การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
17807
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2555/04/07
คำถามอย่างย่อ
จงอธิบายทฤษฎีของพหุนิยมทางศาสนาและการตีความที่แตกต่างกันของศาสนา และระบุความแตกต่างของพวกเขา?
คำถาม
จงอธิบายทฤษฎีของพหุนิยมทางศาสนาและการตีความที่แตกต่างกันของศาสนา และระบุความแตกต่างของพวกเขา?
คำตอบโดยสังเขป

1.พหุนิยมหมายถึง ความมากมายในหลายชนิด ทั้งในทางปรัชญาของศาสนา, ปรัชญาจริยธรรม, กฎหมาย และการเมืองและว่า ... ซึ่งทั้งหมดมีการใช้งานที่แตกต่างกัน ซึ่งการรับรู้ทั้งหมดเหล่านี้อย่างเป็นทางการในนามของการรู้จักในความหลากหลาย ในทางตรงกันข้ามกับความเป็นหนึ่งเดียว หรือความจำกัดในความเป็นหนึ่งเดียว

พหุนิยมทางศาสนา หมายถึงการไม่ผูกขาดความถูกต้องไว้ในศาสนาใดศาสนาหนึ่งเฉพาะพิเศษ การได้รับผลประโยชน์ของทุกศาสนาจากความจริงและการช่วยเหลือให้รอด

2. พหุนิยม อาจได้รับการพิจารณาในหมู่ศาสนาต่างๆ หรือระหว่างนิกายต่างๆ ในศาสนาที่มีอยู่ก็ได้

3. ในความคิดของเราชาวมุสลิมทั้งหลาย พหุนิยมถูกปฏิเสธก็เนื่องจากเหตุผลที่ว่า ในศาสนาอิสลามมีเหตุผลที่ชัดเจนเกี่ยวกับสาเหตุความถูกต้องของศาสนาอิสลาม ในลักษณะที่ว่าในศาสนาอื่น ๆ ไม่มีเหตุผลที่ถูกต้องพอเหมือนกับศาสนาอิสลาม นอกจากนี้ คัมภีร์แห่งฟากฟ้า (อัลกุรอาน) ยังไม่มีการบิดเบือนหรือสังคายนาใดๆ ทั้งสิ้น และความสมบูรณ์ของศาสนาอิสลามก็เท่ากับว่าได้ยกเลิกคำสอนของศาสนาอื่นไปโดยปริยาย

4. การตีความที่แตกต่างกันของศาสนา ซึ่งหนึ่งในหลักการพื้นฐานของสิ่งนั้นคือ อรรถปริวรรตศาสตร์ และอีกประการหนึ่งคือการรู้จักต่างๆ ในศาสนาและการวิจัย ซึ่งผู้ที่เชื่อถือเขาต่างเชื่อว่าผลทั้งหมดของการเริ่มต้น และก่อนการรู้ของนักอรรถาธิบายขณะที่มีความเข้าใจเนื้อหา การตีความหลากหลายของศาสนามีมุมมองที่แตกต่างกัน ซึ่งทัศนะที่สำคัญที่สุดคือทัศนะ Shlayr Makhr, Dyltay, Heidegger และ Gadamer

5. ถึงแม้ว่าหัวข้อการสนทนาอรรถปริวรรตศาสตร์ (Hermeneutics) จะเป็นหัวข้อใหม่ทันสมัยในทางปรัชญาของศาสนา ซึ่งเป็นผลจากการอภิปรายของตะวันตก แต่มีการตีความและแปลความหมายและความเข้าใจเนื้อความ คล้ายศาสตร์บางประเภทในอิสลาม เช่น วิชาอุซูล

6. แนวทางที่กล่าวถึงในแง่ของเงื่อนไขที่จำเป็น เนื่องจากเงื่อนไขและมาตรฐานการตีความ ไม่อาจตัดสินระหว่างความหลากหลายในศาสนา ซึ่งในความเป็นจริงแล้วเป็นเพียงความสัมพันธ์ในการทำความเข้าใจเท่านั้นเอง

7.หัวข้อเรื่องอรรถปริวรรตศาสตร์ (Hermeneutics) และพหุนิยม เป็นสองหัวข้อที่แยกจากกันโดยละเอียด แต่หนึ่งในแนวคิดของพหุนิยมและอรรถปริวรรตศาสตร์ก็คือ สามารถเป็นตัวกลางระหว่างสองหัวข้อกล่าวคือ ความหลากหลายของการตีความที่มาจากความเข้าใจเดียวกัน, และการเกิดขึ้นของศาสนาที่แตกต่างกัน

8.ปัญหาของแนวคิดดังกล่าวนี้คือ ไม่สามารถตัดสินความถูกต้องของทุกการตีความได้ และโดยความเป็นจริงแล้วความเข้าใจของมนุษย์ทุกคน ขึ้นอยู่กับกฎเกณฑ์และความเข้าใจ ซึ่งการความเข้าใจนั้นมีหลักอยู่ที่ การเอาใจใส่ถานะของผู้พูดและผู้เขียนระบบคำศัพท์และภาษาที่เขาได้เลือก (อารมณ์ขัน,) และการที่ผู้พูดมีความประสงค์จริงในความเข้าใจอันเฉพาะ

คำตอบเชิงรายละเอียด

ส่วนพหุนิยม (Pluralism) หมายถึงความหลากหลาย (พหูพจน์) ซึ่งใช้ในพื้นที่ต่างๆ ในปรัชญาของศาสนา, ปรัชญาจริยธรรม, กฎหมาย และการเมืองและ ...มีการนำไปใช้งานที่แตกต่างกันซึ่งจุดร่วมของทั้งหมดอยู่ที่การรู้จักในความหลากหลาย, ในทางตรงกันข้ามกับความเป็นเอกภาพ หรือการจำกัดความ การผูกขาด (Exclusivism) เป็นต้น[1]

แต่พหุนิยมทางศาสนา (Religious Pluralism) หมายถึง ความจริงและความถูกต้องที่ไม่ได้จำกัดพิเศษเฉพาะในศาสนาใดศาสนาหนึ่ง, เนื่องจากทุกศาสนาได้รับประโยชน์จากความจริง ดังนั้น การปฏิบัติตามโปรแกรมของของศาสนาใดศาสนาหนึ่งพวกเขาก็สามารถได้รับการช่วยเหลือให้รอดพ้นได้ ด้วยเหตุนี้ บนพื้นฐานดังกล่าวนี้ การพิพาทกันระหว่างความถูกต้องกับความไม่ถูกต้อง ที่เกิดขึ้นระหว่างศาสนาต่างๆ, ถูกเปลี่ยนจากการเป็นปฏิปักษ์ การโต้เถียง และการวิวาทกันทางศาสนาให้มีความสอดคล้อง และการเป็นห่วงเป็นใยเอาใจใส่ต่อกันและกัน[2]

ประวัติโดยย่อของพหุนิยมทางศาสนา

พหุนิยมทางศาสนาได้เกิดครั้งแรกในคริสต์ศาสนาในทศวรรษที่ผ่านมา โดย จอห์น เฮก (เกิด ค.ศ. 1922) เขาเป็นผู้วางแผนและได้ส่งเสริมให้เกิดขึ้น เขากล่าวว่า:

ในทัศนะของ ปรากฏการณ์วิทยา นิยามที่ว่าความหลากหลายทางศาสนา (ศาสนาจำนวนมาก) ในรูปคำง่ายๆ หมายถึงความจริงที่ว่า ประวัติศาสตร์ของศาสนาคือ การแสดงแบบฉบับอันหลายหลากเป็นจำนวนมากของแต่ละประเภทเหล่านั้น ในทัศนะของปรัชญา นิยามดังกล่าวคือการสังเกตทางทฤษฎี โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสัมพันธ์ระหว่างประเพณีต่างๆ การอ้างอิง และการแข่งขันกับพวกเขา

