การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
8362
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2551/04/17
คำถามอย่างย่อ
ถ้าหากมุอาวิยะฮฺเป็นกาเฟร แล้วทำไมท่านอิมามฮะซัน (อ.) ต้องทำสนธิสัญญาสันติภาพกับเขาด้วย แล้วยังยกตำแหน่งเคาะลิฟะฮฺให้เขา?
คำถาม
ชีอะฮฺกล่าว่า มุอาวิยะฮฺเป็นการเฟร แต่เรากลับเห็นว่าท่านอิมามฮะซัน บุตรของอะลี (อ.) ตามคำกล่าวของชีอะฮฺ เขาเป็นอิมามมะอฺซูม ได้ทำสัญญาสันติภาพกับมุอาวิยะฮฺ และถอนตัวจากการดำรงตำแหน่งเคาะลิฟะฮฺ ดังนั้นชีอะฮฺจำเป็นต้องพูดว่า อิมามฮะซัน (อ.) ได้ถอนตัวจากตำแหน่งเคาะลิฟะฮฺ เพื่อประโยชน์ของกาเฟรคนหนึ่ง แน่นอนสิ่งนี้ย่อมขัดแย้งกับการเป็นมะอฺซูมของท่าน หรือไม่ก็ต้องยอมรับว่ามุอาวิยะฮฺเป็นมุสลิมคนหนึ่ง
คำตอบโดยสังเขป

มุอาวิยะฮฺ ตามคำยืนยันของตำราฝ่ายซุนนียฺ เขาได้ประพฤติสิ่งที่ขัดแย้งกับชัรอียฺมากมาย อีกทั้งได้สร้างบิดอะฮฺให้เกิดในสังคมอีกด้วย เช่น ดื่มสุรา สร้างบิดอะฮฺโดยให้มีอะซานในนะมาซอีดทั้งสอง ทำนะมาซญุมุอะฮฺในวันพุธ และ ...ด้วยเหตุนี้เองจึงไม่มีช่องว่างที่จะมีความอดทนและอะลุ่มอล่วยกับเขาได้อีกต่อไป

อีกด้านหนึ่งประวัติศาสตร์ได้ยืนยันไว้อย่างชัดเจน การทำสนธิสัญญาสันติภาพระหว่างท่านอิมามฮะซัน (อ.) กับมุอาวิยะฮฺ มิได้เกิดขึ้นบนความยินยอม ทว่าได้เกิดขึ้นหลังจากมุอาวิยะฮฺได้สร้างความเสื่อมเสีย และความแตกแยกให้เกิดขึ้นในสังคมอย่างมากมาย จนกระทั่งว่ามุอาวิยะฮฺได้วางแผนฆ่าบรรดาชีอะฮฺ และเหล่าสหายจำนวนน้อยนิดของท่านอิมามฮะซัน (อ.)  (ซึ่งเป็นการฆ่าให้ตายอย่างไร้ประโยชน์) ท่านอิมาม (อ.) ได้ยอมรับสัญญาสันติภาพก็เพื่อปกปักรักษาชีวิตของผู้ศรัทธา และศาสนาเอาไว้ ดั่งที่ท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ได้รักษาศาสนาและชีวิตของบรรดามุสลิมเอาไว้ ด้วยการทำสนธิสัญญาสันติภาพฮุดัยบียะฮฺ กับบรรดามุชริกทั้งหลายในสมัยนั้น ซึ่งมิได้ขัดแย้งกับการเป็นผู้บริสุทธิ์ของท่านศาสดาแต่อย่างใด ดังนั้น การทำสนธิสัญญาสันติภาพลักษณะนี้ (บังคับให้ต้องทำ) เพื่อรักษาศาสนาและชีวิตของมุสลิม ย่อมไม่ขัดแย้งกับความบริสุทธิ์ของอิมามแต่อย่างใด

