การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
10383
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2554/06/21
 
รหัสในเว็บไซต์ fa2153 รหัสสำเนา 14707
คำถามอย่างย่อ
ใครคือบุคคลทีได้เข้าสรวงสวรรค์?
คำถาม
ใครคือบุคคลทีได้เข้าสรวงสวรรค์?
คำตอบโดยสังเขป

จากการศึกษาอัลกุรอาน หลายโองการเข้าใจได้ว่า สวรรค์ คือพันธสัญญาแน่นอนของพระเจ้า และจะตกไปถึงบุคคลที่มีความสำรวมตนจากความชั่วมุตตะกีหรือผู้ศรัทธามุอฺมินผู้ที่ปฏิบัติตามพระบัญชาของพระเจ้า (ซบ.) และคำสั่งสอนของท่านเราะซูล (ซ็อล ) โดยสมบูรณ์ บุคคลเหล่านี้คือผู้ได้รับความจำเริญและความสุขอันแท้จริง และเป็นผู้อยู่ในกลุ่มของผู้ประสบความสำเร็จทั้งหลาย

ด้วยการพิจารณาพระบัญชาของอัลลอฮฺ (ซบ.) และคำสอนของท่านเราะซูล (ซ็อล ) เข้าใจได้ว่าพระบัญชาของพระองค์และคำสั่งของเราะซูล (ซ็อล ) กำชับว่าจำเป็นต้องเชื่อฟังปฏิบัติตาม วะลียุลอัมริ, และการรู้จักบรรดาอิมามพร้อมกับมอบสิทธิอันชอบธรรมแก่บรรดาอะฮฺลุลบัยตฺ (.) ดังนั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสำหรับผู้ที่ไม่มีได้มีความเชื่อด้วยหัวใจ, หรือด้วยคำพูด อีกทั้งมิได้ปฏิบัติคำสั่งของอัลลอฮฺ (ซบ.) เราะซูล (ซ็อล ) ของพระองค์ อัลกุรอาน และอะฮฺลุลบัยตฺ (.) แล้วไซร้ เขาผู้นั้นมิใช่ผู้ศรัทธาที่แท้จริง เมื่อเป็นเช่นนั้นความเมตตา และพันธสัญญาของอัลลอฮฺจะไม่ครอบคลุมไปถึงพวกเขาอย่างแน่นอน, เนื่องจากอัลกุรอานกล่าวว่า

إِنَّ الَّذِینَ آمَنُوا وَعَمِلُوا الصَّالِحَاتِ لَهُمْ جَنَّاتٌ تَجْرِی مِن تَحْتِهَا الْأَنْهَارُ ذَلِکَ الْفَوْزُ الْکَبِیرُ      

ส่วนบรรดาผู้ศรัทธาและประกอบความดีทั้งหลาย พวกเขาจะได้รับสรวงสวรรค์หลากหลาย  เบื้องล่างมีลําน้ำหลายสายไหลผ่าน นั่นคือชัยชนะอันใหญ่หลวง[i]

ตามความเป็นจริงแล้วสวรรค์หรือนรก คือ ผลลัพธ์ของหลักความเชื่อและการปฏิบัติตัว ซึ่งเราได้ประกอบไว้บนหน้าแผ่นดิน อัลกุรอาน กล่าวว่า :

إِنْ أَحْسَنتُمْ أَحْسَنتُمْ لِأَنفُسِکُمْ وَإِنْ أَسَأْتُمْ فَلَهَا

หากสูเจ้าทำความดี สูเจ้าก็ทำเพื่อตัวของเจ้าเอง และหากว่าสูเจ้าทำความชั่ว ก็เพื่อตัวเอง

ความจำเป็นในการเชื่อฟังปฏิบัติตามอะฮฺลุลบัยตฺ (.) สูงส่งและยิ่งใหญ่เกินกว่าคำกล่าวอ้างว่า รักพวกเขา และสิ่งนี้มิใช่เฉพาะชีอะฮฺเท่านั้นที่กล่าวอธิบายเอาไว้ ความลับในการเข้าสู่สรวงสวรรค์ขึ้นอยู่กับ ความรู้จักที่มีต่อบรรดาอะฮฺลุลบัยตฺ (.) แก่นของการรู้จักอันเป็นความเข้าใจและเป็นกุญแจสำคัญคือ : ความหมายของคำว่า อิมาม. วาญิบต้องเชื่อฟังปฏิบัติตามอิมาม, ความจำเป็นในการมีอยู่ของอิมาม, ความต้องการในอิมามเพื่อการรู้จักความสุขและความจำเริญอันแท้จริง และฯลฯ

ซึ่งสามารถกล่าวสรุปได้ว่า บุคคลใดก็ตามที่ไม่อาจเข้าถึงความจริงนี้ได้ หรือเขามิได้เพิกเฉยต่อการศึกษาหาความจริงแต่อย่างใด เขาจึงไม่มีความผิด และไม่ต้องถูกลงโทษในนรก เนื่องจาก นรก คือสถานที่ ที่ถูกเตรียมไว้สำหรับบุคคลที่ทำความผิดและบาปกรรมต่างๆ มิได้ถูกเตรียมไว้สำหรับผู้ที่ไม่รู้จักความจริง หรือแก่แท้ของความจริง หรือไม่อาจเข้าถึงความจริงได้แต่อย่างใด



[i] อัลกุรอาน บทอัลบุรูจญฺ โองการที่ 11

คำตอบเชิงรายละเอียด

สรวงสวรรค์,คือสัญญาแน่นอนของอัลลอฮฺ (ซบ.)[1] แต่ส่วนข้อสัญญาของพระองค์ครอบคลุมถึงผู้ใดบ้าง? จากการศึกษาอัลกุรอานหลายโองการที่กล่าวถึงชาวสวรรค์ เข้าใจได้ว่า :

"وعدالله المؤمنین و المؤمنات جنات تجری من تحتها الانهار"،

อัลลอฮฺได้ทรงสัญญาแก่บรรดาผู้ศรัทธาชายและบรรดาผู้ศรัทธาหญิง ว่าจะให้สวนสวรรค์ซึ่ง  เบื้องล่างมีแม่น้ำหลายสายไหลผ่าน[2]

โองการระบุให้เห็นอย่างชัดเจนว่า การเข้าสวรรค์นั้นมีเงื่อนไขสำคัญอยู่ประการหนึ่งนั่นคือ การเป็นผู้ศรัทธามุอฺมินแต่ผู้ศรัทธาเป็นใคร? การเอ่ยชะฮาดะตัยนฺด้วยปากเพียงอย่างเดียวถือว่าเพียงพอต่อการเป็นผู้ศรัทธา แล้วได้เข้าสวรรค์ไปรวมกับผู้ศรัทธาทีแท้จริงกระนั้นหรือ?

