การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
7233
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2554/09/25
 
รหัสในเว็บไซต์ fa1040 รหัสสำเนา 16978
คำถามอย่างย่อ
จะมีวิธีการจำแนก ระหว่างการกรุการมุสาหรือพูดจริง สำหรับบุคคลที่กล่าวอ้างถึงวะฮฺยู (อ้างการลงวะฮฺยูและการเป็นนบี) ได้อย่างไร?
คำถาม
จะมีวิธีการจำแนก ระหว่างการกรุการมุสาหรือพูดจริง สำหรับบุคคลที่กล่าวอ้างถึงวะฮฺยู (อ้างการลงวะฮฺยูและการเป็นนบี) ได้อย่างไร?
คำตอบโดยสังเขป

1- วะฮฺยูในความหมายของคำหมายถึง "การถ่ายโอนเนื้อหาอย่างรวดเร็วอย่างลับๆ" แต่ในความหมายทางโวหารหมายถึง "การรับรู้ด้วยสติอันเป็นความพิเศษของศาสดา การได้ยินพระวจนะของพระเจ้าโดยไม่มีสื่อกลาง หรือผ่านสื่อกลาง

2- วะฮฺยูตามความมายของคำนั้น,ไม่เพียงแต่ไม่ใช้สำหรับมนุษย์ที่มิได้เป็นนบีเท่านั้น แม้แต่สรรพสัตว์และสิ่งไม่มีชีวิตอื่นก็ถูกใช้ด้วย และ ... นอกจากนี้ยังนำมาใช้เป็นวัฒนธรรมของกุรอาน, เช่น แรงบันดาลใจที่มีต่อมารดาของศาสดามูซา (.), และเรื่องราวอันเป็นสัญชาติญาณ เช่น การสร้างรวงรังของผึ้ง, หรือภารกิจอันเป็นการกำหนด เช่น การโคจรของฟากฟ้าและแผ่นดิน สิ่งเหล่านี้เป็นวะฮฺยูเช่นกัน

3- บรรดานักเอรฟานบางท่านยังเรียกร้องว่า ตนมีแรงบันดาลใจวะฮฺยู" ซึ่งจุดประสงค์ของพวกเขาคือ วะฮฺยู ในความหมายเชิงภาษาหรือแรงบันดาลใจนั่นเอง ส่วนวะฮฺยูในเชิงของโวหารนั้นสำหรับบรรดานบี (.) เท่านั้น, แต่แรงบันดาลใจอาจจะครอบคลุมถึงคนอื่นด้วย

4- ถ้ามีคนเรียกร้องวะฮฺยูพร้อมกับการเป็นนบีและมีสาส์น ดังนั้นเพื่อระบุคำพูดของเขาว่าเป็นจริงในอันดับแรกจะมี "ปาฏิหาริย์" แสดงออกมา

5- ปาฏิหาริย์ (มุอฺญิซะฮฺ) เป็นภารกิจพิเศษเหนือธรรมชาติ ซึ่งอยู่เหนืออำนาจมนุษย์และออกนอกกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวกับการเรียนรู้ ซึ่งบุคคลที่อ้างว่าตนเป็นนบีจะแสดงออกมาเพื่อพิสูจน์การเป็นนบีของตน พร้อมกับเป็นการโต้ตอบการร้องขอหรือคำท้าทาย (ตะฮัดดี) ของคนอื่น เช่น ไม้เท้าของศาสดามูซา (.) ได้กลายเป็นงู หรือการที่ศาสดาอีซา (.) ได้ทำให้สิ่งที่ตายแล้วฟื้นคืนชีพขึ้นมา หรืออัลกุรอานมะญีดอันเป็นความอัศจรรย์ของพระศาสดามุฮัมมัด (ซ็อล ) ผู้เป็นศาสดาสุดท้าย ดังนั้น หากใครกำลังมองหาการกระทำพิเศษเหนือธรรมชาติ ซึ่งจะไม่เรียกการกระทำของเขาว่าเป็น มุอฺญิซะฮฺ ทว่าจะเรียกเป็น กะรอมัต หรือ ... ขณะเดียวกันถ้าหากการกระทำของเขาไม่ตรงกับคำกล่าวอ้างการเป็นนบี จะไม่เรียกสิ่งนั้นว่าเป็นมุอฺญิซะฮฺเช่นกัน

6- สิ่งที่บ่งว่ามุอฺญิซะฮฺนั้นรับรองคำกล่าวอ้างการเป็นนบีว่าเป็นความจริง ก็คือ: ทั้งมุอฺญิซะฮฺและวะฮฺยู (แรงบันดาลใจ) ทั้งสองเป็นภารกิจเหนือธรรมชาติและเป็นปรากฏการณ์เร้นลับ ทว่าวะฮฺยูมิใช่ว่าบุคคลอื่นจะสามารถเห็นได้ การมองเห็นมลาอิกะฮฺเป็นไปไม่ได้สำหรับบุคคลอื่นที่มิใช่นบี ด้วยเหตุนี้เอง บรรดาศาสดาทั้งหลายที่ได้แสดงปาฏิหาริย์นั้นถือเป็นภารกิจเหนือธรรมชาติ และเหนืออำนาจของมนุษย์,เป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่าสิ่งนั้นได้มาจาก แหล่งอันเป็นอำนาจสูงสุดหรือสัมพันธ์อยู่กับอำนาจสูงสุด ด้วยเหตุนี้กฏเกณฑ์ที่ว่ากฏแห่งความคล้ายเหมือนในสิ่งอนุญาต และสิ่งที่ไม่อนุญาตจึงเป็นหนึ่งเดียวกันเราจึงสามารถสรุปได้ว่า คำกล่าวอ้างของบรรดาศาสดาทั้งหลายเกี่ยวกับการประทานวะฮฺยูลงมายังพวกท่าน ถือเป็นความจริงและถูกต้อง

