การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
9820
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2555/08/06
 
รหัสในเว็บไซต์ fa1606 รหัสสำเนา 28160
หมวดหมู่ دین و فرهنگ
คำถามอย่างย่อ
ความเสียหายของศาสนาคือสิ่งไหน?
คำถาม
ความเสียหายของศาสนาคือสิ่งไหน?
คำตอบโดยสังเขป

ศาสนา,เป็นพระบัญชาศักดิ์สิทธิ์,มาจากพระเจ้า ซึ่งในนั้นจะไม่มีทางผิดพลาด และไม่มีผลกระทบอันเสียหายอย่างแน่นอน, การยอมรับความผิดพลาดและการกระทำผิด เกี่ยวข้องกับภารกิจของมนุษย์ แน่นอนการวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับการรู้จักผลกระทบของศาสนา และการตื่นตัวของผู้มีศาสนา สิ่งเหล่านี้จะไม่ย้อนกลับไปสู่แก่นแท้ความจริงของศาสนา, ทว่าจะย้อนกลับไปสู่ประชาชาติที่นับถือศาสนา ความใจและการพัฒนาของมนุษย์ที่มีต่อศาสนา ประเภทของการรู้จักในศาสนา และรูปแบบของการตื่นตัวในศาสนา

ความเสียหายและผลกระทบต่อศาสนา มีรายละเอียดแตกต่างกันมากมาย เนื่องจากกลุ่มหนึ่งของความเสียหายทางศาสนา เป็นความเสียหายที่มีผลกระทบ ต่อความศรัทธาของบุคคลที่นับถือศาสนา หรือผู้มีความสำรวมตน ซึ่งความเสียหายดังกล่าวนี้เองจะอยู่ในระดับของการรู้จักทางศาสนา (ความเสียหายทางศาสนาและการศึกษา) บางครั้งก็อยู่ในระดับของการปฏิบัติบทบัญญัติและคำสั่งของศาสนา การรักษาบทบัญญัติ บทลงโทษ และสิทธิ ซึ่งศาสนาได้กำหนดเป็นข้อบังคับให้รักพึงระมัดระวังต่อสิ่งเหล่านั้น เช่น ความอิจฉาริษยา ความอคติ และเกียรติยศ อีกกลุ่มหนึ่งของความเสียหายทางศาสนา จะอยู่ในปัญหาด้านสังคมทางศาสนา เช่น ความบิดเบือน การอุปโลกน์ และการกระทำตามความนิยมต่างๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นอันตราย และเป็นความกดดันต่อการระวังรักษาความศักดิ์สิทธิ์ และการขยายศาสนาให้กว้างขวางออกไป

คำตอบเชิงรายละเอียด

ศาสนา นับว่าเป็นสวยงามที่สุดของรูปลักษณ์แห่งความเมตตา ของพระเจ้าสำหรับการชี้นำมวลมนุษย์ ซึ่งผู้นับถือศาสนาจะหันหน้าไปสู่ความเมตตาดังกล่าว พร้อมกับดำเนินชีวิตไปบนหนทางแห่งการชี้นำนั้น ซึ่งการดำเนินชีวิตบนหนทางดังกล่าว บางครั้งก็มีผลกระทบบางอย่างต่อผู้นับถือศาสนา ซึ่งการรู้จักผลกระทบเหล่านั้น และการเข้าแก้ไขเพื่อความเข้มแข็งผู้นับถือศาสนา ถือว่าเป็นมารยาทที่สำคัญสำหรับการดำเนินไปบนวิถีทางเช่นนี้