อัลกุรอาน กล่าวถึงผู้ศรัทธาว่า

"و من یطع الله و رسوله یدخله جنات تجری من تحتها الانهار".

ผู้ใดที่เชื่อฟังอัลลอฮฺและศาสนทูตของพระองค์ พระองค์ก็จะทรงนำเขาเข้าสู่สวนสวรรค์หลากหลาย  เบื้องล่างมีแม่น้ำหลายสายไหลผ่าน[3]

บรรดาผู้ศรัทธาที่ได้เข้าสู่สรวงสวรรค์ได้แก่บรรดาผู้ซึ่ง เชื่อฟังปฏิบัติตามอัลลอฮฺ (ซบ.) และเราะซูลของพระองค์โดยสมบูรณ์ ส่วนการเชื่อฟังปฏิบัติตามอัลลอฮฺและเราะซูลนั้นทำอย่างไร? อัลกุรอานหลายโองการได้กล่าวถึงประเด็นนี้เอาไว้ เข้าใจได้ว่า การเชื่อฟังปฏิบัติตามนั้นมี 2 ลักษณะ กล่าวคือความศรัทธาและการปฏิบัตินั่นเอง อัลกุรอานกล่าวว่า 

إِنَّ الَّذِینَ آمَنُوا وَعَمِلُوا الصَّالِحَاتِ لَهُمْ جَنَّاتٌ تَجْرِی مِن تَحْتِهَا الْأَنْهَارُ ذَلِکَ الْفَوْزُ الْکَبِیرُ      

ส่วนบรรดาผู้ศรัทธาและประกอบความดีทั้งหลาย พวกเขาจะได้รับสรวงสวรรค์หลากหลาย  เบื้องล่างมีลําน้ำหลายสายไหลผ่าน นั่นคือชัยชนะอันใหญ่หลวง[4]

ฉะนั้น :

- ตราบที่ยังไม่ได้เชื่อฟังปฏิบัติตามเราะซูล (ซ็อล ) ถือว่าเขามิใช่ผู้ปฏิบัติตามโดยแท้

- การเชื่อฟังปฏิบัติตามต้องเกิดจากใจโดยมีศรัทธามั่น ควบคู่กับการปฏิบัติตามความเชื่อนั้น

-เพียงแค่ไม่เชื่อหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเราะซูล (ซ็อล ) เพียงคำสั่งเดียว ไม่ถือว่าเป็นผู้ภักดีโดยสมบูรณ์

ผลของการมีศรัทธาและประกอบการดีคืออะไร?

จากการพิจารณาอัลกุรอานอันเป็นองค์ประกอบสมบูรณ์ด้วย วิทยปัญญาและความละเอียดอ่อน ซึ่งผลจากทั้งสองประการนี้ได้ก่อให้เกิดผลลัพธ์แห่งความสำรวมตนจากความชั่วหรือที่เรียกว่าตักวานั่นเอง ซึ่งเป็นที่ชัดเจนว่าผู้มีตักวาล้วนเป็นชาวสวรรค์ทั้งสิ้น อัลกุรอานกล่าวว่า:

"للذین اتقوا عند ربهم جنات تجری من تحتها الانهار".

บรรดาผู้ยำเกรงนั้น  พระผู้อภิบาลของพวกเขา พวกเขาจะได้รับบรรดาสวนสวรรค์  เบื้องล่างมีแม่น้ำลำธารหลายสายไหลผ่าน[5]

จากสิ่งที่กล่าวมาสรุปได้ว่า :

กลุ่มชนที่ได้รับความผาสุกอย่างแท้จริงคือ ผู้มีความสำรวมตนจากความชั่ว (ตักวา) และตักวาก็คือ การเชื่อฟังปฏิบัติตามคำสั่งของอัลลอฮฺ (ซบ.) และเราะซูล (ซ็อล ) โดยสมบูรณ์

แม้ว่า ตักวา จะมีระดับชั้นอยู่ก็ตาม ซึ่งระดับชั้นต่ำสุดของตักวาก็คือ การปฏิบัติสิ่งที่เป็นข้อบังคับ (วาญิบ) ทั้งหลาย และหลีกเลี่ยงจากการกระทำความผิดทั้งปวง ด้วยเหตุนี้ ขอบข่ายเบื้องต้นของตักวาคือ การเชื่อฟังปฏิบัติตามคำสั่งอย่างสมบูรณ์โดยละเอียด

ดังนั้น หนึ่งในคำสั่งของท่านเราะซูล (ซ็อล ) คือสิ่งจำเป็นที่ต้องรู้จัก และต้องปฏิบัติตามตัวแทนผู้เป็นอิมาม ที่แท้จริงภายหลังจากท่าน[6] มิต้องสงสัยเลยว่าผู้ที่มีความเชื่อเพียงแค่ลมปาก และไม่ได้แสดงความเชื่อฟังปฏิบัติตามตำแหน่งอิมามโดยแท้จริง เขาไม่ถูกนับว่าเป็นผู้ศรัทธาที่แท้จริงที่ประกอบการดีต่างๆ นอกจากนั้นเขายังไม่มีระดับชั้นของความสำรวมตนจากความชั่ว (ตักวา) อีกด้วย

ประเด็นสำคัญ : จากโองการที่ 59 บทนิซาอฺ, ที่กล่าวถึงการเชื่อฟังปฏิบัติตาม วะลียุลอัมริ ว่าอยู่ในระดับเดียวกันกับการเชื่อฟังปฏิบัติตามอัลลอฮฺ (ซบ.) ซึ่งประเด็นสำคัญที่ต้องกล่าวสำทับในเรื่องนี้ก็คือ วะลียุลอัมริ ต้องเป็นมะอฺซูม (ผู้บริสุทธิ์) มิได้หมายความว่าทุกคนที่ได้เป็นผู้ปกครองแล้วจะถือว่าเป็น วะลียุลอัมริ เนื่องจากถ้าวะลียุลอัมริ มิได้เป็นมะอฺซูมแล้วละก็ เป็นไปได้ที่คำสั่งของเขาอาจขัดแย้งกับคำสั่งของอัลลอฮฺ (ซบ.) และเราะซูล (ซ็อล ) และในกรณีนี้ เท่ากับว่าคำสั่งให้เชื่อฟังปฏิบัติตามอัลลอฮฺ (ซบ.) และอูลิลอัมรินั้น เป็นการนำเอา 2 ความขัดแย้ง ที่ต่อต้านกันมารวมกันไว้ในที่เดียวกัน ซึ่งการกระทำทำนองนี้เป็นไปไม่ได้แน่นอน