คำนิยามนี้ หมายถึงทฤษฎีที่ว่า ศาสนาที่ยิ่งใหญ่ของโลก,ได้ประกอบขึ้นโดยการรับรู้ที่แตกต่างกันจากความจริงสุดท้าย  ในความลึกลับแห่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์"[3] และในที่อื่น ๆ กล่าวว่า :

“ศาสนาที่แตกต่างกัน, เป็นกระแสที่แตกต่างกันของประสบการณ์ทางศาสนา ซึ่งแต่ละจุดนั้นอยู่ในระดับอันเฉพาะเจาะจง ที่เริ่มต้นขึ้นในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ และตัวการที่รู้แจ้งด้วยปัญญาของตน ก็จะถูกกู้คืนในบรรยากาศของวัฒนธรรม.[4]"

พหุนิยมในศาสนา อาจเป็นไปได้ที่จะได้รับการพิจารณาระหว่างศาสนาด้วยกัน ในลักษณะที่ว่าทุกศาสนานั้นถูกต้อง หรือทุกศาสนาต่างได้ประโยชน์จากความจริงทั้งสิ้น หรืออาจเป็นไปได้ที่ว่าในศาสนานั้น อาจแบ่งออกเป็นนิกายต่างๆ และแต่ละนิกายนั้นต่างเป็นเจ้าของความจริงทั้งสิ้น เช่น นิกายซุนนียฺ และชีอะฮฺเป็นต้น ซึ่งมีอยู่ภายในศาสนาอิสลาม และแต่ละนิกายจะแนะนำตัวเองว่าเป็นอิสลามบริสุทธิ์ แต่ทัศนะของพหุนิยมแล้วทั้งสองนิกายสามารถวางอยู่บนความถูกต้อง หรือกล่าวได้ว่าการได้รับประโยชน์จากความจริง มีอยู่ทั้งสองนิกายก็ได้ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ พหุนิยมทางศาสนา สามารถแบ่งออกเป็นความหลากหลายภายนอกและภายในศาสนา

หลักการและวิธีการของพหุนิยมทางศาสนา

สำหรับพหุนิยมทางศาสนา ได้สร้างหลักการต่างๆ ซึ่งจะขอกล่าวถึงบางประการดังต่อไปนี้ กล่าวคือ

วิธีการที่ 1: ความแตกต่างระหว่าง "แก่นแท้ของศาสนา" และ "ความจริงศาสนา" โดยให้สาระสำคัญไปที่แก่นและสมองของศาสนา โดยไม่ต้องใส่ใจต่อความจริงต่างๆ ของศาสนา ซึ่งโดยปกติแล้วในวิธีการนี้ หลักการสอน พิธีกรรม และประเพณีภายนอกของพวกเขา จะถือว่าอยู่ในฐานะของความจริงและเป็นเปลือกนอกของศาสนาเท่านั้น

วิธีที่ 2 : คำอธิบายนี้จะเน้นเรื่อง ประสบการณ์แห่งวะฮฺยู และประสบการณ์ทางศาสนา และโดยทั่วไปแล้วจะลดพื้นฐานของศาสนาเข้าไปในระดับประสบการณ์ทางศาสนาเท่านั้น ซึ่งประสบการณ์ทางศาสนาจะอยู่พร้อมกับการรายงาน และการอธิบาย ด้วยเหตุผลที่ว่ามีภารกิจอื่นมากมาย ได้สอดแทรกเข้ามา เช่น ค่าเริ่มต้นต่าง ภูมิหลังทางวัฒนธรรม และการรู้จักสิ่งเหล่านี้เองที่ก่อให้เกิดความหลากหลาย ดังนั้น ในความเป็นจริงก็เท่ากับเป็นการฉายภาพประสบการณ์ทางศาสนาเดียวกัน ในรูปแบบของวัฒนธรรมหลากหลาย .

วิธีที่ 3 : การอ่าน, คือวิธีการที่มนุษย์เหมือนจริง และเชื่อว่าศาสนาควรให้ความสำคัญและเน้นย้ำ เหนือภารกิจธรรมดาอันเป็นจุดร่วมในโลกนี้ และพิจารณาสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิตอันเป็นส่วนรวมเดียวกัน ที่สำคัญบทวิภาษธรรมดานั้นควรเก็บรักษาไว้เพื่อตัวเอง

วิธีที่ 4 : ทุกศาสนามีสาส์นอันเดียวกัน และด้วยการวิเคราะห์เล็ก ๆ น้อยๆ  ก็จะสามารถปลดเปลื้องความแตกต่างออกไปได้ ในความเป็นจริงแล้วความแตกต่างทางศาสนา เกิดจากความแตกต่างในการตีความ และความแตกต่างกันของภาษา ซึ่งสิ่งนี้ไม่จริง

วิธีที่ 5 : วิธีนี้ขึ้นอยู่กับความแตกต่างระหว่างความจริง "ในตัวของมัน”และความจริง "ที่อยู่กับเรา" เป็นจริง "ด้วยตนเอง” ซึ่งในความเป็นจริงแล้วการรับรู้โดยสมบูรณ์ในสิ่งนั้น จะไม่มีอยู่ ณ ผู้ใด ที่สำคัญความคิดของเราไม่สามารถไปถึงสิ่งนั้นได้ด้วย  แต่สถานะของความจริงที่ว่านั้นมีอยู่ ณ เรา ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่เป็นความเป็นจริง แต่เนื่องจากว่าศาสนาได้เผชิญกับมนุษย์ และด้วยสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ประกอบกับได้เทมันในกรอบของวัฒนธรรมที่มีความแตกต่าง ศาสนาจึงเกิดความหลากหลายขึ้นมา นอกจากนี้ พระเจ้าทรงประสงค์ที่จะสร้างการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ พระจึงประทานสาส์นของพระองค์อันมีความเหมาะสม ไว้ในภายในวัฒนธรรมของทุกเชื้อชาติ และทุกยุคสมัย

แต่ละวิธีการที่กล่าวมานั้น สิ่งที่อยู่ในขอบเขตที่สามารถกล่าวได้ในช่วงนี้ก็คือ : การวิจารณ์และการพิจารณาอย่างจริงจังที่มีต่อของพวกเขา แม้ว่าบางวิธีการ (วิธีแรก ... ) อาจจะเป็นไปได้ว่ามีการตีความถูกต้อง แต่ต้องมีการตรวจสอบเพิ่มเติมในตำราที่เกี่ยวกับอีก

วิธีที่ 6 : วิธีการนี้เป็นหนึ่งในวิธีของ อรรถปริวรรตศาสตร์ ซึ่งขึ้นอยู่กับวิสัยทัศน์ของผู้ตีความเป็นสิ่งสำคัญ และเชื่อในผลของการเริ่มต้นอย่างเต็มรูปแบบ และความรู้ก่อนของที่ผู้ที่จะตีความในช่วงเวลาที่จะทำความเข้าใจในข้อความ จากทัศนะของวิธีการนี้ ผู้เขียนและผู้พูดในฐานะของผู้ออกความเห็น ซึ่งเขาจะสูญเสียสถานะของการเป็นผู้เขียนของตน หลังจากได้อธิบายข้อความแล้ว บนพื้นฐานดังกล่าวนี้ ประโยคด้วยตัวของมันแล้วมิใช่ความเข้าใจของสิ่งใด ทว่าผู้ตีความต่างหากที่ได้ถ่ายทอดความรู้เบื้องต้น การเริ่มต้นของตน และจิตวิญญาณของความหมายเข้าไปในกายวิภาคศาสตร์ หรือประโยคนั้น อีกนัยหนึ่ง ความหมายที่มีอยู่ภายในของประโยคหนึ่ง เหมือนกับขี้ผึ้ง ซึ่งความคิดของผู้ตีความต่างหาก ได้ถ่ายทอดโครงสร้างการรู้จักและความรู้ของตน ให้มีรูปร่างและรูปแบบอันเฉพาะ ดังนั้น ประโยคจึงมิได้หมายถึงการคุมกำเนิดทางความหมาย แต่ทว่ามันต้องการความหมายอย่างละเอียด และความหมายนี้ผู้ตีความและผู้ฟังต้องถ่ายทอดออกมาในรูปประโยค[5]