แน่นอนศาสนา ตามความเป็นจริงอันสูงส่งแล้ว เป็นพระบัญชาศักดิ์สิทธิ์ ด้วยเหตุนี้ คำสอนของศาสนาจึงอยู่เหนือความเสียหายและผลกระทบในทางลบทั้งหลาย อีกนัยหนึ่งภารกิจของพระเจ้าจะไม่มีความผิดพลาด ไม่มีผลกระทบในทางเสียหาย ความผิดพลาดทั้งหลายแหล่เป็นภารกิจเกี่ยวข้องกับมนุษย์ การวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับผลกระทบ และการรู้จักข้อผิดพลาดทางศาสนา และผู้นับถือศาสนาจะไม่ย้อนกลับไปสู่แก่นแท้ความจริงของศาสนา ทว่าจะย้อนกลับไปสู่ประชาชาติที่นับถือศาสนา ความใจและการพัฒนาของมนุษย์ที่มีต่อศาสนา ประเภทของการรู้จักในศาสนา และรูปแบบของการตื่นตัวในศาสนา ภารกิจเหล่านี้ล้วนมีความขัดแย้งกัน และตกอยู่ในความเสื่อมเสียที่มีผลกระทบ บรรดาผู้นับถือศาสนามีส่วนร่วมในระดับของการรู้จัก และการรู้จักนั้นก็มีส่วนร่วมในการปฏิบัติ กล่าวคือการเลือกแนวคิด การรู้จัก ความเชื่อ และความศรัทธาในศาสนา การสารภาพ การรวบรวม ความประพฤติ และการจาริกจิตใจทั้งหมดล้วนเป็นศาสนาทั้งสิ้น

เนื่องจากการมองเห็นความเสื่อมเสีย และการได้รับผลกระทบสำหรับผู้นับถือศาสนา เป็นสาเหตุทำให้ความศักดิ์สิทธิ์ของมนุษย์ เขตแดนสำหรับการจาริก และสังคมต้องได้รับความสั่นคอน ในทางกลับกันความดื้อรั้น การทำลายบทบัญญัติ และการก่อความเสียหายก็จะปรากฏชัดเจนยิ่งขึ้นมา การไม่มีศาสนาคือ ปัจจัยสำคัญยิ่งสำหรับการกระทำความผิดในภารกิจต่างๆ เนื่องจากเกียรติยศของศาสนาก็คือ การปกปักษ์รักษามนุษย์ให้รอดพ้นจากความเลวร้ายต่างๆ  มิให้ถลำลงไปในความผิดบาป และการทำลายล้างให้สูญสิ้นไป ฉะนั้น ถ้าศาสนามีความปลอดภัยสมบูรณ์ ก็จะเชิดชูมนุษย์ให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ยิ่งที่สุด และชี้นำทางเขาไปสู่หนทางที่ถูกต้อง พร้อมกับปกป้องเขา และยิ่งศาสนามีความปลอดภัยและเข้มแข็งมากเท่าใด ความปลอดภัยและความเข้มแข็งของมนุษย์ก็จะมีมากยิ่งขึ้นต่อไป ในทางตรงกันข้ามถ้าหากเกียรติยศของศาสนาถูกทำลายล้างลงเมื่อใด มนุษย์นั่นแหละที่ต้องเผชิญกับความเสื่อมทราม ตกอยู่ในความเสียหาย และได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง

ดังนั้น เมื่อพิจารณาประเด็นที่กล่าวมาแล้ว เราสามารถแบ่งระดับความเสียหายต่างๆ และผลกระทบทั่วไป ที่มีต่อศาสนาได้ 2 ประการดังต่อไปนี้:

1.ความเสียหายที่เกิดกับความศรัทธา ของบุคคลที่มีศาสนาและสำรวมตน

ท่านศาสดา (ซ็อลฯ) สาธยายถึงความศรัทธาของบุคคลไว้ว่า : “อีมานคือการรู้จักด้วยจิตใจ การสารภาพออกมาทางลิ้น และการปฏิบัติด้วยอวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกาย”[1]

ในรูปลักษณ์นี้หมายถึง การคิด ความเชื่อและความศรัทธาทางศาสนา ตลอดจนการสารภาพ การรวบรวม ความประพฤติ และการจาริกทางศาสนา ทั้งหมดตกอยู่ในอันตรายและความเสียหาย แน่นอน ความเสียหายและผลกระทบในที่นี้ หมายถึงการปรากฏอย่างชัดเจนของข้อบกพร่อง ข้อตำหนิ และการออกนอกสถานภาพทางธรรมชาติ พร้อมกับการเกิดการกระทำความผิดมากยิ่งขึ้น

คำสาธยายของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ท่านอิมามอะลี (อ.) และบรรดาอิมามมะอฺซูม (อ.) ท่านอื่น ได้กล่าวแนะนำถึงความเสียหายและผลกระทบทางศาสนาว่า อันเกิดจากภารกิจต่างๆ ซึ่งจะขอกล่าวถึงผลเสียบางอย่างเหล่านั้น เช่น :

ก) การบูชาอำนาจฝ่ายต่ำ : ท่านศาสดา (ซ็อลฯ) กล่าวว่า : อำนาจฝ่ายต่ำคือความเสียหาย[2]

ข) การบูชาโลกวัตถุ: ท่านศาสดา (ซ็อลฯ) กล่าวว่า : ความเสียหายของศาสนา เกิดจากการลุ่มหลงบูชาโลก[3]

ค) การคิดไม่ดีและมีอคติ : ท่านอิมามอะลี (อ.) กล่าวว่า :อันตรายและความเสียหายของผู้มีศาสนาคือ การคิดไม่ดีและอคติ (ต่ออัลลอฮฺ)[4]

ง)การมุสา : ทานอิมามอะลี (อ.) กล่าวว่า :การมุสามากเป็นเหตุให้ศาสนาเสียหาย[5]

จ)ความอิจฉาริษยาและอคติ : ทานอิมามอะลี (อ.) กล่าวว่า : ความอิจฉาริษยา การโกหก และความอคติ ทั้งสามประการนี้จะทำลายบุคลิกภาพ และทำให้ศาสนาเสียหาย[6]

ฉ)ความจองหอง : ทานอิมามซอดิก (อ.) กล่าวว่า : ความเสียหายของศาสนาเกิดจากความอิจฉา ความจองหอง และศักดิ์ศรีจอมปลอม[7]

เป็นที่ประจักษ์ว่า รายงานเหล่านี้มิได้มีความขัดแย้งกันแต่อย่างใด นอกจากนั้นประเด็นที่ฮะดีซกล่าวถึงเรื่องความเสียหายทางศาสนา มิได้ระบุถึงประเด็นอันเฉพาะแต่อย่างใด กล่าวคือ วัตถุประสงค์ของท่านอิมามมิต้องการระบุว่าเฉพาะการคิดไม่ดี ความอิจฉาริษยา ความยโสโอหัง ความอคติ หรือการขายเกียรติยศ เท่านั้นที่จะทำให้ศาสนาเสื่อมเสีย โดยไม่มีอย่างอื่นอีก ทว่าสิ่งที่รายงานกล่าวถึงเป็นเพียงตัวอย่าง จากสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่างๆ ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วต้องกล่าวว่า ทุกสิ่งที่ทำให้ศาสนาต้องตกอยู่ในอันตราย หรือก่อให้ผลกระทบในทางเสียหายแล้ว ถือว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นปัจจัยทำลายศาสนาทั้งสิ้น ซึ่งฮะดีซเพียงแต่กล่าวถึงสิ่งที่สำคัญที่สุดเท่านั้น

2. ความเสียหายในแง่ที่สร้างความเสียหายแก่สังคมศาสนา และแสดงรูปลักษณ์ที่มิใช่ความจริงทางศาสนาให้ปรากฏออกมา เช่น ความเข้าใจผิดในเรื่องความสำรวมตนในศาสนา, อันเป็นสาเหตุทำให้บุคคลนั้น ต้องหลุดจากสถานภาพความเป็นจริงในชีวิตทางธรรมชาติ และจมดิ่งตนเองลงไปสู่กับดักของความสุดโต่ง และความสันโดษ ... ในทำนองเดียวกันความเข้าใจผิดในเรื่องการกำหนดกฎสภาวะ, การมอบหมาย, การรอคอยการปรากฏกาย, ความอดทน, ชะฟาอัต, การตะกียะฮฺ และภารกิจอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งสิ่งเหล่านี้กลายเป็นสาเหตุสำคัญที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ศาสนา และผู้นับถือศาสนา ดังนั้น ความเสียหายตามที่กล่าวมาจะเห็นว่า มีรูปลักษณ์ที่แตกต่างกัน และมีระดับที่หนักเบาแตกต่างกันออกไป ในลักษณะที่สามารถกล่าวได้ตามคุณลักษณะหนักเบาของสิ่งนั้น เช่น :