7- การกล่าวอ้างถึงปาฏิหาริย์ สำหรับผู้ที่กรุการกล่าวอ้างการเป็นนบีจึงเป็นสิ่งเป็นไปไม่ได้, เพราะไม่เข้ากับภูมิปัญญาและคำชี้นำของพระเจ้า และการกล่าวปาฏิหาริย์ทำนองนี้ด้วยน้ำมือของผู้กล่าวเท็จย่อมเป็นสาเหตุทำให้บุคคลอื่นหลงทาง,เนื่องจากถ้าหน้าที่ของประชาชนคือการยอมรับคำกล่าวอ้างการเป็นนบีของทุกคนแล้วละก็ ย่อมนำไปสู่ความเสียหายอย่างแน่นอน และยังเป็นสาเหตุทำให้มีผู้กรุการกล่าวอ้างการเป็นนบีเพิ่มมากยิ่งขึ้น หรือปฏิเสธทุกคนที่กล่าวอ้างว่าเป็นนบี แน่นอนสิ่งนี้ย่อมขัดแย้งกับเป้าหมายของการประทานศาสดา และการชี้นำประชาชนอย่างแน่นอน, หรือจำเป็นต้องกำหนดมาตรฐานสำหรับการจำแนกการเป็นนบีที่มาจากพระเจ้าแก่ประชาชน เพื่อจะได้จำแนกได้ทันทีว่าผู้กล่าวอ้างจริงและเท็จเป็นอย่างไร และแน่นอน มาตรฐานนั้นก็คือมุอฺญิซะฮฺนั่นอง

8- ยังมีวิธีอื่นที่จะรู้จักความจริงสำหรับการกล่าวอ้างการเป็นนบี เช่น : การตรวจสอบเนื้อหาของวะฮฺยูในที่ขัดแย้งกับด้านใน, หรือในแง่ที่ขัดแย้งกับสติปัญญา เหตุผล และธรรมชาติ. ดังนั้น การกล่าวอ้างเรืองวะฮฺยูถ้าหากว่าขัดยังกับเหตุผลแน่นอนหรือสติปัญญาหรือธรรมชาติแล้วละก็ ถือว่าเป็นเท็จ และถ้าแตกต่างกันระหว่างประโยคต่าง หรือพบว่ามีความขัดแย้งกันระหว่างวะฮฺยูเหล่านั้น สิ่งนี้ย่อมเป็นเหตุผลที่ยืนยันถึงคำกล่าวอ้างที่เป็นเท็จนั้น

9- ตรวจสอบพฤติกรรมของผู้เรียกร้องการเป็นนบี ในแง่ของการมีความสมบูรณ์ทางศีลธรรม จิตใจ และพฤติกรรม, ซึ่งวิธีนี้สามารถพิสูจน์ได้ว่าคำกล่าวอ้างของเขาเป็นจริงหรือไม่

10- การแนะนำหรือการประกาศแจ้งของศาสดาคนก่อนหน้า หรือศาสดาร่วมสมัย,หรือคำชี้แจงที่อยู่ในตำราหรือคัมภีร์แห่งพระเจ้า ซึ่งสิ่งนี้นับว่าเป็นอีกวิธีหนึ่งในการรู้จักนบี, โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรู้จักท่านศาสดาอิสลาม (ซ็อล )

คำตอบเชิงรายละเอียด

"วะฮฺยู" มีความหมายทางภาษาและความหมายในเชิงสติปัญญา[1] วะฮฺยูตามความหมายของคำหมายถึง "การโยกย้ายเรื่องราวโดยรวดเร็วอย่างลับๆ ไปยังบุรุษที่สอง"[2] ซึ่งครอบคลุมถึง "แรงบันดาลใจหรือการดลใจ" ส่วนความหมายในเชิงของสติปัญญา "วะฮฺยู" คือสติและการรับรู้พิเศษและลึกลับ (ไม่ใช่การคิดของปัญญา) จะไม่มีผู้ใดได้รับวะฮฺยู ยกเว้นมนุษย์ผู้ที่ได้รับความเมตตาพิเศษจากพระเจ้าเท่านั้น (บรรดาศาสดา) และวะฮฺยูจะถูกปกปิดไปจากความรู้สึกภายนอกด้วย[3]

