การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
7708
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2551/04/17
คำถามอย่างย่อ
ถ้าหากมุอาวิยะฮฺเป็นกาเฟร แล้วทำไมท่านอิมามฮะซัน (อ.) ต้องทำสนธิสัญญาสันติภาพกับเขาด้วย แล้วยังยกตำแหน่งเคาะลิฟะฮฺให้เขา?
คำถาม
ชีอะฮฺกล่าว่า มุอาวิยะฮฺเป็นการเฟร แต่เรากลับเห็นว่าท่านอิมามฮะซัน บุตรของอะลี (อ.) ตามคำกล่าวของชีอะฮฺ เขาเป็นอิมามมะอฺซูม ได้ทำสัญญาสันติภาพกับมุอาวิยะฮฺ และถอนตัวจากการดำรงตำแหน่งเคาะลิฟะฮฺ ดังนั้นชีอะฮฺจำเป็นต้องพูดว่า อิมามฮะซัน (อ.) ได้ถอนตัวจากตำแหน่งเคาะลิฟะฮฺ เพื่อประโยชน์ของกาเฟรคนหนึ่ง แน่นอนสิ่งนี้ย่อมขัดแย้งกับการเป็นมะอฺซูมของท่าน หรือไม่ก็ต้องยอมรับว่ามุอาวิยะฮฺเป็นมุสลิมคนหนึ่ง
คำตอบโดยสังเขป

มุอาวิยะฮฺ ตามคำยืนยันของตำราฝ่ายซุนนียฺ เขาได้ประพฤติสิ่งที่ขัดแย้งกับชัรอียฺมากมาย อีกทั้งได้สร้างบิดอะฮฺให้เกิดในสังคมอีกด้วย เช่น ดื่มสุรา สร้างบิดอะฮฺโดยให้มีอะซานในนะมาซอีดทั้งสอง ทำนะมาซญุมุอะฮฺในวันพุธ และ ...ด้วยเหตุนี้เองจึงไม่มีช่องว่างที่จะมีความอดทนและอะลุ่มอล่วยกับเขาได้อีกต่อไป

อีกด้านหนึ่งประวัติศาสตร์ได้ยืนยันไว้อย่างชัดเจน การทำสนธิสัญญาสันติภาพระหว่างท่านอิมามฮะซัน (อ.) กับมุอาวิยะฮฺ มิได้เกิดขึ้นบนความยินยอม ทว่าได้เกิดขึ้นหลังจากมุอาวิยะฮฺได้สร้างความเสื่อมเสีย และความแตกแยกให้เกิดขึ้นในสังคมอย่างมากมาย จนกระทั่งว่ามุอาวิยะฮฺได้วางแผนฆ่าบรรดาชีอะฮฺ และเหล่าสหายจำนวนน้อยนิดของท่านอิมามฮะซัน (อ.)  (ซึ่งเป็นการฆ่าให้ตายอย่างไร้ประโยชน์) ท่านอิมาม (อ.) ได้ยอมรับสัญญาสันติภาพก็เพื่อปกปักรักษาชีวิตของผู้ศรัทธา และศาสนาเอาไว้ ดั่งที่ท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ได้รักษาศาสนาและชีวิตของบรรดามุสลิมเอาไว้ ด้วยการทำสนธิสัญญาสันติภาพฮุดัยบียะฮฺ กับบรรดามุชริกทั้งหลายในสมัยนั้น ซึ่งมิได้ขัดแย้งกับการเป็นผู้บริสุทธิ์ของท่านศาสดาแต่อย่างใด ดังนั้น การทำสนธิสัญญาสันติภาพลักษณะนี้ (บังคับให้ต้องทำ) เพื่อรักษาศาสนาและชีวิตของมุสลิม ย่อมไม่ขัดแย้งกับความบริสุทธิ์ของอิมามแต่อย่างใด