ข้อทักท้วงวิธีนี้  : วิธีที่ 6 เป็นแนวร่วมกันระหว่างพหุนิยมและอรรถปริวรรตศาสตร์ ซึ่งมีข้อบกพร่องอยู่โดยจะชี้ให้เห็นข้อบกพร่องบางอย่าง เช่น  :

ระบบความเข้าใจของมนุษย์จะตามกฎของการสนทนา ซึ่งบรรดาปวงผู้มีสติทั้งหลายบนโลกนี้ จะตามหลักการของการเจรจาและความเข้าใจ ขบวนการของความเข้าใจและการทำความเข้าใจจะมีหลักการเช่น : ใส่ใจต่อสถานการณ์ผู้พูดและผู้เขียน, ระบบคำศัพท์ของเขา,ภาษาที่เขาได้เลือกในการอธิบาย (อารมณ์ขัน, เป็นสัญลักษณ์อย่างจริงจัง หรือ... ) และหลักการนี้เองที่ผู้พูดมีวัตถุประสงค์ในความเข้าใจอันเฉพาะเจาะจง โดยให้ความมั่นใจในประโยคของตน ซึ่งทั้งหมดจะแจ้งให้ทราบจากคำสั่งนั้น แน่นอนว่าบางสิ่งบางอย่างของข้อความขึ้นอยู่กับหลักฐานและสถานการณ์ ควรจะพยายามที่จะเข้าใจมัน ขณะที่ตัวบทของศาสนามีทั้งสิ่งที่มายกเลิก และสิ่งที่ถูกยกเลิก, มีทั้งสิ่งทั่วไปและเฉพาะเจาะจง,มีความกว้างและมีเงื่อนไข และ .. ฉะนั้น จะต้องมีความระมัดระวัง และต้องตรวจสอบที่มาที่ไปของมัน ดังนั้น เพื่อทำความเข้าใจข้อความหนึ่ง, จะต้องมีค่าเริ่มต้น เช่น เข้าใจภาษาของผู้เขียน เครื่องหมายที่บ่งบอกสภาพ คำพูด และ ... แต่ก็ยังมีค่าเริ่มต้นอื่นอีกซึ่งจะทำให้ผู้ฟังห่างไกลจากความเข้าใจในตัวบท ดังนั้นจำเป็นต้องหลีกเลี่ยงมิให้สิ่งเหล่านั้น เข้ามายุ่งเกี่ยวกับในการทำความเข้าใจกับตัวบท

การวิจารณ์ทฤษฎีของพหุนิยม

ผ่านไปแล้วสำหรับมุมมองในแง่ของการวิจารณ์ ที่มีต่อวิธีการต่างๆ ของพหุนิยมทางศาสนา จำเป็นต้องใส่ใจเป็นพิเศษตามความเชื่อของเราชาวมุสลิมทั้งหลายว่า มีหลักฐานที่ชัดเจนและเข้ากันได้ดีกับสติปัญญาเกี่ยวกับความถูกต้องของศาสนาอิสลาม ซึ่งการมีหลักฐานและเหตุผลเหล่านี้ แสดงให้เห็นว่าการเรียกร้องว่าศาสนาทั้งหมดเท่าเทียมกัน และเหมือนกันนั้นถือว่า ไม่ถูกต้องแน่นอน  ซึ่งหนึ่งในเหตุผลเหล่านั้นคือ ภูมิปัญญาที่ยอมรับเครื่องหมายต่างๆ คำสอนของศาสนาอิสลาม ความเข้ากันได้เป็นอย่างดีของพวกเขา ความหน้าเชื่อถือของเอกสารแหล่งอ้างอิง ตัวบทของอิสลาม, การมีชีวิตอยู่ การไม่ถูกสังคายนา (ไม่ผิดเพี้ยนหรือเปลี่ยนแปลง) คัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ของชาวมุสลิม, ปาฏิหาริย์และคำท้าทายของกุรอาน, บทบัญญัติที่ครอบคลุม,การมีประสิทธิภาพ, และหน้าที่ในเชิงบวกของพวกเขา

นอกจากนี้ จุดสำคัญในการสนทนาตรงประเด็นนี้ก็คือ, อิสลามเป็นศาสนาสุดท้ายที่ถูกประทานลงมาล่าสุด เมื่อเทียบกับศาสนาอื่นก่อนหน้านี้ นั่นหมายความว่าอิสลามอยู่ในฐานะของศาสนาที่มายกเลิก คำสอนของศาสนาก่อนหน้านั้น[6]

การตีความที่แตกต่างกันของศาสนา

การตีความที่แตกต่างกันหรืออรรถปริวรรตศาสตร์, เป็นอีกหนึ่งในสาขาของนักวิชาการศาสนา ซึ่งบรรดาผู้สนับสนุนต่างเชื่อว่าผลทั้งหมดของการเริ่มต้น ความรู้พื้นฐานต่างๆ ของผู้ตีความทั้งหมดอยู่ในระหว่างการแปลข้อความ หรือการทำความเข้าใจ

ในทัศนะของอรรถปริวรรตศาสตร์ (Hermeneutics) มีทฤษฎีและทัศนะที่หลากหลาย ซึ่งจะชี้ให้เห็นเป็นดังต่อไปนี้ :

1. ทัศนะของ Shlayr Makhr : อรรถปริวรรตศาสตร์ (Hermeneutics)  เป็นวิธีการแปลความหมายของตัวบท และหลีกเลี่ยงความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องหรือไม่ดี ซึ่งเกิดจากช่องว่างของเวลาระหว่างผู้อธิบายความกับตัวบท.

2. ทัศนะของ Dyltay : อรรถปริวรรตศาสตร์ (Hermeneutics), คือพื้นฐานสำหรับวิชามนุษยศาสตร์ ซึ่งตรงข้ามกับวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ เขาเชื่อว่า ประวัติศาสตร์มีส่วนร่วมในการตีความของนักอธิบายความทั้งหลาย

3. ทัศนะของ Martin Heidegger : อรรถปริวรรตศาสตร์ (Hermeneutics), คือการอธิบายลักษณะของความเข้าใจ เงื่อนไขของความสำเร็จของมัน เขาได้เปลี่ยนแนวทางของอรรถปริวรรตศาสตร์ กับปรัชญาของ หรือการรู้จักการมีอยู่ และบนพื้นฐานทางสังคมวิทยา สิ่งนั้นจึงอยู่ในฐานะของการอธิบายถึงสิ่งที่มีคืออะไร และองค์ประกอบของความเข้าใจ และเงื่อนไขของการสำเร็จของมัน

4.ทัศนะของ Gadamer : อรรถปริวรรตศาสตร์ (Hermeneutics),  คือการรวมขอบเขตต่างๆ เข้าด้วยกัน เขาได้นำเอาข้อวิภาษด้านอภิปรัชญาของ Hydgr มาเสนอในรูปของเรื่องญาณวิทยา และในความเป็นจริงแล้วเขาได้สร้างความเข้าใจภววิทยา อรรถปริวรรตศาสตร์ของ Gadamer ส่วนใหญ่เป็นการอธิบายขั้นตอนเพื่อให้เกิดความเข้าใจ โดยไม่ใส่ใจต่อความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือการขาดความน่าเชื่อถือใดๆ ทั้งสิ้น

ในทัศนะของเขา ความคิดของผู้อธิบายความประกอบขึ้นด้วย ความเชื่อและข้อมูล ความคาดหวัง สมมติฐาน พื้นฐานเริ่มต้นของโครงสร้าง ซึ่งจะกำหนด "ความคิด" หรือ"ภูมิทัศน์" ของผู้ตีความ แน่นอนภูมิทัศน์จะขับเคลื่อนไปอย่างต่อเนื่องตลอดเวลากับผู้อธิบายความ และการที่ได้ย้อนไปสู่โลก หรือวัตถุ และตัวบท สิ่งนี้ก็จะถูกปรับและเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งการกระทำของการแปลความหมายก็คือ การประกอบภูมิทัศน์เข้าด้วยกัน กล่าวคือ การประกอบและการเชื่อมต่อ ภูมิทัศน์ของความเข้าใจของผู้ตีความ ให้เข้ากับตัวบท ซึ่งงานของอรรถปริวรรตศาสตร์ ก็คือการทำให้ภูมิทัศน์เหล่านี้เชื่อมต่อเข้าด้วยกัน  หรือทำการตกลงระหว่างชนิดของการสนทนาและการเจรจา ระหว่างผู้อธิบายความกับตัวบท ซึ่งแหล่งที่มาของความแตกต่างในการตีความ, ก็คือการอาศัยค่าเริ่มต้นและภูมิทัศน์เหล่านี้นั่นเอง