เราได้กล่าวไปแล้วว่าความจำเริญผาสุก และบทบาทของการเชื่อเรื่อง อิมามมะฮฺ คือปัจจัยสำคัญในการสร้างความผาสุกที่แท้จริง ดังนั้น ลำดับต่อไปจะอธิบายให้เห็นว่า บทบาทของอิมามมีผลต่อความจำเริญผาสุกของบุคคล และสังคม สวรรค์และนรกได้อย่างไร[7]

ความสำเร็จและบทบาทความเชื่อที่มีต่ออิมาม

เพื่อเน้นย้ำสิ่งที่ได้กล่าวผ่านมาก่อนหน้านี้ จะขอทำความเข้าใจกับคำว่า การประสบความสำเร็จ หรือผู้มีชัยชนะ ความผาสุกบนโลกนี้และปรโลก ตลอดจนการรู้จักบทบาทความเชื่อที่มีต่ออิมามะฮฺ คือปัจจัยสำคัญนำไปสู่ความจำเริญและความสำเร็จ

) ความเข้าใจเกี่ยวกับความสำเร็จ

แต่ละคนจะมีคำจำกัดความสำหรับคำว่า ความสำเร็จและความสุขต่างกันออกไป แต่ความแตกต่างเหล่านั้นจะไม่ยังประโยชน์อันใดแก่พวกเขาเลย ถ้าหากพวกเขาไม่ถวิลหาความสัตย์จริง

 มวลสิ่งดีงามวางอยู่  เบื้องหน้า สิ่งต้องห้ามชั่วช้าอยู่เบื้องหลัง

ถ้าหากกล่ำกลืนก็ถึงแก่ความตาย แต่ถ้ามุ่งหน้าไปก็จะมีชัย

ดังนั้น ดีกว่าสำหรับประเด็นนี้คือ เรียนรู้การตีความที่แท้จริงของคำนี้จาก อัลลอฮฺ (ซบ.) ครั้นเมื่อพระองค์ต้องจำแนกชนสองกลุ่มคือผู้ประสบความสำเร็จและผู้ได้รับความเสียหายให้ชัดเจนออกจากกัน เพื่อเราจะได้ประจักษ์ชัด

ดังนั้น เมื่อพระองค์ต้องการกล่าวถึงมนุษย์ผู้ประสบความสำเร็จคนหนึ่ง เฉกเช่นท่านศาสดาอิบรอฮีม (.) พระองค์ได้แนะนำไว้เช่นนี้ว่า :

"و ان من شیعته لأبراهیم. اذ جاء ربه بقلب سلیم".

แท้จริง หนึ่งในบรรดาชนผู้ดำเนินตามแนวทางของเขานั้น คืออิบรอฮีม เมื่อเขาได้เข้าหาพระผู้อภิบาลของเขาด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว[8]

ไม่ต้องสงสัยเลยว่า อิบรอฮีม คือผู้เจริญรอยตามและเป็นชีอะฮฺที่แท้จริงของท่าน (ศาสดานูฮฺ) ด้วยสัญลักษณ์ที่ว่า เมื่ออิบรอฮีมได้เข้าหาพระผู้อภิบาลของเขา เขาได้เข้าไปด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ด้วยความสงบเชื่อมั่นอันเปี่ยมไปด้วยความนอบน้อม

ดุอาอฺบตอนหนึ่งของท่านศาสดาอิบรอฮีม (.) กล่าวว่า :

โปรดอย่าให้ข้าฯได้รับความอัปยศอดสูในวันที่พวกเขาถูกให้ฟื้นคืนชีพ วันซึ่งทรัพย์สมบัติและลูกหลานจะไม่อํานวยประโยชน์อันใด เว้นแต่ผู้มาหาอัลลอฮฺด้วยดวงใจที่บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว[9]

จากการที่อัลกุรอานได้เน้นย้ำถึง หัวใจบริสุทธิ์ผ่องแผ้ว เข้าใจได้ว่า : ผู้ประสบความสำเร็จ ได้รับชัยชนะ และมีความสุขแท้จริงคือ บุคคลที่ปฏิบัติตามคำสอนของศาสนาด้วยความเคร่งครัด ปาวนาตนให้เข้ากับศาสนา ดังนั้น เวลาไปพบอัลลอฮฺ (ซบ.) จึงไปด้วยจิตใจบริสุทธิ์ผ่องแผ้ว มีสัมมาคารวะ และหัวใจที่นอบน้อมต่อพระองค์

แต่ประเด็นที่สร้างความสนใจยิ่งไปกว่านั้นก็คือ โองการข้างต้น (ชุอฺอะรอ 89) ได้เน้นย้ำว่าวันฟื้นคืนชีพ สรวงสวรรค์เป็นเครื่องประหนึ่งหนึ่งของมวลผู้ศรัทธาที่มีความสำรวมตนจากความชั่วสวรรค์จะพยายามเข้าใกล้พวกเขา สาระสำคัญของโองการได้เน้นย้ำว่า การมีจิตใจบริสุทธิ์ผ่องแผ้วคือผลของความสำรวมตน และรางวัลของผู้มีความสำรวมตนก็คือสรวงสวรรค์นั่นเอง

ดังนั้น ความผาสุก, ความสำเร็จและความปิติสุขทั้งหลายที่อยู่ในความพยายามนั้น ด้านหนึ่งคือการมีหัวใจบริสุทธิ์ผ่องแผ้วนั่นเอง ส่วนผู้ที่มีความผาสุกที่แท้จริงคือ ผู้ที่เป็นเจ้าของหัวใจผ่องแผ้ว ยอมจำนนโดยดุษณี ฉะนั้นความผาสุกจึงผูกพันอยู่กับการมีหัวใจที่สมบูรณ์

) บทบาทของความเชื่อที่มีต่ออิมามะฮฺอยู่ในความผาสุก

นักรายงานฮะดีซและนักเขียนจำนวนมากมายฝ่ายซุนนียฺ ได้บันทึกรายงานบทสำคัญนี้ไว้ ซึ่งบางตอนของรายงานกล่าวว่า :