คำตอบเชิงรายละเอียด

แทนคำถามนี้ ซึ่งผู้ถามผู้ที่เกียรติกรุณาถามมานั้น เป้าหมายของการถามที่ได้ถามมานั้นคืออะไร เนื่องจากวิธีอธิบายคำถาม จึงเป็นลักษณะของคำสั่งให้ตอบ? ท่านต้องการลบใบหน้าอันเลวร้าย และความชั่วที่มุอาวิยะฮฺได้กระทำไว้ให้หมดไปหรือ หรือต้องการต้องการทราบเหตุผลที่แท้จริงของการทำสัญญาสันติภาพ ระหว่างท่านอิมามฮะซัน (อ.) บุตรชายของท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ (อ.) บุตรีของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว เป็นไปได้ไหมว่า เพื่อสิ่งที่สูงกว่าถ้าจะทำสัญญาสันติภาพตามที่ได้ถามมาข้างต้น กับบุคคลหนึ่งที่ไม่มีความเชื่อศรัทธาเลย? อย่างไรก็ตามชีอะฮฺมีความเชื่อว่า เพียงแค่การคำปฏิญาณ (ชะฮาดะตัยนฺ) ภายนอกเท่านั้น ก็สามารถพิสูจน์ได้แล้วว่าเขาผู้นั้นเป็นมุสลิม แต่สิ่งนี้มิได้เป็นเหตุผลว่าทุกคนที่ยอมรับอิสลามแล้ว เขาจะยืนหยัดมั่นคงอยู่กับหลักความศรัทธา และคุณค่าของอิสลาม เกี่ยวกับมุอาวิยะฮฺนั้น มีรายงานจำนวนมากทั้งจากฝ่ายชีอะฮฺ และซุนนียฺที่ยืนยันว่า เขาไม่เขายึดมั่นอยู่กับหลักการอิสลามเลย

ณ โอกาสนี้ขอนำเสนอรายงานที่มาจากฝ่ายซุนนียฺ ดังนี้ :

อะฮฺมัด บิน ฮันบัล รายงานจากอับดุลลอฮฺ บิน บุรีดะฮฺว่า “ฉันและบิดาของฉันได้เข้าไปหามุอาวิยะฮฺ เขาได้เรียกให้เรานั่งบนพรหม และได้นำเอาอาหารมาเลี้ยง พวกเราได้กินอาหารนั้น หลังจากนั้นเขาได้นำเอาสุรามาเลี้ยง มุอาวิยะฮฺดื่มสุราเหมือนเรื่องปรกติ เขาได้เชิญให้บิดาของฉันดื่มด้วย แต่บิดาของฉันพูดว่า นับตั้งแต่ท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ได้ห้ามดื่มสุรา ฉันก็ไม่เคยดื่มอีกเลย[1] ซึ่งท่านศาสดา (ซ็อลฯ) กล่าวว่า “ผู้ที่ดื่มสุราประหนึ่งผู้ที่กำลังสักการะเจว็ดรูปปั้นทั้งหลาย[2] เขาได้ประพฤติสิ่งที่ขัดกับซุนนะฮฺของท่านศาสดา เขายังเป็นคนแรกที่ได้ให้อะซานในนะมาซอีดทั้งสอง เขาได้สร้างบิดอะฮฺต่างๆ มากมายในศาสนา[3] ขณะที่ตามชัรอียฺแล้วมิได้มีการอนุญาตให้อะซาน นอกจากในนะมาซวาญิบประจำวันเท่านั้น ซึ่งเป็นที่ยอมรับของมุสลิมทุกคน และของทุกมัซฮับ ท่านอิบนุอับบาส และญาบิร กล่าวว่า “ท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ไม่เคยอะซานในวันอีดฟิฏร์และอีดอัฎฮาเลย”[4] เขาได้ให้คนซีเรียนะมาซญุมุอะฮฺในวันพุธ มัสอูดดียฺ กล่าวว่า “การภักดีของชาวเมืองซีเรียที่มีต่อมุอาวิยะฮฺถึงขั้นที่ว่า เมื่อมุอาวิยะฮฺเคลื่อนทัพไปยังซิฟฟีน เขาได้จัดนะมาซญุมุอะฮฺ ขึ้นในวันพุธ[5] และภารกิจอื่นๆ อีกที่เขาได้กระทำ ทั้งหมดเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงว่าตัวมุอาวิยะฮฺ ไม่เคยใส่ใจต่อหลักการอิสลาม

ในทัศนะของอะฮฺลิซซุนนะฮฺ ที่กล่าวว่าเกียรติยศของพวกเขาคือการได้ปฏิบัติซุนนะฮฺของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ฉะนั้น การปกป้องบุคคลเฉกเช่นมุอาวิยะฮฺ มิใช่เรื่องประหลาดหรือ