วะฮฺยู ในแง่ของภาษานั้นมิได้จำกัดอยู่แค่มนุษย์ธรรมดาเท่านั้น, ทว่าได้ครอบคลุมถึงบรรดาสรรพสัตว์ สิ่งมีชีวิตอื่นๆ หรือแม้แต่สิ่งไม่มีชีวิตซึ่งภายนอกอาจจะไม่มีการรับรู้เช่น (หิน) เป็นต้น. ซึ่งตามวัฒนธรรมของอัลกุรอานสภาพอันเป็นธรรมชาติ สำหรับผึ้งที่สร้างรวงรังผึ้งและผลิตน้ำผึ้งได้นั้น เป็นไปตามวะฮฺยูของพระเจ้าพระผู้ทรงสร้างสรรค์ซึ่งได้อธิบายแก่มัน[4] หรือการดลใจที่มีต่อมารดาของศาสดามูซา (.) เพื่อให้ช่วยเหลือบุตรของตน,โดยนางได้วางบุตรชายลงในกล่องและปล่อยลอยไปตามแม่น้ำไนล์, ซึ่งสิ่งนี้ก็ถือว่าเป็นวะฮฺยูด้วยเช่นกัน[5] หรือดั่งเช่นที่พระองค์ได้วะฮฺยูแก่ท้องฟ้าและแผ่นดิน[6]

นักเอรฟานบางคนกล่าวอ้างถึงวะฮฺยู ซึ่งน่าจะเป็นความหมายในเชิงภาษา หรือที่เรียกว่าการดลใจซึ่งจุดประสงค์คือการได้รับหรือการประจักษ์นั่นเอง

อิบนุอะเราะบีย์ กล่าวว่าการครอบคลุมวะฮฺยูมีเหนือจิตวิญญาณของบุคคลที่วะฮฺยูได้ประทานลงมาแก่เขา, มีความเข็มแข็งยิ่งกว่าการภาวะจิตใจซึ่งเป็นจิตวิญญาณของบุคคล, อัลลอฮฺ (ซบ.) ตรัสว่า : และเราจะอยู่ใกล้ชิดกับเขายิ่งกว่าเส้นเลือดที่ลำคอของเขาดังนั้น เมื่อใดก็ตามที่คิดว่าอัลลอฮฺได้วะฮฺยูแก่ท่าน, จงพิจารณาตัวของท่าน,แล้วใคร่ครวญดูซิว่าท่านลังเลใจหรือเคลือบแคลงสงสัย หรืออยู่ในสภาพที่ขัดแย้งกับจิตด้านในหรือไม่? ถ้าหากว่าตอนนั้นยังสงสัย ยังครุ่นคิด และยังวิเคราะห์อยู่แสดงให้เห็นว่าท่านมิใช่เจ้าของวะฮฺยู และไม่มีวะฮฺยูใดๆ ลงมาที่ท่านอย่างแน่นอน, แต่ทุกครั้งสิ่งที่มีมายังท่าน, ทำให้ท่านลืมตัวเองไปชั่วขณะ ดวงตาพร่ามัวคล้ายมืดบอด ไม่ได้ยินเสียงใดๆ และระหว่างท่านกับความคิดใคร่ครวญเหมือนมีกำแพงขวางกั้นอยู่,ประหนึ่งว่าบัญชานั้นได้ครอบคลุมท่านไว้ทั้งหมด, พึงรู้ไว้เถิดว่าวะฮฺยูได้ลงมาที่ท่านแล้ว[7] แน่นอน ประเด็นนี้มีคำพูดมากมายที่กล่าวถึงไว้ ซึ่งจะขออธิบายในเวลาอื่น,ในที่นี้จะขอนำเสนอคำพูดของนักปราชญ์บางท่านอันเป็นที่ยอมรับ ที่กล่าวไว้เช่น. ซ็อดรุลมุตะอัลลิฮีน ชีรอซีย์ (รฎ.) กล่าวไว้ในหนังสือ มะตีฮุลฆัยบฺ หลังจากอธิบายถึงแนวทางต่างๆ ในการศึกษาหาความรู้ (การศึกษาหาความรู้,ความโน้มน้าวในการให้) กล่าวคือการสั่งสอนของพระเจ้าโดยปราศจากสื่อกลาง, อาจเกิดขึ้นได้ใน 2 ลักษณะดังนี้ ลักษณะแรก,คือการประทานวะฮฺยู,ลักษณะที่สองคือ การดลใจ,โดยกล่าวว่า : สรุปว่าการดลใจคือภารกิจหนึ่งซึ่งครอบคลุมทั้งบุคคลที่เป็นศาสดาและหมู่มิตรของพระองค์, ส่วนวะฮฺยูนั้นเฉพาะเจาะจงสำหรับบุคคลที่เป็นศาสดาเท่านั้น, เนื่องจากท่านเหล่านี้คือหลักประกันตำแหน่งการเป็นศาสดาและสาส์นของพระองค์[8] หลังจากนั้นท่านได้กล่าวถึงความแตกต่างระหว่างวะฮฺยูกับการอิลฮาม,และยังได้กล่าวถึงบทบาทของสื่อกลางในการถ่ายทอดวะฮฺยูและการอิลฮาม[9]

กัยซัรรีย์ กล่าวไว้ในบทนำของหนังสือ ฟุซูซุลฮิกัม ของอิบนุอะเราะบีย์ และได้อธิบายถึงความแตกต่างระหว่างอิลฮามกับวะฮฺยู หลังจากนั้นได้กล่าวถึงความแตกต่างๆ เอาไว้ โดยกล่าวว่าวะฮฺยูคือความพิเศษอันเฉพาะสำหรับนบีเท่านั้น...ส่วนอิลฮามคือความเฉพาะพิเศษสำหรับวิลายะฮฺ และ ...[10]

