือไม่?
    5254 สิทธิและกฎหมาย 2554/08/17
    ในทัศนะของอิสลามแน่นอนว่าอาหารที่เราจะรับประทานนั้นนอกจากจะต้องฮะลาลและสะอาดแล้วจะต้องมุบาฮ์ด้วยกล่าวคือเจ้าของจะต้องยินยอมให้เรารับประทานและเราจะต้องรู้ว่าเขาอนุญาตจริงการรับประทานอาหารของผู้อื่นโดยที่เขาไม่อนุญาตถือว่าเป็นฮะรอมแต่ในกรณีที่เจ้าบ้านได้เชิญแขกมาที่บ้านเพื่อเลี้ยงอาหารโดยอำนวยความสะดวกให้และจัดเตรียมอาหารไว้ต้อนรับ

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    59308 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    56759 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    41585 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    38350 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    38324 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    33397 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    27490 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    27172 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    27061 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    25139 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...