ท่านเราะซูล (ซ็อล ) ได้กล่าวแก่ท่านอิมามอะลี (.) ว่า :

ประชาชาติของศาสดามูซาจะแบ่งออกเป็น 71 พวก ซึ่งมีอยู่พวกเดียวในหมู่พวกเขาทีจะได้รับความช่วยเหลือ ส่วนที่เหลือจะกลายเป็นชาวนรก, และประชาชาติของศาสดาอีซา จะแบ่งออกเป็น 72 พวก ซึ่งมีอยู่พวกเดียวในหมู่พวกเขาทีจะได้รับความช่วยเหลือ ส่วนที่เหลือจะกลายเป็นชาวนรก, ส่วนประชาชาติของฉันจะแบ่งออกเป็น 73 พวก ซึ่งมีอยู่พวกเดียวในหมู่พวกเขาทีจะได้รับความช่วยเหลือ ส่วนที่เหลือจะกลายเป็นชาวนรก, อะลี (.) ถามว่า : โอ้ เราะซูลแห่งอัลลอฮฺ ประชาชาติพวกไหนหรือที่ได้รับความช่วยเหลือ? ท่านศาสดา (ซ็อล ) กล่าวว่า : ได้แก่บุคคลที่ยึดถือปฏิบัติตามแนวทางของเจ้า[10] 

บุรีดะฮฺ อัสละมี (ฝ่ายซุนนียฺเชื่อว่าเขาเป็นเซาะฮาบะฮฺของท่านเราะซูล (ซ็อล )) เขาได้รายงานจากท่านศาสดา (ซ็อล ) ว่าวัตถุประสงค์ของซิรอฏ็อลมุสตะกีม (หนทางอันเที่ยงตรง) ในโองการอิฮฺดินัซซิรอฏ็อลมุสตะกีมหมายถึงมุฮัมมัดและลูกหลานของมุฮัมมัด[11]

ท่านเราะซูล (ซ็อล ) กล่าวว่า : บุคคลใดก็ตามที่ต้องการข้ามสะพานซิรอตได้อย่างรวดเร็ว หรือกระแสลมพัดผ่าน และเข้าสู่สรวงสวรรค์โดยปราศจากการตรวจสอบ ดังนั้น เขาต้องยอมรับวิลายะฮฺของอะลี บุตรของอบีฏอลิบ ผู้เป็นวะลี และเป็นตัวแทนของฉัน เพราะเคาะลีฟะฮฺของฉันอยู่  ครอบครัวของฉัน 

ส่วนบุคคลใดก็ตามต้องการไปสู่ไฟนรก :

"فلیترک ولایته، فو عزت ربی و جلاله انه لباب الله الذی لایوتی الا منه، و انه الصراط المستقیم و انه الذی یسال الله عن ولایته یوم القیامة"

ดังนั้น จงละทิ้งวิลายะฮฺของเขา ฉันขอสาบานด้วยเกียรติยศและความสูงส่งของอัลลอฮฺว่า แท้จริงเขาคือ ประตูแห่งอัลลอฮฺ (ประตูทางเข้าเมื่อผ่านเข้าไปจะได้พบหนทางไปสู่อัลลอฮฺ) ประตูซึ่งนอกจากประตูนี้แล้ว ไม่มีหนทางอื่นไปสู่อัลลอฮฺได้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาคือหนทางอันเที่ยงธรรม และเขาคือบุคคลซึ่งในวันฟื้นคืนชีพ อัลลอฮฺจะสอบถามประชาชนเกี่ยวกับวิลายะฮฺของเขา[12]

การงานของบุคคลใดถูกตอบรับ?

วิลายะฮฺคือ เงื่อนไขสำคัญของการตอบรับอิบาดะฮฺ

ตามรายงานจำนวนมากมายจากอะฮฺลิซซุนนะฮฺ กล่าวว่า เงื่อนไขของอัลลอฮฺ (ซบ.) ในการตอบรับการงานของประชาชาติคือ การยอมรับวิลายะฮฺของอะมีรุลมุอฺมินีน อะลี บุตรของอบีฏอลิบ (.)

ท่านเราะซูล (ซ็อล ) กล่าวว่า : การมองใบหน้าของอะลีอมีริลมุอฺมีนีน บุตรของอบีฏอลิบ เป็นอิบาดะฮฺ, การรำลึกถึงอะลีเป็นอิบาะฮฺ, อีมานของบุคคลจะไม่ถูกยอมรับ เว้นเสียแต่ว่ามีความรักต่ออะลี และเกลียดชังศัตรูของเขา[13]

สิ่งที่ได้รับจากรายงานบทนี้คือ เงื่อนไขในการตอบรับอีมาน (ความศรัทธาแล้วจะนับประสาอะไรกับอิบาดะฮฺ) คือการมีวิลายะฮฺและบะรออะฮฺ

อุละมาอฺและนักปราชญ์ฝ่ายซุนนียฺ รายงานว่า :

ท่านศาสดา (ซ็อล ) กล่าวว่า : โอ้ อะลีเอ๋ย ถ้าหากบุคคลใดได้อิบาดะฮฺต่ออัลลอฮฺนานเท่าอายุขัยของศาสดา (นูฮฺ) และเขามีแก้วแหวนเงินทองมากมายเท่าภูเขาอุฮุด พร้อมกับบริจาคทรัพย์สินเหล่านั้นในหนทางของอัลลอฮฺ เขาเดินทางไปประกอบพิธีฮัจญฺด้วยเท้าเปล่า ตลอดอายุขัยของเขา เวลานั้นเขาได้ถูกสังหารเสียชีวิตระหว่างเนินเขาเซาะฟาและมัรวะฮฺ ด้วยความอธรรม แต่ถ้าเขาไม่มีวิลายะฮฺของเจ้า โอ้ อะลีเอ๋ย เขาจะไม่ได้กลิ่นอายของสวรรค์เป็นอันขาด และจะไม่มีวันเข้าสู่สรวงสวรรค์แน่นอน[14]

แต่สำหรับประเด็นที่ว่า ผู้ที่มิใช่ชีอะฮฺจะถูกส่งไปยังนรกหรือไม่ คือบทวิพากที่ต้องวิพากต่อไป แต่จะชี้ให้เห็นคร่าวๆ ก่อน :

อย่างไรก็ตามประชาชนที่ไม่ได้รับอิสลามแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มดังนี้