ความไม่เข้าใจลึกซึ้งในศาสนา และการจาริกจิตใจ การได้รับข้อมูลไม่ถูกต้องจากความเข้าใจในศาสนา ความอ่อนแอด้านความเชื่อ และความประพฤติทางศาสนา ความอ่อนแอด้านรากฐานทางจริยธรรม ความไร้ค่าของคุณค่าต่างๆ ทางศาสนา การไม่เชื่อถือเรื่องศาสนาและประเพณีปฏิบัติทางศาสนา การไม่ให้ความสำคัญกับศาสนา และการหันห่างออกจากบทบัญญัติและนิกายทางศาสนา

ท่านศาสดา (ซ็อลฯ) กล่าวว่า : ศาสนาจะเสียหายด้วยสิ่งสามประการ อันได้แก่: ก) ผู้รู้ประพฤติตัวชั่วช้า ฝ่าฝืน และก่อการชั่ว ข) ผู้ปกครองและผู้นำอยุติธรรม ค) คนโง่เขลาอวดฉลาด[8] ทำนองเดียวกันการนำสิ่งอุปโลกน์ และสิ่งแปลกปลอมเข้ามาสู่ศาสนา การมีวิสัยทัศน์คับแคบ การไม่อดทนต่อทัศนะของบุคคลอื่นหรือนิกายอื่นในอิสลาม กานใส่ร้ายป้ายสีว่าพวกเขาหลงผิด การตั้งภาคีเทียบเคียงพระเจ้า และการปฏิเสธ ตลอดจนการแสดงโฉมหน้าของความป่าเถื่อน ที่มิใช่ความจริงในศาสนา และอื่นๆ...ซึ่งเป็นความเสียหายอย่างหนักและเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อการดำรงอยู่ และการขยายวงกว้างออกไปของศาสนาในสังคมมนุษย์

ความเสียหายเหล่านี้เอง ได้ส่งผลกระทบต่อศาสนา และผู้นับถือศาสนา ซึ่งในอีกแง่หนึ่งนั้นสามารถแบ่งออกเป็นความเสียหายภายในและภายนอกของศาสนา ซึ่งวัตถุประสงค์ของความเสียหายภายในศาสนา เกี่ยวข้องกับความเข้าใจ การพัฒนา  และการรู้จักศาสนา วิธีการดำรงตนของผู้นับถือศาสนา เช่น การบังคับ และความกดดันในศาสนา ความเข้าใจผิดที่มีต่อศาสนา และความไร้สามารถในการับการชี้นำ และการอบรมสั่งสอน ส่วนวัตถุประสงค์ภายนอกศาสนา เกี่ยวข้องกับปัจจัยทางสังคม เศรษฐศาสตร์ และการเมือง ซึ่งรายละเอียดปลีกย่อยของมันนั้นเกี่ยวข้องกับศาสนาโดยตรง

 


[1] ซะดูก, อัลคิซอล,เล่ม 1, หน้า : 178, 239 ,

عنْ عَلِيِّ بْنِ أَبِي طَالِبٍ ع قَالَ قَالَ رَسُولُ اللَّهِ ص الْإِيمَانُ مَعْرِفَةٌ بِالْقَلْبِ وَ إِقْرَارٌ بِاللِّسَانِ وَ عَمَلٌ بِالْأَرْكَانِ

[2] กันซุลอุมาล, 44121

[3] ตะฮฺรีรุลมะวาอิซ อัลอะดะดียะฮฺ, หน้า 21, آفة الدين الهوى.