แต่สิ่งที่หน้าประหลาดใจไปยิ่งกว่านั้นก็คือ เขาได้สนใจบุคคลหนึ่ง ซึ่งท่านเราะซูลและรายงานฮะดีซได้กล่าวถึงเขา ในทางเสื่อมเสียทั้งให้หนังสือชีอะฮฺ และซุนนียฺ สิ่งที่ปรากฏอยู่ในหนังสือ เคาะซออิซ อะมีรุลมุอฺมินีน (อ.) ซึ่งบางส่วนได้นำเสนอไปตามความเหมาะสม เช่น ท่านศาสดา (ซ็อลฯ) กล่าวว่า “ฮะซันและฮุซัยนฺ ดอกไม้สองดอกที่สุดหอมหวนสำหรับฉันในโลกนี้” “ฮะซันและฮุซัยนฺ ทั้งสองคือบุตรของฉันและเป็นหัวชาหนุ่มแห่งสรวงสวรรค์”[6]

แต่จุดประสงค์ของผู้ถามถึงสาเหตุของการทำสัญญาสันติภาพระหว่าง ท่านอิมามฮะซัน (อ.) กับมุอาวิยะฮฺ ซึ่งในทัศนะของผู้ถามเข้าใจว่าบุคคลเฉกเช่น อิมามจะทำสัญญาสันติภาพกับคนเช่นมุอาวิยะฮฺได้อย่างไร โดยต้องการอยากทราบทัศนะของชีอะฮฺที่มีต่อมุอาวิยะฮฺ ดังนั้น จะกล่าวโดยสรุปสั้นๆ ว่า หลังจากท่านอิมามอะลี (อ.) ได้ชะฮีดไปแล้ว ท่านอิมามฮะซัน (อ.) ก็ได้ดำรงตำแหน่งอิมามแทน ซึ่งนับตั้งแต่วันแรกสิ่งที่เป็นปัญหาใหญ่สำหรับท่านอิมามฮะซัน (อ.) คือมุอาวิยะฮฺและการกระทำของเขา เนื่องจากเขาได้เริ่มก่อกวน สร้างอุบายและแผนการต่างๆ แสดงความดื้อรั้น เขาได้ต่อต้านอิมามทั้งที่เป็นผู้สืบเชื้อสายมาจากท่านเราะซูล (อ.) และประชาชนก็ได้ให้บัยอัตกับท่านด้วย ท่านอิมามฮะซัน (อ.) ได้ส่งจดหมายหลายฉบับไปถึงมุอาวิยะฮฺ เพื่อให้ข้อพิสูจน์สมบูรณ์ สิ่งเหล่านี้มีบันทึกอยู่ในหนังสือประวัติศาสตร์ทั้งสิ้น[7] แต่จดหมายเหล่านั้นหาได้มีผลอันใดต่อมุอาวยะฮฺไม่ ทว่าในทางกลับกันมุอาวิยะฮฺได้จัดตั้งทัพเพื่อเคลื่อนไปสู่อิรัก ท่านอิมามฮะซัน (อ.) ต้องใช้ความพยายามอย่างสูงในการจัดทัพ และอาศัยความเสียสละของเหล่าสหายจำน้อยนิด เพื่อต่อสู้กับกองทัพของมุอาวิยะฮฺ แต่น่าเสียดายว่ากองทัพที่อ่อนแอของท่านอิมาม ไม่อาจต้านทานกำลังทรัพย์ของมุอาวิยะฮฺ ที่ใช้หว่านซื้อทหารในกองทัพของท่านอิมามไปมากมาย ซึ่งแม่ทัพของท่านอิมามด้วยซ้ำไปที่เขาและทหารอีกจำนวนหนึ่ง ได้แปรพักตร์ไปเข้ากับมุอาวิยะฮฺ[8] ท่านอิมาม (อ.) เมื่อได้เห็นสถานการณ์เช่นนั้น เห็นเหล่าทหารที่ไม่ซื่อสัตย์ ท่านได้ปรึกษากับเหล่าสหายของท่าน เพื่อจะได้รวบรวมกำลังต่อสู้กับมุอาวิยะฮฺ แต่ทว่าส่วนใหญ่ไม่พร้อมที่จะสู้รบ จนในที่สุดท่านอิมามได้กล่าวว่า “ฉันได้สัญญาสันติภาพตามคำเรียกร้องของคนส่วนใหญ่ ฉันไม่พอใจที่จะต้องบีบบังคับผู้ใดให้ต้องทำตาม และฉันต้องการรักษาชีวิตของชีอะฮฺจำนวนน้อยนิดให้คงอยู่ต่อไป จึงได้ถอนทัพไว้สู้รบในโอกาสต่อไป (ทำสัญญาสันติภาพ) แน่อนอัลลอฮฺ ทรงอานุภาพยิ่งเสมอ[9]

