การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
7727
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2553/12/22
 
รหัสในเว็บไซต์ fa1653 รหัสสำเนา 11560
คำถามอย่างย่อ
การแสวงหาความต้องการอื่น ๆ นอกจากพระเจ้า เช่นขอจากบบี (ซ็อล ฯ) และบรรดาอิมามผู้บริสุทธิ์ (อ.) เป็นชิริกหรือไม่ เพราะในความเป็นจริงผู้ตอบสนองความต้องการคือพระเจ้า
คำถาม
การแสวงหาความต้องการอื่น ๆ นอกจากพระเจ้า เช่นขอจากบบี (ซ็อล ฯ) และบรรดาอิมามผู้บริสุทธิ์ (อ.) เป็นชิริกหรือไม่ เพราะในความเป็นจริงผู้ตอบสนองความต้องการคือพระเจ้า
คำตอบโดยสังเขป

การให้ความเคารพ การย้อนกลับ การขอความต้องการไปยังผู้ทรงเกียรติ (พระศาสดาและบรรดาอิมาม) ถ้าหากมีเจตนาว่า พวกเขามีบทบาทต่อการเกิดผล และสามารถปลดเปลื้องความต้องการของเราได้ โดยเป็นอิสระจากพระเจ้า หรือปราศจากการพึ่งพิงไปยังอาตมันสากลของพระองค์ การมีเจตนารมณ์เช่นนี้ถือว่าเป็นชิริก อีกทั้งขัดแย้งกับเตาฮีดอัฟอาล (ความเป็นเอกภาพในการกระทำ) เนื่องจากพระองค์ปราศจากการพึ่งพิงไปยังสิ่งอื่นขณะที่สิ่งอื่นต้องพึ่งพิงไปยังพระองค์ ขัดแย้งกับเตาฮีดรุบูบียะฮฺ (อำนาจบริหารและบริบาลเป็นของพระองค์แต่เพียงผู้เดียว ส่วนบรรดาศาสดา มะลัก หรือปัจจัยทางธรรมชาติเป็นเพียงสื่อของพระองค์) ดังนั้น การมีเจตนาดังกล่าวถือว่าไม่เข้ากันและเป็นชิริกกับการบริบาลและการกระทำของพระองค์

แต่ถ้าการตะวัซซุล การให้ความเคารพ และการย้อนกลับมีเจตนารมณ์เพื่อว่า :

. เพื่อการเชื่อฟังปฏิบัติตามพระเจ้า

. การเผยแพร่ศาสนา เมื่อสัมพันธ์ไปยังความจริงที่ว่าพวกเขาได้สร้างศีลธรรม ความดีงามและการพัฒนาตลอดการออกกฎหมาย ซึ่งเป็นบุญคุณที่ท่านเหล่านั้นมีอยู่เหนือตัวเรา

. การสร้างแบบอย่างและการได้รับประโยชน์อันเฉพาะ จากความโปรดปรานอันเฉพาะของบรรดาท่านเหล่านั้น โดยที่เรามิได้คิดว่าท่านเหล่านั้นมิได้ปราศจากความต้องการไปยังอาตมันสากลในการบริบาลของพระเจ้า ฉะนั้น การคิดเช่นนี้ถือว่าไม่ขัดแย้งกับเตาฮีดรุบูบียะฮฺ (พระผู้ทรงบริบาล) ในฐานะที่พระองค์คือผู้ตอบสนองความต้องการ เนื่องจากในความเป็นจริงผู้กระทำ ผู้บริบาล และผู้ขจัดความต้องการของเรา ถึงแม้ว่าจะมาจากบรรดาท่านเหล่านั้น แต่เป็นไปในแนวตั้งของอำนาจบริบาลและการตอบสนองของพระเจ้า มิใช่เป็นไปในแนวนอนเพื่อที่ว่าสิ่งนั้นจะกลายเป็นชิริก

ด้วยเหตุนี้ มาตรฐานของการเป็นชิริก (ตั้งภาคีเทียบเคียงพระเจ้า) ในการแสวงหาความต้องการจากสิ่งอื่นอกจากพระเจ้า ขึ้นอยู่กับเจตนาของแต่ละบุคคล ฉะนั้น ถ้าหากบุคคลหนึ่งได้ตะวัซซุลไปยังพวกเขา โดยมอบความคู่ควรในการเคารพภักดี หรือการบริบาลโดยปราศจากการพึ่งพิงไปยังพระเจ้า การตะวัซซุลเช่นนี้ตามหลักความเชื่อแล้ว ถือว่าเป็นชิริก

แต่ถ้าเป็นไปเพื่อการเคารพภักดีพระเจ้า หรือการใช้ผลประโยชน์จากเกียรติยศและศักดิ์ศรีของพวกเขา และเพื่อให้ตัวตนบริสุทธิ์ของพวกเขาวิงวอนขอความต้องการของเราจากพระองค์ หรือโดยการอนุญาตของพระองค์ให้พวกเขาขจัดความต้องการของเรา การกระทำเช่นนี้มิใช่เพียงจะไม่เป็นชิริกเท่านั้น ทว่าผู้ที่ทำการตะวัซซุล ยังมีความหวังอย่างเต็มเปี่ยม เนื่องจากเขาได้ปฏิบัติไปตามพระบัญชาของพระเจ้า

คำตอบเชิงรายละเอียด

มนุษย์คือสรรพสิ่งมีสองมิติคือ กล่าวคือเป็นการรวมกันระหว่างวิญญาณอันเร้นลับกับร่างกายอันไม่จีรัง เป็นสสารวัตถุประเภทหนึ่งยากจนและต้องพึ่งพิง และเนื่องจากมีสององค์ประกอบสำคัญ ดังนั้น จำเป็นต้องกระทำเพื่อตอบสนองทั้งสององค์ประกอบด้วยความสมดุล ปราศจากความสุดโต่งไปด้านใดด้านหนึ่งเพื่อจะได้มีความสมบูรณ์แข็งแรง และสามารถดำรงสืบต่อไปได้อย่างปกติ มีความเจริญก้าวหน้าและมีการพัฒนาการไปสู่ความรุ่งเรืองสูงสุดอันแท้จริง (ไปสู่ตำแหน่งตัวแทนของพระเจ้า)