ความเห็นของ Gadamer ไม่มีทัศนะใดมีความสัมบูรณ์ ที่เป็นไปได้ที่จะแบกรับมุมมองด้านในทั้งหมด หรือทุกสายพันธุ์ และภูมิทัศน์ ทว่าทุกชนิดของการแปลความหมาย จะดำรงอยู่ในชนิดหรือขอบข่ายที่มีความเฉพาะ โดยให้คำตรงกับข้อความ ดังนั้น การตีความบนพื้นฐานดังกล่าวจะให้เกิดความเป็นกลางเป็นไปไม่ได้ ประกอบกับไม่มีการตัดสินเด็ดขาดขั้นสุดท้าย ในความเป็นจริงแล้ว อรรถปริวรรตศาสตร์ในทัศนะของ Gadamer, การค้นพบความตั้งใจบริสุทธิ์หรือเจตนาของผู้เขียน มิใช่สิ่งที่ต้องพิจารณา เนื่องจากจะต้องไม่เอาตัวบทมาเป็นภาพทางความความคิดผู้เขียน[7]

การวิจารณ์ทฤษฎีของ Gadamer

เนื่องจากการถกเถียงในแง่ของเทววิทยา และแนวทางปรัชญาของปีที่ผ่านมา จะเห็นว่าสิ่งนั้นย้อนกลับไปสู่ทัศนะของ Gadamer เสียเป็นส่วนใหญ่ และมีจำนวนมากกว่าวิธีการอื่น ๆ และถูกให้ความสำคัญมากกว่า ซึ่งตรงนี้จะชี้ให้เห็นการวิจารณ์บางอย่างในมุมมองของ Gadamer :

ประการแรก : ด้วยความหมายอะไร ที่เราต้องไม่พิจารณาตัวบทและจุดประสงค์ของผู้เขียน โดยให้คิดในมุมกว้างทั่วๆ ไป? ผู้อธิบายความไม่สามารถแยกหรือคิดต่างไปตามเกณฑ์ของอัตนัย ในการจำแนกขอบข่ายความคิดของตน ไปจากความคิดของผู้เขียนกระนั้นหรือ?

ประการที่สอง : พื้นฐานแนวคิดของ Gadamer, จะเห็นถึงประเภทของความสัมพันธ์ได้อย่างชัดเจน ระหว่างความเข้าใจถูกต้องและผิด โดยไม่หลงเหลือเขตแดนอีกต่อไป และในความเป็นจริงแล้วทฤษฎีนี้มีความคล้ายเหมือนกับทฤษฎีของ"ความสัมพันธ์" ของคานต์ (Kant)

ประการที่สาม : ทั้งทฤษฎีและรูปแบบทั่วไปของ Gadamer สามารถท้วงติงได้ การยอมรับประสิทธิผลของการเริ่มต้น การตัดสิน และประเพณีต่างๆ ซึ่งทั้งหมดเป็นภารกิจหนึ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

ประการที่สี่ : หากทุกความเข้าใจต้องการการเริ่มต้น แน่นอนว่า การเริ่มต้นนั้นก็ต้องการค่าเริ่มต้นด้วยเช่นกัน และสิ่งนี้ในความเป็นจริงก็คือเหตุผลวน และนำไปสู่การสิ้นสุดที่ลำดับซึ่งไม่ถูกต้อง[8]

ประเด็นเกี่ยวกับการตีความต่างๆ ของศาสนา

จนถึงปัจจุบันได้อธิบาย อรรถปริวรรตศาสตร์  และการตีความต่างๆ ของศาสนาไปแล้ว และได้นับทฤษฎีต่างๆ เหล่านั้นไปแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งทัศนะของ Gadamer ซึ่งสะท้อนต่อนักคิดร่วมสมัยจำอย่างมากมาย ซึ่งได้อธิบายประเด็นต่างๆ ไปแล้ว แต่สำหรับความสมบูรณ์ของการวิภาษ จำเป็นต้องพิจารณาถึงประเด็นดังต่อไปนี้  :

ประเด็นแรก : ถึงแม้ว่าปัญหาของ"การตีความต่างๆ ของศาสนา" ส่วนใหญ่จำนำมาจากอรรถปริวรรตศาสตร์ของปรัชญาสมัยใหม่ แต่การอภิปราย การตีความ และความเข้าใจตัวบทก็มีอยู่ในประวัติศาสตร์ของศาสตร์อิสลามตั้งแต่โบราณแล้ว อาจกล่าวได้ : ศาสตร์ในแง่ของอรรถปริวรรตศาสตร์ในอิสลาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตัฟซีรอัลกุรอาน อิลม์อุซูล และเอรฟานทางทฤษฎีก็ได้รับการแนะนำเอาไว้ ตัวอย่างเช่น สามารถกล่าวถึงการวิภาษในเรื่อง : การตีความอัลกุรอานประเภทต่างๆ ด้วยเหตุผลของสติปัญญา, การอ้างอิง,รหัสยะ, การประจักษ์, การตีความออัลกุรอาน ด้วยอัลกุรอาน, การตีความตามแนวคิดของตัวเอง, การวิภาษเรื่องของคำ, และวิธีอื่นอีกมากมาย

 

ประเด็นที่สอง : เนื่องจากตัวบทอันศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนาเป็นการสร้าง และเผยแผ่วัฒนธรรมของชาวมุสลิม ซึ่งมีบทบาทสำคัญที่สุดจะต้องรับผิดชอบการประพันธ์ศาสตร์ต่างๆ ในศาสนาอิสลาม เราสามารถกล่าวได้ว่า การแสดงทฤษฎี หรือการศึกษาเกี่ยวกับวิธีการล้วนอยู่ในขอบข่ายของความเข้าใจทั้งสิ้น การตีความ หรือการทำความเข้าใจกับตัวบท ถือเป็นบทนำที่เหมาะสมที่สุดในการวิภาษเรื่องเทววิทยา ดังนั้น สาเหตุ และวิธีการที่ถูกนำเสนอ และความเชื่อในความเป็นไปได้ของ"การตีความที่หลากหลาย" จากคำสอนและความเชื่อทางศาสนา, มีความท้าทายอย่างใหญ่หลวงในพื้นที่เหล่านี้ วิธีการเหล่านี้ส่วนใหญ่เกิดขึ้นโดยปัญญาชนอาหรับและมิใช่อาหรับ ในช่วงปีที่ผ่านมา ซึ่งส่วนใหญ่ได้นำมาจากอรรถปริวรรตศาสตร์  ของ" H. G. Gadamer" นักคิดเหล่านี้ได้พยายามนำเอาหลักอุซูลและวิธีวิภาษของ อรรถปริวรรตศาสตร์ปรัชญา  มาใช้ในการตีความ อัลกุรอาน และรายงานของศาสนา และนำไปใช้ในตรรกะความเข้าใจของศาสนาอีกด้วย แน่นอนว่า การเลือกของเขาในกรณีเหล่านี้สามารถสรุปได้ดังนี้ :

1.บทบัญญัติและตัวบทศาสนาเงียบและไม่ออกเสียง

2.สมมติฐานอัตนัยทั้งในและภายนอกความเห็นของผู้อธิบายความและผู้ฟัง, มีผลต่อการตีความตัวบท