[4] ตัซนีฟ ฆุรรุลฮิกัม วะดุรุรลกะลัม,หน้า 263-5669, قال علی (ع): آفَةُ الدِّينِ سُوءُ الظَّنِّ (3/101)

[5] ตัซนีฟ ฆุรรุลฮิกัม วะดุรุรลกะลัม,หน้า 221-4421, كَثْرَةُ الْكَذِبِ تُفْسِدُ الدِّينَ وَ يُعْظِمُ الْوِزْرَ (4/597)

[6] ตัซนีฟ ฆุรรุลฮิกัม วะดุรุรลกะลัม,หน้า 299, دَعِ الْحَسَدَ وَ الْكَذِبَ وَ الْحِقْدَ فَإِنَّهُنَّ ثَلَاثَةٌ تَشِينُ الدِّينَ وَ تُهْلِكُ الرَّجُلَ (4/19)

[7] อัลกาฟียฺ, เล่ม 2, หน้า 307 ฮะดีซที่ 5, آفَةُ الدِّينِ الْحَسَدُ وَ الْعُجْبُ وَ الْفَخْر.

[8] กันซุลอุมาล, 28954

 

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • การปรากฏกายชั้นศุฆรอเป็นหัวข้อหนึ่งในหลักมะฮ์ดะวียัตหรือไม่?
    6673 เทววิทยาดั้งเดิม 2555/03/07
    การปรากฏกายชั้นศุฆรอเป็นสำนวนที่เกี่ยวโยงกับการเร้นกายขั้นศุฆรอ ซึ่งต้องการจะสื่อว่า ในเมื่อท่านอิมามมะฮ์ดี(อ.)เคยมีการเร้นกายขั้นศุฆรอ(เล็ก)ก่อนการเร้นกายขั้นกุบรอ(ใหญ่) ก็ย่อมจะมีการปรากฏกายชั้นศุฆรอก่อนจะปรากฏกายขั้นกุบรอระดับโลกเช่นกัน อนึ่ง สำนวนดังกล่าวไม่มีพื้นเพจากฮะดีษใดๆ ...
  • ตะวัสสุ้ลทำให้หลงทางหรือไม่ เราพิสูจน์หลักการนี้ด้วยเหตุผลใด?
    8218 เทววิทยาดั้งเดิม 2555/03/08
    การตะวัสสุ้ลไม่ไช่ความหลงผิด ในทางตรงกันข้ามยังถือเป็นวิธีแสวงหาความใกล้ชิดยังอัลลอฮ์อีกด้วย ส่วนการที่ท่านอิมามริฎอ(อ.)ช่วยให้คนป่วยหายดีนั้น ยังไม่ถือว่าเป็นเหตุผลหลักในการยืนยันความถูกต้อง หากแต่เป็นเหตุผลรองที่สนับสนุนเหตุผลทางสติปัญญาและตัวบทศาสนา ทั้งนี้ กลไกของโลกเป็นกลไกแห่งเหตุแลผล บุคคลคนจะต้องขวนขวายหามูลเหตุหรือวิถีทางเพื่อบรรลุเป้าหมายของตน ในทางจิตวิญญาณก็มีกลไกคล้ายกันนี้ ดังที่กุรอานปรารภแก่เหล่าผู้ศรัทธาว่า “จงยำเกรงต่อคำบัญชาของพระองค์ และจงแสวงหาหนทางสู่ความใกล้ชิดยังพระองค์” ...
  • จะต้องชำระคุมุสกรณีของทุนทรัพย์ด้วยหรือไม่?
    7014 تاريخ بزرگان 2555/04/16
    ทัศนะของบรรดามัรญะอ์เกี่ยวกับคุมุสของทุนทรัพย์มีดังนี้ ในกรณีที่บุคคลได้จัดหาทุนทรัพยจำนวนหนึ่ง แต่หากต้องชำระคุมุสจะไม่สามารถทำมาหากินด้วยทุนทรัพย์ที่คงเหลือได้ อยากทราบว่าเขาจะต้องชำระคุมุสหรือไม่? มัรญะอ์ทั้งหมด (ยกเว้นท่านอายะตุลลอฮ์วะฮีด และอายะตุลลอฮ์ศอฟี) ให้ทัศนะว่า หากการชำระคุมุสจำนวนดังกล่าวทำให้ไม่สามารถประกอบอาชีพได้ (แม้จะชำระเป็นงวดก็ตาม) ถือว่าไม่จำเป็นต้องชำระคุมุสนั้น ๆ[1] อายะตุลลอฮ์ศอฟีย์และอายะตุลลอฮ์วะฮีดเชื่อว่าจะต้องชำระคุมุส