พระผู้อภิบาลผู้ทรงปรีชาญาณสูงสุดทรงกำหนดเป้าหมายแน่นอนในการการสร้างของมนุษย์ และทรงรอบรู้ความต้องการและความปรารถนาของมนุษย์ในทุกด้าน ทั้งก่อนหน้าที่จะสร้างรูปลักษณ์ของเขา หรือในเวลาเดียวกันที่ทรงสร้างพวกเขา พระองค์ทรงตระเตรียมการเพื่อขจัดความต้องต่างๆ ของพวกเขา นอกจากนี้พระองค์ยังทรงประสงค์ให้มนุษย์มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้นสืบต่อไป ตามกระบวนการทางธรรมชาติด้วยเจตนารมณ์เสรี ความสมบูรณ์แข็งแรงทางกายภาพและจิตวิญญาณ โดยการใช้สื่อเครื่องมือและสิ่งอำนวยความสะดวกที่ได้ทรงตระเตรียมไว้สำหรับเขา มิเช่นนั้นแล้วพระเจ้าทรงมีศักยภาพในการสร้างกายภาพของมนุษย์ให้สมบูรณ์ตั้งแต่ตอนแรก โดยที่เขาไม่ต้องมาวิวัฒนาการตนไปสู่ความสมบูรณ์อีก ดังการสร้างฟากฟ้าและแผ่นดิน หรือทรงสร้างจิตวิญญาณของมนุษย์ให้สมบูรณ์ตั้งแต่แรก ในแง่ของการแสดงความเคารพภักดี เพื่อว่าเขาจะได้เข้าไปสู่โลกแห่งความศักดิ์สิทธิ์และบริสุทธิ์ โดยปราศจากความขาดตกบกพร่อง  ดังเห็นได้จากการสร้างมวลมลาอิกะฮฺทั้งหลาย แต่ทว่าความประเสริฐของมนุษย์ที่มีเหนือสิ่งอื่นก็ตรงนี้เอง กล่าวคือขณะที่มนุษย์มีความต้องการทั้งด้านกายภาพและจิตวิญญาณ มนุษย์ยังสามารถพัฒนาตนไปสู่ตำแหน่งที่สูงส่งเหนือมวลมลาอิกะฮฺได้

ดังนั้น มนุษย์ผู้มีเจตนารมณ์เสรีหากต้องการขจัดความต้องการของตน จำเป็นต้องใช้ความโปรดปรานทั้งหมดของพระเจ้าที่แพร่หลายอยู่ในชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อจะได้คงมีอยู่ด้วยความสุขสมบูรณ์ และสำหรับการขจัดความต้องการทางด้านจิตวิญญาณ จำเป็นต้องใช้ประโยชน์จากหลักการและกฎเกณฑ์ต่างๆที่พระองค์ทรงกำหนด เพื่อที่ว่าจิตวิญญาณอันเร้นลับของตนจะได้สามารถเชื่อมโยงเข้ากับโลกแห่งความสูงส่ง และสามารถขจัดความต้องการของตนให้หมดไปได้

ในการใช้ปัจจัยที่เป็นตักวีนี เพื่อขจัดความต้องการทางกายภาพของมนุษย์ ตลอดจนการใช้ประโยชน์จากความต้องการอันกว้างไพศาลตลอดระยะเวลาทั้งกลางวันและกลางคืน ไม่ต้องสงสัยเลยเนื่องจากมนุษย์มี 2 องค์ประกอบสำคัญนับตั้งแต่แรกเกิดพวกเขามีความคุ้นเคยกับมัน ฉะนั้น ตามความคิดเห็นของผู้ที่มีความเคร่งครัดในศาสนา สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เป็นการใช้เครื่องมือหรือสื่อ อันเป็นสาเหตุของการขจัดความต้องการทางร่างกายของตน จะเป็นชิริก หรือเป็นการใช้ทรัพย์สินของพระเจ้าชนิดไม่ถูกที่ก็หาไม่

 

พระเจ้าผู้ทรงปรีชาญาณ ทรงขจัดความต้องการทางจิตวิญญาณของมนุษย์ ในรูปแบบของศาสนาและการออกกฎหมาย, โดยมอบอาหารที่สมบูรณ์แข็งแรงด้านความเชื่อศรัทธา การแสดงความเคารพภักดี จริยธรรม การอบรมสั่งสอน โดยผ่านกลุ่มชนนามว่าศาสดา (.) ซึ่งมาจากหมู่พวกเขาเอง ซึ่งพระองค์ทรงแต่งตั้งให้พวกเขาเป็นผู้ชี้นำสั่งสอน พระองค์ได้วางกฎหมายหมายหรือกฎเกณฑ์ขึ้น เพื่อเป็นแนวทางสำหรับมนุษย์ในการไปถึงยังตำแหน่งอันสูงศักดิ์ ขณะที่บรรดาศาสดาแห่งพระเจ้าเองต่างมีหน้าที่ในการรักษาขอบข่ายและปฏิบัติตามกฎเกณฑ์เหล่านั้น เพื่อว่าจะได้สามารถใช้หนทางดังกล่าวขจัดความต้องการด้านจิตวิญญาณของตน และสามารถเชื่อมต่อกับโลกแห่งความเร้นลับในอีกมิติหนึ่งซึ่งอยู่เหนือความรู้สึกของประสาทสัมผัสทั้งห้า และอยู่เหนือญาณวิสัยของมนุษย์ ซึ่งแน่นอนว่าในช่วงวันหนึ่งๆ ท่านได้ติดต่อกับโลกแห่งความเร้นลับนั้นเป็นช่วงเป็นระยะเวลา (ในรูปแบบของการอิบาดะฮฺประจำวัน) และในหมู่มนุษย์ด้วยกันเองมีบางคนที่ได้รับประโยชน์อย่างมหาศาลมากกว่าคนอื่น จากฎเกณฑ์ดังกล่าว ในลักษณะที่ว่าเขาได้ยกตัวเองพ้นไปจากโลกแห่งธรรมชาตินี้ไปสู่โลกในอีกมิติหนึ่ง บางคนประสบความสำเร็จถึงขั้นได้เป็นตัวแทนของพระเจ้าบนหน้าแผ่นดิน จากหนทางดังกล่าวนี้ บางคนก็ไม่อาจไปถึงยังความภิรมย์แห่งพระเจ้าได้ กล่าวคือ สื่อระหว่างโลกและบุคคลได้ตกค้างไปจากขบวน ดังนั้นการ ตกค้างนี่เองที่เขาจำเป็นต้องเลือกหนทางดังกล่าวเพื่อขจัดความต้องการแห่งจิตวิญญาณตน