คำตอบเชิงรายละเอียด

แทนคำถามนี้ ซึ่งผู้ถามผู้ที่เกียรติกรุณาถามมานั้น เป้าหมายของการถามที่ได้ถามมานั้นคืออะไร เนื่องจากวิธีอธิบายคำถาม จึงเป็นลักษณะของคำสั่งให้ตอบ? ท่านต้องการลบใบหน้าอันเลวร้าย และความชั่วที่มุอาวิยะฮฺได้กระทำไว้ให้หมดไปหรือ หรือต้องการต้องการทราบเหตุผลที่แท้จริงของการทำสัญญาสันติภาพ ระหว่างท่านอิมามฮะซัน (อ.) บุตรชายของท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ (อ.) บุตรีของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว เป็นไปได้ไหมว่า เพื่อสิ่งที่สูงกว่าถ้าจะทำสัญญาสันติภาพตามที่ได้ถามมาข้างต้น กับบุคคลหนึ่งที่ไม่มีความเชื่อศรัทธาเลย? อย่างไรก็ตามชีอะฮฺมีความเชื่อว่า เพียงแค่การคำปฏิญาณ (ชะฮาดะตัยนฺ) ภายนอกเท่านั้น ก็สามารถพิสูจน์ได้แล้วว่าเขาผู้นั้นเป็นมุสลิม แต่สิ่งนี้มิได้เป็นเหตุผลว่าทุกคนที่ยอมรับอิสลามแล้ว เขาจะยืนหยัดมั่นคงอยู่กับหลักความศรัทธา และคุณค่าของอิสลาม เกี่ยวกับมุอาวิยะฮฺนั้น มีรายงานจำนวนมากทั้งจากฝ่ายชีอะฮฺ และซุนนียฺที่ยืนยันว่า เขาไม่เขายึดมั่นอยู่กับหลักการอิสลามเลย

ณ โอกาสนี้ขอนำเสนอรายงานที่มาจากฝ่ายซุนนียฺ ดังนี้ :

อะฮฺมัด บิน ฮันบัล รายงานจากอับดุลลอฮฺ บิน บุรีดะฮฺว่า “ฉันและบิดาของฉันได้เข้าไปหามุอาวิยะฮฺ เขาได้เรียกให้เรานั่งบนพรหม และได้นำเอาอาหารมาเลี้ยง พวกเราได้กินอาหารนั้น หลังจากนั้นเขาได้นำเอาสุรามาเลี้ยง มุอาวิยะฮฺดื่มสุราเหมือนเรื่องปรกติ เขาได้เชิญให้บิดาของฉันดื่มด้วย แต่บิดาของฉันพูดว่า นับตั้งแต่ท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ได้ห้ามดื่มสุรา ฉันก็ไม่เคยดื่มอีกเลย[1] ซึ่งท่านศาสดา (ซ็อลฯ) กล่าวว่า “ผู้ที่ดื่มสุราประหนึ่งผู้ที่กำลังสักการะเจว็ดรูปปั้นทั้งหลาย[2] เขาได้ประพฤติสิ่งที่ขัดกับซุนนะฮฺของท่านศาสดา เขายังเป็นคนแรกที่ได้ให้อะซานในนะมาซอีดทั้งสอง เขาได้สร้างบิดอะฮฺต่างๆ มากมายในศาสนา[3] ขณะที่ตามชัรอียฺแล้วมิได้มีการอนุญาตให้อะซาน นอกจากในนะมาซวาญิบประจำวันเท่านั้น ซึ่งเป็นที่ยอมรับของมุสลิมทุกคน และของทุกมัซฮับ ท่านอิบนุอับบาส และญาบิร กล่าวว่า “ท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ไม่เคยอะซานในวันอีดฟิฏร์และอีดอัฎฮาเลย”[4] เขาได้ให้คนซีเรียนะมาซญุมุอะฮฺในวันพุธ มัสอูดดียฺ กล่าวว่า “การภักดีของชาวเมืองซีเรียที่มีต่อมุอาวิยะฮฺถึงขั้นที่ว่า เมื่อมุอาวิยะฮฺเคลื่อนทัพไปยังซิฟฟีน เขาได้จัดนะมาซญุมุอะฮฺ ขึ้นในวันพุธ[5] และภารกิจอื่นๆ อีกที่เขาได้กระทำ ทั้งหมดเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงว่าตัวมุอาวิยะฮฺ ไม่เคยใส่ใจต่อหลักการอิสลาม

ในทัศนะของอะฮฺลิซซุนนะฮฺ ที่กล่าวว่าเกียรติยศของพวกเขาคือการได้ปฏิบัติซุนนะฮฺของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ฉะนั้น การปกป้องบุคคลเฉกเช่นมุอาวิยะฮฺ มิใช่เรื่องประหลาดหรือ