ดังนั้น เมื่อพิจารณาเงื่อนไขต่างๆ ความแตกแยกทางความคิดโดยน้ำมือของมุอาวิยะฮฺ ความเหน็ดเหนื่อยของประชาชนจากสงคราม สัญญาสันติภาพอันไม่พึงประสงค์จึงต้องเกิดขึ้น แน่นอนว่า สัญญาสันติภาพนี้ย่อมไม่เข้ากันกับความเป็นผู้บริสุทธิ์ของท่านอิมาม แต่ก็ไม่มีคำอธิบายสำหรับฝ่ายตรงข้าม แต่ถ้าจะพูดแล้วสันติภาพไม่เหมาะสมกับอิมามอย่างไร ในเมื่อท่านเราะซูล (ซ็อลฯ) เองยังต้องฝืนทำสนธิสัญญาฮุดัยบียะฮฺ เนื่องจากความชั่วร้ายของบรรดาผู้ปฏิเสธ และญาฮิลชาวมักกะฮฺในสมัยนั้น ซึ่งในตอนนั้นมุอาวิยะฮฺ และบิดาของเขาอบูซุฟยานก็อยู่ด้วย พวกเขาอยู่ในฝ่ายของผู้ปฏิเสธที่ต่อต้านท่านศาสดา (ซ็อลฯ)[10] ท่านศาสดาต้องยอมรับสัญญาสันติภาพฮุดัยบียะฮฺ[11] แต่ก็ไม่มีข้อคลางแคลงใจอันใดเกิดขึ้น มันเป็นไปไม่ได้ที่ว่าหลังจากสันญาสันติภาพแล้ว ท่านศาสดา (ซ็อลฯ) จะไม่มะอฺซูมอีกต่อไป เนื่องจากได้ทำสัญญาสันติภาพกับมุชริก (ผู้เคารพรูปปั้นบูชาทั้งหมาย) ดังนั้น มุชริก เป็นมุสลิม และเป็นมุอฺมินกระนั้นหรือ และการทำสันติภาพของท่านอิมามฮะซันมิได้เป็นไปเพื่อสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าดอกหรือ แล้วท่านอิมามไม่อาจจะตัดสินใจกระทำสิ่งที่มีความสำคัญยิ่งกว่าได้กระนั้นหรือ ขณะที่การกระทำของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ท่านจะมีคำอธิบายเป็นอย่างอื่นไหม

ดังนั้น เป็นที่ชัดเจนว่าสิ่งที่ท่านอิมามฮะซัน (อ.) ได้กระทำลงไปนั้น มีความสำคัญยิ่งกว่า และเหมาะสมที่สุดแล้วสำหรับการรักษาอิสลามให้ดำรงสืบไป

 

 


[1] มุสนัดอะฮฺมัด เล่ม 6 หน้า 476, ฮะดีซที่ 22433

[2] อัตตัรฆีบ วัรตัรฮีบ, อิบนุมุนซัร, เล่ม 3, หน้า 102, คัดลอกมาจากหนังสือ วาเกะอะฮฺ อาชูรอ วะพอซุก เบะชุบฮอต, อะลีอัสฆัร ริฎวานียฺ, หน้า 56

[3] ตารีคคุละฟาอฺ, ซุยูฏียฺ, หน้า 187, พิมพ์ที่ดารุลฟิกรฺ เบรูต

[4] เซาะฮียฺบุคอรียฺ, เล่ม 10, หน้า 327, 917.

[5] มุรูจญฺ อัซซะฮับ มัสอูดียฺ, เล่ม 3 หน้า 42.

[6] เคาะซะอิซ นะซาอียฺ, หน้า 106,-108, พิมพ์ที่ มักตับตะบี อัสกะรียะฮฺ

[7] อิมามฮะซัน มุจญฺตะบา (อ.) ซัยยิดฮาชิม เราะซูล มะฮัลลอตียฺ, หน้า 202, 210

[8] อ้างแล้ว, หน้า 214

[9] อะอฺลามุลฮิดายะฮฺ, กิตาบอิมามฮุซัยนฺ (อ.) หน้า 147, คัดลอกมาจาก อัคบาร อัฏฏุวาล 221.

[10] วากิอะฮฺ อาชูรอ, อะลีอัสฆัร ริฎวานนี, หน้า 54.