1.กลุ่มที่หนึ่งได้แก่กลุ่มชนซึ่งโดยหลักการเรียกว่า ญาฮิลมุกัซซิรหรือผู้ปฏิเสธศรัทธา กล่าวคืออิสลามได้ไปถึงพวกเขาแล้ว และพวกเขาได้ศึกษาหาความจริง แต่เนื่องจากความดื้อรั้นและอวดดี ทำให้พวกเขาไม่อาจยอมรับความจริงได้ แน่นอน ชนกลุ่มต้องถูกการลงโทษอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

2. อีกกลุ่มหนึ่งโดยหลักการเรียกว่า ญาฮิลกอซิร หมายถึงกลุ่มชนที่อิสลามและความจริงมิได้ไปถึงพวกเขา หรืออิสลามที่ขาดๆ เกินๆ และไม่ใช่ความจริงได้ไปถึงพวกเขา หรือบางกลุ่มชนที่คิดว่าอิสลามเป็นศาสนาที่อยู่ในระดับเดียวกันกับศาสนาฮินดู เชน หรือสูงไปกว่านั้นอยู่ในระดับเดียวกันกับศาสนายะฮูดียฺ และตริสเตียน แต่พวกเขายึดมั่นและปฏิบัติตามคำสอนศาสนาตนด้วยความเคร่งครัด ฉะนั้น พวกเขาย่อมได้รับการช่วยเหลือ

ด้วยเหตุนี้ ในทัศนะอิสลามถือว่าบุคคลเหล่านั้น ถ้าเขาปฏิบัติตัวเคร่งครัดตามคำสอนของศาสนาของตน ซึ่งวางอยู่บนธรรมชาติของความจริง เช่น ไม่โกหก หลีกเลี่ยงการทำบาป และการงานที่ฝ่าฝืนความเป็นมนุษย์ แน่นอน พวกเขาย่อมได้รับความช่วยเหลือ

ประเด็นที่กำลังกล่าวถึงนี้ ครอบคลุมบรรดานักปราชญ์และผู้รู้ ซึ่งอิสลามได้แนะนำพระเจ้าแก่พวกเขาไม่สมบูรณ์ ดังนั้น ประเด็นนี้จึงครอบคลุมบรรดาซุนนะฮฺ ที่ความจริงของชีอะฮฺยังมิได้ถูกอธิบายแก่พวกเขา

สรุปได้ว่า บุคคลใดก็ตามที่ความจริงยังไปไม่ถึงพวกเขา และพวกเขามิได้เพิกเฉยต่อการค้นหาความจริง เขาจึงไม่มีความผิด และไม่ต้องถูกลงโทษในนรก เนื่องจาก นรก คือสถานที่ ที่ถูกเตรียมไว้สำหรับบุคคลที่ทำความผิดและบาปกรรมต่างๆ มิได้ถูกเตรียมไว้สำหรับผู้ที่ไม่รู้จักความจริง หรือแก่แท้ของความจริง หรือไม่อาจเข้าถึงความจริงได้แต่อย่างใด

คำแนะนำเพื่อศึกษาเพิ่มเติม

1. นรกและผู้มิใช่มุสลิม, คำถามลำดับที่ 47 (ไซต์ : 283)

2. กอซิรีนและนิญาตอัซ ยะฮันนัม, คำถามลำดับที่ 323 (ไซต์ : 1751)



[1] อัลกุรอาน บทอัรเราะอฺดุ โองการที่ 35 กล่าวว่า (مَّثَلُ الْجَنَّةِ الَّتِی وُعِدَ الْمُتَّقُونَ) “อุปมาสวนสวรรค์ซึ่งได้ถูกสัญญาไว้แก่บรรดาผู้สำรวมตน (ประหนึ่งสวนซึ่ง) ”

[2] อัลกุรอาน บทอัตเตาบะฮฺ โองการ 72

[3] อัลกุรอาน บทอันนิซาอฺ โองการ 13

[4] อัลกุรอาน บทอัลบุรูจญฺ โองการที่ 11

[5] อัลกุรอาน บทอาลิอิมรอน โองการที่ 15

[6] อัลกุรอาน บทอันนิซาอฺ โองการ 59 กล่าวว่าโอ้ บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย! จงเชื่อฟังอัลลอฮฺ และจงเชื่อฟังศาสนทูต และผู้ปกครองในหมู่พวกเธอเถิดอัลกุรอาน บทอัชชูรอ โองการที่ 23 กล่าวว่าจงกล่าวเถิด ฉันไม่ได้ขอร้องค่าตอบแทนใด  เพื่อการนี้เว้นแต่เพื่อความรักในเครือญาติใกล้ชิด" ฮะดีซบทจากท่านเราะซูล (ซ็อล ) กล่าวว่าบุคคลใดก็ตามฉันเป็นผู้ปกครองเขา อะลีผู้นี้ก็เป็นผู้ปกครองเขาด้วย” (อัลมุสตัดร็อก อะลัซเซาะฮีฮัยนฺ เล่ม 3, หน้า109)

[7]  อย่างไรก็ตามความเร้นลับที่ประชาชนมีความต้องการในอิมามะฮฺ นั้นจำเป็นต้องใช้เวลา และมีรายละเอียดมากไปกว่านี้ ซึ่งเกินพิกัดของบทความนี้ แต่จะกล่าวอธิบายในโอกาสเหมาะสมต่อไป

[8] อัลกุรอาน บทอัซซอฟาต โองการ 83-84

[9] อัลกุรอาน บทชุอฺอะรอ โองการ 87-89

[10] อัลอะซอบะฮฺ ฟี ตัมยีซซิซเซาะฮาบะฮฺ, อัสกะลานียฺ, เล่ม 2 หน้า 174

[11] รุชฟะตุซซอดียฺ, ซัยยิดชะฮาบุดดีน ชาฟิอียฺ, เล่ม 25, ยะนาบีอุลมะวัดดะฮฺ, เชคซัลมาล ฮะนะฟียฺ, หน้า 114

[12]  ชะวาฮิร อัตตันซีล,ฮัสกานียฺ, เล่ม 1, หน้า 59, 90

[13] มะนากิบ คอรัซมียฺ, หน้า 19, 212, กิฟายะตุฏฏอลิบ, กันญียฺ ชาฟิอียฺ, หน้า 214

[14] (ثم لم یوالیک یا علی لم یشم رائحة الجنة ولم یدخلها) มะนากิบ, เคาะฏีบ คอรัซมียฺ, มักตัลฮุซัยนฺ (.), คอรัซมียฺ, เล่ม 1, หน้า 37