ประเด็นนี้เองทำให้เกิดความสงสัยคลางแคลง ในความแตกต่างของการตะวัซซุลไปยังพวกเขา หรือการขอความช่วยเหลือจากผู้ทรงเกียรติเหล่านั้น กับความเป็นเอกเทศในการงาน หรือการบริบาลของพรเจ้า

แต่ทว่าดังที่กล่าวไปแล้วว่า การใช้ประโยชน์จากวัตถุสสาร เพื่อช่วยขจัดความต้องการทางกายภาพ ไม่เป็นชิริก เนื่องจากพระเจ้าได้ทรงสร้างสิ่งเหล่านั้นขึ้นมาเพื่อเอื้ออำนวยประโยชน์แก่มนุษย์ ดังที่อัลกุรอานก็กล่าวถึงประเด็นนี้เอาไว้[1] อีกทั้งพระองค์พระองค์ยังได้มอบสิทธิ์ในการใช้ประโยชน์จากสิ่งเหล่านั้นแก่พวกเขาอีกต่างหาก และมนุษย์ก็ทราบดีว่าสิ่งถูกสร้างทั้งหมดเหล่านี้ ไม่มีสิ่งใดเป็นเอกเทศโดยปราศจากการพึ่งพิงไปยังพระองค์ ด้วยเหตุนี้ การยึดมั่นหรือการตะวัซซุลไปยังผู้บริสุทธิ์เหล่านั้น เพื่อให้เกียรติเคารพและขจัดความต้องการของตน ไม่มีสิ่งใดขัดแย้งกับการยอมรับในอำนาจบริบาล หรือการงานของพระเจ้า หรือการเป็นผู้ขจัดความต้องการของพระเจ้าแม้แต่นิดเดียว เนื่องจากในการตะวัซซุลนั้นกับบุคคลเหล่านั้นไม่ได้เป็นไปในแนวนอนอันก่อให้เกิดการเป็นชิริกแต่อย่างใด ทว่ามนุษย์ทราบเป็นอย่างดีว่า การงานของผู้บริสุทธิ์เหล่านั้น ตลอดจนอำนาจบริหารของพวกเขาอยู่ในแนวตั้งของการงานและการบริบาลของพระเจ้า ประกอบกับการมีอยู่ของพวกเขาก็คล้ายเหมือนกับสิ่งอื่น ที่ยากจนและต้องพึ่งพิงไปยังอาตมันบริสุทธิ์ของพระเจ้า แน่นอน ถ้าพระองค์ไม่ทรงเมตตา หรือไม่ทรงการุณย์กับพวกเขา พวกเขาก็ไม่อาจเกิดขึ้นมาได้ แล้วจะนับประสาอะไรกับการงานและการบริหารหรือการขจัดความต้องการของมนุษย์ ดังนั้น การเชื่อในการกระทำคือการขจัดความต้องการของมนุษย์ของพวกเขา เป็นไปในแนวตั้งของพระเจ้า สิ่งนี้จึงไม่ถือว่าเป็นชิริกแต่อย่างใด[2]

แต่

แต่เป็นเพราะสาเหตุใด พระเจ้าจึงได้มีบัญชาให้เราย้อนกลับไปยังพวกเขาเหล่านั้น และเป็นเพราะเหตุใดที่เราต้องอาศัยสื่อเหล่านั้น เพื่อรังสรรค์ประโยชน์ทางด้านจิตวิญญาณและโลกแห่งความเร้นลับด้วย ประเด็นนี้สามารถตอบได้หลายเหตุผลด้วยกันกล่าวคือ :

1. บุคคลเหล่านี้ "คือสื่อนำไปสู่ความภิรมย์ของพระเจ้า" เป็นช่องทางที่ความเมตตาจากพระเจ้า,จะไหลหลั่งผ่านมาทางนี้แด่มวลสรรพสิ่งทั้งหลายบนจักรวาลนี้ และถ้ามีไม่บุคคลศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้บนโลก, พระเจ้าก็จะไม่สร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินและมวลสรรพสิ่งที่อยู่ระหว่างทั้งสองขึ้นมาการใดทั้งสิ้น ดังคำกล่าวของฮะดีซ กุดซีย์ ที่เชื่อถือได้ กล่าวว่าโอ้ บนีเอ๋ยถ้าหากไม่มีเธอ ข้าก็จะไม่สร้างจักรวาลนี้ขึ้นมา ถ้าหากไม่มีอะลี ข้าก็จะไม่ได้สร้างเธอขึ้นมา ถ้าไม่มีฟาฏิมะฮฺ ข้าก็จะไม่สร้างเธอทั้งสองคนขึ้นมา เนื่องจากการมีอยู่ของเธอทั้งสามคนคือความสมบูรณ์ของกันและกัน และเป็นสเหตุของการสร้างสรรพสิ่งอื่น[3]

ดังนั้น เพื่อการไปถึงยังแหล่งของพระเมตตาจำเป็นที่จะต้องใช้ประโยชน์จากเส้นทางดังกล่าว เพื่อว่าเราจะได้ไม่ถูกกีดกันจากพระเมตตาของพระองค์ ด้วยเหตุนี้ ในบทดุอาอ์ นุดบะฮฺ เราจึงอ่านว่า อยู่  ที่ใดหรือ ที่พำนักแห่งพระเจ้าพวกเราจะได้เข้าไปหา