[11] พียอมบัรอุมมี, ชะฮีดมุเฎาะฮะรียฺ, หน้า 27

 

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • ทั้งที่ซะกาตไม่วาญิบสำหรับท่านอะลี (อ.) แล้วเพราะเหตุใดท่านต้องบริจาคซะกาตขณะนมาซด้วย ?
    6961 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/09/25
    ท่านอิมามอะลี (อ.) ไม่เคยเป็นคนจนหรือคนอนาถาจนไม่มีจะกินแต่อย่างใดแต่ท่านเป็นคนมีความพยายามสูงและไม่เคยหยุดนิ่ง, ท่านได้รับทรัพย์สินจำนวนมากมายแต่ทรัพย์ทั้งหมดเหล่านั้นท่านได้บริจาคไปในหนทางของอัลลอฮฺ (ซบ.), โดยไม่เหลือทรัพย์ส่วนใดไว้สำหรับตนเอง,ดังที่โองการต่างๆได้กล่าวถึงการบริจาคซะกาตของท่านไว้มากมายซึ่งหนึ่งในโองการเหล่านั้นก็คือโองการที่กำลังกล่าวถึงนอกจากนั้นแล้ววัฒนธรรมของอัลกุรอานยังได้กล่าวถึงการบริจาคที่เป็นมุสตะฮับ (สมัครใจ)
  • กรุณาไขเคล็ดลับวิธีบำรุงสมองทั้งในแง่รูปธรรมและนามธรรมตามที่ปรากฏในฮะดีษ
    7360 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/28
    ปัจจัยที่มีส่วนช่วยบำรุงสมองและเสริมความจำมีอยู่หลายประเภทอาทิเช่น1. ปัจจัยด้านจิตวิญญาณก. การรำลึกถึงอัลลอฮ์(ด้วยการปฏิบัติศาสนกิจโดยเฉพาะอย่างยิ่งการนมาซตรงเวลา)ข. อ่านบทดุอาที่มีผลต่อการเสริมความจำอย่างเช่นดุอาที่นบี(ซ.ล.)สอนแก่ท่านอิมามอลี(อ.)[i]سبحان من لایعتدى على اهل مملکته، سبحان من لایأخذ اهل الارض بالوان العذاب، سبحان الرؤوف الرحیم، اللهم اجعل لى فى قلبى نورا و بصرا و فهما و علما انک على کل ...
  • ทำไมอิมามฮุซัยน (อ.) จึงไม่ลุกขึ้นยืนในสมัยของมุอาวิยะฮ ?
    7508 ชีวประวัติมะอฺซูม (อ.) 2554/03/08
    สำหรับคำตอบที่ว่าเพราะเหตุใดท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) จึงไม่ลุกขึ้นยืนต่อสู้ในสมัยมุอาวิยะฮฺนั้นสามารถกล่าวได้ว่าอาจเป็นเพราะประเด็นเหล่านี้ :1. เป็นเพราะการให้เกียรติและเคารพในสนธิสัญญาของพี่ชายและอิมามของท่าน
  • มลาอิกะฮ์สร้างมาจากรัศมีของบรรดาอิมาม และมีหน้าที่ร่ำไห้แด่อิมามฮุเซน(อ.)กระนั้นหรือ?
    8981 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/12/19
    1. ความเชื่อที่ว่ามลาอิกะฮ์สร้างขึ้นจากรัศมีนั้นได้รับการยืนยันจากฮะดีษหลายบทที่รายงานไว้ในตำราฝ่ายชีอะฮ์และซุนหนี่ตำราชีอะฮ์บางเล่มระบุถึงการสร้างสิ่งมีชีวิตต่างๆรวมถึงมลาอิกะฮ์จากรัศมีของปูชนียบุคคลอย่างท่านนบี(ซ.ล.) หรือบรรดาอิมามหรือบุคคลอื่นๆดังที่ตำราของซุนหนี่เองก็เล่าว่าเคาะลีฟะฮ์ท่านแรกและคนอื่นๆถือกำเนิดจากรัศมีของท่านนบี(ซ.ล) การที่มีฮะดีษเหล่านี้ปรากฏอยู่ในตำรับตำราของแต่ละฝ่ายมิได้หมายความว่าทุกคนจะต้องคล้อยตามฮะดีษเหล่านี้เสมอไป อย่างไรก็ดีตำราฮะดีษชีอะฮ์ได้รายงานฮะดีษชุด "ฏีนัต" ไว้ซึ่งไม่อาจจะมองข้ามได้กล่าวโดยสรุปคือหากพบว่ามุสลิมแต่ละฝ่ายอาจมีทัศนะแตกต่างกันบ้างในเรื่องการสรรสร้างของพระองค์
