การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
9630
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2555/08/06
 
รหัสในเว็บไซต์ fa1606 รหัสสำเนา 28160
หมวดหมู่ دین و فرهنگ
คำถามอย่างย่อ
ความเสียหายของศาสนาคือสิ่งไหน?
คำถาม
ความเสียหายของศาสนาคือสิ่งไหน?
คำตอบโดยสังเขป

ศาสนา,เป็นพระบัญชาศักดิ์สิทธิ์,มาจากพระเจ้า ซึ่งในนั้นจะไม่มีทางผิดพลาด และไม่มีผลกระทบอันเสียหายอย่างแน่นอน, การยอมรับความผิดพลาดและการกระทำผิด เกี่ยวข้องกับภารกิจของมนุษย์ แน่นอนการวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับการรู้จักผลกระทบของศาสนา และการตื่นตัวของผู้มีศาสนา สิ่งเหล่านี้จะไม่ย้อนกลับไปสู่แก่นแท้ความจริงของศาสนา, ทว่าจะย้อนกลับไปสู่ประชาชาติที่นับถือศาสนา ความใจและการพัฒนาของมนุษย์ที่มีต่อศาสนา ประเภทของการรู้จักในศาสนา และรูปแบบของการตื่นตัวในศาสนา

ความเสียหายและผลกระทบต่อศาสนา มีรายละเอียดแตกต่างกันมากมาย เนื่องจากกลุ่มหนึ่งของความเสียหายทางศาสนา เป็นความเสียหายที่มีผลกระทบ ต่อความศรัทธาของบุคคลที่นับถือศาสนา หรือผู้มีความสำรวมตน ซึ่งความเสียหายดังกล่าวนี้เองจะอยู่ในระดับของการรู้จักทางศาสนา (ความเสียหายทางศาสนาและการศึกษา) บางครั้งก็อยู่ในระดับของการปฏิบัติบทบัญญัติและคำสั่งของศาสนา การรักษาบทบัญญัติ บทลงโทษ และสิทธิ ซึ่งศาสนาได้กำหนดเป็นข้อบังคับให้รักพึงระมัดระวังต่อสิ่งเหล่านั้น เช่น ความอิจฉาริษยา ความอคติ และเกียรติยศ อีกกลุ่มหนึ่งของความเสียหายทางศาสนา จะอยู่ในปัญหาด้านสังคมทางศาสนา เช่น ความบิดเบือน การอุปโลกน์ และการกระทำตามความนิยมต่างๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นอันตราย และเป็นความกดดันต่อการระวังรักษาความศักดิ์สิทธิ์ และการขยายศาสนาให้กว้างขวางออกไป

คำตอบเชิงรายละเอียด

ศาสนา นับว่าเป็นสวยงามที่สุดของรูปลักษณ์แห่งความเมตตา ของพระเจ้าสำหรับการชี้นำมวลมนุษย์ ซึ่งผู้นับถือศาสนาจะหันหน้าไปสู่ความเมตตาดังกล่าว พร้อมกับดำเนินชีวิตไปบนหนทางแห่งการชี้นำนั้น ซึ่งการดำเนินชีวิตบนหนทางดังกล่าว บางครั้งก็มีผลกระทบบางอย่างต่อผู้นับถือศาสนา ซึ่งการรู้จักผลกระทบเหล่านั้น และการเข้าแก้ไขเพื่อความเข้มแข็งผู้นับถือศาสนา ถือว่าเป็นมารยาทที่สำคัญสำหรับการดำเนินไปบนวิถีทางเช่นนี้

แน่นอนศาสนา ตามความเป็นจริงอันสูงส่งแล้ว เป็นพระบัญชาศักดิ์สิทธิ์ ด้วยเหตุนี้ คำสอนของศาสนาจึงอยู่เหนือความเสียหายและผลกระทบในทางลบทั้งหลาย อีกนัยหนึ่งภารกิจของพระเจ้าจะไม่มีความผิดพลาด ไม่มีผลกระทบในทางเสียหาย ความผิดพลาดทั้งหลายแหล่เป็นภารกิจเกี่ยวข้องกับมนุษย์ การวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับผลกระทบ และการรู้จักข้อผิดพลาดทางศาสนา และผู้นับถือศาสนาจะไม่ย้อนกลับไปสู่แก่นแท้ความจริงของศาสนา ทว่าจะย้อนกลับไปสู่ประชาชาติที่นับถือศาสนา ความใจและการพัฒนาของมนุษย์ที่มีต่อศาสนา ประเภทของการรู้จักในศาสนา และรูปแบบของการตื่นตัวในศาสนา ภารกิจเหล่านี้ล้วนมีความขัดแย้งกัน และตกอยู่ในความเสื่อมเสียที่มีผลกระทบ บรรดาผู้นับถือศาสนามีส่วนร่วมในระดับของการรู้จัก และการรู้จักนั้นก็มีส่วนร่วมในการปฏิบัติ กล่าวคือการเลือกแนวคิด การรู้จัก ความเชื่อ และความศรัทธาในศาสนา การสารภาพ การรวบรวม ความประพฤติ และการจาริกจิตใจทั้งหมดล้วนเป็นศาสนาทั้งสิ้น