แต่สิ่งที่หน้าประหลาดใจไปยิ่งกว่านั้นก็คือ เขาได้สนใจบุคคลหนึ่ง ซึ่งท่านเราะซูลและรายงานฮะดีซได้กล่าวถึงเขา ในทางเสื่อมเสียทั้งให้หนังสือชีอะฮฺ และซุนนียฺ สิ่งที่ปรากฏอยู่ในหนังสือ เคาะซออิซ อะมีรุลมุอฺมินีน (อ.) ซึ่งบางส่วนได้นำเสนอไปตามความเหมาะสม เช่น ท่านศาสดา (ซ็อลฯ) กล่าวว่า “ฮะซันและฮุซัยนฺ ดอกไม้สองดอกที่สุดหอมหวนสำหรับฉันในโลกนี้” “ฮะซันและฮุซัยนฺ ทั้งสองคือบุตรของฉันและเป็นหัวชาหนุ่มแห่งสรวงสวรรค์”[6]

แต่จุดประสงค์ของผู้ถามถึงสาเหตุของการทำสัญญาสันติภาพระหว่าง ท่านอิมามฮะซัน (อ.) กับมุอาวิยะฮฺ ซึ่งในทัศนะของผู้ถามเข้าใจว่าบุคคลเฉกเช่น อิมามจะทำสัญญาสันติภาพกับคนเช่นมุอาวิยะฮฺได้อย่างไร โดยต้องการอยากทราบทัศนะของชีอะฮฺที่มีต่อมุอาวิยะฮฺ ดังนั้น จะกล่าวโดยสรุปสั้นๆ ว่า หลังจากท่านอิมามอะลี (อ.) ได้ชะฮีดไปแล้ว ท่านอิมามฮะซัน (อ.) ก็ได้ดำรงตำแหน่งอิมามแทน ซึ่งนับตั้งแต่วันแรกสิ่งที่เป็นปัญหาใหญ่สำหรับท่านอิมามฮะซัน (อ.) คือมุอาวิยะฮฺและการกระทำของเขา เนื่องจากเขาได้เริ่มก่อกวน สร้างอุบายและแผนการต่างๆ แสดงความดื้อรั้น เขาได้ต่อต้านอิมามทั้งที่เป็นผู้สืบเชื้อสายมาจากท่านเราะซูล (อ.) และประชาชนก็ได้ให้บัยอัตกับท่านด้วย ท่านอิมามฮะซัน (อ.) ได้ส่งจดหมายหลายฉบับไปถึงมุอาวิยะฮฺ เพื่อให้ข้อพิสูจน์สมบูรณ์ สิ่งเหล่านี้มีบันทึกอยู่ในหนังสือประวัติศาสตร์ทั้งสิ้น[7] แต่จดหมายเหล่านั้นหาได้มีผลอันใดต่อมุอาวยะฮฺไม่ ทว่าในทางกลับกันมุอาวิยะฮฺได้จัดตั้งทัพเพื่อเคลื่อนไปสู่อิรัก ท่านอิมามฮะซัน (อ.) ต้องใช้ความพยายามอย่างสูงในการจัดทัพ และอาศัยความเสียสละของเหล่าสหายจำน้อยนิด เพื่อต่อสู้กับกองทัพของมุอาวิยะฮฺ แต่น่าเสียดายว่ากองทัพที่อ่อนแอของท่านอิมาม ไม่อาจต้านทานกำลังทรัพย์ของมุอาวิยะฮฺ ที่ใช้หว่านซื้อทหารในกองทัพของท่านอิมามไปมากมาย ซึ่งแม่ทัพของท่านอิมามด้วยซ้ำไปที่เขาและทหารอีกจำนวนหนึ่ง ได้แปรพักตร์ไปเข้ากับมุอาวิยะฮฺ[8] ท่านอิมาม (อ.) เมื่อได้เห็นสถานการณ์เช่นนั้น เห็นเหล่าทหารที่ไม่ซื่อสัตย์ ท่านได้ปรึกษากับเหล่าสหายของท่าน เพื่อจะได้รวบรวมกำลังต่อสู้กับมุอาวิยะฮฺ แต่ทว่าส่วนใหญ่ไม่พร้อมที่จะสู้รบ จนในที่สุดท่านอิมามได้กล่าวว่า “ฉันได้สัญญาสันติภาพตามคำเรียกร้องของคนส่วนใหญ่ ฉันไม่พอใจที่จะต้องบีบบังคับผู้ใดให้ต้องทำตาม และฉันต้องการรักษาชีวิตของชีอะฮฺจำนวนน้อยนิดให้คงอยู่ต่อไป จึงได้ถอนทัพไว้สู้รบในโอกาสต่อไป (ทำสัญญาสันติภาพ) แน่อนอัลลอฮฺ ทรงอานุภาพยิ่งเสมอ[9]