  • ท่านอิมามอะลี (อ.) ได้ให้บัยอัตแก่อบูบักรฺ อุมัร และอุสมานหรือไม่? เพราะอะไร?
    10155 เทววิทยาดั้งเดิม 2555/07/16
    ประการแรก: ท่านอิมามอะลี (อ.) และบรรดาสหายกลุ่มหนึ่งของท่าน พร้อมกับสหายของท่านศาสดา มิได้ให้บัยอัตกับท่านอบูบักรฺตั้งแต่แรก แต่ต่อมาคนกลุ่มนี้ได้ให้บัยอัต ก็เนื่องจากว่าต้องการปกปักรักษาอิสลาม และความสงบสันติในรัฐอิสลาม ประการที่สอง: ปัญหาทั้งหมดที่เกิดขึ้นนั้นไม่อาจคลี่คลายให้เสร็จสิ้นได้ด้วยคมดาบ หรือความกล้าหาญเพียงอย่างเดียว และมิได้หมายความว่าทุกที่จะสามารถใช้กำลังได้ทั้งหมด เนื่องจากมนุษย์เป็นผู้มีสติปัญญา และฉลาดหลักแหลม สามารถใช้เครื่องมืออันเฉพาะแก้ไขปัญหาได้ ประการที่สาม: ถ้าหากท่านอิมามยอมให้บัยอัตกับบางคน เพื่อปกป้องรักษาสิ่งที่มีคุณค่ามากกว่า เช่น ปกป้องศาสนาของพระเจ้า และความยากลำบากของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) นั่นมิได้หมายความว่า ท่านเกรงกลัวอำนาจของพวกเขา และต้องการรักษาชีวิตของตนให้รอดปลอดภัย หรือท่านมีอำนาจต่อรองในตำแหน่งอิมามะฮฺและการเป็นผู้นำน้อยกว่าพวกเขาแต่อย่างใด ประการที่สี่ : จากประวัติศาสตร์และคำพูดของท่านอิมามอะลี (อ.) เข้าใจได้ว่า ท่านอิมาม ได้พยายามคัดค้านและท้วงติงพวกเขาหลายต่อหลายครั้ง เกี่ยวกับสถานภาพตามความจริง ในช่วงการปกครองของพวกเขา แต่ในที่สุดท่านได้พยายามปกปักรักษาอิสลามด้วยการนิ่งเงียบ และช่วยเหลืองานรัฐอิสลามเมื่อเผชิญหน้ากับศัตรู ...
  • การนอนในศาสนสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เช่นบริเวณฮะร็อมมีฮุกุมอย่างไร?
    5350 สิทธิและกฎหมาย 2554/11/19
    ฮะร็อม(บริเวณสุสาน)ของบรรดาอิมามตลอดจนศาสนสถานถือเป็นสถานที่ที่มุสลิมให้เกียรติมาโดยตลอดเนื่องจากการแสดงความเคารพสถานที่เหล่านี้ถือเป็นการให้เกียรติบรรดาอิมามและบุคคลสำคัญต่างๆที่ฝังอยู่ณสุสานดังกล่าวฉะนั้นควรหลีกเลี่ยงการกระทำที่ส่อไปในทางลบหลู่ดูหมิ่นสถานที่เหล่านี้เท่าที่จะทำได้แต่ทว่าในแง่ของฟิกฮ์การนอนในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เช่นมัสยิด, ฮะร็อมฯลฯถือว่าไม่เป็นที่ต้องห้ามนอกจากคนทั่วไปจะมองว่าการนอนในสถานที่ดังกล่าวเป็นการไม่ให้เกียรติสถานที่ซึ่งในกรณีนี้เนื่องจากวิถีประชาเห็นว่าการกระทำนี้เป็นสิ่งที่ไม่บังควรก็จะถึอว่าไม่ควรกระทำไม่ว่าสถานที่เหล่านั้นจะเป็นมัสยิดหรือฮะร็อมของบรรดาอาอิมมะฮ์ฯลฯก็ตาม
  • มีภัยคุกคามใดที่อาจจะเกิดขึ้นกับสาธารณรับอิสลาม?
    5365 ระบบต่างๆ 2554/11/21