2. บรรดาผู้ทีได้รับความโปรดปรานพิเศษจากพระเจ้า สื่อสร้างสรรค์ความใกล้ชิดของพระองค์ พวกเขาได้ย้อมตัวเองด้วยสีสันและคุณลักษณะของพระเจ้า การพิจารณาและมองไปยังพวกเขาประหนึ่งการจ้องมองไปยังพระเจ้า เนื่องจากความคุ้นเคยกับพวกเขา แม้ว่าจะอยู่ท่ามกลางอุปสรรคปัญหา ก็จะทำให้มนุษย์รำลึกถึงพระเจ้าและขอความคุ้มครองจากพระองค์ตลอดเสมอมา ดังคำวิงวอนในดุดอาอ์นุดบะฮฺที่กล่าวว่า :"อยู่  ที่ใดหรือ พระพักตร์อันศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า ซึ่งหมู่มวลมิตรของพระองค์ได้หันหน้าไปสู่

3 บรรดาผู้ทีได้รับความโปรดปรานพิเศษจากพระเจ้า สื่อสร้างสรรค์ความใกล้ชิดของพระองค์ ดุอาอ์ของพวกเขาจะไม่ถูกปฏิเสธ แต่จะถูกตอบจากพระเจ้า นอกจากนั้นชะฟาอะฮฺของพวกเขายังได้รับการตอบรับจากพระเจ้าด้วย ดังนั้น จะเห็นว่าในดุอาอ์ นุดบะฮฺ ได้กล่าวต่อไปอีกว่าอยู่  ที่ใดกันเล่าผู้ปัดเป่าความทุกข์ยาก เมื่อเราได้วิงวอนดุอาอ์ของเราจะถูกตอบรับและเนื่องจากพระองค์เป็นผู้มีเมตตาสูงส่ง ไม่ทรงปฏิเสธการวิงวอนของผู้ใดทั้งสิ้น และถ้าสิ่งที่วิงวอนขอไปนั้นตรงกับความเห็นพร้องของพระองค์ด้วยแล้ว พระองค์จะไม่ปล่อยให้เขากลับมือเปล่าอย่างแน่นอน ซึ่งสิ่งนี้ระหว่างบุคคลร่วมสมัยกับบรรดาท่านเหล่านั้น และระหว่างผู้ที่เดินทางไปเยี่ยมเยือนท่านต่างได้เห็นกับตาตัวเองหลายต่อหลายครั้ง ด้วยเหตุนี้ จึงมีเสียงกล่าวเรียกพวกท่านทั้งหลายว่าความเคยชินของพวกท่านคือความดีงาม ชะตาชีวิตของพวกท่านคือเกียรติยศ ฐานันดรของพวกท่านคือความสัจจริง ความซื่อสัตย์ และความเมตตา[4]

4. ความสัมพันธ์โดยตรงกับโลกเร้นลับ มนุษย์ที่ไม่เคยพัฒนาและขัดเกลาตนเอง หรือไม่เคยผ่านขบวนการเหล่านี้มาก่อนเขาไม่สามารถกระทำได้แน่นอน ดังนั้น ควรที่จะยึดเอาอุปกรณ์หรือแนวทางที่พระองค์ทรงมอบให้แก่เราเป็นเครื่องมือช่วยเหลือ ด้วยเหตุนี้ อัลลอฮฺตรัสงว่าโอ้ บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย พึงสำรวมตนต่ออัลลอฮ์เถิด และจงแสวงหาสื่อไปสู่พระองค์ และจงต่อสู้และเสียสละในทางของอัลลอฮ์เถิด เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับความสำเร็จ[5] นอกจากนั้นยังมีรายงานจำนวนมากมายกำกับไว้ว่า บรรดาอะฮฺลุลบัยต์ (.) คือสื่อของอัลลอฮฺ และ "ความเชื่อมั่นคงอันศักดิ์สิทธิ์ยิ่งของพระเจ้า ดังนั้น เป็นเรื่องธรรมดาที่ผู้ศรัทธาคนหนึ่ง จำเป็นต้องรู้จักพวกเขา และยึดพวกเขาไว้ให้มั่น[6] ในดุอาอ์นุดบะฮฺ กล่าวว่าเชื่อว่า :อยู่  ที่ใดกันเล่ม สื่อที่เชื่อมต่อระหว่างแผ่นดินและท้องฟ้า ?"

5. การรู้จักการหันหน้าไปสู่และการตะวัซซุลกับบุคคลเหล่านี้ คือมูลเหตุที่ทำให้ความต้องการของเราถูกแก้ไขจัดการ มูลเหตุของความคุ้นเคย, มิตรภาพและความรัก ซึ่งมิตรภาพและความรักที่มีต่อบุคคลเหล่านี้คือ มูลเหตุของการศึกษาและความเป็นเลิศในการชี้นำบุคคล ในขณะที่ตัวตนอันบริสุทธิ์ของพวกเขามิเคยต้องการ ความช่วยเหลือของประชาชน เนื่องจากพวกเขาได้รับความการุณย์พิเศษจากพระเจ้า ไปถึงยังเป้าหมายปลายทาง

6 การย้นอกลับของประชาชนไปยังหมู่มวลมิตรของพระเจ้าคือ ผลรางวัลประการหนึ่งซึ่งพวกเขาได้รับเนื่องจากความอุตสาหะที่ได้เพียรพยายามเอาไว้ ดังที่อัลลอฮฺตรัสกับท่านศาสดามุฮัมมัดว่าและยามหนึ่งของราตรี เจ้าจงตื่นขึ้นมานมาซ ด้วยความสมัครใจของเจ้า หวังว่าพระผู้อภิบาลของเจ้าจะทรงให้จ้าได้รับตำแหน่งที่ได้รับการสรรเสริญ (ตำแหน่งชะฟาอะฮฺทั้งโลกนี้และโลกหน้า)”[7]