เนื่องจากการมองเห็นความเสื่อมเสีย และการได้รับผลกระทบสำหรับผู้นับถือศาสนา เป็นสาเหตุทำให้ความศักดิ์สิทธิ์ของมนุษย์ เขตแดนสำหรับการจาริก และสังคมต้องได้รับความสั่นคอน ในทางกลับกันความดื้อรั้น การทำลายบทบัญญัติ และการก่อความเสียหายก็จะปรากฏชัดเจนยิ่งขึ้นมา การไม่มีศาสนาคือ ปัจจัยสำคัญยิ่งสำหรับการกระทำความผิดในภารกิจต่างๆ เนื่องจากเกียรติยศของศาสนาก็คือ การปกปักษ์รักษามนุษย์ให้รอดพ้นจากความเลวร้ายต่างๆ  มิให้ถลำลงไปในความผิดบาป และการทำลายล้างให้สูญสิ้นไป ฉะนั้น ถ้าศาสนามีความปลอดภัยสมบูรณ์ ก็จะเชิดชูมนุษย์ให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ยิ่งที่สุด และชี้นำทางเขาไปสู่หนทางที่ถูกต้อง พร้อมกับปกป้องเขา และยิ่งศาสนามีความปลอดภัยและเข้มแข็งมากเท่าใด ความปลอดภัยและความเข้มแข็งของมนุษย์ก็จะมีมากยิ่งขึ้นต่อไป ในทางตรงกันข้ามถ้าหากเกียรติยศของศาสนาถูกทำลายล้างลงเมื่อใด มนุษย์นั่นแหละที่ต้องเผชิญกับความเสื่อมทราม ตกอยู่ในความเสียหาย และได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง

ดังนั้น เมื่อพิจารณาประเด็นที่กล่าวมาแล้ว เราสามารถแบ่งระดับความเสียหายต่างๆ และผลกระทบทั่วไป ที่มีต่อศาสนาได้ 2 ประการดังต่อไปนี้:

1.ความเสียหายที่เกิดกับความศรัทธา ของบุคคลที่มีศาสนาและสำรวมตน

ท่านศาสดา (ซ็อลฯ) สาธยายถึงความศรัทธาของบุคคลไว้ว่า : “อีมานคือการรู้จักด้วยจิตใจ การสารภาพออกมาทางลิ้น และการปฏิบัติด้วยอวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกาย”[1]

ในรูปลักษณ์นี้หมายถึง การคิด ความเชื่อและความศรัทธาทางศาสนา ตลอดจนการสารภาพ การรวบรวม ความประพฤติ และการจาริกทางศาสนา ทั้งหมดตกอยู่ในอันตรายและความเสียหาย แน่นอน ความเสียหายและผลกระทบในที่นี้ หมายถึงการปรากฏอย่างชัดเจนของข้อบกพร่อง ข้อตำหนิ และการออกนอกสถานภาพทางธรรมชาติ พร้อมกับการเกิดการกระทำความผิดมากยิ่งขึ้น

คำสาธยายของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ท่านอิมามอะลี (อ.) และบรรดาอิมามมะอฺซูม (อ.) ท่านอื่น ได้กล่าวแนะนำถึงความเสียหายและผลกระทบทางศาสนาว่า อันเกิดจากภารกิจต่างๆ ซึ่งจะขอกล่าวถึงผลเสียบางอย่างเหล่านั้น เช่น :

ก) การบูชาอำนาจฝ่ายต่ำ : ท่านศาสดา (ซ็อลฯ) กล่าวว่า : อำนาจฝ่ายต่ำคือความเสียหาย[2]

ข) การบูชาโลกวัตถุ: ท่านศาสดา (ซ็อลฯ) กล่าวว่า : ความเสียหายของศาสนา เกิดจากการลุ่มหลงบูชาโลก[3]