3.สาระสำคัญของความจริงของศาสนา จะไม่ตกอยู่มือของผู้ตีความ

4.จะไม่มีการตีความที่บริสุทธิ์หรือมีความบริสุทธิ์อันใดทั้งสิ้น และเราจะอยู่ท่ามกลางการผสมผสานระหว่างความถูกต้องและไม่ถูกต้อง

ประเด็นที่สาม : มุมมองของนักคิดจำนวนมากที่กล่าวถึงข้างต้น มิได้ให้ข้ออ้างจำเป็นต่อเกณฑ์และมาตรฐานต่างๆ ที่สามารถประเมินผลและการตัดสินการตีความที่แตกต่างได้, และไม่ได้ความพยายามที่จะแยกระหว่างการตีความที่ถูกต้อง ออกจากความไม่ถูกต้อง, หรือความสอดคล้องออกจากความไม่สอดคล้องกัน  อีกนัยหนึ่ง : ความเข้าทั้งหมดจะมีค่าเท่ากัน ในกรณีที่วางอยู่บนพื้นฐานทางศาสนาและทฤษฎีที่ดีกว่า, ผู้ตีความจะต้องพยายามแยก และทำความรู้จักขอบข่ายสติปัญญาของตนออกจากขอบข่ายของ "ผู้ประพันธ์", และตามเกณฑ์และมาตรฐานในการแก้ไขทัศนะของตน เพ่อปรับให้เข้ากันกับความตั้งใจของผู้พูด มิฉะนั้น มุมมองและแนวทางใหม่นี้,นอกเหนือจากความเข้าใจศาสนาแล้ว ยังได้ครอบคลุมวิธีการรู้จักความเข้าใจทางศาสนาด้วย

ตามทัศนะของนักวิชาการอิสลาม, ยอมรับแตกต่างในการทำความเข้าใจกับศาสนาว่าเป็นความจริงที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้มานานแล้ว แต่ความแตกต่างกันนี้ "เป็นเกณฑ์" ซึ่งความหลายของเกณฑ์ในลักษณะหนึ่งได้ตีความตัวบทของศาสนา ดังนั้น"ความพยายามในการทำความเข้าใจ" หรือ "ความต่างในศาสนา" หมายถึง "การตีความตามทัศนะตัวเอง" และการกำหนดความคิดของตนที่มีต่อตัวบทของศาสนา ซึ่งมิได้ให้ความน่าเชื่อถือในทุกความแตกต่างเหล่านั้น

ประเด็นที่สี่ : ดังนั้น สิ่งที่ถูกกล่าวว่าทั้งผู้เสนอและผู้สนับสนุน อรรถปริวรรตศาสตร์ปรัชญา และการตีความที่แตกต่างกันของศาสนา จะต้องยอมรับ"ผู้อธิบายความเป็นศูนย์กลาง" ในขณะที่ทฤษฎีของนักคิดอิสลาม จะแสวงหาความหมายและความตั้งใจจริงของผู้พูด ( นั่นคือพระเจ้าหรือทูตของพระองค์) เป็นวิธีการหนึ่ง ซึ่ง"ผู้ประพันธ์" คือศูนย์กลาง จากสาตุนี้เองในมุมมองนี้ผู้อธิบายความจึงอยู่ในฐานะของผู้ดำเนินตามตัวบท (อัลกุรอานหรือหะดีษ) ไปตามความตั้งใจของเจ้าของคำพูด ซึ่งสามารถยอมรับทัศนะที่ว่า “ตัวบทคือศูนย์กลาง” ทุกความพยายามและการขวนขวายของผู้อธิบายความ ซึ่งให้ผู้ประพันธ์เป็นแกน หรือตัวบทเป็นแกน ถ้าหากการค้นพบมีความละเอียดอ่อนถูกต้อง และเป็นไปตามความหมายของผู้พูดมากเท่าใด และจากทุกเงื่อนไขที่เขาได้ช่วยให้เขาเข้าถึง ผู้อธิบายความก็จะได้รับประโยชน์มากเท่านั้น เงื่อนไขและข้อบ่งชี้เช่น : เอกสารหลักฐานและพยานหลักฐาน ก็ต้องการฐานความรู้พื้นฐานเป็นสิ่งสำคัญ เช่น : กฎการใช้ภาษาของผู้พูด, การรู้จักกฎเกณฑ์ของภาษา เช่น กฎทั่วไปและเฉพาะเจาะจง, ความกว้างอย่างไร้เงื่อนไขหรือมีเงื่อนไข, คลุมเครือหรือชัดเจน, ขอบข่ายหรือเป็นสาเหตุของการประทานตัวบท และ....

ฉะนั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่า, การให้ผู้ประพันธ์เป็นแกน มิได้หมายความว่าเป็นการปฏิเสธความหมายของ ค่าเริ่มต้นทั้งหมด, แม้ว่าค่าเริ่มต้นบางส่วนจะเป็นสาเหตุสนับสนุนความคิดของผู้อธิยายความที่มีต่อตัวบท อันเป็นสาเหตุของการตีความไปตามทัศนะของตนเอง กระนั้นค่าเริ่มต้นและความรู้พื้นฐานก็เป็นสิ่งจำเป็น และเป็นตัวเลือกที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

1.  ความรู้พื้นฐานและสมมุติฐานต่างๆ ซึ่งเป็นบทนำสำหรับการวินิจฉัยและดึงความหมายจากแก่นแท้ของตัวบท เช่น กฎทางวรรณกรรมและทางภาษา

2.ค่าเริ่มต้นของคำพูดและความเชื่อ เช่น วิทยปัญญาของพระเจ้า การชี้นำด้วยคำพูดของพระองค์, การเป็นผู้พูดของอัลกุรอาน, ความชัดแจ้งของอัลกุรอาน, ข้อพิสูจน์ของคัมภีร์และซุนนะฮฺ และ

3.ค่าเริ่มต้น ที่ก่อให้เกิดคำถามขึ้นทางสติปัญญาและข้อสงสัย เพื่อสอบถามและสำรวจตัวบทใหม่

ประเด็นที่ห้า : ประเด็นสุดท้ายซึ่งการพิจารณาจุดนี้มีความจำเป็นอย่างยิ่ง, การตอบคำถามนี้เป็นเหตุผลที่แม้กระทั่งในบริบทของกฎระเบียบที่ชัดเจน การทำความเข้าใจ และการวินิจฉัยต่างๆ จึงได้เกิดขึ้น?

สำหรับคำตอบสามารถกล่าวโดยสรุปเช่นนี้ : เป็นที่แน่นอนว่า ความขัดแย้ง ความหลากหลาย, ความขัดแย้งที่ไม่จริงและความแตกต่างในการตีความ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วควรที่จะเก็บเกี่ยวในแนวตั้งของสิ่งเหล่านั้น  ตัวอย่างเช่น เรื่องหลักกฎหมาย ที่บางครั้งกฎขัดแย้งกับคำตัดสิน, ซึ่งเกี่ยวข้องกับสองเวลา สองโหมดเงื่อนไข และสองสถานะ หรือสองประเด็นที่แตกต่างกัน ซึ่งในกรณีที่วิเคราะห์โดยละเอียดถึงกรณีที่ขัดแย้ง, สามารถขจัดความขัดแย้งออกไปได้ทั้งหมด อีกนัยหนึ่งคือ สามารถนำเอาความขัดแย้งเหล่านั้นมารวมกัน เพื่อหาทางออกที่สมควร

อีกประเภทอหนึ่งของความหลากหลายและแตกต่าง, เกี่ยวกับการมาตรฐานการคิดที่ครอบคลุมของผู้วิจัย หรือผู้ออกความเห็นและผู้อธิบายความ, อีกนัยหนึ่ง เนื่องจากต้นกำเนิดมาจากความแตกต่าง ค่าเริ่มต้นจึงเป็นคำถาม ซึ่งผู้ตีความจำนวนมาก บางครั้งได้ใช้ความเสมอภาพ และบางครั้งก็ใช้ ความแตกต่าง ตั้งเป็นคำถามที่แตกต่างกันต่อคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ ครอบคลุมหลายด้านของตัวบท รวมทั้งความลึกในแง่ต่างๆ ด้านในของคัมภีร์, อันเป็นทำให้ได้รับคำตอบที่หลากหลาย, ซึ่งในความเป็นจริงคำตอบทั้งหมดอยู่ในแนวตั้งและมีความเห็นเข้าด้วยกัน มิได้อยู่ในแนวนอนและมีความขัดแย้งกัน