7. การย้อนไปสู่และการตะวัซซุลของประชาชนที่มีต่อตัวตนศักดิ์สิทธิ์คือ สาเหตุของการส่งเสริมให้ผู้อื่นได้ปฏิบัติตามแนวทางของพวกเขาด้านหนึ่ง นอกจากนั้นยังเป็นการตัดขาดจากความยโสโอหัง ให้ออกไปจากผู้ที่ดำรงอิบาดะฮฺอย่างเนืองนิด ผู้มีความยำเกรง และผู้ที่ขัดเกลาตนเองให้สะอาดบริสุทธิ์ และยังเป็นการป้องกันและไม่เปิดโอกาสให้แก่ผู้ปลอมแปลงและผู้หลอกลวงทั้งหลายอีกด้วย

8. สถานภาพอันสูงส่งของมนุษย์ผู้สมบูรณ์แบบนั้นมีความโดดเด่นยิ่งกว่ามวลมลักทั้งหลาย เนื่องจาก :

1 มวลมลักทั้งในโลกนี้และปรโลกคือผู้รับใช้บ่าวผู้บริสุทธิ์

2 กิจการงานของมวลมลัก ไม่ถือว่าเป็นความพิเศษอันใดสำหรับพวกเขาแม้แต่นิดเดียว

3 ในค่ำคืนแห่งมิอ์รอจญ์ ท่านศาสดา (ซ็อล ) อยู่ไนตำแหน่งที่ล่วงล้ำเกินญิบรออีลเสียอีก และในบางที่มวลมลาอิกะฮฺคือผู้บริหารงานของพระเจ้าพวกเขาคือผู้บริหารกิจการ[8] (พวกเขาอยู่ในแนวตั้งของผู้ประกอบกิจการงานของพระเจ้า) ต่างไปจากมนุษย์ เพราะมนุษย์คือผู้สร้างตัวเองขึ้นไปสู่ความใกล้ชิดกับพระเจ้า ซึ่งมวลมลาอิกะฮฺมิได้เป็นเช่นนั้น

9. แบบฉบับของบรรดาผู้อาวุโส ผู้สูงศักดิ์คือ ภารกิจบางส่วนถ้าหากผู้อยู่ใต้บังคับชาสามารถปฏิบัติได้ เขาจะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของบุคคลเหล่านั้น เมื่อมีผู้มาพบพวกเขาจะได้ให้คำตอบหรือคำปรึกษาได้ เพื่อใช้วิธีการนี้เป็นการอบรมสั่งสอนบุคคลที่เลือกสรรพิเศษ และเป็นรางวัลในความพยายามที่พวกเขาได้ขวนขวายเอาไว้ อีกประการหนึ่งเพื่อให้บุคคลอื่นได้รู้จักตัวเขาและสถานภาพของเขา เพื่อจะได้มีความสะดวกในการไปมาหาสู่หรือติดต่อกับพวกเขา

อย่างไรก็ตาม บรรดาผู้ทีมาพบปะกับพวกเขาต่างทราบดีว่า สื่อนี้ไม่ได้อยู่ในสานเดียวกันกับพระเจ้าผู้ทรงสูงส่งอย่างแน่นอน และพวกเขาไม่กระทำสิ่งใดอันมิใช่พระประสงค์ หรือมิได้รับอนุญาตจากพระองค์อย่างแน่นอน

สรุป สาระสำคัญตามที่กล่าวมา : สำหรับการเชื่อมต่อกับโลกแห่งความเร้นลับ หรือการปฏิบัติตามพระบัญชาของพระเจ้า การอบรม การขัดเกลา การพัฒนา และการขจัดความต้องการของตนเองทั้งโลกนี้และโลกหน้า จำเป็นต้องรู้จักสื่อ และต้องย้อนกลับ ต้องตะวัซซุล และต้องมอบความรักแก่หมู่มวลมิตรของพระเจ้า การตะวัซซุลไปยังพวกเขา หมายถึง การยึดมั่นไปยังมูลเหตุ และสายเชือกอันเหนียวแน่นมั่นคงของพระเจ้าพระผู้อภิบาลผู้ทรงสูงสุด พวกเขาคือสื่อซึ่งการมีอยู่และเกียรติยศของพวกเขาทั้งหมด สัมพันธ์ติดอยู่กับอาตมันบริสุทธิ์ของพระเจ้า กิจการงานของพวกเขา คำพิพากษา และการขจัดความต้องการทั้งหลายของพวกเขา อยู่ในแนวตั้งแห่งกิจการงานของพระเจ้า แน่นอนว่า การย้อนกลับไปหรือการตะวัซซุลกับบุคคลเหล่านี้ จึงไม่เป็นชิริกแต่อย่างใดทั้งสิ้น เนื่องจากผู้ขจัดความต้องการทั้งปวง มีเฉพาะอัลลอฮฺ แต่เพียงผู้เดียว

แหล่งทรัพยากรทางวิชาการสำหรับการศึกษาเพิ่มเติม :

Mousavi Esfahani, Seyed Mohammad Taqi, Mkyal Almkarm, เล่ม. 1 และ 2, แปล, Seyed Mehdi Haeri Qazvin

Mesbah - Yazdi, Mohammad Taqi ออมูเซซอะกออิด, เล่ม 1-3

Mesbah - Yazdi, Mohammad Taqi มะอาริฟอัลกุรอาน, เล่ม 1-3

Shirvani, Ali, มะอาริฟอิสลามมี ในผลงานของชะฮีด Mottahary , หน้า. 250-251 และ 90-110

นอกจากนี้ยังมีหนังสือ ด้านกะลาม หมวดวิพากษ์เกี่ยวกับชะฟาอะฮฺ เตาฮีดอัฟอาล และบทวิพากษ์เกี่ยวกับอิมามมะฮฺ



[1]  อัลกุรอานบท ญาซียะฮฺ 12,13 บทลุกมาน 20

[2]  โปรดย้อนกลับไปศึกษาคำถามที่ 95 เจตนารมณ์เสรีของมนุษย์ คำถามที่ 217 และ 51 และคำถามที่ 80

[3] คัดลอกมาจาก บัรนาส เซามิอะฮฺ สะรอยี มะฮฺดี หนังสือ คืนอานุภาพคืออะไร พิมพ์ที่ เกาซัร เฆาะดีร เล่ม 2 หน้า 79,81