ค) การคิดไม่ดีและมีอคติ : ท่านอิมามอะลี (อ.) กล่าวว่า :อันตรายและความเสียหายของผู้มีศาสนาคือ การคิดไม่ดีและอคติ (ต่ออัลลอฮฺ)[4]

ง)การมุสา : ทานอิมามอะลี (อ.) กล่าวว่า :การมุสามากเป็นเหตุให้ศาสนาเสียหาย[5]

จ)ความอิจฉาริษยาและอคติ : ทานอิมามอะลี (อ.) กล่าวว่า : ความอิจฉาริษยา การโกหก และความอคติ ทั้งสามประการนี้จะทำลายบุคลิกภาพ และทำให้ศาสนาเสียหาย[6]

ฉ)ความจองหอง : ทานอิมามซอดิก (อ.) กล่าวว่า : ความเสียหายของศาสนาเกิดจากความอิจฉา ความจองหอง และศักดิ์ศรีจอมปลอม[7]

เป็นที่ประจักษ์ว่า รายงานเหล่านี้มิได้มีความขัดแย้งกันแต่อย่างใด นอกจากนั้นประเด็นที่ฮะดีซกล่าวถึงเรื่องความเสียหายทางศาสนา มิได้ระบุถึงประเด็นอันเฉพาะแต่อย่างใด กล่าวคือ วัตถุประสงค์ของท่านอิมามมิต้องการระบุว่าเฉพาะการคิดไม่ดี ความอิจฉาริษยา ความยโสโอหัง ความอคติ หรือการขายเกียรติยศ เท่านั้นที่จะทำให้ศาสนาเสื่อมเสีย โดยไม่มีอย่างอื่นอีก ทว่าสิ่งที่รายงานกล่าวถึงเป็นเพียงตัวอย่าง จากสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่างๆ ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วต้องกล่าวว่า ทุกสิ่งที่ทำให้ศาสนาต้องตกอยู่ในอันตราย หรือก่อให้ผลกระทบในทางเสียหายแล้ว ถือว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นปัจจัยทำลายศาสนาทั้งสิ้น ซึ่งฮะดีซเพียงแต่กล่าวถึงสิ่งที่สำคัญที่สุดเท่านั้น

2. ความเสียหายในแง่ที่สร้างความเสียหายแก่สังคมศาสนา และแสดงรูปลักษณ์ที่มิใช่ความจริงทางศาสนาให้ปรากฏออกมา เช่น ความเข้าใจผิดในเรื่องความสำรวมตนในศาสนา, อันเป็นสาเหตุทำให้บุคคลนั้น ต้องหลุดจากสถานภาพความเป็นจริงในชีวิตทางธรรมชาติ และจมดิ่งตนเองลงไปสู่กับดักของความสุดโต่ง และความสันโดษ ... ในทำนองเดียวกันความเข้าใจผิดในเรื่องการกำหนดกฎสภาวะ, การมอบหมาย, การรอคอยการปรากฏกาย, ความอดทน, ชะฟาอัต, การตะกียะฮฺ และภารกิจอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งสิ่งเหล่านี้กลายเป็นสาเหตุสำคัญที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ศาสนา และผู้นับถือศาสนา ดังนั้น ความเสียหายตามที่กล่าวมาจะเห็นว่า มีรูปลักษณ์ที่แตกต่างกัน และมีระดับที่หนักเบาแตกต่างกันออกไป ในลักษณะที่สามารถกล่าวได้ตามคุณลักษณะหนักเบาของสิ่งนั้น เช่น :

ความไม่เข้าใจลึกซึ้งในศาสนา และการจาริกจิตใจ การได้รับข้อมูลไม่ถูกต้องจากความเข้าใจในศาสนา ความอ่อนแอด้านความเชื่อ และความประพฤติทางศาสนา ความอ่อนแอด้านรากฐานทางจริยธรรม ความไร้ค่าของคุณค่าต่างๆ ทางศาสนา การไม่เชื่อถือเรื่องศาสนาและประเพณีปฏิบัติทางศาสนา การไม่ให้ความสำคัญกับศาสนา และการหันห่างออกจากบทบัญญัติและนิกายทางศาสนา

