การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
10142
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2554/07/10
 
รหัสในเว็บไซต์ fa1382 รหัสสำเนา 15030
คำถามอย่างย่อ
สาขามัซฮับที่สำคัญของชีอะฮ์มีจำนวนเท่าใด?
คำถาม
สาขามัซฮับที่สำคัญของชีอะฮ์มีจำนวนเท่าใด?
คำตอบโดยสังเขป

คำว่าชีอะฮ์โดยรากศัพท์แล้ว หมายถึงสหายหรือสาวกและยังแปลได้ว่าการมีแนวทางเดียวกันส่วนในแวดวงมุสลิมหมายถึงผู้เจริญรอยตามท่านอิมามอลี(.) ซึ่งมีการนิยามความหมายของคำว่าผู้เจริญรอยตามว่า หมายถึงผู้ที่รักท่านอิมามอลี(.) ผู้ที่ยกย่องท่านสูงกว่าท่านอุษมาน ผู้ที่ยกย่องท่านเหนือกว่าเคาะลีฟะฮ์ทั้งสามก่อนหน้าท่านรวมถึงบรรดาเศาะฮาบะฮ์ทั้งมวล กลุ่มผู้ที่เชื่อว่าท่านคือเคาะลีฟะฮ์ของท่านนบีโดยไม่มีผู้ใดกั้นกลาง.
อย่างไรก็ดี คำนิยามที่ครอบคลุมที่สุดเห็นจะเป็นนิยามที่ว่าชีอะฮ์คือ ผู้ที่อ้างอิงคำสั่งของท่านนบี(..)ในการพิสูจน์ว่าท่านอิมามอลี(.)เป็นเคาะลีฟะฮ์ของท่านนบี(..) และถือว่าท่านเป็นผู้ที่เหมาะสมที่สุดต่อการดำรงตำแหน่งเคาะลีฟะฮ์ภายหลังท่านนบี(..”
คำว่าชีอะฮ์มีความหมายค่อนข้างกว้าง และจากคำนิยามที่กล่าวไปแล้ว ทำให้สาขาต่างๆอาทิเช่น ซัยดียะฮ์ กีซานียะฮ์ อิสมาอีลียะฮ์ ฯลฯ รวมอยู่ในกลุ่มความหมายของชีอะฮ์ด้วยกันทั้งสิ้น

นอกจากคำว่าชีอะฮ์แล้ว ผู้เจริญรอยตามอิมามอลีและอะฮ์ลุลบัยต์ยังเป็นที่รู้จักกันในนาม ญะฟะรี, ฏอลิบี, คอศเศาะฮ์, อะละวี, อิมามี ฯลฯ
มีหลายทัศนะเกี่ยวกับจำนวนสาขามัซฮับที่สำคัญของชีอะฮ์ อาทิเช่น บัฆดาดีระบุไว้ในตำราว่า ชีอะฮ์มีสาขามัซฮับสำคัญสามสาขาด้วยกัน นั่นก็คือ ซัยดียะฮ์ กัยซานียะฮ์ และอิมามียะฮ์. แต่ชะฮ์ริสตานีได้เสริมอิสมาอีลียะฮ์เข้ามาอีกหนึ่งสาขาหลัก ส่วนคอญะฮ์ ฏูซี ได้แสดงทัศนะที่คล้ายคลึงกับบัฆดาดีไว้ในหนังสือก่อวาอิดุล อะกออิดอย่างไรก็ดี ทัศนะที่เป็นเอกฉันท์ในหมู่ผู้รู้ฝ่ายชีอะฮ์ ตลอดจนผู้เชี่ยวชาญด้านสาขามัซฮับก็คือ ชีอะฮ์มีสามสาขามัซฮับหลักดังที่ได้กล่าวไปแล้ว ส่วนแขนงย่อยจากสามสาขามัซฮับดังกล่าวจะมีอะไรบ้างนั้น ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่