[4]  ซิยารัตญิมิอ์กะบีร

[5]  อัลกุรอานบท อัลมาอิดะฮฺ 35, บทอาลิอิมรอน 103, บทอัลอิสรอ 57

[6]  ฮาเอรีย์ ซัยยิดมะฮฺดี, ฉบับแปลหนังสือ มิกยาลุลมะการิม เล่ม 1 หน้า 625,639 , นอกจากนี้หนังสือตัฟซีร อีกหลายเล่มตอนอธิบายโองการดังกล่าว

[7] อัลกุรอานบท บทอัลอิสรอ 79

[8]  อัลกุรอานบทนาซิอาต 5

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • ทั้งที่ซะกาตไม่วาญิบสำหรับท่านอะลี (อ.) แล้วเพราะเหตุใดท่านต้องบริจาคซะกาตขณะนมาซด้วย ?
    6961 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/09/25
    ท่านอิมามอะลี (อ.) ไม่เคยเป็นคนจนหรือคนอนาถาจนไม่มีจะกินแต่อย่างใดแต่ท่านเป็นคนมีความพยายามสูงและไม่เคยหยุดนิ่ง, ท่านได้รับทรัพย์สินจำนวนมากมายแต่ทรัพย์ทั้งหมดเหล่านั้นท่านได้บริจาคไปในหนทางของอัลลอฮฺ (ซบ.), โดยไม่เหลือทรัพย์ส่วนใดไว้สำหรับตนเอง,ดังที่โองการต่างๆได้กล่าวถึงการบริจาคซะกาตของท่านไว้มากมายซึ่งหนึ่งในโองการเหล่านั้นก็คือโองการที่กำลังกล่าวถึงนอกจากนั้นแล้ววัฒนธรรมของอัลกุรอานยังได้กล่าวถึงการบริจาคที่เป็นมุสตะฮับ (สมัครใจ)
  • กรุณาไขเคล็ดลับวิธีบำรุงสมองทั้งในแง่รูปธรรมและนามธรรมตามที่ปรากฏในฮะดีษ
    7360 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/28
    ปัจจัยที่มีส่วนช่วยบำรุงสมองและเสริมความจำมีอยู่หลายประเภทอาทิเช่น1. ปัจจัยด้านจิตวิญญาณก. การรำลึกถึงอัลลอฮ์(ด้วยการปฏิบัติศาสนกิจโดยเฉพาะอย่างยิ่งการนมาซตรงเวลา)ข. อ่านบทดุอาที่มีผลต่อการเสริมความจำอย่างเช่นดุอาที่นบี(ซ.ล.)สอนแก่ท่านอิมามอลี(อ.)[i]سبحان من لایعتدى على اهل مملکته، سبحان من لایأخذ اهل الارض بالوان العذاب، سبحان الرؤوف الرحیم، اللهم اجعل لى فى قلبى نورا و بصرا و فهما و علما انک على کل ...
  • ทำไมอิมามฮุซัยน (อ.) จึงไม่ลุกขึ้นยืนในสมัยของมุอาวิยะฮ ?
    7508 ชีวประวัติมะอฺซูม (อ.) 2554/03/08
    สำหรับคำตอบที่ว่าเพราะเหตุใดท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) จึงไม่ลุกขึ้นยืนต่อสู้ในสมัยมุอาวิยะฮฺนั้นสามารถกล่าวได้ว่าอาจเป็นเพราะประเด็นเหล่านี้ :1. เป็นเพราะการให้เกียรติและเคารพในสนธิสัญญาของพี่ชายและอิมามของท่าน
  • มลาอิกะฮ์สร้างมาจากรัศมีของบรรดาอิมาม และมีหน้าที่ร่ำไห้แด่อิมามฮุเซน(อ.)กระนั้นหรือ?
    8981 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/12/19
    1. ความเชื่อที่ว่ามลาอิกะฮ์สร้างขึ้นจากรัศมีนั้นได้รับการยืนยันจากฮะดีษหลายบทที่รายงานไว้ในตำราฝ่ายชีอะฮ์และซุนหนี่ตำราชีอะฮ์บางเล่มระบุถึงการสร้างสิ่งมีชีวิตต่างๆรวมถึงมลาอิกะฮ์จากรัศมีของปูชนียบุคคลอย่างท่านนบี(ซ.ล.) หรือบรรดาอิมามหรือบุคคลอื่นๆดังที่ตำราของซุนหนี่เองก็เล่าว่าเคาะลีฟะฮ์ท่านแรกและคนอื่นๆถือกำเนิดจากรัศมีของท่านนบี(ซ.ล) การที่มีฮะดีษเหล่านี้ปรากฏอยู่ในตำรับตำราของแต่ละฝ่ายมิได้หมายความว่าทุกคนจะต้องคล้อยตามฮะดีษเหล่านี้เสมอไป อย่างไรก็ดีตำราฮะดีษชีอะฮ์ได้รายงานฮะดีษชุด "ฏีนัต" ไว้ซึ่งไม่อาจจะมองข้ามได้กล่าวโดยสรุปคือหากพบว่ามุสลิมแต่ละฝ่ายอาจมีทัศนะแตกต่างกันบ้างในเรื่องการสรรสร้างของพระองค์
  • ท่านอิมามอะลี (อ.) ได้ให้บัยอัตแก่อบูบักรฺ อุมัร และอุสมานหรือไม่? เพราะอะไร?
    10155 เทววิทยาดั้งเดิม 2555/07/16