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • มีฮะดีษระบุว่า การปัสสาวะอย่างไม่ระวังจะทำให้ถูกบีบอัดในมิติแห่งบัรซัค กรุณาอธิบายให้กระจ่างด้วยค่ะ
    7250 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2555/01/15
    ในตำราฮะดีษมีบางรายงานระบุว่าท่านนบีเคยกล่าวไว้ว่า “จงระมัดระวังในการชำระปัสสาวะเถิดเพราะการลงโทษส่วนใหญ่ในสุสานเกิดจากการปัสสาวะ”[1] ท่านอิมามศอดิกก็เคยกล่าวว่า “การลงทัณฑ์ในสุสานส่วนใหญ่มีสาเหตุเนื่องมาจากปัสสาวะ”[2]อย่างไรก็ดีต้องชี้แจงเกี่ยวกับปรัชญาของอะห์กามว่าถึงแม้ฮุกุ่มทุกประเภทจะอิงคุณและโทษในฐานะที่เป็นเหตุผลก็ตามแต่เป็นเรื่องยากที่จะสามารถแจกแจงเหตุและผลของฮุก่มแต่ละข้ออย่างละเอียดละออได้ที่สุดแล้วก็ทำได้เพียงแจกแจ้งทีละข้อซึ่งหลักเกณฑ์ที่ว่าสามารถครอบคลุมส่วนใหญ่เท่านั้นมิไช่ทั้งหมดจึงทำให้อาจจะมีข้อยกเว้นบางกรณี[3]ประเด็นการไม่ระมัดระวังนะญิสของปัสสาวะนั้นสติปัญญาของคนเราเข้าใจได้เพียงระดับที่ว่าพฤติกรรมดังกล่าวจะทำลายน้ำนมาซอันเป็นเงื่อนไขของอิบาดะฮ์อย่างเช่นการนมาซ แต่ไม่อาจจะเข้าถึงสัมพันธภาพเชิงเหตุและผลระหว่างการปัสสาวะอย่างไม่ระวังกับการถูกลงโทษในสุสานได้อย่างไรก็ตามสติปัญญายอมรับในภาพรวมว่าการกระทำของมนุษย์จะส่งผลถึงโลกนี้และโลกหน้า[1]บิฮารุลอันว้าร,เล่ม
  • ได้ยินว่าผู้บริจาคเศาะดะเกาะฮ์จะพ้นจากภยันตรายต่างๆ ถามว่าผู้รับเศาะดะเกาะฮ์จะประสบกับภยันตรายเหล่านั้นแทนหรือไม่?
    11315 بیشتر بدانیم 2557/02/12
    “เศาะดะเกาะฮ์” ในแง่ภาษาอรับแล้ว ถือเป็นอาการนาม ให้ความหมายว่า “การมอบให้เพื่อจะได้รับผลบุญ” และมีรากศัพท์จากคำว่า “ศิดกุน” พหูพจน์ของเศาะดะเกาะฮ์คือ “เศาะดะกอต” [1] นิยามของเศาะดะเกาะฮ์ เศาะดะเกาะฮ์หมายถึง สิ่งที่บุคคลมอบให้ผู้ขัดสน ผู้ยากไร้ เพื่ออัลลอฮ์ อันเป็นการพิสูจน์ความจริงใจในแนวทางของพระองค์[2] บทบัญญัติเกี่ยวกับเศาะดะเกาะฮ์ และผลบุญที่จะได้รับ อิสลามมีบทบัญญัติเกี่ยวกับเศาะดะเกาะฮ์สองประเภทด้วยกัน 1. เศาะดะเกาะฮ์ภาคบังคับ (วาญิบ) ซึ่งก็หมายถึง “ซะกาต” นั่นเอง ดังโองการที่กล่าวว่า خُذْ مِنْ أَمْوَالِهِمْ صَدَقَةً تُطَهِّرُهُمْ وَ تُزَکِّیهِمْ بِهَا وَ صَلِّ عَلَیْهِمْ إِنَّ صَلاَتَکَ سَکَنٌ ...
  • จากเนื้อหาของดุอากุเมล บาปประเภทใดที่จะทำให้ม่านแห่งความละอายถูกฉีกขาด บะลาถาโถมมา และทำให้ดุอาไม่ได้รับการตอบรับ?
    10380 จริยธรรมปฏิบัติ 2555/02/13
    โดยปกติแล้วบาปทุกประเภทจะเป็นเหตุให้ม่านแห่งความละอายถูกฉีกขาดบาปทุกประเภทสามารถทำให้เกิดบะลายับยั้งการตอบรับดุอาและริซกีของมนุษย์ได้ทั้งสิ้นเหล่านี้เป็นผลกระทบตามธรรมชาติของการทำบาปซึ่งตำราวิชาการของเราก็เน้นย้ำไว้เช่นนี้อย่างไรก็ดีบางฮะดีษเจาะจงถึงผลลัพท์ของบาปบางประเภทเป็นการเฉพาะอาทิเช่นการกดขี่ข่มเหงผู้อื่น
  • ท่านนบีเคยกล่าวปฏิญาณถึงตำแหน่งศาสนทูตของตน และตำแหน่งผู้นำของอิมามอลีในอะซานหรือไม่?
    8226 ชีวประวัติมะอฺซูม (อ.) 2554/06/22
    จากการที่คำถามข้างต้นมีคำถามปลีกย่อยอยู่สองประเด็นเราจึงขอแยกตอบเป็นสองส่วนดังนี้1. ท่านนบีกล่าวปฏิญาณถึงตำแหน่งของตนในอะซานหรือไม่?จากการศึกษาฮะดีษต่างๆพบว่าท่านนบีกล่าวยืนยันถึงสถานภาพความเป็นศาสนทูตของตนอย่างแน่นอนทั้งนี้ก็เพราะท่านนบีก็มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามศาสนกิจเฉกเช่นคนอื่นๆนอกเสียจากว่าจะมีหลักฐานยืนยันชัดเจนว่าท่านนบีได้รับการอนุโลมให้สามารถงดปฏิบัติตามบทบัญญัติใดบ้าง อย่างไรก็ดีไม่มีหลักฐานยืนยันว่าท่านได้รับการอนุโลมไม่ต้องเปล่งคำปฏิญาณดังกล่าวในอะซานในทางตรงกันข้ามมีหลักฐานยืนยันมากมายว่าท่านเปล่งคำปฏิญาณถึงเอกานุภาพของอัลลอฮ์และความเป็นศาสนทูตของตัวท่านเองอย่างชัดเจนและแน่นอน.2. ท่านนบีกล่าวปฏิญาณถึงตำแหน่งผู้นำของอิมามอลีหรือไม่?ต้องยอมรับว่าเราไม่พบหลักฐานที่บ่งชี้ชัดเจนว่าท่านเคยกล่าวปฏิญาณดังกล่าวนอกจากนี้ในสำนวนฮะดีษต่างๆจากบรรดาอิมามที่ระบุเกี่ยวกับบทอะซานก็ไม่ปรากฏคำปฏิญาณที่สาม(เกี่ยวกับวิลายะฮ์ของอิมามอลี)แต่อย่างใดอย่างไรก็ดีเรามีฮะดีษมากมายที่ระบุถึงผลบุญอันมหาศาลของการเอ่ยนามท่านอิมามอลี(อ)ต่อจากนามของท่านนบี(ซ.ล)(โดยทั่วไปไม่เจาะจงเรื่องอะซาน) ด้วยเหตุนี้เองที่อุละมาอ์ชีอะฮ์ล้วนฟัตวาพ้องกันว่าสามารถกล่าวปฏิญาณดังกล่าวด้วยเหนียต(เจตนา)เพื่อหวังผลบุญมิไช่กล่าวโดยเหนียตว่าเป็นส่วนหนึ่งของอะซานทั้งนี้ก็เนื่องจากมีข้อสันนิษฐานว่าประโยคดังกล่าวมิได้เป็นส่วนหนึ่งของอะซานอันถือเป็นศาสนกิจประเภทหนึ่ง. ...