คำตอบเชิงรายละเอียด

คำว่าชีอะฮ์ในทางภาษาอรับแปลว่าสาวกหรือสหายหรืออาจแปลได้ว่าการมีแนวทางเดียวกัน[1]
ส่วนในแวดวงมุสลิมแล้ว คำนี้มีนัยยะเกี่ยวข้องกับผู้เจริญรอยตามท่านอิมามอลี(.) ส่วนที่ว่าอะไรคือคำนิยามของผู้เจริญรอยรอยตามท่านอิมามอลี(.)นั้น มีทัศนะที่หลากหลายดังต่อไปนี้
1. ชีอะฮ์หมายถึงผู้ที่รักอิมามอลี(.)
2. ชีอะฮ์หมายถึงผู้ที่ยกย่องอิมามอลีเหนือกว่าท่านอุษมาน ซึ่งตรงกันข้ามกับคำว่าชีอะฮ์อุษมาน
3. ชีอะฮ์หมายถึงผู้ที่ยกย่องอิมามอลีเหนือกว่าท่านอุษมาน ตลอดจนเคาะลีฟะฮ์สองท่านแรก และเศาะฮาบะฮ์ทั้งหมด
4. ชีอะฮ์หมายถึงผู้ที่เชื่อมั่นว่าท่านอิมามอลีเป็นเคาะลีฟะฮ์ศาสดาโดยไม่มีผู้ใดกั้นกลาง
อย่างไรก็ดี คำนิยามดังกล่าวยังจำกัดความได้ไม่สมบูรณ์เท่าใดนัก หากพิจารณาถึงสาขาต่างๆของชีอะฮ์แล้ว คาดว่าคำนิยามต่อไปนี้น่าจะเหมาะสมที่สุด:ชีอะฮ์คือ ผู้ที่อ้างอิงคำสั่งของท่านนบี(..)ในการพิสูจน์ว่าท่านอิมามอลี(.)เป็นเคาะลีฟะฮ์ของท่านนบี(..) และถือว่าท่านเป็นผู้ที่เหมาะสมที่สุดต่อการดำรงตำแหน่งเคาะลีฟะฮ์ภายหลังท่านนบี(..)” คำนิยามนี้เน้นเกี่ยวกับคำสั่งแต่งตั้งผู้นำหลังนบี(..) อันเป็นข้อแตกต่างระหว่างชีอะฮ์กับมัซฮับอื่นๆ เนื่องจากมัซฮับอื่นๆเชื่อว่าตำแหน่งเคาะลีฟะฮ์ได้มาจากการเลือกตั้ง ส่วนชีอะฮ์เชื่อว่าตำแหน่งเคาะลีฟะฮ์จะต้องได้รับการแต่งตั้งโดยนบี(..)เท่านั้น

กำเนิดชีอะฮ์
นักวิชาการบางส่วนเชื่อว่ามัซฮับชีอะฮ์ถือกำเนิดภายหลังท่านนบี(..)เสียชีวิต ทัศนะนี้แบ่งออกเป็นความเห็นย่อยดังต่อไปนี้:
1.
ชีอะฮ์ถือกำเนิดในวันสะกีฟะฮ์ ซึ่งมีการถกเถียงอย่างเผ็ดร้อน โดยเศาะฮาบะฮ์ชั้นนำบางท่านกล่าวขึ้นว่าอลี(.)เหมาะสมที่สุดสำหรับตำแหน่งเคาะลีฟะฮ์(ผู้นำ)
2. ชีอะฮ์ถือกำเนิดช่วงปลายการปกครองของท่านอุษมาน โดยเชื่อว่าชีอะฮ์เริ่มก่อตัวขึ้นเนื่องจากแนวคิดของอับดุลลอฮ์ บิน สะบาอ์.
3. ชีอะฮ์ถือกำเนิดในวันที่ท่านอุษมานถูกลอบสังหาร
4. ชีอะฮ์ถือกำเนิดในช่วงระหว่างเหตุการณ์ตั้งอนุญาโตตุลาการหลังสงครามศิฟฟีนจนถึงบั้นปลายชีวิตของท่านอิมามอลี(.)
5. ชีอะฮ์ถือกำเนิดหลังเหตุสังหารอิมามฮุเซน(.)ที่กัรบะลา
นอกเหนือจากทัศนะที่ขัดแย้งกันเองดังกล่าว มีนักวิชาการบางท่านได้แก่ มัรฮูม กาชิฟุ้ลฆิฎอ, เชคมุฮัมมัด ฮุเซน มุซ็อฟฟัร, มุฮัมมัด ฮุเซน ซัยน์ อามิลี จากฝ่ายชีอะฮ์ และมุฮัมมัด กุรด์ อลี จากฝ่ายซุนหนี่เชื่อว่าชีอะฮ์ถือกำเนิดตั้งแต่ยุคของท่านนบี(..) เนื่องจากท่านนบี(..)เคยใช้คำว่าชีอะฮ์เรียกกลุ่มผู้นิยมอิมามอลี(.)หลายครั้งด้วยกัน โดยเชื่อว่าในยุคของท่านนบี(..)มีเศาะฮาบะฮ์กลุ่มหนึ่งเป็นที่รู้จักกันในนามชีอะฮ์ของอลี(.)”[2]

ที่ถูกต้องก็คือ ชีอะฮ์ถือกำเนิดในยุคของท่านนบี(..)และโดยท่านนบี(..)เอง เพียงแต่ภายหลังการเสียชีวิตของท่าน กลุ่มชีอะฮ์เริ่มเป็นที่ประจักษ์มากขึ้น ทั้งนี้ก็เนื่องจากเชื่อว่าท่านอิมามอลี(.)มีความเหมาะสมทั้งศักดิ์และสิทธิที่จะขึ้นดำรงตำแหน่งเคาะลีฟะฮ์ภายหลังท่านนบี(..)