ดังนั้น เมื่อพิจารณาเงื่อนไขต่างๆ ความแตกแยกทางความคิดโดยน้ำมือของมุอาวิยะฮฺ ความเหน็ดเหนื่อยของประชาชนจากสงคราม สัญญาสันติภาพอันไม่พึงประสงค์จึงต้องเกิดขึ้น แน่นอนว่า สัญญาสันติภาพนี้ย่อมไม่เข้ากันกับความเป็นผู้บริสุทธิ์ของท่านอิมาม แต่ก็ไม่มีคำอธิบายสำหรับฝ่ายตรงข้าม แต่ถ้าจะพูดแล้วสันติภาพไม่เหมาะสมกับอิมามอย่างไร ในเมื่อท่านเราะซูล (ซ็อลฯ) เองยังต้องฝืนทำสนธิสัญญาฮุดัยบียะฮฺ เนื่องจากความชั่วร้ายของบรรดาผู้ปฏิเสธ และญาฮิลชาวมักกะฮฺในสมัยนั้น ซึ่งในตอนนั้นมุอาวิยะฮฺ และบิดาของเขาอบูซุฟยานก็อยู่ด้วย พวกเขาอยู่ในฝ่ายของผู้ปฏิเสธที่ต่อต้านท่านศาสดา (ซ็อลฯ)[10] ท่านศาสดาต้องยอมรับสัญญาสันติภาพฮุดัยบียะฮฺ[11] แต่ก็ไม่มีข้อคลางแคลงใจอันใดเกิดขึ้น มันเป็นไปไม่ได้ที่ว่าหลังจากสันญาสันติภาพแล้ว ท่านศาสดา (ซ็อลฯ) จะไม่มะอฺซูมอีกต่อไป เนื่องจากได้ทำสัญญาสันติภาพกับมุชริก (ผู้เคารพรูปปั้นบูชาทั้งหมาย) ดังนั้น มุชริก เป็นมุสลิม และเป็นมุอฺมินกระนั้นหรือ และการทำสันติภาพของท่านอิมามฮะซันมิได้เป็นไปเพื่อสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าดอกหรือ แล้วท่านอิมามไม่อาจจะตัดสินใจกระทำสิ่งที่มีความสำคัญยิ่งกว่าได้กระนั้นหรือ ขณะที่การกระทำของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ท่านจะมีคำอธิบายเป็นอย่างอื่นไหม

ดังนั้น เป็นที่ชัดเจนว่าสิ่งที่ท่านอิมามฮะซัน (อ.) ได้กระทำลงไปนั้น มีความสำคัญยิ่งกว่า และเหมาะสมที่สุดแล้วสำหรับการรักษาอิสลามให้ดำรงสืบไป

 

 


[1] มุสนัดอะฮฺมัด เล่ม 6 หน้า 476, ฮะดีซที่ 22433

[2] อัตตัรฆีบ วัรตัรฮีบ, อิบนุมุนซัร, เล่ม 3, หน้า 102, คัดลอกมาจากหนังสือ วาเกะอะฮฺ อาชูรอ วะพอซุก เบะชุบฮอต, อะลีอัสฆัร ริฎวานียฺ, หน้า 56

[3] ตารีคคุละฟาอฺ, ซุยูฏียฺ, หน้า 187, พิมพ์ที่ดารุลฟิกรฺ เบรูต

[4] เซาะฮียฺบุคอรียฺ, เล่ม 10, หน้า 327, 917.

[5] มุรูจญฺ อัซซะฮับ มัสอูดียฺ, เล่ม 3 หน้า 42.