    ประการแรก: ท่านอิมามอะลี (อ.) และบรรดาสหายกลุ่มหนึ่งของท่าน พร้อมกับสหายของท่านศาสดา มิได้ให้บัยอัตกับท่านอบูบักรฺตั้งแต่แรก แต่ต่อมาคนกลุ่มนี้ได้ให้บัยอัต ก็เนื่องจากว่าต้องการปกปักรักษาอิสลาม และความสงบสันติในรัฐอิสลาม ประการที่สอง: ปัญหาทั้งหมดที่เกิดขึ้นนั้นไม่อาจคลี่คลายให้เสร็จสิ้นได้ด้วยคมดาบ หรือความกล้าหาญเพียงอย่างเดียว และมิได้หมายความว่าทุกที่จะสามารถใช้กำลังได้ทั้งหมด เนื่องจากมนุษย์เป็นผู้มีสติปัญญา และฉลาดหลักแหลม สามารถใช้เครื่องมืออันเฉพาะแก้ไขปัญหาได้ ประการที่สาม: ถ้าหากท่านอิมามยอมให้บัยอัตกับบางคน เพื่อปกป้องรักษาสิ่งที่มีคุณค่ามากกว่า เช่น ปกป้องศาสนาของพระเจ้า และความยากลำบากของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) นั่นมิได้หมายความว่า ท่านเกรงกลัวอำนาจของพวกเขา และต้องการรักษาชีวิตของตนให้รอดปลอดภัย หรือท่านมีอำนาจต่อรองในตำแหน่งอิมามะฮฺและการเป็นผู้นำน้อยกว่าพวกเขาแต่อย่างใด ประการที่สี่ : จากประวัติศาสตร์และคำพูดของท่านอิมามอะลี (อ.) เข้าใจได้ว่า ท่านอิมาม ได้พยายามคัดค้านและท้วงติงพวกเขาหลายต่อหลายครั้ง เกี่ยวกับสถานภาพตามความจริง ในช่วงการปกครองของพวกเขา แต่ในที่สุดท่านได้พยายามปกปักรักษาอิสลามด้วยการนิ่งเงียบ และช่วยเหลืองานรัฐอิสลามเมื่อเผชิญหน้ากับศัตรู ...
  • การนอนในศาสนสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เช่นบริเวณฮะร็อมมีฮุกุมอย่างไร?
    5350 สิทธิและกฎหมาย 2554/11/19
    ฮะร็อม(บริเวณสุสาน)ของบรรดาอิมามตลอดจนศาสนสถานถือเป็นสถานที่ที่มุสลิมให้เกียรติมาโดยตลอดเนื่องจากการแสดงความเคารพสถานที่เหล่านี้ถือเป็นการให้เกียรติบรรดาอิมามและบุคคลสำคัญต่างๆที่ฝังอยู่ณสุสานดังกล่าวฉะนั้นควรหลีกเลี่ยงการกระทำที่ส่อไปในทางลบหลู่ดูหมิ่นสถานที่เหล่านี้เท่าที่จะทำได้แต่ทว่าในแง่ของฟิกฮ์การนอนในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เช่นมัสยิด, ฮะร็อมฯลฯถือว่าไม่เป็นที่ต้องห้ามนอกจากคนทั่วไปจะมองว่าการนอนในสถานที่ดังกล่าวเป็นการไม่ให้เกียรติสถานที่ซึ่งในกรณีนี้เนื่องจากวิถีประชาเห็นว่าการกระทำนี้เป็นสิ่งที่ไม่บังควรก็จะถึอว่าไม่ควรกระทำไม่ว่าสถานที่เหล่านั้นจะเป็นมัสยิดหรือฮะร็อมของบรรดาอาอิมมะฮ์ฯลฯก็ตาม
  • มีภัยคุกคามใดที่อาจจะเกิดขึ้นกับสาธารณรับอิสลาม?
    5365 ระบบต่างๆ 2554/11/21
    เพื่อที่จะทราบถึงภัยคุกคามของสิ่งๆหนึ่งก่อนอื่นเราจะต้องทำความรู้จักกับมูลเหตุต่างๆที่ทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น (ปัจจัยกำเนิด) และสิ่งที่จะทำให้สิ่งนั้นดำรงอยู่ (ปัจจัยพิทักษ์) เสียก่อนเนื่องจากภัยคุกคามที่อาจจะเกิดขึ้นกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งก็คือภัยที่จะคุกคามสองปัจจัยดังกล่าวนี่เองปัจจัยกำเนิดและพิทักษ์ของสาธารณรัฐอิสลามก็คือ 1. หลักคำสอนที่สูงส่งของอิสลาม (การปฏิบัติตามคำสั่งและหลักคำสอนของอิสลาม) 2. การมีผู้นำการปฏิวัติที่รอบรู้ 3. ความเป็นปึกแผ่นของประชาชนและการเชื่อฟังผู้นำหากปัจจัยดังกล่าวถูกคุกคามสาธารณรัฐอิสลามก็จะตกอยู่ในอันตรายฉะนั้นประชาชนเจ้าหน้าที่รัฐ
  • เนื่องจากการเสริมสวยใบหน้า ดังนั้น กรณีนี้สามารถทำตะยัมมุมแทนวุฎูอฺได้หรือไม่?
    9265 สิทธิและกฎหมาย 2556/01/24
    ทัศนะบรรดามัรญิอฺ ตักลีดเห็นพร้องต้องกันว่า สิ่งที่กล่าวมาในคำถามนั้นไม่อาจนำมาเป็นข้ออ้าง เพื่อละทิ้งวุฎูอฺหรือฆุซลฺ และทำตะยัมมุมแทนได้เด็ดขาด[1] กรณีลักษณะเช่นนี้ ผู้ที่มีความสำรวมตนส่วนใหญ่จะวางแผนไว้ก่อน เพื่อไม่ให้โปรแกรมเสริมสวยมามีผลกระทบกับการปฏิบัติสิ่งวาญิบของตน ซึ่งส่วนใหญ่จะทราบเป็นอย่างดีว่าเวลาที่ใช้ในการเสริมสวยแต่ละครั้งจะไม่เกิน 6 ชม. ดังนั้น ช่วงเวลาซุฮฺรฺ เจ้าสาวสามารถทำวุฏูอฺและนะมาซในร้านเสริมสวย หลังจากนั้นค่อยเริ่มแต่งหน้าเสริมสวย จนกว่าจะถึงอะซานมัฆริบให้รักษาวุฏูอฺเอาไว้ และเมื่ออะซานมัฆริบดังขึ้น เธอสามารถทำนะมาซมัฆริบและอิชาอฺได้ทันที ดังนั้น ถ้าหากมีการจัดระเบียบเวลาให้เรียบร้อยก่อน เธอก็สามารถทำได้ตามกล่าวมาอย่างลงตัว อย่างไรก็ตามเจ้าสาวต้องรู้ว่าเครื่องสำอางที่เธอแต่งหน้าไว้นั้น ต้องสามารถล้างน้ำออกได้อย่างง่ายดาย และต้องไม่เป็นอุปสรรคกีดกั้นน้ำสำหรับการทำวุฎูอฺเพื่อนะมาซซุบฮฺในวันใหม่ [1] มะการิมชีรอซียฺ,นาซิร,อะฮฺกามบานูวอน, ...