อย่างไรก็ดี คำว่าชีอะฮ์เป็นคำที่มีความหมายค่อนข้างกว้าง ซึ่งหากยึดตามคำนิยามที่ได้กล่าวไปแล้ว ก็สามารถที่จะหมายรวมถึงสาขามัซฮับที่สำคัญของชีอะฮ์ได้ทั้งหมด อาทิเช่น ซัยดียะฮ์, กัยซานียะฮ์, อิสมาอีลียะฮ์ ฯลฯ
อนึ่ง นอกจากคำว่าชีอะฮ์แล้ว ยังมีคำอื่นๆที่ใช้กล่าวถึงหรือพาดพิงถึงผู้ยึดมั่นแนวทางอะฮ์ลุลบัยต์อีกหลายคำ ซึ่งมีข้อแตกต่างจากคำว่าชีอะฮ์อยู่บ้างดังต่อไปนี้:
1.
รอฟิฏี: ร็อฟฏุนแปลว่าการหันห่าง, ละทิ้ง, วางเฉย. กลุ่มผู้คัดค้านชีอะฮ์มักใช้คำนี้เพื่อการประณามชีอะฮ์ เกี่ยวกับที่มาของคำนี้ ว่ากันว่าเกิดจากการที่ชีอะฮ์ปฏิเสธความเหมาะสมของเคาะลีฟะฮ์สองท่านแรก จึงถูกประณามว่าเป็นพวกรอฟิฏีบ้างเชื่อว่าที่มาของคำนี้ เกิดจากการที่ชีอะฮ์ท้วงติงและปลีกตัวจากกองทัพของท่านซัยด์ เนื่องจากไม่พอใจที่ท่านมีท่าทีโอนอ่อนผ่อนตามเกี่ยวกับประเด็นตำแหน่งเคาะลีฟะฮ์ของสองท่านแรก อย่างไรก็ดี ไม่ว่าเราจะเชื่อว่าคำนี้มีที่มาอย่างไร คำนี้ก็ย่อมมีความหมายไม่กว้างเท่าคำว่าชีอะฮ์อย่างแน่นอน ทั้งนี้ก็เพราะคำว่ารอฟิฏีไม่รวมถึงสาขาซัยดียะฮ์