  • โปรดอธิบาย หลักความเชื่อของวะฮาบี และข้อทักท้วงของพวกเขาที่มีต่อชีอะฮฺว่า คืออะไร?
    19302 เทววิทยาดั้งเดิม 2555/06/30
    วะฮาบี, คือกลุ่มบุคคลที่เชื่อและปฏิบัติตาม มุฮัมมัด บิน อับดุลวะฮาบ, พวกเขาเป็นผู้ปฏิตามแนวคิดของสำนักคิด อิบนุตัยมียะฮฺ และสานุศิษย์ของเขา อิบนุ กัยยิม เญาซียฺ ซึ่งเขาเป็นผู้วางรากฐานทางความศรัทธาใหม่ในแคว้นอาหรับ. วะฮาบี เป็นหนึ่งในสำนักคิดของนิกายในอิสลาม ซึ่งมีผู้ปฏิบัติตามอยู่ในซาอุดิอารเบีย ปากีสถาน และอินเดีย ตามความเชื่อของพวกเขาการขอความช่วยเหลือผ่านท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) บรรดาอิมามผู้บริสุทธิ์ (อ.) การซิยาเราะฮฺ, การให้เกียรติ ยกย่องและแสดงความเคารพต่อสถานฝังศพของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) และบรรดาอิมามผู้บริสุทธิ์ถือเป็น บิดอะฮฺ อย่างหนึ่ง ประหนึ่งเป็นการแสดงความเคารพต่อเจว็ดรูปปั้น ถือว่า ฮะรอม. พวกเขาไม่อนุญาตให้กล่าวสลาม หรือยกย่องให้เกียรติท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ยกเว้นในนมาซเท่านั้น, พวกเขายอมรับการสิ้นสุดชีวิตทางโลกของเขา เป็นการสิ้นสุดอันยิ่งใหญ่ และเป็นการสิ้นสุดที่มีเกียรติยิ่ง ร่องรอยของทุกสิ่งไม่ว่าจะเป็น โดม ลูกกรง และอื่นๆ ...
  • ทำไมจึงเกิดการทุจริตในรัฐบาลอิสลาม ?
    10495 จริยธรรมทฤษฎี 2554/03/08
    ปัจจัยการทุจริตและการแพร่ระบาดในสังคมอิสลาม -- จากมุมมองของพระคัมภีร์อัลกุรอาน – อาจกล่าวสรุปได้ในประโยคหนึ่งว่า : เนื่องจากไม่มีความเชื่อในพระเจ้าและการไม่ปฏิเสธมวลผู้ละเมิดทั้งหลาย (หมายถึงทุกสิ่งที่ไม่ใช่พระเจ้าและไม่สีสันของพระเจ้า) ในทางตรงกันข้ามความเชื่อมั่นในอัลลอฮฺ (ซบ.) และการปฏิเสธบรรดาผู้ละเมิดซึ่งเป็นไปในลักษณะของการควบคู่และร่วมกันอันก่อให้เกิดความก้าวหน้า
  • การรู้พระเจ้าเป็นไปได้ไหมสำหรับมนุษย์ ขอบเขตและคุณค่าของการรู้จักมีมากน้อยเพียงใด ?
    7517 เทววิทยาดั้งเดิม 2553/12/22
    มนุษย์สามารถรู้พระเจ้าด้วยวิธีการที่แตกต่างกันหลายวิธีซึ่งเป็นไปได้ที่การรู้จักอาจผ่านเหตุผล (สติปัญญา)หรือผ่านทางจิตใจบางครั้งอาจเป็นเหมือนปราชญ์ผู้ชาญฉลาดซึ่งรู้จักโดยผ่านทางความรู้ประจักษ์หรือการช่วยเหลือทางความรู้สึกและสิตปัญญาในการพิสูจน์จนกระทั่งเกิดความเข้าใจหรือบางครั้งอาจเป็นเหมือนพวกอาริฟ (บรรลุญาณ),รู้จักเองโดยไม่ผ่านสื่อเป็นความรู้ที่ปรากฏขึ้นเองซึ่งเรียกว่าจิตสำนึกตัวอย่างเช่นการค้นพบการมีอยู่ของไฟบางครั้งผ่านควันไฟที่พวยพุ่งขึ้นทำให้เกิดความเข้าใจหรือเวลาที่มองเห็นไฟทำให้รู้ได้ทันทีหรือเห็นรอยไหม้บนร่างกายก็ทำให้รู้ได้เช่นกันว่ามีไฟ
  • มีการประทานโองการที่เกี่ยวกับอิมามอลี(อ.)ในเดือนใดมากที่สุด?
    8051 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/03/07
    เพื่อไขปัญหาดังกล่าว ในเบื้องต้นควรทราบข้อสังเกตุดังต่อไปนี้ 1. โดยทั่วไปแล้ว ฮะดีษที่กล่าวถึงเหตุแห่งการประทานโองการกุรอานมีสองประเภท หนึ่ง. เล่าถึงเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นในยุคของท่านนบี(ซ.ล.) โดยอ้างถึงโองการที่ประทานลงมาเกี่ยวกับเหตุการณ์นั้นๆ สอง. เล่าถึงโองการที่ประทานลงมาเกี่ยวกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยมิได้กล่าวถึงรายละเอียดเหตุการณ์ อย่างเช่นโองการที่เกี่ยวกับฐานันดรภาพของท่านอิมามอลี(อ.)และอิมาม(อ.)ท่านอื่นๆ[1] 2. โองการกุรอานประทานลงมาสู่ท่านนบี(ซ.ล.)