แต่สามารถเจรจาผ่อนผันกับทางผู้นำทางศาสนา[2] ท่านอายะตุลลอฮ์นูรี, ตับรีซี, บะฮ์ญัตให้ทัศนะไว้ว่า ในส่วนของทุนทรัพย์ที่จำเป็นสำหรับการทำมาหากินนั้น ไม่จำเป็นจะต้องชำระคุมุส แต่หากมากกว่านั้น ถือว่าจำเป็นที่จะต้องชำระ[3] แต่ทว่าหากซื้อที่ดินนี้ด้วยกับเงินที่ชำระคุมุสแล้ว หรือได้ซื้อหลังจากปีคุมุสได้ผ่านพ้นไปแล้ว หรือได้ซื้อหลังจากปีคุมุสและขายไปก่อนที่จะถึงปีคุมุสหน้า ก็ไม่จำเป็นจะต้องชำระคุมุสแต่อย่างใด ทว่าหากได้กำไรจากการซื้อขายที่ดินดังกล่าว หากหลงเหลือจนถึงปีคุมุสถัดไปจำเป็นที่จะต้องชำระคุมุสด้วย
  • สามารถอธิบาย ปฏิสัมพันธ์ระหว่างสิทธิมนุษยชน ระหว่างแพทย์กับคนไข้ตามบทบัญญัติของอิสลามได้หรือไม่?
    6824 สิทธิและกฎหมาย 2555/04/07
    ด้านหนึ่ง บทบัญญัติของพระเจ้านั้น สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ส่วน ดังนี้, ก) บทบัญญัติอิมฎออีย์, ข) บทบัญญัติตะอฺซีซียฺ อะฮฺกามอิมฎออียฺ หมายถึง บทบัญญัติซึ่งมีมาก่อนอิสลาม, แต่อิสลามได้ปรับปรุงและรับรองกฎนั้น เช่น การค้าขายประเภทต่างๆ มากมาย, อะฮฺกามตะอฺซีซียฺ หมายถึง บทบัญญัติที่ไม่เคยมีมาก่อน ทว่าอิสลามได้กำหนดกฎเกณฑ์เหล่านั้นขึ้นมา เช่น บทบัญญัติเกี่ยวกับการอิบาดะฮฺทั้งหลาย สิทธิซึ่งกันและกัน ระหว่างมนุษย์ด้วยกันมิได้มีเฉพาะแต่ในอิสลามเท่านั้น, ทว่าระหว่างศาสนาต่างๆ ของพระเจ้า, หรือแม้แต่ศาสนาที่มิได้นับถือพระเจ้าก็กล่าวถึงสิ่งนี้ไว้เช่นเดียวกัน ด้วยทัศนะที่ว่า มนุษย์มีภาคประชาสังคม และการตามโดยธรรมชาติ, ดังนั้น เพื่อรักษาระเบียบของสังคม จำเป็นต้องวางกฎเกณฑ์ และกำหนดสิทธิขึ้นสำหรับประชาคมทั้งหลาย ซึ่งพลเมืองทั้งหมดต่างมีหน้าที่รับผิดชอบและต้องรักษากฎระเบียบเหล่านั้น ซึ่งสิ่งนี้เรียกอีกอย่างว่า สิทธิของบุคคล เกี่ยวกับสิทธิซึ่งกันและกัน ...
  • อาริสโตเติลเป็นศาสดาแห่งพระเจ้าหรือไม่?
    9815 تاريخ بزرگان 2554/09/25
    อาริสโตเติล, เป็นนักฟิสิกส์ปราชญ์และนักปรัชญากรีกโบราณเป็นลูกศิษย์ของเพลโตและเป็นอาจารย์ของอเล็กซานเดอร์มหาราชท่านและเพลโตได้รับยกย่องให้เป็นหนึ่งในนักปรัชญาที่มีอิทธิพลสูงที่สุดท่านหนึ่งในโลกตะวันตก
  • ประชาชนชาวเมืองกุมไม่ว่าจะกระทำผิดเพียงใดก็จะไม่ถูกลงโทษในไฟนรกกระนั้นหรือ?
    6044 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/11/21
    1.รายงานฮะดีซที่เกี่ยวข้องกับเมืองกุม, ที่ว่าประชาชนชาวกุมจะไม่ตกนรกนั้นไม่ถูกต้อง.2.การรู้จักมักคุ้นกับลูกหลานของท่านศาสดา (ซ็อล