2. ญะอ์ฟะรี: จากความพยายามอันหนักหน่วงของท่านอิมามญะอ์ฟัร อัศศอดิก(.) ทำให้เหล่าชีอะฮ์ผู้ยึดถืออะฮ์ลุลบัยต์เป็นผู้นำได้รับหลักประกันในแง่ฟิกเกาะฮ์(บทบัญญัติศาสนา)และกะลาม(เทววิทยา) ชีอะฮ์ที่ได้รับคุณประโยชน์เหล่านี้จึงได้รับการขนานนามว่าญะอ์ฟะรีปัจจุบันนี้คำว่าญะฟะรีเทียบเท่าคำว่าชีอะฮ์ อิษนาอะชะรียะฮ์(อิมามสิบสอง) แม้ว่าเมื่อพิจารณาความหมายในเชิงศัพท์แล้ว ย่อมจะหมายรวมถึงสาขาอิสมาอีลียะฮ์ด้วย เนื่องจากพวกเขาก็เชื่อถือท่านอิมามญะอ์ฟัร อัศศอดิก(.)เช่นกัน
3. อิมามี: ตลอดระยะเวลาที่บรรดาอิมามยังมีชีวิตอยู่ คำนี้ใช้เรียกผู้ที่เชื่อมั่นในตำแหน่งอิมามของบรรดาอิมามมะอ์ศูม(ผู้ปราศจากบาป)ที่มีเชื้อสายจากท่านหญิงฟาฏิมะฮ์(.)จวบจนอิมามท่านที่สิบสอง อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาในเชิงประวัติศาสตร์ ความหมายของคำนี้เปลี่ยนแปลงไปบ้างในแต่ละยุค อาทิเช่น ในยุคของท่านอิมามอลี(.) คำนี้เทียบเท่าคำว่าชีอะฮ์ แต่ในปัจจุบันคำนี้เทียบเท่ากับคำว่าชีอะฮ์ อิษนาอะชะรียะฮ์
4. คอศเศาะฮ์: คำนี้จะใช้ในแวดวงวิชาฟิกเกาะฮ์(นิติศาสตร์อิสลาม)เป็นส่วนใหญ่ โดยใช้เพื่อจำแนกจากคำว่าอามมะฮ์อันหมายถึงมัซฮับอื่นๆที่ไม่ไช่ชีอะฮ์ ทั้งนี้คำว่าคอศเศาะฮ์หมายถึงชีอะฮ์ แต่หากเจาะจงมากกว่านี้ก็จะหมายถึงชีอะฮ์ อิษนาอะชะรียะฮ์ เนื่องจากได้รับหลักฟิกเกาะฮ์มาจากอิมามมะอ์ศูมทั้งสิบสองท่าน
5. อะละวี: ในอดีต คำนี้หมายถึงผู้ที่เชื่อว่าอิมามอลี(.)มีสถานะที่เหนือกว่าผู้อื่น แต่ในยุคหลังกลับมีนัยยะเพียงผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทางด้านใดด้านหนึ่งกับอิมามอลี(.)เท่านั้น
6. ฟาฏิมี: คำนี้มีนัยยะเกี่ยวกับวงศ์ตระกูลเป็นหลัก โดยมักใช้เพื่อจำแนกลูกหลานท่านอิมามฮะซันและอิมามฮุเซน(.)ออกจากลูกหลานของ มุฮัมมัด บินฮะนะฟียะฮ์ ซึ่งเป็นที่เชิดชูของสาขานิกายกัยซานียะฮ์ ทั้งนี้ก็เพราะ แม้มุฮัมมัดบินฮะนะฟียะฮ์จะเป็นบุตรของอิมามอลี(.)ก็จริง แต่หาได้เป็นบุตรของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์(.)ไม่.
7. ฏอลิบี: คำนี้ก็มีนัยยะในแง่วงศ์ตระกูลเช่นกัน แต่ความหมายของคำนี้จะกว้างกว่าสองคำก่อน เนื่องจากคำนี้หมายถึงวงศ์วานของอบูฏอลิบทั้งหมด ซึ่งรวมถึงสายตระกูลอื่นที่มิไช่อิมามอลี(.)ด้วย หากต้องการทราบรายละเอียดของคำนี้มากขึ้น กรุณาศึกษาจากหนังสือมะกอติลุฏฏอลิบียีนประพันธ์โดย อบุลฟะร็อจ อิศฟะฮานี ซึ่งรวบรวมเนื้อหาการต่อสู้ของสมาชิกสายตระกูลอบูฏอลิบทั้งหมด อาทิเช่นสายตระกูลของญะอ์ฟัร บิน อบีฏอลิบ(อัฏฏ็อยย้าร).
คำเหล่านี้ทั้งหมดคือคำที่ใช้เรียกชีอะฮ์ในประวัติศาสตร์ยุคต่างๆ

ในหน้าประวัติศาสตร์ มัซฮับชีอะฮ์เผชิญหน้ากับวิกฤติและได้รับโอกาสนับครั้งไม่ถ้วน วิกฤติที่เกือบจะทำให้ล่มสลาย และโอกาสที่เกือบจะทำให้ชีอะฮ์ได้ปกครองดินแดนมุสลิมเกือบทั้งหมด อย่างไรก็ดี สิ่งที่ทำให้มัซฮับชีอะฮ์โดดเด่นเป็นพิเศษก็คือปัจจัยต่างๆดังต่อไปนี้: ความเก่าแก่ของมัซฮับ ความพร้อมพรักเกี่ยวกับคำสอนด้านต่างๆ ศักยภาพและประสบการณ์จริงในการจัดตั้งรัฐในยุคต่างๆ และการมีเอกลักษณ์ที่เป็นอิสระจากมัซฮับอื่นๆ 

จากการที่ชีอะฮ์อุดมไปด้วยหลักประกันทางด้านสติปัญญา นิติศาสตร์อิสลาม เทววิทยา จริยศาสตร์อิสลาม ฯลฯ ทำให้มัซฮับนี้สามารถครองใจผู้คนและผลิดอกออกผลในประเทศต่างๆได้ แม้จะต้องฝ่าด่านอรหันต์การโฆษณาชวนเชื่อ, ข้อจำกัดและการกดดันต่างๆนานาก็ตาม

อย่างไรก็ดี ต้องยอมรับว่าความแตกแยกและการอุปโลกน์สาขาความเชื่อ ถือเป็นภัยคุกคามอันดับต้นๆที่ทุกศาสนาและทุกมัซฮับเผชิญมาตลอด มัซฮับชีอะฮ์ก็ถูกภัยดังกล่าวคุกคามเช่นกัน ซึ่งเราหวังเป็นอย่างยิ่งว่า เมื่อมวลมุสลิมผู้เชื่อฟังท่านศาสดา(..)และอะฮ์ลุลบัยต์(.)มีความรู้ความเข้าใจมากขึ้นแล้ว สักวันหนึ่งจะร่วมมือร่วมใจต่อต้านแผนการณ์ศัตรู และปลีกตัวจากสาขามัซฮับที่บิดเบือน กระทั่งสามารถร่วมกันอยู่ภายใต้ร่งธงอิสลามที่แท้จริงเพียงหนึ่งเดียว