ด้วยเหตุนี้ อาจเป็นไปได้ว่า, จะมีผู้กล่าวอ้างวะฮฺยูในทุกยุคสมัยก็ได้,แต่ต้องระบุให้ชัดเจนลงไปว่าจุดประสงค์ของเขาหมายถึง วะฮฺยูในเชิงสติปัญญาที่มาพร้อมการกล่าวอ้างการเป็นนบี หรือวัตถุประสงค์ของเขาคือการหยั่งรู้ไปถึงระดับหนึ่งที่เรียกว่าเป็นการค้นพบโดยสัญชาติญาต หรือเรียกว่าได้อิลฮามจากพระเจ้า? ตามสมมุติฐานที่สอง ถือว่าเขาเป็นอาริฟคนหนึ่ง มิใช่ศาสดา ดังนั้น เพื่อพิสูจน์คำพูดของเขาว่าเป็นความจริงหรือไม่ จำเป็นต้องย้อนไปศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับประเด็นนี้

แต่ถ้าวัตถุประสงค์ของเขา,คือวะฮฺยูในเชิงสติปัญญาซึ่งมลาอิกะฮฺเป็นผู้นำวะฮฺยูลงมาให้เขา หรือนำดำรัสของพระเจ้ามายังเขา,เวลานั้นการวิพากษ์ด้านศาสนศาสตร์ก็จะเกิดขึ้นโดยปริยาย ซึ่งจะต้องเน้นย้ำให้เห็นว่า แนวทางการรู้จักนบีเป็นอย่างไร และเราจะจำแนกระหว่างผู้ที่เป็นนบีกับผู้แจ้งข่าวได้อย่างไร?

ปกติแล้วจุดประสงค์ของผู้ถามก็คือ เป้าหมาย และการรอบรู้ถึงแนวทางในการยืนยันความกล่าวอ้างการเป็นนบี, ด้วยเหตุนี้ เราสามารถตั้งคำถามเช่นนี้ว่า :ถ้าหากมีผู้กล่าวอ้างว่าเป็นนบี,จะสามารถรับรู้ถึงความจริงในการกล่าวอ้างของเขาได้อย่างไร?

ถ้าหากบุคคลหนึ่งกล่าวอ้างถึง วะฮฺยู นบูวัต และสาส์นจากพระเจ้า, ดังนั้น เขาต้องนำเสนอสัญลักษณ์หรือมีเหตุผลที่เชื่อถือได้ หรือพยานหลักฐานต่างๆ เนื่องจากวะฮฺยูมิใช่ภารกิจสำหรับทุกคนหรือใช่ว่าทุกคนจะได้รับวะฮฺยู ประกอบกับมลาอิกะฮฺแห่งวะฮฺยูจะไม่มีผู้ใดได้พบเห็นเด็ดขาดนอกจากผู้ที่เป็น ศาสดา เท่านั้น และจะไมปรากฏสัญญาณแก่ผู้ใดด้วย. การพิสูจน์ปาฏิหาริย์ที่ไม่อาจมองเห็นด้วยตาได้ ต้องอาศัยปาฏิหาริย์อีกประการหนึ่งที่มองเห็นได้ เพื่อว่าเมื่อผู้คนได้เห็นปาฏิหาริย์แล้ว เขาจะได้เชื่อถือได้ว่าผู้ที่กล่าวอ้างตนเป็นนบี มีการติดต่อกับแหล่งแห่งอำนาจที่เหนือธรรมชาติ และเหนือวัตถุทั้งหลาย เขาได้พึ่งพิงอำนาจที่ไม่ใช่อำนาจธรรมดาสามัญ หรือมิใช่อำนาจทางวัตถุ และวะฮฺยูได้ประทานลงมาที่เขา เขามีการสัมพันธ์ติดต่อกับพระเจ้า, เป็นเจ้าของปาฏิหาริย์, มีศักยภาพในการปฏิบัติภารกิจต่างๆ ซึ่งสามัญชนไม่อาจกระทำได้ และในที่สุดแล้วได้ยอมรับฟังคำพูดของเขา

จากคำอธิบายข้างต้นเข้าใจได้ว่า ทุกประชาชาติได้เรียกร้องการแสดงปาฏิหาริย์จากศาสดาแห่งยุคของตน อันเป็นสิทธิอันชอบธรรมของพวกเขา และบรรดาศาสดาเหล่านั้นก็ได้ตอบสนองคำเรียกร้องของพวกเขา ท่านได้แสดงปาฏิหาริย์ และนำโองการต่างๆ มาสั่งสอน อัลกุรอานกล่าวว่าโดยแน่นอน เราได้ส่งบรรดาศาสนทูตของเราพร้อมด้วยหลักฐานทั้งหลายอันชัดแจ้ง (ปาฏิหาริย์และเหตุผลอันชัดเจน) และเราได้ประทานคัมภีร์และความยุติธรรมลงมาพร้อมกับพวกเขา เพื่อมนุษย์จะได้ดํารงอยู่บนความเที่ยงธรรม[11]