[6] เคาะซะอิซ นะซาอียฺ, หน้า 106,-108, พิมพ์ที่ มักตับตะบี อัสกะรียะฮฺ

[7] อิมามฮะซัน มุจญฺตะบา (อ.) ซัยยิดฮาชิม เราะซูล มะฮัลลอตียฺ, หน้า 202, 210

[8] อ้างแล้ว, หน้า 214

[9] อะอฺลามุลฮิดายะฮฺ, กิตาบอิมามฮุซัยนฺ (อ.) หน้า 147, คัดลอกมาจาก อัคบาร อัฏฏุวาล 221.

[10] วากิอะฮฺ อาชูรอ, อะลีอัสฆัร ริฎวานนี, หน้า 54.

[11] พียอมบัรอุมมี, ชะฮีดมุเฎาะฮะรียฺ, หน้า 27

 

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • เข้ากันได้อย่างไร ระหว่างความดีและชั่ว กับความเป็นเอกะและความเมตตาของพระเจ้า?
    7614 เทววิทยาดั้งเดิม 2555/04/07
    1. โลกใบนี้ได้ถูกสร้างขึ้นมาในลักษณะที่ว่า สรรพสิ่งทั้งหลายที่มีอยู่ไม่อาจอยู่เป็นเอกเทศหรืออยู่ตามลำพังได้, องค์ประกอบและสัดส่วนต่างๆ บนโลกนี้ ถ้าหากพิจารณาให้รอบคอบจะพบว่าทุกสรรพสิ่ง เปรียบเสมือนโซ่ที่ร้อยเรียงติดเป็นเส้นเดียวกัน ซึ่งทั้งหมดเหล่านั้นรวมเรียกว่า ระบบการสร้างสรรค์อันสวยงาม, ด้วยเหตุนี้ ไม่สามารถกล่าวได้ว่าในโลกนี้มีพระเจ้า 2 องค์ เช่น พูดว่าน้ำและน้ำฝนมีพระเจ้าองค์หนึ่ง น้ำท่วมและแผ่นดินไหวมีพระเจ้าอีกองค์หนึ่ง, แน่นอน ถ้าหากน้ำท่วมและแผ่นดินไหวมาจากระบบหนึ่ง และน้ำฝน แสงแดด การโคจร และ ...ได้ตามอีกระบบหนึ่ง เท่ากับว่าโลกใบนี้มี 2 ระบบ เวลานั้นเราจึงสามารถกล่าวได้เช่นนี้ว่า โลกมีพระเจ้า 2 องค์ ด้วยเหตุนี้ เนื่องจากความจำกัดของโลกมีเพียงแค่ระบบเดียวที่เข้ากันและมีความสวยงาม ซึ่งทั้งหมดสามารถเจริญเติบโตไปสู่ความสมบูรณ์ของตนได้อย่างเสรี สรุปแล้วโลกใบนี้ต้องมีพระเจ้าองค์เดียว ผู้ทรงเมตตาปรานียิ่ง 2.ความเมตตาปรานีของพระเจ้า วางอยู่บนพื้นฐานแห่งวิทยปัญญาของพระองค์ ซึ่งสิ่งนี้ได้กำหนดว่ามนุษย์และสรรพสิ่งทั้งหลายต่างได้รับการชี้นำทางไปสู่การพัฒนา และความสมบูรณ์แต่ก็มิได้หมายความว่าจะเป็นไปได้ทุกหนทางในการบริการ หรือทุกหนทางที่จะก้าวเดินไป ทว่าการไปถึงยังความสมบูรณ์นั้นได้เป็นตัวกำหนดว่า มนุษย์ต้องผ่านหนทางที่ยากลำบากไปให้ได้ เขาต้องเผชิญกับความยากลำบาก และการต่อสู้ในชีวิตเพื่อก้าวไปสู่ความสมบูรณ์ อีกนัยหนึ่งศักยภาพต่างๆ ...
  • ถ้าหากพิจารณาบทดุอาอฺต่างๆ ในอัลกุรอาน จะเห็นว่าดุอาอฺเหล่านั้นได้ให้ความสำคัญต่อตัวเองก่อน หลังจากนั้นเป็นคนอื่น เช่นโองการอัลกุรอาน ที่กล่าวว่า “อะลัยกุม อันฟุซะกุม” แต่เมื่อพิจารณาดุอาอฺของท่านหญิงฟาฏิมะฮฺจะพบว่าท่านหญิงดุอาอฺให้กับคนอื่นก่อนเป็นอันดับแรก, ดังนั้น ประเด็นนี้จะมีทางออกอย่างไร?
    9771 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/12/21