ส่วนที่ถามว่าจำนวนของสาขามัซฮับหลักของชีอะฮ์มีเท่าใดนั้น มีหลากหลายคำตอบดังนี้:
บัฆดาดีกล่าวในหนังสืออุศูลฟิร่อกุ้ชชีอะฮ์ว่า ชีอะฮ์มีสามสาขามัซฮับหลักนั่นคือ ซัยดียะฮ์, กัยซานียะฮ์, อิมามียะฮ์. เบื้องแรกบัฆดาดีถือว่าพวกฆุล้าต(สุดโต่ง)เป็นสาขาหนึ่งของชีอะฮ์ แต่ภายหลังได้ปฏิเสธว่าพวกนี้ไม่ไช่สาขามัซฮับในอิสลาม เนื่องจากออกจากศาสนาไปแล้ว.[3]
ส่วนชะฮ์ริสตานีเชื่อว่าอิสมาอีลียะฮ์ก็เป็นสาขามัซฮับหลักของชีอะฮ์ และสรุปไว้ว่าชีอะฮ์มีห้าสาขามัซฮับหลัก[4]
คอญะฮ์ ฏูซี แสดงทัศนะที่ใกล้เคียงกับทัศนะของบัฆดาดีไว้ในหนังสือก่อวาอิดุลอะกออิดโดยเชื่อว่าสาขามัซฮับหลักของชีอะฮ์คือ ซัยดียะฮ์, กัยซานียะฮ์, อิมามียะฮ์.[5]
กอฎี อะฎุดิดดีน อีญี ก็ถือว่าชีอะฮ์มีสามสาขาหลักดังกล่าวเช่นกัน
แต่ก็มีนักวิชาการบางท่านเชื่อว่าชีอะฮ์มีสี่สาขามัซฮับหลัก นั่นคือ อิมามียะฮ์, กัยซานียะฮ์, ซัยดียะฮ์, อิสมาอีลียะฮ์

ทัศนะที่แพร่หลายในหมู่ผู้รู้ฝ่ายชีอะฮ์ และผู้เชี่ยวชาญด้านสาขามัซฮับก็คือ ชีอะฮ์มีสามสาขามัซฮับหลักดังกล่าว แต่ยังมีทัศนะขัดแย้งกันเกี่ยวกับจำนวนแขนงย่อยต่างๆของสาขาเหล่านั้น
เพื่อศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาอ่านหนังสืออัลฟัรกุบัยนัลฟิร็อก”,“อัลมิลัลวันนิฮัลและก่อวาอิดุลอะกออิด


[1] อัลกอมูซุ้ลมุฮีฏ เล่ม 3, หน้า 61,62, ตาญุ้ลอะรู้ส,เล่ม 5, หน้า 405, ลิซานุ้ลอรับ,เล่ม 7,หน้า 257 อันนิฮายะฮ์ อิบนุอะษี้ร,เล่ม 2,หน้า 246.

[2] ดู: ประวัติศาสตร์ชีอะฮ์ในอิหร่าน,ร่อซู้ล ญะฟะรียอน,หน้า 24-28.

[3] อัลฟัรกุบัยนัลฟิร็อก,อับดุลกอฮิร บัฆดาดี,หน้า 21-23.

[4] อัลมิลัลวันนิฮัล,ชะฮ์ริสตานี,เล่ม 1,หน้า 147.

[5] ก่อวาอิดุลอะกออิด,คอญะฮ์ ฏูซี,ค้นคว้าเพิ่มเติมโดยอลี ร็อบบานี,หน้า 110.