ท่านศาสดา (ซ็อลฯ) กล่าวว่า : ศาสนาจะเสียหายด้วยสิ่งสามประการ อันได้แก่: ก) ผู้รู้ประพฤติตัวชั่วช้า ฝ่าฝืน และก่อการชั่ว ข) ผู้ปกครองและผู้นำอยุติธรรม ค) คนโง่เขลาอวดฉลาด[8] ทำนองเดียวกันการนำสิ่งอุปโลกน์ และสิ่งแปลกปลอมเข้ามาสู่ศาสนา การมีวิสัยทัศน์คับแคบ การไม่อดทนต่อทัศนะของบุคคลอื่นหรือนิกายอื่นในอิสลาม กานใส่ร้ายป้ายสีว่าพวกเขาหลงผิด การตั้งภาคีเทียบเคียงพระเจ้า และการปฏิเสธ ตลอดจนการแสดงโฉมหน้าของความป่าเถื่อน ที่มิใช่ความจริงในศาสนา และอื่นๆ...ซึ่งเป็นความเสียหายอย่างหนักและเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อการดำรงอยู่ และการขยายวงกว้างออกไปของศาสนาในสังคมมนุษย์

ความเสียหายเหล่านี้เอง ได้ส่งผลกระทบต่อศาสนา และผู้นับถือศาสนา ซึ่งในอีกแง่หนึ่งนั้นสามารถแบ่งออกเป็นความเสียหายภายในและภายนอกของศาสนา ซึ่งวัตถุประสงค์ของความเสียหายภายในศาสนา เกี่ยวข้องกับความเข้าใจ การพัฒนา  และการรู้จักศาสนา วิธีการดำรงตนของผู้นับถือศาสนา เช่น การบังคับ และความกดดันในศาสนา ความเข้าใจผิดที่มีต่อศาสนา และความไร้สามารถในการับการชี้นำ และการอบรมสั่งสอน ส่วนวัตถุประสงค์ภายนอกศาสนา เกี่ยวข้องกับปัจจัยทางสังคม เศรษฐศาสตร์ และการเมือง ซึ่งรายละเอียดปลีกย่อยของมันนั้นเกี่ยวข้องกับศาสนาโดยตรง

 


[1] ซะดูก, อัลคิซอล,เล่ม 1, หน้า : 178, 239 ,

عنْ عَلِيِّ بْنِ أَبِي طَالِبٍ ع قَالَ قَالَ رَسُولُ اللَّهِ ص الْإِيمَانُ مَعْرِفَةٌ بِالْقَلْبِ وَ إِقْرَارٌ بِاللِّسَانِ وَ عَمَلٌ بِالْأَرْكَانِ

[2] กันซุลอุมาล, 44121

[3] ตะฮฺรีรุลมะวาอิซ อัลอะดะดียะฮฺ, หน้า 21, آفة الدين الهوى.

[4] ตัซนีฟ ฆุรรุลฮิกัม วะดุรุรลกะลัม,หน้า 263-5669, قال علی (ع): آفَةُ الدِّينِ سُوءُ الظَّنِّ (3/101)

[5] ตัซนีฟ ฆุรรุลฮิกัม วะดุรุรลกะลัม,หน้า 221-4421, كَثْرَةُ الْكَذِبِ تُفْسِدُ الدِّينَ وَ يُعْظِمُ الْوِزْرَ (4/597)

[6] ตัซนีฟ ฆุรรุลฮิกัม วะดุรุรลกะลัม,หน้า 299, دَعِ الْحَسَدَ وَ الْكَذِبَ وَ الْحِقْدَ فَإِنَّهُنَّ ثَلَاثَةٌ تَشِينُ الدِّينَ وَ تُهْلِكُ الرَّجُلَ (4/19)

[7] อัลกาฟียฺ, เล่ม 2, หน้า 307 ฮะดีซที่ 5, آفَةُ الدِّينِ الْحَسَدُ وَ الْعُجْبُ وَ الْفَخْر.

[8] กันซุลอุมาล, 28954

 