คำนิยามของ มุอฺญิซะฮฺ : แน่นอนสำหรับมุอฺญิซะฮฺ ได้มีคำอธิบายไว้มากมาย, แต่ถ้าไม่ใส่ใจต่อคำนิยามเหล่านั้นละก็ เราสามารถกล่าวได้ดังนี้ว่า มุอฺญิซะฮฺคือ :ภารกิจพิเศษที่เหนือการคาดหมายและพ้นญาณวิสัยของมนุษย์ ซึ่งเฉพาะศาสดาของพระองค์เท่านั้นที่สามารถแสดงปาฏิหาริย์นั้นได้ มนุษย์สามัญชนทั่วไปแม้ว่าจะทุ่มเทพลังความสามารถทั้งหมดลงไป ก็ยังไร้ความสามารถในการแสดงมุอฺญิซะฮฺอยู่ดี[12]

จากนิยามดังกล่าว เข้าใจได้ว่ามุอฺญิซะฮฺต้องมีลักษณะพิเศษต่างไปจากภารกิจทั่วไป ซึ่งสามารถกล่าวได้ว่า ประการแรก : มุอฺญิซะฮฺ ตามนามชื่อแล้วเป็นที่ประจักษ์ว่า,เป็นภารกิจหนึ่งซึ่งสามัญชนทั่วไปไร้ความสามารถในการแสดง อีกทั้งได้แสดงให้เห็นความไร้สามารถของคนอื่น,กล่าวคือ เป็นภารกิจที่เหนือธรรมชาติและอยู่พ้นญาณวิสัยของมนุษย์ปุถุชน อยู่เหนือศักยภาพและความสามารถของมนุษย์ มิใช่ภารกจิที่ได้มาจากการศึกษาร่ำเรียน หรือการฝึกฝนแต่อย่างใด, ประการที่สอง : มุอฺญิซะฮฺ คือการจำแนกระหว่างผู้เป็นนบีกับมิใช่นบี การแสดงปาฏิหาริย์นี้จะเป็นหลักฐานและเป็นเหตุผลที่ไม่มีวันพ่ายแพ้ อีกทั้งไม่สามารถทำลายได้ด้วย ...[13]

ตัวอย่าง เช่น การทำในซากศพที่ตายไปแล้วฟื้นคืนชีพอีกครั้งโดยท่านศาสดาอีซา (.) ซึ่งภารกิจดังกล่าวนี้, นอกจากจะเป็นสิ่งเหนือธรรมชาติแล้ว, ยังเป็นการพิสูจน์คำกล่าวอ้างการเป็นศาสดาของท่านจากอัลลอฮฺอีกด้วย, อีกทั้งเป็นการพิสูจน์ความไร้สามารถของคนอื่นในการนำปาฏิหาริย์มาอีกด้วย และยังเป็นข้อพิสูจน์และเป็นเหตุผลที่ไม่อาจลบล้างได้

การแสดงภารกิจเหล่านี้โดยบรรดาศาสดาถือว่าเป็นเหตุผลอันชัดแจ้งแล้วว่า วะฮฺยู ก็เป็นอีกภารกิจหนึ่งที่เหนือธรรมชาติและเกิดขึ้นจริง ตามกฎเกณฑ์ที่รู้จักกันดีว่า

"حکم الامثال فیما یجوز و فیما لایجوز واحد"،[14]

สามารถสรุปได้ว่า : จากอำนาจเร้นลับหนึ่งที่ทำให้ไม้เท้าของศาสดามูซา (.) กลายเป็นงูใหญ่, พระดำรัสของพระเจ้าก็ถือว่าเป็นความเร้นลับหนึ่งเช่นกัน, เนื่องจากทำให้ตัวเองตื่นตัวในความรู้ และยังให้ความรู้แก่คนอื่นอีกด้วย

ด้วยเหตุนี้, สำคัญที่สุดสำหรับการรู้จักความสัตย์จริงของบุคคลหนึ่ง ที่กล่าวอ้างการเป็นนบีและได้รับวะฮฺยูก็คือมุอฺญิซะฮฺซึ่งเราสามารถเชื่อหรือมีอีมานกับบุคคลที่กล่าวอ้างการเป็นนบี โดยแสดงปาฏิหาริย์เพื่อพิสูจน์การเป็นนบีของเขา และยังสามารถยอมรับคำเชิญชวนของเขาได้ ดังนั้น ตามความเป็นจริงแล้วมุอฺญิซะฮฺ