    ในตำแหน่งของการขัดเกลาจิตวิญญาณและยกระดับจิตใจตนเองนั้น, มนุษย์ต้องคำนึงถึงตัวเองก่อนบุคคลอื่นเพราะสิ่งนี้เป็นคำสั่งของอัลกุรอานและรายงานนั่นเอง, เนื่องจากถ้าปราศจากการขัดเกลาจิตวิญญาณแล้วการชี้แนะแนวทางแก่บุคคลอื่นจะบังเกิดผลน้อยมาก, แต่ส่วนในตำแหน่งของดุอาอฺหรือการวิงวอนขอสิ่งที่ต้องการจากพระเจ้า,ถือว่าเป็นความเหมาะสมอย่างยิ่งที่มนุษย์จะวอนขอให้แก่เพื่อนบ้านหรือบุคคลอื่นก่อนตัวเอง, ...
  • เงื่อนไขถูกต้องสำหรับการใช้ประโยชน์จากธรรมชาติ เป็นเช่นไร?
    6912 จริยธรรมปฏิบัติ 2555/01/23
    มีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงกับศาสนาอื่นที่มองเห็นความต้องการของมนุษย์เพียงด้านเดียวและให้ความสนใจเฉพาะด้านวัตถุปัจจัยหรือด้านจิตวิญาณเพียงอย่างเดียว, อิสลามได้เลือกสายกลาง. เพื่อเป็นครรลองดำเนินชีวิตถูกต้องแก่ประชาชาติโดยให้มนุษย์เลือกใช้ความโปรดปรานต่างๆจากพระเจ้าอย่างถูกต้องและถูกวิธี
  • ในสังคมอิสลามมีสตรีศึกษาในสถาบันศาสนาแล้วถึงขั้นมุจญฺตะฮิดมีบ้างหรือไม่?
    6824 تاريخ بزرگان 2554/09/25
    การให้ความร่วมมือกันของนักปราชญ์และนักวิชาการอิสลาม, ประกอบกับเป็นข้อบังคับเหนือตัวมุสลิมทั้งชายและหญิง, สิ่งนี้กลายเป็นสาเหตุทำให้สตรีได้เข้าศึกษาศาสนาจนถึงระดับชั้นของการอิจญฺติฮาดหรือมุจญตะฮิดตัวอย่างสุภาพสตรีที่ศึกษาถึงขั้นอิจญฺติฮาดมุจญฺตะฮิดะฮฺอะมีนเสียชีวิตในปีฮ.ศ. 1403 (1362) หรือมุจญฺตะฮิดะฮฺซะฟอตียฺซึ่งปัจจุบันท่านยังเป็นอาจารย์สอนหนังสือในสถาบันสอนศาสนาเฉพาะสตรีซึ่งสองท่านนี้ถือได้ว่าเป็นตัวอย่างของสตรีที่ประสบความสำเร็จสูง ...
  • ฏอยยุลอัรฎ์คืออะไร?
    7383 รหัสยทฤษฎี 2554/06/11
    ทักษะพิเศษดังกล่าวมีการอธิบายที่หลากหลายอาทิเช่นทฤษฎี “สูญสลายและจุติ”ที่นำเสนอโดยอิบนิอะเราะบีทฤษฎีดังกล่าวเชื่อว่าผู้ที่มีทักษะฏอยยุลอัรฎ์สามารถสูญสลายจากสถานที่หนึ่งและจุติขึ้นณจุดหมายปลายทางได้. แต่อีกทฤษฎีหนึ่งเชื่อว่าฏอยยุลอัรฎ์คือพลวัตความเร็วสูงของร่างกายภายใต้แรงขับเคลื่อนของจิตวิญญาณอันทรงพลัง.แต่แม้เราจะยอมรับทฤษฎีใดก็ตามข้อเท็จจริงก็คือบุคคลทั่วไปไม่สามารถมีทักษะพิเศษนี้ได้นอกจากเอาลิยาอ์ของอัลลอฮ์เท่านั้น. ...
  • ระหว่าง ลาอิลาฮะอิลลาฮุวะ และ ลาอิลาฮะอิลลัลลอฮ์ มีข้อแตกต่างกันอย่างไร?
    10288 เทววิทยาดั้งเดิม 2555/03/04