แต่ในกรณีของความหลากหลายและความขัดแย้ง ซึ่งอยู่ในรูปแบบที่แท้จริงแต่มิได้อยู่ในแนวตั้ง ที่พาดพิงไปยังความแตกต่างในการตีความ,เหตุผลของสิ่งเหล่านี้สามารถกล่าวได้เช่นนี้ :

ไม่สนใจ หรือผิดพลาดในกฎระเบียบของไวยากรณ์อาหรับและวรรณคดี เช่น ไม่ใส่ใจและละเลยต่อข้อยกเว้น หรือเงื่อนไขต่างๆ ที่ปรากฏอยู่ในตัวบท ขาดการประยุกต์ใช้หลักการของเหตุผลและตรรกะ, เพียงแค่คิดในวิธีการตีความโดยขาดความสนใจในเทคนิค บริบท เครื่องหมายต่างๆ และสมมาตรทั่วไปของผู้พูด, ไม่ใส่ใจต่อเหตุผลและเครื่องหมายของสติปัญญา, มีการค้นคว้าสายรายงาน และเอกสารประกอบที่ไม่เพียงพอ ขาดการประยุกต์ใช้ความรู้บางอยาง เช่น อิลมุริญาล และดิรอยะฮฺ

สรุป ความหลากหลายในตีความตัวบทของศาสนาหนึ่ง หรือคัมภีร์เล่มหนึ่งในลักษณะของ "หลักเกณฑ์มาตรฐาน" เหมาะสมและในเวลาเดียวกัน "มีความจำกัด" เป็นสิ่งที่ปฏิเสธและหลีกเลี่ยงไม่ได้ในกรณีที่มีจำนวนมาก แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่า, คนที่ไม่ ความสามารถเพียงพอที่จะใช้ตัวบทหนึ่ง อาจจะเรียกร้อง "การตีความใหม่” (Reading) จากศาสนาหรือจากตัวบทของศาสนา แน่นอนว่า ความถูกต้องของสิ่งนั้น เป็นหน้าที่ของผู้เชี่ยวชาญ และนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านศาสนาและภาษา ที่ต่องเป็นผู้กำหนด[9]

สรุป :

ด้วยการแสดง 2 ทฤษฎีของพหุนิยม และการตีความที่แตกต่างกันของศาสนา เป็นที่ชัดเจนว่าทั้งสองหัวข้อ เป็นสองประเภทที่แยกกันอย่างละเอียด เป็นข้อพิพาทในการศาสนา ซึ่งในปีที่ผ่านมามีการเขียนบทความ และสิ่งพิมพ์ซึ่งได้รับการกล่าวถึงอย่างกว้างขวาง ซึ่งเนื้อหามีความแตกต่างกันและกันอย่างชัดเจน และในความเป็นจริงแล้วเป็นบทวิภาษใหม่ใน 2 สาขาของวิชาศาสนศาสตร์

แต่จุดร่วมของทั้งสอง,คือ วิธีอรรถปริวรรตศาสตร์ พหุนิยมในฐานะที่เป็น วิธีที่หกที่ถูกล่าวในบทวิภาษเกี่ยวกับพหุนิยม ซึ่งเนื้อหาและการพิจารณาได้อธิบายไปแล้วโดยสังเขป

สุดท้าย, ประเด็นที่จำเป็นต้องพูดถึงในเรื่อง พหุนิยม ก็คือการอภิปรายเรื่อง อรรถปริวรรตศาสตร์ ซึ่งต้องการรายละเอียดอีกมาก ดังนั้น สำหรับผู้ที่สนใจ สามารถศึกษาได้จากหนังสือที่เกี่ยวข้องกับการอภิปรายหัวข้อดังกล่าว

แหล่งอ้างอิงสำหรับการศึกษาเพิ่มเติม  :

1ศาสตราจารย์ ฮาดะวี เตหะรานนี, มะฮฺดียฺ, ,มะบานียฺ กะลาม อิจญฺติฮาด.

2ซุรูช,อับดุลกะรีม, ซิรอฏฮอเยะ มุสตะกีม

3 อับดุรเราะซูล, บัยยาต และคนอื่น ๆ , อภิธานศัพท์

4 เราะฮีม พูร อัซเฆาะดียฺ, ฮะซัน, วิจารณ์หนังสือ, ฉบับที่ 4

5 มุจญฺตะฮิด ชุบัสตะรียฺ, มุฮัมมัด, อรรถปริวรรตศาสตร์ อัลกุรอาน และซุนนะฮฺ

 


[1] Golpayegani Rabbani, Ali, การวิเคราะห์และการวิจารณ์พหุนิยมทางศาสนา, หน้า 19, สถาบันความรู้วัฒนธรรมร่วมสมัย, พิมพ์ครั้งที่หนึ่ง, เตหะราน

   เดียวกันหน้า 20

[2] อ้างแล้ว, หน้า 20

[3] มีร จอลยาดะฮฺ, ดีรพะฌูฮี, แปลโดยบะฮาอุดดีน โครัมชาฮี, หน้า 301, บทความ “ความหลากหลายของศาสนา” ผลงานของจอห์น ฮีก

[4] จอห์นฮีก ปรัชญาศาสนา, แปลโดย บะฮฺรอม ราด, หน้า  238

[5] ศึกษาได้จาก : แนวทางอันเที่ยงตรง, อับดุลกะรีม ซุรูช, สำนักพิมพ์ ซิรอฏ, เตหะราน, นิตยสารกียาน, ฉบับที่ 36, บทความต่างๆ อันเทียงตรง ลำดับที่ 37 และ 38; อับดุรเราะซูลบียาต และคนอื่น ๆ, สารานุกรมศัพท์, สถาบันความคิดทางศาสนาและวัฒนธรรม, บทความพหุนิยมทางศาสนา, พิมพ์ครั้งแรก, ปี 1381

[6] อภิธานศัพท์, หน้า, 161 และ 162

[7] ศึกษาได้จาก :ศาสตราจารย์ ฮาดาวี เตหะรานนี, มะฮฺดียฺ, มะบานี กะลาม อิจญฺติฮาด, สถาบันวัฒนธรรมคิรัด, กุม, พิมพ์ครั้งแรก 1377, หัวข้อ,อรรถปริวรรตศาสตร์, หน้า, 200-224; อับดุรเราะซูล บัยยาต และอื่น ๆ , อภิธานศัพท์, บทความ "อรรถปริวรรตศาสตร์ "

[8] มะบานี กะลาม อิจญฺติฮาด, หน้า 225, 235, อภิธานศัพท์, หน้า 590-592.