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • คำว่า อัซเซาะมัด ในอัลลอฮฺ อัซเซาะมัดหมายถึงอะไร?
    11130 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/05/17
    สำหรับคำว่า “เซาะมัด” ในอภิธานศัพท์, ริวายะฮฺ และตัฟซีร ได้กล่าวถึงความหมายไว้มากมาย, ด้วยเหตุนี้ สามารถสรุปอธิบายโดยย่อเพื่อเป็นตัวอย่างไว้ใน 3 กลุ่มความหมายด้วยกัน (อภิธานศัพท์ รายงานฮะดีซ และตัซรีร) ก) รอฆิบเอซฟาฮานียฺ กล่าวไว้ในสารานุกรมว่า : เซาะมัด หมายถึง นาย จอมราชันย์ ความยิ่งใหญ่ สำหรับการปฏิบัติภารกิจหนึ่งต้องไปหาเขา, บางคนกล่าวว่า : “เซาะมัด” หมายถึงสิ่งๆ หนึ่งซึ่งภายในไม่ว่าง, ทว่าเต็มล้น[1] ข) อิมามฮุซัยนฺ (อ.) อธิบายความหมาย “เซาะมัด” ไว้ 5 ความหมายด้วยกัน กล่าวคือ
  • เราสามารถปฏิบัติตามอัลกุรอานเฉพาะโองการที่เข้าใจได้หรือไม่?
    8073 فضایل اخلاقی 2557/01/21
    มนุษย์เราจำเป็นจะต้องขวนขวายหาความรู้อยู่ตลอดเวลา แน่นอนว่าหากเลือกปฏิบัติตามที่ตนรู้ตามกระบวนการดังกล่าวอย่างบริสุทธิ์ใจ อัลลอฮ์จะทรงชี้นำเขาสู่ความถูกต้องอย่างแน่นอน กุรอานกล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ว่า «وَ الَّذینَ جاهَدُوا فینا لَنَهْدِیَنَّهُمْ سُبُلَنا وَ إِنَّ اللَّهَ لَمَعَ الْمُحْسِنین»[1] “และเหล่าผู้ที่ต่อสู้ในแนวทางของเรา(อย่างบริสุทธิ์ใจ) แน่แท้ เราจะชี้นำพวกเขา และพระองค์ทรงอยู่เคียงข้างผู้บำเพ็ญความดี” ท่านนบีกล่าวว่า “مَنْ عَمِلَ بِمَا یَعْلَمُ وَرَّثَهُ اللَّهُ عِلْمَ مَا لَمْ یَعْلَمْ”[2] ผู้ที่ปฏิบัติตามสิ่งที่ตนรู้ พระองค์จะทรงสอนสั่งในสิ่งที่เขาไม่รู้” จำเป็นต้องทราบว่า กุรอานมีทั้งโองการที่มีสำนวนเข้าใจง่ายและมีความหมายไม่ซับซ้อน อย่างเช่นโองการที่บัญชาให้นมาซ ห้ามมิให้พูดปด ห้ามนินทา ฯลฯ ...
  • ศาสนามีความเหมาะสมกับความเสรีของเราหรือว่าไม่เข้ากัน
    7630 เทววิทยาดั้งเดิม 2553/10/21
    เสรีภาพในการศาสนานั้นสามารถตรวจสอบได้จาก เสรีภาพทางจิตวิญญาณ และเสรีภาพทางสังคมการเมือง ในมุมมองจิตวิญญาณ, แก่นแท้ของมนุษย์คือ นัฟซ์มุญัรร็อด (หมายถึงสภาพที่เป็น อรูป ไม่ต้องอาศัยร่างกายและวัตถุหรืออาการทางกายภาพ) เพราะเป็นอาณาจักรแห่งความเร้นลับมีแนวโน้มของความคิดเห็นที่มีต่อแหล่งกำเนิดของตน และนั่นเป็นเพราะว่าชีวิตของเราขึ้นอยู่กับร่างกาย ซึ่งมีพันธผูกพันอยู่กับกิจการทางโลก มนุษย์ไม่มีทางหลีกเลี่ยงที่ต้องสร้างความสมบูรณ์แบบของตน โดยการปฏิบัติภารกิจบนโลกนี้ซึ่งโลกนั้นเป็นเพียงเรือกสวนไร่นาสำหรับปรโลก แต่บางคนเนื่องจากใส่ใจต่อความเป็นอิสรเสรี เขาจึงตกหลุมพรางการละเล่นและความสวยงามภายนอกของโลก และสิ่งนี้กลายเป็นสาเหตุสำคัญที่เขาไม่สามารถพัฒนาจิตใจให้สูงส่งได้ และแทนที่จะคิดถึงแก่นแท้ความจริงของภารกิจ หรือของสรรพสิ่งที่มีอยู่ แต่คิดถึงเฉพาะเปลือกนอกเหล่านั้นและคิดว่านั้นเป็นแก่นความจริง เขาจึงหลงลืมแก่นแท้ความจริงโดยสิ้นเชิง มีความเพลิดเพลินต่อโลกหรือหลงโลกนั่นเอง พวกเขาตั้งความหวังกับโลกไว้อย่างสวยหรู และไม่มีข้อจำกัดในการใช้ประโยคทางโลก พวกเขาได้ให้ความอิสระชนิดปราศจากเงื่อนไขแก่ตัวเอง ขณะที่เสรีภาพคือการปลดปล่อยตนเองให้รอดพ้นจากราชประสงค์ของความเป็นสัตว์ โลก และอำนาจฝ่ายต่ำ และนี่คือเสรีภาพที่เป็นความต้องการของศาสนา จากมุมมองของศาสนาไม่ใช่เรื่องแปลกที่บุคคลหนึ่งอาจเป็นมหาจักรพรรดิที่มีอำนาจ แต่เขาขัดเกลาจิตวิญญาณเพื่อความสมบูรณ์แบบ ประหนึ่งผู้ยากจนไร้ซึ่งสมบัติ ขณะที่เขาเป็นกษัตริย์ปกครองประเทศ