  • เพราะเหตุใดจึงต้องคลุมฮิญาบ และทำไมอิสลามจำกัดสิทธิสตรี?
    15456 ปรัชญาของศาสนา 2554/06/21
    สุภาพบุรุษและสุภาพสตรีมีความคล้ายคลึงกันในแง่ของการที่มีต้นกำเนิดเดียวกันและการที่ควรได้รับความเสมอภาคทางสังคมอาทิเช่นการศึกษา, การแสดงความเห็น...ฯลฯอย่างไรก็ดีในแง่สรีระและอารมณ์กลับมีข้อแตกต่างหลายประการข้อแตกต่างเหล่านี้เองที่ส่งผลให้เกิดบทบัญญัติพิเศษอย่างเช่นการสวมฮิญาบในสังคมทั้งนี้ก็เนื่องจากสุภาพสตรีมีความโดดเด่นในแง่ความวิจิตรสวยงามแต่สุภาพบุรุษมีความโดดเด่นในแง่ผู้แสวงหาด้วยเหตุนี้จึงมีการเน้นย้ำให้สุภาพสตรีสงวนตนในที่สาธารณะมากกว่าสุภาพบุรุษทั้งนี้และทั้งนั้นหาได้หมายความว่าจะมีข้อจำกัดด้านการแต่งกายเพียงสุภาพสตรีโดยที่สุภาพบุรุษไม่ต้องระมัดระวังใดๆไม่. ...
  • มลาอิกะฮ์สร้างมาจากรัศมีของบรรดาอิมาม และมีหน้าที่ร่ำไห้แด่อิมามฮุเซน(อ.)กระนั้นหรือ?
    9351 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/12/19
    1. ความเชื่อที่ว่ามลาอิกะฮ์สร้างขึ้นจากรัศมีนั้นได้รับการยืนยันจากฮะดีษหลายบทที่รายงานไว้ในตำราฝ่ายชีอะฮ์และซุนหนี่ตำราชีอะฮ์บางเล่มระบุถึงการสร้างสิ่งมีชีวิตต่างๆรวมถึงมลาอิกะฮ์จากรัศมีของปูชนียบุคคลอย่างท่านนบี(ซ.ล.) หรือบรรดาอิมามหรือบุคคลอื่นๆดังที่ตำราของซุนหนี่เองก็เล่าว่าเคาะลีฟะฮ์ท่านแรกและคนอื่นๆถือกำเนิดจากรัศมีของท่านนบี(ซ.ล) การที่มีฮะดีษเหล่านี้ปรากฏอยู่ในตำรับตำราของแต่ละฝ่ายมิได้หมายความว่าทุกคนจะต้องคล้อยตามฮะดีษเหล่านี้เสมอไป อย่างไรก็ดีตำราฮะดีษชีอะฮ์ได้รายงานฮะดีษชุด "ฏีนัต" ไว้ซึ่งไม่อาจจะมองข้ามได้กล่าวโดยสรุปคือหากพบว่ามุสลิมแต่ละฝ่ายอาจมีทัศนะแตกต่างกันบ้างในเรื่องการสรรสร้างของพระองค์
  • การส่งยิ้มเมื่อเวลาพูดกับนามะฮฺรัม มีกฎเป็นอย่างไร?
    6265 สิทธิและกฎหมาย 2554/11/21
    การส่งยิ้มและล้อเล่นกับนามะฮฺรัมถ้าหากมีเจตนาเพื่อเพลิดเพลินไปสู่การมีเพศสัมพันธ์หรือเกรงว่าจะเกิดข้อครหานินทาหรือเกรงว่าจะนำไปสู่ความผิดแล้วละก็ถือว่าไม่อนุญาต
  • อัศล์ อะมะลีและดะลี้ล อิจติฮาดีหมายความว่าอย่างไร และมีความเกี่ยวโยงกันหรือไม่?
    7620 สิทธิและกฎหมาย 2555/02/18