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • ทำไม อิบลิส (ซาตาน) จึงถูกสร้างขึ้นจากไฟ ?
    10683 เทววิทยาดั้งเดิม 2553/10/21
    คำถามนี้ไม่มีคำตอบแบบสั้น โปรดเลือกปุ่มคำตอบที่สมบูรณ์ ...
  • อิมามฮะซัน มุจญฺตะบา (อ.) ได้สมรสกับหญิงหลายคน และหย่าพวกนางหรือ?
    7455 ชีวประวัติมะอฺซูม (อ.) 2555/08/22
    หนึ่งในประเด็น อันเป็นความเสียหายใหญ่หลวง และน่าเสียใจว่าเป็นที่สนใจของแหล่งฮะดีซทั่วไปในอิสลาม, คือการอุปโลกน์และปลอมแปลงฮะดีซ โดยนำเอาฮะดีซเหล่านั้นมาปะปนรวมกับฮะดีซที่มีสายรายงานถูกต้อง โดยกลุ่มชนที่มีความลำเอียงและรับจ้าง ท่านอิมามฮะซัน มุจญฺตะบา (อ.) เป็นอิมามผู้บริสุทธิ์ท่านที่สอง, เป็นหนึ่งในบุคคลที่บรรดานักปลอมแปลงฮะดีซ ได้กุการมุสาพาดพิงไปถึงท่านอย่างหน้าอนาถใจที่สุด ในรูปแบบของรายงานฮะดีซ ซึ่งหนึ่งในการมุสาเหล่านั้นคือ การแต่งงานและการหย่าร้างจำนวนมากหลายครั้ง แต่หน้าเสียใจตรงที่ว่า รายงานเท็จเหล่านี้บันทึกอยู่ในแหล่งอ้างอิงฮะดีซและหนังสือประวัติศาสตร์ ทั้งซุนนียฺและชีอะฮฺ แต่ก็หน้ายินดีว่าหลักฐานทางประวัติศาสตร์ หลักความเชื่อที่ถูกต้องมีอยู่อยู่มือจำนวนไม่น้อยเช่นกัน ซึ่งทำให้การอุปโลกน์และปลอมแปลงฮะดีซของพวกเขาเป็นที่ประจักษ์ชัดเจน ...
  • ในมุมมองของรายงาน,ควรจะประพฤติตนอย่างไรกับผู้มิใช่มุสลิม?
    7646 สิทธิและกฎหมาย 2555/08/22
    อิสลาม เป็นศาสนาที่วางอยู่บนธรรมชาติอันสะอาดยิ่งของมนุษย์ ศาสนาแห่งความเมตตา ได้ถูกประทานลงมาเพื่อชี้นำมนุษย์ไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง และความผาสุกของมนุษย์ชาติทั้งหมด อีกด้านหนึ่งการเลือกนับถือศาสนาเป็นความอิสระของมนุษย์ ดังนั้น ในสังคมอิสลามนั้นท่านจะพบว่ามีผู้มิใช่มุสลิมปะปนอยู่ไม่มากก็น้อย อิสลามมีคำสั่งให้รักษาสิทธิ ประพฤติดี และอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างสงบสันติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับบุคคลที่นับถือศาสนา ไม่ว่าพวกเขาจะใช้ชีวิตอยู่ในสังคมอิสลาม ภายใต้การปกครองของรัฐอิสลาม หรือบุคคลที่อยู่ในสังคมอื่นที่มิใช่อิสลาม, ผู้ปฏิเสธศรัทธาที่ดำรงชีวิตอยู่ภายใต้รัฐอิสลาม จำเป็นรักษาเงื่อนไขของผู้ร่วมอาศัยด้วย ถ้าหากไม่รักษาเงื่อนไขของผู้ร่วมอาศัย หรือทรยศหักหลังก็จำเป็นต้องถูกลงโทษตามกฎหมายอิสลาม ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    38950 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ริวายะฮ์ที่กล่าวว่า “ในสมัยที่อิมามอลี (อ.) ปกครองอยู่ ท่านมักจะถือแซ่เดินไปตามถนนหนทางและท้องตลาดพร้อมจะลงโทษอาชญากรและผู้กระทำผิด” จริงหรือไม่?
    6412 สิทธิและกฎหมาย 2555/03/18
    สำนักงานท่านอายะตุลลอฮ์อัลอุซมา มะการิม ชีรอซี ริวายะฮ์ข้างต้นกล่าวถึงช่วงรุ่งอรุณขณะที่ท่านสำรวจท้องตลาดในเมืองกูฟะฮ์ และการที่ท่านมักจะพกแซ่ไปด้วยก็เนื่องจากต้องการให้ประชาชนสนใจและให้ความสำคัญกับกฏหมายนั่นเอง สำนักงานท่านอายะตุลลอฮ์อัลอุซมาศอฟีย์ กุลพัยกานี ริวายะฮ์ได้กล่าวไว้เช่นนั้นจริง และสิ่งที่อิมามอลี(อ.) ได้กระทำไปคือสิ่งที่จำเป็นต่อสถานการณ์ในยุคนั้น การห้ามปรามความชั่วย่อมมีหลายวิธีที่จะทำให้บังเกิดผล ดังนั้นจะต้องเลือกวิธีที่จะทำให้สังคมคล้อยตามความถูกต้อง คำตอบของท่านอายะตุลลอฮ์มะฮ์ดี ฮาดาวี เตหะรานี มีดังนี้ หากผู้ปกครองในอิสลามเห็นสมควรว่าจะต้องลงโทษผู้ต้องหาและผู้ร้ายในสถานที่เกิดเหตุ หลังจากที่พิสูจน์ความผิดด้วยวิธีที่ถูกต้อง และพิพากษาตามหลักศาสนาหรือข้อกำหนดที่ผู้ปกครองอิสลามได้กำหนดไว้ การลงทัณฑ์ในสถานที่เกิดเหตุถือว่าไม่ไช่เรื่องผิด และในการนี้ไม่จำเป็นต้องอ้างอิงริวายะฮ์ดังกล่าวแต่อย่างใด แต่รายงานที่ถูกต้องที่ปรากฏในตำราฮะดีษอย่าง กุตุบอัรบาอะฮ์[1] ก็คือ ท่านอิมามอลี (อ.) พกแซ่เดินไปตามท้องตลาดและมักจะตักเตือนประชาชนให้ระมัดระวังในเรื่องต่าง ๆ โดยไม่มีตำราเล่มใดบันทึกว่าอิมามอลี (อ.) เคยลงโทษผู้ใดในตลาด
  • ตัฟซีรอิมามฮะซัน อัสการีย์ (อ.) »อัลฮัมดุลลิลฮิร็อบบิลอาละมีน« หมายถึงอะไร?
    11262 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/05/17
    ตัฟซีรอิมามฮะซัน อัสการียฺ (อ.) เป็นหนึ่งในตัฟซีรที่กล่าวว่าเป็นของท่านอิมาม ซึ่งมีเหตุผลบางประการพาดพิงว่าตัฟซีรดังกล่าวเป็นของท่านอิมาม แต่เป็นเหตุผลที่เชื่อถือไม่ได้แน่นอน ตัฟซีรชุดนี้ได้มีการตีความอัลกุรอาน บทฟาติฮะฮฺ (ฮัม) และบทบะเกาะเราะฮฺ โองการ 282 โดยรายงานฮะดีซ ซึ่งในวิชาอุลูมกุรอานเรียกว่าตัฟซีร »มะอฺซูเราะฮฺ« อย่างไรก็ตาม, ท่านอิมามฮะซันอัสการียฺ (อ.) ได้อธิบายถึงประโยคที่ว่า «اَلْحَمْدُ لِلَّهِ رَبِّ الْعالَمِين» ไว้ในหลายประเด็น, เนื่องจาการขอบคุณอัลลอฮฺ เพราะความโปรดปรานต่างๆ อันไม่อาจคำนวณนับได้, การสนับสนุนสรรพสิ่งถูกสร้าง, ความประเสริฐ และความดีกว่าของชีอะฮฺ เนื่องจากการยอมรับวิลายะฮฺ และอิมามะฮฺของท่านอิมามอะลี (อ.) และกล่าวว่า เนื่องจากจำเป็นต้องขอบคุณอัลลอฮฺ เพราะความโปรดปรานของพระองค์ จึงได้กล่าวว่า «اَلْحَمْدُ لِلَّهِ رَبِّ الْعالَمِين» ...
  • โองการตัฏฮีร กล่าวอยู่ในอัลกุรอานบทใด?
    7548 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/06/30
    อัลกุรอาน โองการที่รู้จักกันเป็นอย่างดีหรือ โองการตัฏฮีร, โองการที่ 33 บทอัลอะฮฺซาบ.อัลกุรอาน โองการนี้อัลลอฮฺ ทรงอธิบายให้เห็นถึง พระประสงค์ที่เป็นตักวีนีของพระองค์ สำหรับการขจัดมลทินให้สะอาดบริสุทธิ์สมบูรณ์ แก่ชนกลุ่มหนึ่งนามว่า อะฮฺลุลบัยตฺ อัลกุรอาน โองการนี้นับว่าเป็นหนึ่งในโองการทรงเกียรติยศยิ่ง เนื่องจากมีรายงานจำนวนมากเกินกว่า 70 รายงาน ทั้งจากฝ่ายซุนนีและชีอะฮฺ กล่าวถึงสาเหตุแห่งการประทานลงมา จำนวนมากมายของรายงานเหล่านั้นอยู่ในขั้นที่ว่า ไม่มีความสงสัยอีกต่อไปเกี่ยวกับจุดประสงค์ของโองการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัตถุประสงค์ของโองการที่กล่าวเกี่ยวกับ อะฮฺลุลบัยตฺ ของท่านศาสดา (ซ็อล น) ซึ่งประกอบไปด้วย ท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ ท่านอะลี ท่านฮะซัน และท่านฮุซัยนฺ (อ.) แม้ว่าโองการข้างต้นจะถูกประทานลงมา ระหว่างโองการที่กล่าวถึงเหล่าภริยาของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ก็ตาม แต่ดังที่รายงานฮะดีซและเครื่องหมายอื่นๆ ที่บ่งบอกถึงประเด็นดังกล่าวนั้น สามารถเข้าใจได้ว่า โองการข้างต้นและบทบัญญัติของโองการ มิได้เกี่ยวข้องกับบรรดาภริยาของท่านศาสดาแต่อย่างใด และการกล่าวถึงโองการที่มิได้เกี่ยวข้องกันไว้ในที่เดียวกัน ...
  • ได้ยินว่าระหว่างสงครามอิรักกับอิหร่านนั้น ร่างของบางคนที่ได้ชะฮีดแล้ว, แต่ไม่เน่าเปื่อยสลาย, รายงานเหล่านี้เชื่อถือได้หรือยอมรับได้หรือไม่?