  • สาเหตุของการปฏิเสธอัลลอฮฺ เนื่องจากเหตุผลในการพิสูจน์พระองค์ไม่เพียงพอ?
    8358 ปรัชญาอิสลาม 2555/04/07
    ความจริงที่เหล่าบรรดาศาสดาแห่งพระเจ้าได้พิสูจน์ด้วยเหตุผลแน่นอน, แต่กระนั้นก็ยังได้รับการปฏิเสธจากผู้คนในสมัยของตน,แสดงให้เห็นถึงความดื้อรั้นของผู้ปฏิเสธ, เนื่องจากไม่ต้องการที่จะยอมรับความจริง, มิใช่ว่าเหตุผลในการพิสูจน์พระเจ้าไม่เพียงพอ, หรือเหตุผลในการปฏิเสธพระเจ้าเหนือกว่า ...
  • มลาอิกะฮ์สร้างมาจากรัศมีของบรรดาอิมาม และมีหน้าที่ร่ำไห้แด่อิมามฮุเซน(อ.)กระนั้นหรือ?
    9029 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/12/19
    1. ความเชื่อที่ว่ามลาอิกะฮ์สร้างขึ้นจากรัศมีนั้นได้รับการยืนยันจากฮะดีษหลายบทที่รายงานไว้ในตำราฝ่ายชีอะฮ์และซุนหนี่ตำราชีอะฮ์บางเล่มระบุถึงการสร้างสิ่งมีชีวิตต่างๆรวมถึงมลาอิกะฮ์จากรัศมีของปูชนียบุคคลอย่างท่านนบี(ซ.ล.) หรือบรรดาอิมามหรือบุคคลอื่นๆดังที่ตำราของซุนหนี่เองก็เล่าว่าเคาะลีฟะฮ์ท่านแรกและคนอื่นๆถือกำเนิดจากรัศมีของท่านนบี(ซ.ล) การที่มีฮะดีษเหล่านี้ปรากฏอยู่ในตำรับตำราของแต่ละฝ่ายมิได้หมายความว่าทุกคนจะต้องคล้อยตามฮะดีษเหล่านี้เสมอไป อย่างไรก็ดีตำราฮะดีษชีอะฮ์ได้รายงานฮะดีษชุด "ฏีนัต" ไว้ซึ่งไม่อาจจะมองข้ามได้กล่าวโดยสรุปคือหากพบว่ามุสลิมแต่ละฝ่ายอาจมีทัศนะแตกต่างกันบ้างในเรื่องการสรรสร้างของพระองค์
  • มีวิธีใดที่จะตักเตือนสามีเกี่ยวกับพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ได้บ้าง?
    6159 จริยธรรมปฏิบัติ 2555/05/01
    สิ่งหนึ่งที่สังเกตุเห็นได้ชัดเจนในคำถามก็คือ คุณสองคนยังรักกันตามปกติ อีกทั้งคุณต้องการจะทำหน้าที่ภรรยาอย่างสุดความสามารถ สมควรอย่างยิ่งที่จะคำนึงถึงสองจุดเด่นนี้ให้มากเพื่อจะช่วยผ่อนหนักเป็นเบาในเรื่องอื่นๆ บรรยากาศในครอบครัวควรอบอวลไปด้วยความรักความเข้าใจ มิไช่การยกตนข่มท่าน ด้วยเหตุนี้เอง บางปัญหาที่ว่าหนักเกินแบกรับ ก็สามารถแก้ไขได้อย่างไม่ยากเย็น บางเรื่องที่เรามองว่าเป็นจุดบกพร่องอาจจะมิไช่จุดบกพร่องเสมอไป ฉะนั้นจึงต้องเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าพฤติกรรมใดคือจุดบกพร่อง แล้วจึงคิดที่จะเยียวยารักษา เชื่อว่าหลักการง่ายๆเพื่อตักเตือนสามีก็คือ การเอาใจเขามาใส่ใจเรา ลองคิดว่าถ้าหากมีใครสักคนต้องการจะตักเตือนเรา เราอยากได้ยินคำตักเตือนลักษณะใด ให้ถือว่านั่นคือสิ่งที่ควรถือปฏิบัติ เมื่อคำนึงถึงการที่คุณสองคนเพิ่งจะแต่งงานกันได้ไม่นาน ย่อมจะยังไม่เข้าใจอุปนิสัยของคู่รักอย่างละเอียดละออนัก จึงไม่ควรจะด่วนสรุปจนกว่าจะเข้าใจกันและกันอย่างละเอียด หากทำได้ดังนี้ก็สามารถจะบรรลุเป้าหมายได้โดยต้องไม่สร้างแรงกดดันแก่คู่ครองของคุณ ...
  • วิธีตอบรับสลามขณะนมาซควรทำอย่างไร?
    11771 สิทธิและกฎหมาย 2555/05/20
    ขณะนมาซ, จะต้องไม่ให้สลามบุคคลอื่น แต่ถ้าบุคคลอื่นได้กล่าวสลามแก่เขา, เขาจะต้องตอบในลักษณะที่ว่ามีคำว่า สลาม ขึ้นหน้า, เช่น กล่าวว่า »อัสลามุอะลัยกุม« หรือ »สลามุน อะลัยกุม« ซึ่งจะต้องไม่ตอบว่า »วะอะลัยกุมสลาม«[1] สิ่งจำเป็นต้องกล่าวถึงคือ, คนเราต้องตอบรับสลามอย่างเร่งด่วน ไม่ว่าจะอยู่ในนมาซหรือไม่ก็ตาม ซึ่งถ้าลืมหรือตั้งใจไม่ตอบรับสลามโดยทิ้งช่วงให้ล่าช้านานออกไป, และไม่นับว่าเป็นการตอบรับสลามอีกต่อไป, ขณะนมาซไม่จำเป็นต้องตอบ และถ้านอกเวลานมาซไม่วาญิบต้องตอบรับสลามอีก[2] [1] ...
  • ฮะดีษนี้เศาะฮี้ห์หรือไม่? รายงานจากอิมามญะฟัร(อ.)ว่า "ก่อนท่านนบี(ซ.ล.)จะนอน ท่านจะแนบใบหน้าที่หว่างอกของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์(อ.)เสมอ" (บิฮารุลอันว้าร,เล่ม 43,หน้า 78)