    อัศล์อะมะลีอัศล์อะมะลีในวิชาฟิกเกาะฮ์หมายถึงหลักการที่นำมาใช้เมื่อไม่สามารถพิสูจน์ฮุก่มชัรอีได้โดยตรงโดยจะกำหนดหน้าที่ของมุกัลลัฟในยามที่ไม่พบหลักฐานหรือข้อสันนิษฐานใดๆกล่าวคืออัศล์อะมะลีหรืออุศู้ลอะมะลียะฮ์ก็คือหลักที่จะกำหนดหน้าที่ของมุกัลลัฟในกรณีที่เผชิญกับข้อสงสัยฉะนั้นมูลเหตุของอุศู้ลอะมะลียะฮ์ก็คือ “ข้อสงสัย” อีกชื่อหนึ่งของอัศล์อะมะลีก็คือ “ดะลี้ลฟะกอฮะตี” ดะลี้ลฟะกอฮะตีคือหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับการวินิจฉัยฮุก่มเฉพาะกาลอันได้แก่บะรออะฮ์เอียะฮ์ติยาฏตัคยี้รและอิสติศฮ้าบดะลี้ลอิจติฮาดีดะลี้ลอิจติฮาดีคือหลักฐานที่บ่งชี้ถึงฮุก่มที่แท้จริงสาเหตุที่ตั้งชื่อไว้เช่นนี้ก็เนื่องจากมีความเกี่ยวโยงกับนิยามของอิจติฮาด (การทุ่มเทความพยายามเพื่อแสวงหาข้อสันนิษฐานสู่ฮุกุ่มที่แท้จริง) และเนื่องจากหลักฐานประเภทนี้ทำให้เกิดข้อสันนิษฐานสู่ฮุกุ่มที่แท้จริงจึงขนานนามว่าดะลี้ลอิจติฮาดีซึ่งในส่วนของอัมมาเราะฮ์ก็ถือเป็นดะลี้ลอิจติฮาดีได้เช่นกันดะลี้ลอิจติฮาดีมีไว้เพื่อวินิจฉัยฮุ่กุ่มที่แท้จริงอันได้แก่กุรอานซุนนะฮ์อิจมาอ์และสติปัญญาความเชื่อมโยงระหว่างดะลี้ลและอัศล์ควรทราบว่าไม่มีความขัดแย้งระหว่างดะลี้ลและอัศล์แต่สองสิ่งนี้มีสัมพันธ์ในลักษณะลูกโซ่อยู่ทั้งนี้ก็เพราะหากข้อสงสัยใดมีดะลี้ลก็จะไม่เหลือความสงสัยอันเป็นมูลเหตุของอัศล์อะมะลีอีกต่อไปในประเด็นความขัดแย้งระหว่างดะลี้ลกับอัศล์นั้นในกรณีของดะลี้ลที่ชัดเจนแน่นอนว่าไม่มีอัศล์ใดจะสามารถเทียบเคียงได้เนื่องจากมูลเหตุของอัศล์คือความสงสัยเมื่อมีความแน่นอนในแง่มูลเหตุอัศล์ก็ย่อมหายไปแต่ในกรณีดะลี้ลที่ไม่ชัดเจนอย่างเช่นอิมาเราะฮ์ปะทะกับอัศล์ในกรณีเช่นนี้ถือเป็นการหักล้างกันซึ่งผู้เชี่ยวชาญด้านวิชาอุศู้ลเชื่อว่าควรถือข้างอิมาเราะฮ์มากกว่าอัศล์ทุกประเภทแม้กระทั่งอิสติศฮ้าบ (ตามหลักเฏาะรีกียะฮ์)[1][1]อ่านเพิ่มเติมได้ตามหนังสือวิชาอุศู้ล อาทิเช่น อุศูลุลฟิกฮ์ ของท่านมุซ็อฟฟัร, กิฟายะตุ้ลอุศู้ล ของออคูนด์โครอซอนี ฯลฯ ...

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60729 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    58384 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42839 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    40350 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    39451 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    34588 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    28647 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    28556 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    28503 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    26418 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...