    เพื่อที่จะทราบถึงภัยคุกคามของสิ่งๆหนึ่งก่อนอื่นเราจะต้องทำความรู้จักกับมูลเหตุต่างๆที่ทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น (ปัจจัยกำเนิด) และสิ่งที่จะทำให้สิ่งนั้นดำรงอยู่ (ปัจจัยพิทักษ์) เสียก่อนเนื่องจากภัยคุกคามที่อาจจะเกิดขึ้นกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งก็คือภัยที่จะคุกคามสองปัจจัยดังกล่าวนี่เองปัจจัยกำเนิดและพิทักษ์ของสาธารณรัฐอิสลามก็คือ 1. หลักคำสอนที่สูงส่งของอิสลาม (การปฏิบัติตามคำสั่งและหลักคำสอนของอิสลาม) 2. การมีผู้นำการปฏิวัติที่รอบรู้ 3. ความเป็นปึกแผ่นของประชาชนและการเชื่อฟังผู้นำหากปัจจัยดังกล่าวถูกคุกคามสาธารณรัฐอิสลามก็จะตกอยู่ในอันตรายฉะนั้นประชาชนเจ้าหน้าที่รัฐ
  • เนื่องจากการเสริมสวยใบหน้า ดังนั้น กรณีนี้สามารถทำตะยัมมุมแทนวุฎูอฺได้หรือไม่?
    9265 สิทธิและกฎหมาย 2556/01/24
    ทัศนะบรรดามัรญิอฺ ตักลีดเห็นพร้องต้องกันว่า สิ่งที่กล่าวมาในคำถามนั้นไม่อาจนำมาเป็นข้ออ้าง เพื่อละทิ้งวุฎูอฺหรือฆุซลฺ และทำตะยัมมุมแทนได้เด็ดขาด[1] กรณีลักษณะเช่นนี้ ผู้ที่มีความสำรวมตนส่วนใหญ่จะวางแผนไว้ก่อน เพื่อไม่ให้โปรแกรมเสริมสวยมามีผลกระทบกับการปฏิบัติสิ่งวาญิบของตน ซึ่งส่วนใหญ่จะทราบเป็นอย่างดีว่าเวลาที่ใช้ในการเสริมสวยแต่ละครั้งจะไม่เกิน 6 ชม. ดังนั้น ช่วงเวลาซุฮฺรฺ เจ้าสาวสามารถทำวุฏูอฺและนะมาซในร้านเสริมสวย หลังจากนั้นค่อยเริ่มแต่งหน้าเสริมสวย จนกว่าจะถึงอะซานมัฆริบให้รักษาวุฏูอฺเอาไว้ และเมื่ออะซานมัฆริบดังขึ้น เธอสามารถทำนะมาซมัฆริบและอิชาอฺได้ทันที ดังนั้น ถ้าหากมีการจัดระเบียบเวลาให้เรียบร้อยก่อน เธอก็สามารถทำได้ตามกล่าวมาอย่างลงตัว อย่างไรก็ตามเจ้าสาวต้องรู้ว่าเครื่องสำอางที่เธอแต่งหน้าไว้นั้น ต้องสามารถล้างน้ำออกได้อย่างง่ายดาย และต้องไม่เป็นอุปสรรคกีดกั้นน้ำสำหรับการทำวุฎูอฺเพื่อนะมาซซุบฮฺในวันใหม่ [1] มะการิมชีรอซียฺ,นาซิร,อะฮฺกามบานูวอน, ...
  • การเข้าร่วมงานแต่งงานที่มีจำนวนแขกจำ ซึ่งกำหนดไว้ก่อนแล้วล่วงหนา แต่แขกที่มาไม่มีใครคุมผ้าเรียบร้อยสักคนเมื่ออยู่ต่อหน้าเจ้าบ่าว กรณีนี้กฎเกณฑ์ทางศาสนบัญญัติกล่าวไว้อย่างไร (และลักษณะงานเช่นนี้ โดยทั่วไปเจ้าบ่าวและมะฮาริมที่เข้าร่วมงานแต่ง ตลอดงานนิกาฮฺจะแยกระหว่างชายหญิง)
    4701 สิทธิและกฎหมาย 2562/06/15
    เริ่มแรกเกี่ยวกับคำถามข้างต้น ขอกล่าวถึงทัศนะของมัรญิอฺตักลีด 1.งานสมรสตามประเพณีอิสลาม คือการร่วมแสดงความสุข รื่นเริง โดยปราศจากการกระทำความผิดบาปต่าง ๆ หรือภารกิจต่าง ๆ ที่ฮะรอม และมารยาทอันไม่ดีไม่งาม ที่มิใช่วิสัยของมนุษย์[1] 2.เมื่ออยู่ต่อหน้าเจ้าบ่าว หรือนามะฮฺรัมคนอื่น จำเป็นต้องรักษาฮิญาบ อย่างเคร่งครัด ซึ่งตรงนี้ไม่แตกต่างกันระหว่างงานสมรส และงานชุมนุมอย่างอื่น[2] 3.