เป็นระยะๆตามแต่เหตุการณ์ วันเวลาและสถานที่ที่แตกต่างกัน ทว่ามีบางโองการเท่านั้นที่มีฮะดีษช่วยระบุถึงปัจจัยต่างๆดังกล่าว หรืออาจจะมีฮะดีษที่ระบุไว้แต่มิได้ตกทอดถึงยุคของเรา 3. มีโองการมากมายที่กล่าวถึงฐานันดรภาพของท่านอิมามอลี(อ.)และมะอ์ศูมีน(อ.)ท่านอื่นๆ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นการพิสูจน์และตีแผ่หลักการสำคัญอย่างเช่นหลักอิมามะฮ์ (ภาวะผู้นำภายหลังนบี) หากพิจารณาเหตุแห่งการประทานโองการต่างๆอย่างถี่ถ้วนแล้ว จะพบว่าโองการที่กล่าวถึงฐานันดรภาพและภาวะผู้นำของท่านอิมามอลี(อ.)มักจะประทานลงมาในเดือนซุลฮิจญะฮ์เป็นส่วนใหญ่ อาทิเช่นโองการต่อไปนี้ หนึ่ง. يا أَيُّهَا الرَّسُولُ بَلِّغْ ما أُنْزِلَ إِلَيْكَ مِنْ رَبِّكَ وَ إِنْ ...
  • เอทานอลซึ่งเป็นแอลกอฮอล์ชนิดหนึ่ง ไม่ถือเป็นนะญิสและสามารถกินได้ไช่หรือไม่?
    12648 สิทธิและกฎหมาย 2554/09/20
    แอลกอฮอล์แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักหนึ่งคือแอลกอฮอล์ที่ได้มาจากอุตสาหกรรมน้ำมันและปิโตรเคมีและประเภทที่สองคือแอลกอฮอล์ที่ได้มาจากการกลั่นระเหยของเหล้าและเนื่องจากเอทานอลเป็นหนึ่งในแอลกอฮอล์อุตสาหกรรมประเภทต่างๆดังนั้นเราจึงต้องมาวิเคราะห์ประเด็นแอลกอฮอล์อุตสาหกรรมเสียก่อน
  • “มุอ์มินีน”หมายถึงมุสลิมกลุ่มใด?
    15121 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/28
    มุอ์มินีนคือกลุ่มผู้ศรัทธายอมจำนนต่ออัลลอฮ์และเชื่อฟังศาสนทูตของพระองค์ทุกท่าน  ซึ่งหากพิจารณาจากการที่อีหม่านของคนเรามีระดับที่ไม่เท่ากันรวมถึงการที่กุรอานและฮะดีษถือว่าการเชื่อฟังอะฮ์ลุลบัยต์เป็นสัญลักษณ์ของผู้มีอีหม่านระดับสูงและจากการเปรียบเทียบแนวคิดของมัซฮับต่างๆกับเนื้อหาของอัลกุรอานก็จะได้ผลลัพธ์ว่าผู้เจริญรอยตามอะฮ์ลุลบัยต์เท่านั้นที่เป็นผู้ศรัทธาที่มีระดับอีหม่านสูงเด่นตามทัศนะกุรอาน อย่างไรก็ดีคำว่ามุอ์มินดังที่กล่าวมาข้างต้นย่อมหมายถึงผู้ที่เชื่อมั่นในอะฮ์ลุลบัยต์ทั้งในแง่แนวคิดและภาคปฏิบัติอย่างแท้จริงมิไช่บุคคลที่แอบอ้างอย่างฉาบฉวยอย่างไรก็ดีจำเป็นต้องคำนึงถึงข้อเตือนใจสามประการคือ.หนึ่ง:คำว่า“อิสลาม”กินความหมายกว้างกว่าคำว่า“อีหม่าน” โดยที่ฮะดีษบทต่างๆได้อธิบายคุณลักษณะของมุอ์มินไว้แล้วฉะนั้นแม้ผู้ใดมีคุณสมบัติไม่ครบก็มิได้หมายความว่า “เขามิไช่มุสลิม”สอง:นับตั้งแต่อิสลามยุคแรกเป็นต้นมาทุกมัซฮับต่างก็แสดงความรักและให้เกียรติอะฮ์ลุลบัยต์ด้วยกันทั้งสิ้นผู้รู้ฝ่ายซุนหนี่หลายท่านก็เคยประพันธ์หนังสือมากมายเกี่ยวกับอัตชีวประวัติของอะฮ์ลุลบัยต์  ซึ่งเราจะหยิบยกมานำเสนอในส่วนของรายละเอียดคำตอบ.สาม: ผู้ที่ถือตามมัซฮับอื่นๆล้วนได้รับเกียรติในสายตาของผู้ยึดถือแนวทางอะฮ์ลุลบัยต์และมีการถ้อยทีถ้อยอาศัยกันมาโดยตลอดไม่ว่าจะเรื่องความสัมพันธ์ในครอบครัวการศึกษาความร่วมมือทางการเมืองและสังคมจึงทำให้สามารถพบเห็นผู้รู้ชีอะฮ์บางท่านเคยเล่าเรียนศาสตร์บางแขนงจากผู้รู้ฝ่ายซุนหนี่ขณะเดียวกันในตำราฮะดีษของฝ่ายซุนหนี่ก็มีรายชื่อนักรายงานฮะดีษชีอะฮ์ปรากฏอยู่มากมายอย่างไรก็ดีการเสริมสร้างเอกภาพระหว่างพี่น้องมุสลิมถือเป็นวิธีขับเคลื่อนอิสลามสู่ความก้าวหน้าอีกทั้งยังเป็นปราการแข็งแกร่งที่ป้องกันศัตรูอิสลามจึงจำเป็นต้องคำนึงถึงเอกภาพมากกว่ารายละเอียดปลีกย่อยอื่นๆ. ...

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60635 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    58255 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42752 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    40216 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    39374 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    34488 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    28560 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    28469 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    28417 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    26338 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...