    8473 เทววิทยาดั้งเดิม 2555/05/17
    โดยปกติโครงสร้างของร่างกายมนุษย์, จะเป็นไปในลักษณะที่ว่า เมื่อจิตวิญญาณได้ถูกปลิดไปจากร่างกายแล้ว, ร่างกายของมนุษย์จะเผ่าเปื่อยและค่อยๆ สลายไป, ซึ่งมีโอกาสเป็นไปได้น้อยมาก ที่ร่างกายของบางคนหลังจากเสียชีวิตไปแล้วนานหลายปี จะไม่เน่าเปื่อยผุสลายและอยู่ในสภาพปกติ. แต่อีกด้านหนึ่ง อัลลอฮฺ ทรงพลานุภาพเหนือทุกสิ่งทุกอย่างและทุกการงาน[1] ซึ่งอย่าเพิ่งคิดว่าสิ่งนี้จะไม่มีความเป็นไปได้ หรือห่างไกลจากภูมิปัญญาแต่อย่างใด. เพราะว่านี่คือกฎเกณฑ์ทั่วไป ซึ่งได้รับการละเว้นไว้ในบางกรณี, เช่น กรณีที่ร่างของผู้ตายอาจจะไม่เน่าเปื่อย โดยอนุญาตของอัลลอฮฺ ดังเช่น มามมีย์ เป็นต้น จะเห็นว่าร่างกายของเขาไม่เน่าเปื่อย ซึ่งเรื่องนี้ได้ผ่านพ้นไปนานหลายพันปีแล้ว และประสบการณ์ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นความจริงดังกล่าวแล้วด้วย ดังนั้น ถ้าหากพระประสงค์ของอัลลอฮฺ ครอบคลุมเหนือประเด็นดังกล่าวนี้ ก็เป็นไปได้ที่ว่าบางคนอาจเสียชีวิตไปแล้วหลายร้อยปี แต่ร่างกายของเขาไม่เน่าเปื่อยผุสลาย ยังคงสมบูรณ์เหมือนเดิม แล้วพระองค์ทรงเป่าดวงวิญญาณให้เขาอีกครั้ง ซึ่งเขาผู้นั้นได้กลับมีชีวิตขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง, อัลกุรอานบางโองการ ก็ได้เน้นย้ำถึงเรื่องราวของศาสดาบางท่านเอาไว้[2] เช่นนี้เองสิ่งที่กล่าวไว้ในรายงานว่า ถ้าหากบุคคลใดที่มีนิสัยชอบทำฆุซลฺ ญุมุอะฮฺ, ร่างกายของเขาในหลุมฝังศพจะไม่เน่นเปื่อย
  • ในทัศนะอิสลาม บาปของฆาตกรที่เข้ารับอิสลามจะได้รับการอภัยหรือไม่?
    8114 สิทธิและกฎหมาย 2554/06/12
    อิสลามมีบทบัญญัติเฉพาะสำหรับผู้ที่เพิ่งเข้ารับอิสลามอาทิเช่นหากก่อนรับอิสลามเคยละเมิดสิทธิของอัลลอฮ์เช่นไม่ทำละหมาดหรือเคยทำบาปเป็นอาจินเขาจะได้รับอภัยโทษภายหลังเข้ารับอิสลามทว่าในส่วนของการล่วงละเมิดสิทธิเพื่อนมนุษย์เขาจะไม่ได้รับการอภัยใดๆเว้นแต่คู่กรณีจะยอมประนีประนอมและให้อภัยเท่านั้นฉะนั้นหากผู้ใดเคยล่วงละเมิดสิทธิของผู้อื่นเมื่อครั้งที่ยังมิได้รับอิสลามการเข้ารับอิสลามจะส่งผลให้เขาได้รับการอนุโลมโทษทัณฑ์จากอัลลอฮ์ก็จริงแต่ไม่ทำให้พ้นจากกระบวนการพิจารณาโทษในโลกนี้
  • การให้การเพื่อต้อนรับเดือนมุฮัรรอม ตามทัศนะของชีอะฮฺถือว่ามีความหมายหรือไม่?
    7480 สิทธิและกฎหมาย 2554/12/20
    การจัดพิธีกรรมรำลึกถึงโศกนาฏกรรมของท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) ถือเป็นซุนนะฮฺ (แบบฉบับ) ซึ่งได้รับการสถาปนาและสนับสนุนโดยบรรดาอิมามมะอฺซูม (อ.)

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60132 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    57573 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42220 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    39370 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    38950 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    34004 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    28021 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    27966 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    27804 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    25802 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...