[9] การเขียนส่วนนี้ได้หยิบยกประเด็นมาจากบทความ อรรถปริวรรตศาสตร์, เขียนโดยอับดุรเราะซูล บัยยาตียฺ

 

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • สตรีในทัศนะอิสลามมีสถานภาพสูงส่งเพียงใด ?พวกเธอมีสิทธิเท่าเทียมกับผู้ชายหรือ?
    12290 ปรัชญาของศาสนา 2554/10/22
    ในทัศนะอิสลาม, สตรีและบุรุษนั้นมีเป้าหมายร่วมกันนั่นคือ – การพัฒนาตนไปให้ถึงยังสถานอันสูงสุดของความเป็นมนุษย์ – และการไปถึงเป้าหมายดังกล่าว ทั้งสองจึงมีมาตรฐานอันเดียวกัน ซึ่งความต่างเรื่องเพศอันเป็นความจำเป็นของการสร้าง แทบจะไม่มีบทบาทอันใดทั้งสิ้นในการสร้าง หรือเพิ่มเติมศักยภาพและความสามารถดังกล่าวนั้น หรือคุณค่าในทางศาสนาเองก็มิได้มีบทบาทอันใดเช่นกัน ดังนั้น ความสมบูรณ์ของสตรีจึงมิได้อยู่ในฐานะภาพเดียวกันกับความสมบูรณ์ของบุรุษ หรือใช่ว่าบุรุษจะใช้ความเป็นเพศชาย มาควบคุมความเป็นสตรีก็หาไม่ดังนั้น ในทัศนะของอิสลาม :1.สตรี, จึงเป็นสถานที่ปรากฏความสวยงาม ความประณีต และความเงียบสงบ2.สตรี, คือที่มาแห่งความสงบมั่นของบุรุษ, ส่วนบุรุษนั่นเป็นสถานพำนักพักพิง ให้ความรับผิดชอบ และการเป็นผู้นำของสตรี
  • ใครคือผู้ฝังร่ายอันบริสุทธ์ของอิมามฮุเซน (อ.)
    6956 تاريخ بزرگان 2554/11/29
    บรรดาผู้รู้มีทัศนะเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวแตกต่างกันออกไปแต่ทัศนะที่สอดคล้องกับริวายะฮ์และตำราทางประวัติศาสตร์ก็คือทัศนะที่ว่าอิมามซัยนุลอาบิดีนบุตรชายของท่านอิมามฮุเซน (อ.) เป็นผู้ฝังศพของท่านณแผ่นดินกัรบะลากล่าวคือ  ท่านอิมามซัยนุลอาบิดีน (อ.) ได้ล่องหนจากคุกของอิบนิซิยาดในกูฟะฮ์มายังกัรบาลาโดยใช้พลังเร้นลับเพื่อมาทำการฝังศพท่านอิมามฮุเซน (อ.) ผู้เป็นบิดาของท่านและบรรดาชะฮีดเนื่องจากมีกฎเกณฑ์ที่ว่า“ไม่มีใครสามารถอาบน้ำศพห่อกะฝั่นและฝังอิมามมะอ์ศูมได้นอกจากจะต้องเป็นอิมามมะอ์ศูมเช่นกัน”อิมามริฏอ (อ.) ได้กล่าวขณะถกปัญหากับบุตรของอาบูฮัมซะฮ์ว่า“จงตอบฉันว่าฮุเซนบินอลี (อ.) เป็นอิมามหรือไม่? เขาตอบว่า“แน่นอนอยู่แล้ว” อิมามได้กล่าวว่า“แล้วใครเป็นผู้ฝังศพของท่าน?”เขาได้กล่าวว่า“อลีบินฮุเซน (อ.)” อิมามได้ถามต่อว่า“ในเวลานั้นอลีบินฮุเซน (อ.) อยู่ที่ไหน?” เขาตอบว่า“อยู่ที่กูฟะฮ์และเป็นเชลยที่ถูกบุตรของซิยาดควบคุมตัวอยู่แต่ท่านได้ลอบเดินทางยังกัรบาลาโดยที่ทหารที่เฝ้าเวรยามไม่รู้ตัว  ท่านได้ทำการฝังร่างของบิดาหลังจากนั้นจึงได้กลับมายังคุกเช่นเดิมอิมามริฎอ (อ.) กล่าวว่าผู้ที่มอบอำนาจพิเศษแก่อลีบินฮุเซน (อ.) เพื่อให้สามารถเดินทางไปฝังบิดาของท่านที่กัรบะลาพระองค์ย่อมสามารถช่วยให้ฉันล่องหนไปยังแบกแดดเพื่อห่อกะฝั่นและฝังบิดาได้เช่นกันทั้งๆที่ในขณะนั้นฉันไม่ได้ถูกจองจำและไม่ได้ตกเป็นเชลยของใคร[1]ดังนั้นเมื่อคำนึงถึงเนื้อหาฮะดิษดังกล่าวจึงกล่าวได้ว่าอิมามซัยนุลอาบิดีน (อ.) คือผู้ที่ฝังศพบิดาด้วยตัวของท่านเอง
  • สาเหตุของการตั้งฉายานามท่านอิมามริฎอ (อ.) ว่าผู้ค้ำประกันกวางคืออะไร?
    7947 تاريخ بزرگان 2554/12/21
    หนึ่งในฉายานามที่มีชื่อเสียงของท่านอิมามริฎอ (อ.) คือ..”ผู้ค้ำประกันกวาง” เรื่องเล่านี้เป็นเรื่องที่มีชื่อเสียงอย่างยิ่งในหมู่ประชาชน,แต่ไม่ได้ถูกบันทึกอยู่ในตำราอ้างอิงของฝ่ายชีอะฮฺแต่อย่างใด, แต่มีเรื่องเล่าที่คล้ายคลึงกับเรื่องนี้อย่ซึ่งมีได้รับการโจษขานกันภายในหมู่ซุนนีย, ถึงปาฏิหาริย์ที่พาดพิงไปยังเราะซูล
  • ความต่างกิจกรรมของวิญญาณขณะนอนหลับ และสลบคืออะไร?
    15975 ปรัชญาอิสลาม 2555/09/29
    รูปแบบการปฏิสัมพันธ์ระหว่างร่างกายกับจิตวิญญาณขณะตื่นนอน กับการปฏิสัมพันธ์ขณะนอนหลับนั้นมีความแตกต่างกัน ด้วยเหตุนี้ ตามคำสอนของอิสลามจึงได้เรียกการนอนหลับว่า เป็นพี่น้องของความตาย วิทยาศาสตร์แม้ว่าจะไม่มีข้อมูลการปฏิสัมพันธ์ระหว่างจิตวิญญาณกับร่างกายขณะนอนหลับ แต่สามารถค้นพบการเปลี่ยนแปลงและปฏิกิริยาบางอย่างทางร่างกายขณะนอนหลับได้ บนพื้นฐานของการค้นคว้านั้นและการทำสอบพบว่ามนุษย์มีการนอนหลับในสองระดับ ด้วยนามว่า REM และ Non REM ซึ่งทั้งสองมีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง โดยปกติแล้วการความฝันที่มักเกิดในระดับของ Non REM เกิดจากการหลับลึกซึ่งจะไม่อยู่ในความทรงจำ แต่เฉพาะการนอนหลับในระ REM เท่านั้นที่จะคงอยู่ในความทรงจำ ส่วนการสลบหมดสติเกิดจากการเบี่ยงเบนของวิญญาณ และเป็นการหลับที่ลุ่มลึกมาก ทำให้เขาไม่มีความทรงจำอันใดหลงเหลืออยู่ ...
  • ท่านอิมามฮุซัยนฺและเหล่าสหายในวันอาชูทั้งที่มีน้ำอยู่เพียงน้อยนิด และฆุซลฺได้อย่างไร?
    5576 ชีวประวัติมะอฺซูม (อ.) 2554/11/21
    การพิจารณาและวิเคราะห์รายงานทางประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับความกระหายของเหล่าสหายและบรรดาอธฮฺลุลบัยตฺของท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) และรายงานที่กล่าวถึงการฆุซลฺ (อาบน้ำตามหลักการ
  • อัลลอฮฺคือสาเหตุที่แท้จริงของการอธรรม และผู้อธรรมหรือ?
    10710 เทววิทยาดั้งเดิม 2555/09/29