    บางฮะดีษระบุว่า ยาฮุวะ หรือ ยามันลาฮุวะ อิลลาฮุวะ คืออภิมหานามของพระองค์ (อิสมุ้ลอะอ์ซ็อม) แน่นอนว่าข้อแตกต่างระหว่างลาอิลาฮะอิลลาฮุวะ และ ลาอิลาฮะอิลลัลลอฮ์ นั้น สืบเนื่องมาจากความแตกต่างระหว่าง “ฮุวะ” และ “อัลลอฮ์”นั่นเอง “ฮุวะ”ในที่นี้สื่อถึงคุณลักษณะหนึ่งของพระองค์ซึ่งอยู่พ้นนิยามและญาณวิสัย และจะเร้นลับตลอดไป ส่วนคำว่า “อัลลอฮ์” สื่อถึงการที่พระองค์เป็นศูนย์รวมของคุณลักษณะอันไพจิตรและพ้นจากคุณลักษณะอันไม่พึงประสงค์ทั้งมวล ฉะนั้น เมื่อกล่าวว่า ลาอิลาฮะอิลลัลลอฮ์ แปลว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์ผู้ทรงดำรงไว้ซึ่งคุณสมบัติต่างๆอย่างครบถ้วน โดยมิได้จะสื่อว่าอาตมันของพระองค์จำแนกจากคุณสมบัติทั้งมวล และเมื่อกล่าวว่า พระองค์ (ฮุวะ) คืออัลลอฮ์ (ในซูเราะฮ์กุ้ลฮุวัลลอฮ์) นั่นหมายถึงว่าคุณลักษณะของพระองค์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับอาตมันของพระองค์ ...
  • การลงโทษความผิดบาปต่างๆ บางอย่าง จะมากกว่าการลงโทษบาปอื่น ๆ บางอย่างใช่หรือไม่?
    9385 گناه 2555/08/22
    อัลกุรอานและรายงานฮะดีซจากอะฮฺลุลบัยตฺ (อ.) เข้าใจได้ว่า ความผิดต่างๆ ถ้าพิจารณาในแง่ของการลงโทษในปรโลกและโลกนี้ จะพบว่ามีระดับขั้นที่แตกต่างกัน อัลกุรอานถือว่า ชิริก คือบาปใหญ่และเป็นการอธรรมที่เลวร้ายที่สุด ทำนองเดียวกัน การกระทำความผิดบางอย่างได้รับการสัญญาเอาไว้ว่า จะต้องได้รับโทษทัณฑ์อย่างแน่นอน นั่นบ่งบอกให้เห็นว่า มันเป็นความผิดใหญ่นั่นเอง ในแง่ของการลงโทษความผิดทางโลกนี้ สำหรับความผิดบางอย่างนั้นคือ การเฆี่ยนตีให้หลาบจำ ซึ่งได้ถูกกำหนดไว้ แต่การลงโทษความผิดบางอย่าง เช่น การฆ่าคนตายโดยเจตนา จะต้องถูกประหารชีวิตให้ตายตกไปตามกัน หรือบาปบางอย่างนอกจากต้องโทษแล้ว ยังต้องจ่ายสินไหมเป็นเงินตอบแทนด้วย ...
  • สระน้ำเกาษัรคืออะไร?
    14505 การตีความ (ตัฟซีร) 2554/10/22
    “เกาษัร” หมายถึงความดีจำนวนมากมายและมหาศาล หรือตัวอย่างหลายกรณีสามารถกล่าวเพื่อสิ่งนั้นได้ เช่น : สระน้ำและแม่น้ำเกาษัร, ชะฟาอัต, นบูวัต, วิทยปัญญา, ความรู้, ลูกหลานจำนวนมากมาย, ทายาทมาก และ ...เกาษัร มีตัวอย่างสองประการ หนึ่งคือโลกนี้ได้แก่ (ฟาฏิมะฮฺซะฮฺรอ อะลัยฮัสลาม) ส่วนปรโลกคือ (สระน้ำเกาษัร)สระน้ำเกาษัร, คือแห่งน้ำดื่มอันชุ่มชื่นใจแห่งสรวงสวรรค์ ซึ่งมีความกว้างมากซึ่งชาวสวรรค์หลังจากผ่านสนามสอบสวนในวันฟื้นคืนชีพ หลังจากนั้นพวกเขาจะถูกนำตัวเข้าสวรรค์และเข้าไปยังสระน้ำนั้น พวกเขาจะได้ดื่มน้ำจากสระเกาษัรเพื่อดับความกระหาย และจะได้ลิ้มรสความอร่อยอย่างที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน. จากสระน้ำเกาษัร, จะมีแม่น้ำอีกสองสายไหลแยกออกไปและจะไหลผ่านอยู่ในสวรรค์นั้น ...
  • บทบัญญัติเกี่ยวกับปลาสเตอร์เจียน คืออะไร?
    10520 ประเภทของปลา 2555/05/20