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • เกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตอยู่บนดาวเคราะห์ดวงอื่น,อิสลามมีทัศนะอย่างไรบ้าง?
    12670 การตีความ (ตัฟซีร) 2554/06/22
    แนวคิดที่ว่ามีสิ่งมีชีวิตอยู่บนเส้นทางช้างเผือกหรือดาวเคราะห์ดวงอื่นหรือมีสิ่งมีสติปัญญาอื่นอยู่อีกหรือไม่, เป็นหนึ่งในคำถามที่มนุษย์เฝ้าติดตามค้นหาคำตอบอยู่จนถึงปัจจุบันนี้, แต่ตราบจนถึงเดี๋ยวนี้ยังไม่ได้รับคำตอบที่แน่นอน. อัลกุรอานบางโองการได้กล่าวถึงสิ่งมีชีวิตอื่นในชั้นฟ้าเอาไว้อาทิเช่น1. ในการตีความของคำว่า “มินดาบะติน” ในโองการที่กล่าวว่า :”และหนึ่งจากบรรดาสัญญาณ (อำนาจ) ของพระองค์คือการสร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินและสิ่งที่ (ประเภท) มีชีวิตทั้งหลายพระองค์ทรงแพร่กระจายไปทั่วในระหว่างทั้งสองและพระองค์เป็นผู้ทรงอานุภาพที่จะรวบรวมพวกเขาเมื่อพระองค์ทรงประสงค์”
  • เหตุใดในโองการที่สอง ซูเราะฮ์มุฮัมมัด وَ الَّذِینَ ءَامَنُواْ وَ عَمِلُواْ الصَّالِحَاتِ وَ ءَامَنُواْ بِمَا نُزِّلَ عَلىَ‏ محُمَّدٍ وَ...‏ มีการเอ่ยนามของท่านนบี ขณะที่โองการอื่นๆไม่มี?
    8951 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/18
    เหตุผลที่มีการเอ่ยนามอันจำเริญของท่านนบี(ซ.ล.)ไว้ในโองการที่กล่าวมาก็เพื่อแสดงถึงความสำคัญของประโยคนี้ในโองการทั้งนี้อัลลอฮ์ทรงประสงค์จะเทิดเกียรติท่านนบี(ซ.ล.)ด้วยการเอ่ยนามท่านนักอรรถาธิบายกุรอานบางคนเชื่อว่าอีหม่านในท่อนที่สองเป็นการเจาะจงเพราะท่อนที่สองเน้นย้ำถึงคำสอนของท่านนบี(ซ.ล.) กล่าวคือความศรัทธาต่ออัลลอฮ์จะไม่มีวันครบถ้วนสมบูรณ์ได้เว้นแต่จะต้องศรัทธาต่อคำสอนที่วิวรณ์แก่ท่านนบี(ซ.ล.)ด้วยบางคนเชื่อว่าการเอ่ยนามท่านนบี(ซ.ล.)มีจุดประสงค์เพื่อมิให้ชาวคัมภีร์อ้างได้ว่าเราศรัทธาเพียงอัลลอฮ์และบรรดาศาสดาตลอดจนคัมภีร์ของพวกเราเท่านั้น ...
  • กรุณาอธิบายเกี่ยวกับฮูรุลอัยน์ และถามว่าจะมีฮูรุลอัยน์เพศชายสำหรับสุภาพสตรีชาวสวรรค์หรือไม่?
    11911 การตีความ (ตัฟซีร) 2554/07/16
    สรวงสวรรค์นับเป็นความโปรดปรานที่พระองค์ทรงมอบเป็นรางวัลสำหรับผู้ศรัทธาและประพฤติดีโดยไม่มีข้อจำกัดทางเพศจากการยืนยันโดยกุรอานและฮะดีษพบว่า “ฮูรุลอัยน์”คือหนึ่งในผลรางวัลที่อัลลอฮ์ทรงมอบให้ชาวสวรรค์น่าสังเกตุว่านักอรรถาธิบายกุรอานส่วนใหญ่ต่างเห็นพ้องต้องกันว่าในสวรรค์ไม่มีพิธีแต่งงานส่วนคำว่าแต่งงานกับฮูรุลอัยน์ที่ปรากฏในกุรอานนั้นตีความกันว่าหมายถึงการมอบฮูรุลอัยน์ให้เคียงคู่ชาวสวรรค์โดยไม่ต้องแต่งงาน.นอกจากนี้คำว่าฮูรุลอัยน์ยังสามารถใช้กับเพศชายและเพศหญิงได้ทำให้มีความหมายกว้างครอบคลุมคู่ครองทั้งหมดในสวรรค์ไม่ว่าจะเป็นเนื้อคู่สาวสำหรับชายหนุ่มผู้ศรัทธาหรืออาจจะเป็นเนื้อคู่หนุ่มสำหรับหญิงสาวผู้ศรัทธา[i]นอกจากเนื้อคู่แล้วยังมี“ฆิลมาน”หรือบรรดาเด็กหนุ่มที่คอยรับใช้ชาวสวรรค์ทั้งชายและหญิงอีกด้วย[i]ดีดอเรย้อร(โลกหน้าในครรลองวะฮีย์),อ.มะการิมชีรอซี,หน้า