    8084 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2554/11/24
    ฮะดีษแบ่งออกเป็นสองประเภท ก.กลุ่มฮะดีษที่มีสายรายงานที่เชื่อถือได้แข็งแรงและเศาะฮี้ห์ ขกลุ่มฮะดีษที่มีสายรายงานที่ไม่น่าเชื่อถืออ่อนแอและไม่เป็นที่รู้จัก.ฮะดีษที่ยกมานั้นหนังสือบิฮารุลอันว้ารอ้างอิงจากหนังสือมะนากิ้บของอิบนิชะฮ์รอชู้บแต่เนื่องจากไม่มีสายรายงานที่ชัดเจนจึงจัดอยู่ในกลุ่มฮะดีษที่ไม่น่าเชื่อถือแต่สมมติว่าฮะดีษดังกล่าวเศาะฮี้ห์
  • ฮะดีษต่อไปนี้น่าเชื่อถือเพียงใด “อสุจิที่ปฏิสนธิในคืนอีดกุรบานจะเติบโตเป็นทารกที่มี 6 นิ้ว”?
    6957 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2555/01/15
    ในบทฮะดีษที่ท่านนบี(ซ.ล.)สอนท่านอิมามอลี(อ.)เกี่ยวกับข้อพึงปฏิบัติและข้อพึงหลีกเลี่ยงของการร่วมหลับนอนท่านนบีกล่าวว่า “จงงดการร่วมหลับนอนกับภรรยาในคืนอีดกุรบานเนื่องจากอสุจิที่ปฏิสนธิในค่ำคืนนี้จะกำเนิดเป็นทารกที่มี 4 หรือ6นิ้ว”[1]ฮะดีษนี้นอกจากจะปรากฏในหนังสือฮิลยะตุลมุตตะกีนแล้วยังปรากฏในหนังสือญามิอุ้ลอัคบ้ารประพันธ์โดยตาญุดดีนอัชชะอีรีและหนังสือมะการิมุ้ลอัคล้ากประพันธ์โดยเราะฎียุดดีนฮะซันบินฟัฎล์เฏาะบัรซีอีกด้วยอย่างไรก็ตามในแง่สายรายงานจัดอยู่ในฮะดีษที่มีสายรายงานไม่ต่อเนื่องเมื่อพิจารณาเนื้อหาฮะดีษก็พอจะกล่าวได้ว่าการร่วมหลับนอนและการปฏิสนธิที่เกิดขึ้นในค่ำคืนอีดกุรบ้านนั้นถือเป็นหนึ่งในเหตุที่ทำให้ทารกพิการมีสี่หรือหกนิ้วแต่มิได้เป็นเหตุอันสมบูรณ์ของปรากฏการณ์ดังกล่าวจึงยังเห็นได้ว่าเด็กบางคนที่ปฏิสนธิในค่ำคืนดังกล่าวมิได้พิการเสมอไปในทางกลับกันผู้ที่พิการมีสี่หรือหกนิ้วก็มิได้หมายความว่าปฏิสนธิในคืนอีดกุรบานทุกคนสรุปคือถึงแม้ว่าฮะดีษข้างต้นจะไม่มีความต่อเนื่องในแง่สายรายงานอีกทั้งไม่อาจจะฟันธงว่าการร่วมหลับนอนในคืนอีดกุรบานคือเหตุอันสมบูรณ์ของการพิการดังกล่าวแต่อย่างไรก็ดีสามารถถือเป็นข้อพึงระวังที่สำคัญได้เพื่อมิให้ประสบกับเหตุไม่พึงประสงค์ที่อาจจะเกิดขึ้นกับทารก[1] قال رسول الله ص :".... یا علی لا تجامع مع أهلک فی لیلة الأضحى فإنه إن قضی بینکما ...
  • นามอันเป็นมักนูนและมุสตะอ์ษิ้รของอัลลอฮ์หมายความว่าอย่างไร?
    6860 รหัสยทฤษฎี 2554/10/23
    จากฮะดีษและบทดุอาทำให้ทราบว่าอัลลอฮ์มีพระนามที่ทรงคัดสรรด้วยพระองค์เองโดยที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้พระนามเหล่านี้เรียกว่า"อัสมาอ์มุสตะอ์ษิเราะฮ์" ซึ่งตามคำบอกเล่าของฮะดีษพระนามเหล่านี้คือมิติเร้นลับของอิสมุลอะอ์ซ็อมอันเป็นพระนามแรกของพระองค์พระนามประเภทนี้ยังเรียกขานกันว่าอิสมุ้ลมักนูนหรืออิสมุ้ลมัคซูนอีกด้วย ...

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60183 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    57644 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42262 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    39469 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    38986 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    34047 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    28054 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    28039 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    27877 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    25861 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...