การเข้าร่วมงานสมรส หรืองานสังสรรค์อื่นๆ ซึ่งภายในงานนั้นมิได้เอาใจใส่สิ่งเป็นวาญิบในอิสลาม (เช่น แขกที่มาอยู่รวมกันทั้งชายและหญิง มีการเต้นรำ หรือเปิดเพลงที่ฮะรอม อย่างเปิดเผย) ถือว่าฮะรอม[3] 4. ถ้างานสมรสมิได้เป็นไปในลักษณะที่ว่า เป็นงานสังสรรค์แบบไร้สาระ ฮะรอม เป็นบาป หรือการปรากฏตัวในงานเหล่านั้น มิได้เป็นการสนับสนุนการก่อความเสียหาย ซึ่งการเข้าร่วมในงานสังสรรค์เช่นนั้น โดยทั่วไปไม่ถือว่าเป็นการสนับสนุน ถือว่าไม่เป็นไร
  • แถวนมาซญะมาอะฮฺควรตั้งอย่างไร? การเคลื่อนในนมาซทำให้บาฎิลหรือไม่?
    6811 สิทธิและกฎหมาย 2554/06/21
    เกี่ยวกับคำถามของท่านในเรื่องการจัดแถวนมาซญะมาอะฮฺมีกล่าวไว้แล้วในหนังสือฟิกฮต่างๆ :1. มะอฺมูมต้องไม่ยืนล้ำหน้าอิมามญะมาอะฮฺ[1]2. มุสตะฮับถ้าหากมะอฺมูม,เป็นชายเพียงคนเดียว, ให้ยืนด้านขวามือของอิมามญะมาอะฮฺ[2], และเป็นอิฮฺติยาฏวาญิบให้ยืนถอยไปด้านหลังของอิมามญะมาอะฮฺแต่ถ้ามีมะอฺมูมหลายคนให้ยืนด้านหลังของอิมามญะมาอะฮฺ[3]ดังนั้นโดยทั่วไปของเรื่องนี้ต้องการให้แต่ละคนจากมะอฺมูมคนที่ 1 และ 2 ปฏิบัติหน้าที่ของตนส่วนคำตอบสำหรับคำถามที่ว่ามะอฺมูมคนที่สองเป็นสาเหตุทำให้มะอฺมูมคนแรกต้องเคลื่อนที่ในนมาซญะมาอะฮฺอันเป็นสาเหตุทำให้นมาซของเขาบาฏิลหรือไม่นั้น, ต้องกล่าวว่า: การกระทำใดก็ตามที่ทำให้รูปแบบของมนาซต้องสูญเสียไปถือว่านมาซบาฏิล, เช่นการกอดอกหรือการกระโดดและฯลฯ[4]มัรฮูมซัยยิดกาซิมเฎาะบาเฏาะบาอียัซดีกล่าวว่า[5]ขณะนมาซ,ถ้าได้เคลื่อนเพื่อหันให้ตรงกับกิบละฮฺ[6]ถือว่าถูกต้อง,แม้ว่าจะถอยไปสองสามก้าวหรือมากกว่านั้น, เนื่องจากการเคลื่อนเพียงเท่านี้ไม่นับว่าเป็นอากับกริยาเพิ่มในนมาซทั้งที่มิได้มีการเคลื่อนมากมายและไม่ถือเป็นการทำลายรูปลักษณ์ของนมาซหรือเคลื่อนมากไปกว่านั้นก็ยังไม่ถือว่าทำลายรูปลักณ์ของนมาซอยู่ดีด้วยเหตุนี้มีรายงานอนุญาตให้กระทำเช่นนั้นด้วย

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60074 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    57461 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42157 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    39251 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    38900 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    33960 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    27975 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    27896 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    27720 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    25733 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...