    สำหรับคำตอบคำถามเหล่านี้ จำเป็นต้องพิจารณาประเด็นสำคัญเหล่านี้ก่อน 1.รากที่มาของการอธรรมของผู้อธรรมทั้งหลาย สามารถสรุปได้ใน 4 ประเด็นดังนี้คือ 1.ความโง่เขลา 2. การเลือกสรร 3. ความประพฤติอันเลวทราม 4. ความอ่อนแอไร้สามารถ, แต่อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงบริสุทธิ์จากสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด ไม่ความอธรรมใดๆ ในพระองค์ ด้วยเหตุนี้ สำหรับพระองค์แล้วคือ ผู้ยุติธรรม ซึ่งเป็นหน่วยเนื้อเดียวกันกับความยุติธรรม และเนื่องจากพระองค์ทรงรอบรู้ และทรงยุติธรรม ภารกิจของพระองค์จึงวางอยู่บนความยุติธรรม และวิทยปัญญาเท่านั้น 2.อัลลอฮฺ ทรงสร้างมนุษย์มาในลักษณะเดียวกัน และได้ประทานแนวทางแห่งการชี้นำทางแก่พวกเขา และทั้งหมดมีสิทธิที่จะเลือกสรรด้วยตนเอง ซึ่งมีบางกลุ่มด้วยเหตุผลนานัปการ หรือมีปัจจัยหลายอย่างเป็นแรงจูงใจให้พวกเขาเลือกหนทางหลงผิด และการอธรรม บางกลุ่มพยายามต่อสู้ชนิดขุดรากถอนโคนการอธรรม ที่แฝงเร้นอยู่ในใจของตนเอง พวกเขามุ่งไปสู่หนทางแห่งการชี้นำ และความยุติธรรม พยามประพฤติปฏิบัติแต่สิ่งที่ดี ไม่ว่าอย่างไรก็ตามรากที่มาของคำถามเหล่านี้ ล้วนมาจากความคิดที่ว่ามนุษย์ได้รับการบีบบังคับให้เป็นเช่นนั้น หรือที่เรียกว่าพรหมลิขิต ทั้งที่เหตุผลของพรหมลิขิตมิเป็นที่ยอมรับแต่อย่างใด เราเชื่อตามคำสอนของศาสนา ...
  • หากในท้องปลาที่ตกได้ มีปลาตัวอื่นอีกด้วย จะรับประทานได้หรือไม่?
    5816 สิทธิและกฎหมาย 2554/11/17
    มีการสอบถามคำถามทำนองนี้ไปยังสำนักงานของบรรดามัรญะอ์ตักลีดบางท่านซึ่งท่านได้ให้คำตอบดังนี้ท่านอายาตุลลอฮ์คอเมเนอี:ปลาที่ตกได้ถือว่าฮะลาลท่านอายาตุลลอฮ์ซิซตานี:อิห์ติยาฏวาญิบ(สถานะพึงระวัง) ถือว่าเป็นฮะรอมท่านอายาตุลลอฮ์ฟาฎิลลังกะรอนี:หากปลาที่ตกมาได้เป็นปลาประเภทฮาลาลก็ถือว่าเป็นอนุมัติท่านอายาตุลลอฮ์มะการิมชีรอซี:อิห์ติยาฏควรจะหลีกเลี่ยง[1]อายาตุลลอฮ์อะรอกี:อิห์ติยาฏควรจะหลีกเลี้ยงเนื่องจากเราไม่สามารถรู้ได้ว่าตอนที่มันออกมามีชีวิตหรือไม่ดังนั้นถือว่าไม่สะอาด[2]อายาตุลลอฮ์นูรีฮาเมดอนี:ถือว่าฮาลาล[3]ดังที่ได้กล่าวมาจะเห็นได้ว่าบรรดามัรญะอ์มีทัศนะที่แตกต่างกันไปเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวแต่สามารถสรุปได้โดยรวมว่าหากมีสัตว์ที่อยู่ในท้องของปลาที่จับมาได้หากสัตว์ตัวนั้นเป็นปลาหรือเป็นสัตว์น้ำชนิดที่รับประทานได้ตามหลักศาสนาโดยขณะที่เราเอาผ่าออกมาเราแน่ใจว่าสัตว์น้ำดังกล่าวยังมีชีวิตอยู่ถือว่าฮาล้าลส่วนกรณีที่ต่างไปจากนี้อาทิเช่นเมื่อได้ผ่าท้องปลาและเห็นว่าสัตว์ที่อยู่ในท้องมันตายแล้วก่อนหน้านั้นถือว่าไม่สามารถรับประทานสัตว์น้ำดังกล่าวได้ส่วนในกรณีที่สาม (ไม่รู้ว่าสัตว์น้ำในท้องปลายังมีชีวิตหรือไม่) ในกรณีนี้บรรดามัรญะอ์มีทัศนะที่แตกต่างกันไปดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นดังนั้นมุกัลลัฟแต่ละจะต้องทำตามฟัตวาของมัรญะอ์ของตน
  • ทัศนะของอัลกุรอาน เกี่ยวกับความประพฤติสงบสันติของชาวมุสลิม กับศาสนิกอื่นเป็นอย่างไร?
    14390 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/09/29
    »การอยู่ร่วมกันด้วยความสงบสันติของศาสนาต่างๆ« คือแก่นแห่งแนวคิดของอิสลาม อัลกุรอานมากมายหลายโองการ ได้เน้นย้ำเกี่ยวกับประเด็นนี้เอาไว้ในรูปแบบต่างๆ ทั้งกล่าวโดยตรงสมบูรณ์ หรือกล่าวเชิงเปรียบเปรย ทัศนะของอัลกุรอาน ถือว่าการทะเลาะวิวาท การสงคราม และความขัดแย้งกัน เนื่องจากแตกต่างทางความเชื่อ ซึ่งบางศาสนาได้กระปฏิบัติเช่นนั้น เช่น สงครามไม้กางเกงของชาวคริสต์ เป็นสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ อิสลามห้ามการเป็นศัตรู และมีอคติกับผู้ปฏิบัติตามศาสนาอื่น และถือว่าวิธีการดูถูกเหยียดหยามต่างๆ ที่มีต่อศาสนาอื่น มิใช่วิธีการของศาสนา อัลกุรอาน ได้แนะนำและสนับสนุนการอยู่ร่วมกันอย่างสันติวิธี ด้วยแนวทางต่างๆ มากมาย แต่ ณ ที่นี้จะขอกล่าวถึงประเด็นสำคัญที่สุด อาทิเช่น : 1.ความเสรีทางความเชื่อและความคิด 2.ใส่ใจต่อหลักศรัทธาร่วม 3.ปฏิเสธเรื่องความนิยมในเชื้อชาติ 4.แลกเปลี่ยนความคิดด้วยสันติวิธี
  • อาริสโตเติลเป็นศาสดาแห่งพระเจ้าหรือไม่?
    8875 تاريخ بزرگان 2554/09/25
    อาริสโตเติล, เป็นนักฟิสิกส์ปราชญ์และนักปรัชญากรีกโบราณเป็นลูกศิษย์ของเพลโตและเป็นอาจารย์ของอเล็กซานเดอร์มหาราชท่านและเพลโตได้รับยกย่องให้เป็นหนึ่งในนักปรัชญาที่มีอิทธิพลสูงที่สุดท่านหนึ่งในโลกตะวันตก
  • เนื่องจากชาวสวรรค์ล้วนอยู่ในวัยหนุ่มสาว เหตุใดท่านอิมามฮะซันและอิมามฮุเซน(อ.)จึงได้เป็นประมุขทั้งที่ยังมีบรรดานบีและบรรดาอิมามท่านอื่นๆอยู่?
    8386 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/12/01
    ท่านอิมามฮะซันและอิมามฮุเซน(อ.) ผู้เป็นหลานรักของท่านนบี(ซ.ล.)นั้นมีสถานะภาพสูงกว่าชาวสวรรค์ทั่วไปอย่างไรก็ดีเนื่องจากชาวสวรรค์ทุกท่านล้วนอยู่ในวัยหนุ่มสาวบารมีดังกล่าวจึงเจาะจงชาวสวรรค์ที่เป็นชะฮีดหรือเสียชีวิตในวัยหนุ่มสาวเป็นพิเศษซึ่งแน่นอนว่าย่อมไม่ขัดกับบารมีของบรรดานบีและบรรดาเอาลิยาอ์ของอัลลอฮ์ท่านอื่นๆอย่างแน่นอนอนึ่งเมื่อพิจารณาเบาะแสต่างๆจะพบว่าฮะดีษดังกล่าวสื่อถึงความเป็นประมุขที่มีต่อชาวสวรรค์ทั่วไปมิได้เป็นประมุขของอิมามท่านอื่นๆหรือบรรดานบี ...

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    59308 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    56759 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    41584 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    38350 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    38324 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    33394 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    27490 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    27171 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    27061 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    25139 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...