    ปลาสเตอร์เจียน เป็นปลาที่มนุษย์ใช้เป็นอาหารมานานแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งไข่ปลา ที่เรียกว่า คาเวียร์ ซึ่งนับเป็นอาหารราคาแพงที่สุดชนิดหนึ่งของโลก แต่ทั่วไปมักเรียกว่า ปลาคาเวียร์ บุคคลที่ตักลีดกับมัรญิอฺ เช่น ท่านอิมามโคมัยนี (รฎ.) ถ้าสงสัยว่าปลาคาเวียร์มีเกล็ดหรือไม่,เขาสามารถรับประทานได้ แต่ถ้าตักลีดกับมัรญิอฺ บางท่าน ซึ่งในกรณีนี้ไม่อนุญาตให้รับประทาน, แต่ถ้าใช้ประโยชน์อย่างอื่นนอกจากรับประทาน เช่น ซื้อขายถือว่าไม่เป็นไร, ด้วยเหตุนี้, ในกรณีนี้แต่ละคนต้องปฏิบัติตามทัศนะของมัรญิอฺที่ตนตักลีด ...
  • ภูมิหลังทางประวัติศาสตร์กฎการขวางด้วยหิน (ขวางให้ตาย) คืออะไร? การถือปฏิบัติกฎระเบียบดังกล่าว ตามหลักการอิสลามในยุคสมัยนี้ ไม่สร้างความเสื่อมเสียแก่อิสลามหรือ?
    9662 بیشتر بدانیم 2555/08/22
    การลงโทษ โดยการขว้างด้วยก้อนหิน หรือเรียกว่า “รัจม์” เป็นที่ยอมรับในหมู่ประชาชาติ หมู่ชน และศาสนาต่างๆ ก่อนหน้าอิสลาม ซึ่งในอิสลามถือว่า การลงโทษดังกล่าวเป็นข้อกำหนดประเภทหนึ่งตามหลักชัรอียฺ แน่นอนและตายตัว ซึ่งจะใช้ลงโทษสำหรับการกระทำผิดที่หนักมาก ซึ่งมีรายงานจำนวนมากจากท่านศาสดา (ซ็อลฯ) กล่าวถึงประเด็นดังกล่าวไว้ เป้าหมายของอิสลามจากการลงโทษดังกล่าวคือ การปรับปรุงแก้ไขสังคม, อันเกิดจากความผิดปรกติด้านการก่ออาชญากรรม, เป็นการชำระผู้กระทำผิดอีกทั้งเป็นการลบล้างความผิดบาป ที่เกิดจากผลของความผิดนั้น, ดำเนินความยุติธรรมให้เกิดขึ้นในสังคม,ป้องกันความหันเห ความหลงผิดต่างๆ อันเกิดจากการทำลายความบริสุทธิ์ของสังคม กลับคืนสู่สังคมอีกครั้ง ตามทัศนะของอิสลามการลงโทษ การทำชู้ (หญิงที่มีสามี หรือชายที่มีภรรยา) จะถูกลงโทษด้วยเงื่อนไขอันเฉพาะด้วยการขว้างด้วยก้อนหินจนกระทั่งเสียชีวิต ถ้าหากการดำเนินกฎเกณฑ์ดังกล่าว หรือกฎเกณฑ์ข้ออื่นๆ นำไปสู่การดูถูกเหยียดหยามอิสลามแล้วละก็ วะลียุลฟะกีฮฺ หรือฮากิมชัรอียฺ สามารถเปลี่ยนแปลงวิธีการลงโทษได้ตามความเหมาะสม และต้องสอดคล้องกับกฎหมายอิสลาม ...

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60879 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    58575 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42966 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    40713 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    39606 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    34734 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    28815 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    28688 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    28666 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    26554 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...