  • การเข้าร่วมงานแต่งงานที่มีจำนวนแขกจำ ซึ่งกำหนดไว้ก่อนแล้วล่วงหนา แต่แขกที่มาไม่มีใครคุมผ้าเรียบร้อยสักคนเมื่ออยู่ต่อหน้าเจ้าบ่าว กรณีนี้กฎเกณฑ์ทางศาสนบัญญัติกล่าวไว้อย่างไร (และลักษณะงานเช่นนี้ โดยทั่วไปเจ้าบ่าวและมะฮาริมที่เข้าร่วมงานแต่ง ตลอดงานนิกาฮฺจะแยกระหว่างชายหญิง)
    4701 สิทธิและกฎหมาย 2562/06/15
    เริ่มแรกเกี่ยวกับคำถามข้างต้น ขอกล่าวถึงทัศนะของมัรญิอฺตักลีด 1.งานสมรสตามประเพณีอิสลาม คือการร่วมแสดงความสุข รื่นเริง โดยปราศจากการกระทำความผิดบาปต่าง ๆ หรือภารกิจต่าง ๆ ที่ฮะรอม และมารยาทอันไม่ดีไม่งาม ที่มิใช่วิสัยของมนุษย์[1] 2.เมื่ออยู่ต่อหน้าเจ้าบ่าว หรือนามะฮฺรัมคนอื่น จำเป็นต้องรักษาฮิญาบ อย่างเคร่งครัด ซึ่งตรงนี้ไม่แตกต่างกันระหว่างงานสมรส และงานชุมนุมอย่างอื่น[2] 3.การเข้าร่วมงานสมรส หรืองานสังสรรค์อื่นๆ ซึ่งภายในงานนั้นมิได้เอาใจใส่สิ่งเป็นวาญิบในอิสลาม (เช่น แขกที่มาอยู่รวมกันทั้งชายและหญิง มีการเต้นรำ หรือเปิดเพลงที่ฮะรอม อย่างเปิดเผย) ถือว่าฮะรอม[3] 4. ถ้างานสมรสมิได้เป็นไปในลักษณะที่ว่า เป็นงานสังสรรค์แบบไร้สาระ ฮะรอม เป็นบาป หรือการปรากฏตัวในงานเหล่านั้น มิได้เป็นการสนับสนุนการก่อความเสียหาย ซึ่งการเข้าร่วมในงานสังสรรค์เช่นนั้น โดยทั่วไปไม่ถือว่าเป็นการสนับสนุน ถือว่าไม่เป็นไร
  • แถวนมาซญะมาอะฮฺควรตั้งอย่างไร? การเคลื่อนในนมาซทำให้บาฎิลหรือไม่?
    6811 สิทธิและกฎหมาย 2554/06/21
    เกี่ยวกับคำถามของท่านในเรื่องการจัดแถวนมาซญะมาอะฮฺมีกล่าวไว้แล้วในหนังสือฟิกฮต่างๆ :1. มะอฺมูมต้องไม่ยืนล้ำหน้าอิมามญะมาอะฮฺ[1]2. มุสตะฮับถ้าหากมะอฺมูม,เป็นชายเพียงคนเดียว, ให้ยืนด้านขวามือของอิมามญะมาอะฮฺ[2], และเป็นอิฮฺติยาฏวาญิบให้ยืนถอยไปด้านหลังของอิมามญะมาอะฮฺแต่ถ้ามีมะอฺมูมหลายคนให้ยืนด้านหลังของอิมามญะมาอะฮฺ[3]ดังนั้นโดยทั่วไปของเรื่องนี้ต้องการให้แต่ละคนจากมะอฺมูมคนที่ 1 และ 2 ปฏิบัติหน้าที่ของตนส่วนคำตอบสำหรับคำถามที่ว่ามะอฺมูมคนที่สองเป็นสาเหตุทำให้มะอฺมูมคนแรกต้องเคลื่อนที่ในนมาซญะมาอะฮฺอันเป็นสาเหตุทำให้นมาซของเขาบาฏิลหรือไม่นั้น, ต้องกล่าวว่า: การกระทำใดก็ตามที่ทำให้รูปแบบของมนาซต้องสูญเสียไปถือว่านมาซบาฏิล, เช่นการกอดอกหรือการกระโดดและฯลฯ[4]มัรฮูมซัยยิดกาซิมเฎาะบาเฏาะบาอียัซดีกล่าวว่า[5]ขณะนมาซ,ถ้าได้เคลื่อนเพื่อหันให้ตรงกับกิบละฮฺ[6]ถือว่าถูกต้อง,แม้ว่าจะถอยไปสองสามก้าวหรือมากกว่านั้น, เนื่องจากการเคลื่อนเพียงเท่านี้ไม่นับว่าเป็นอากับกริยาเพิ่มในนมาซทั้งที่มิได้มีการเคลื่อนมากมายและไม่ถือเป็นการทำลายรูปลักษณ์ของนมาซหรือเคลื่อนมากไปกว่านั้นก็ยังไม่ถือว่าทำลายรูปลักณ์ของนมาซอยู่ดีด้วยเหตุนี้มีรายงานอนุญาตให้กระทำเช่นนั้นด้วย

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60074 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    57461 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42157 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    39251 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    38900 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    33960 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    27975 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    27896 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    27720 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    25733 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...