  • มีดุอาอฺขจัดความเกลียดคร้านและความเฉื่อยชาบ้างไหม?
    11872 จริยธรรมปฏิบัติ 2555/05/17
    ภารกิจบางอย่างที่คำสอนศาสนาปฏิเสธไม่ยอมรับคือ ความเกลียดคร้านและความเฉื่อยชา, บรรดาอิมามมะอฺซูม (อ.) กล่าวตำหนิคุณสมบัติทั้งสองนี้ และขอความคุ้มครองจากพระเจ้าให้พ้นไปจากทั้งสอง ดังจะเห็นว่าบทดุอาอฺบางบทจากบรรดาอิมามผู้บริสุทธิ์ (อ.) ได้กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้ เช่น : 1. มุสอิดะฮฺ บุตรของ ซิดเกาะฮฺ กล่าวว่า : ฉันได้วอนขอให้ท่านอิมามซอดิก (อ.) ดุอาอฺต่ออัลลอฮฺเกี่ยวกับภารกิจการงานใหญ่ๆ ท่านอิมาม (อ.) กล่าวว่า ฉันจะสอนดุอาอฺของคุณปู่ของฉันท่านอิมามซัจญาด (อ.) แก่เธอ ซึ่งดุอาอฺของท่านอิมามซัจญาด (อ.) ได้วอนขอความคุ้มครองต่ออัลลอฮฺ เพื่อให้พ้นไปจากความความเกลียดคร้าน กล่าวว่า : : "...وَ أَعُوذُ بِكَ مِنَ ...
  • ในทัศนะของอิสลาม ชาวฮินดูถือว่าเป็นนะญิสหรือไม่ และจะต้องออกห่างพวกเขาหรือไม่?
    7991 สิทธิและกฎหมาย 2554/08/17
    บรรดามัรญะอ์ได้ฟัตวาว่ากาฟิรเป็นนะญิสและจะต้องหลีกเลี่ยงความเปียกชื้นจากพวกเขาท่านอิมามโคมัยนีได้กล่าวเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวว่า “กาฟิรคือผู้ที่ไม่เชื่อในพระผู้เป็นเจ้าหรือตั้งภาคีต่อพระเจ้าหรือไม่ยอมรับในการเป็นศาสนทูตของท่านศาสดามูฮัมหมัด (ศ็อลฯ) เขาผู้นั้นถือเป็นนะญิส
  • เพราะสาเหตุอันใด อับดุลลอฮฺ บิน ญะอฺฟัรจึงไม่ได้ร่วมเดินทางไปกัรบะลาพร้อมท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.)?
    6414 تاريخ بزرگان 2554/12/21
    ประเด็นที่ว่าอับดุลลอฮฺบินญะอฺฟัรไม่ได้เข้าร่วมขบวนการไปกับท่านอิมามฮุซัยนฺ
  • ผมทำงานอยู่ในร้านค้าแห่งหนึ่ง วันหนึ่งเจ้าของร้านตัดสินใจไล่ผมออกจากงาน แต่ไม่ได้จ่ายค่าจ้างที่เหลือให้ผม อนุญาตหรือไม่ที่จะหยิบฉวยของในร้านหรือทรัพย์สินของเขาทดแทนค่าจ้างที่เขายังไม่ได้จ่ายให้ผม ?
    6250 สิทธิและกฎหมาย 2555/02/09
    คำถามของคุณได้ถูกส่งไปยังสำนักงานมัรญะอ์ตักลีดหลายท่านแล้วและได้คำตอบมาดังนี้ท่านอายาตุลลอฮ์อัลอุซมาคอเมเนอี“การกระทำในลักษณะตอบโต้ลูกหนี้จะเป็นที่อนุมัติก็ต่อเมื่อลูกหนี้อ้างโดยมิชอบว่าตนไม่ได้เป็นหนี้หรือขัดขืนไม่ยอมจ่ายหนี้โดยไม่มีทางอื่นที่จะทวงหนี้ได้นอกจากวิธีนี้แต่หากนอกเหนือจากนี้แล้วการที่จะยึดและใช้ประโยชน์ในทรัพย์สินของเขาโดยไม่ได้รับอนุญาตถือว่าไม่เป็นที่อนุมัติ”ท่านอายาตุลลอฮ์อัลอุซมาซีซตานี“หากเขาเป็นหนี้เราและไม่ยอมจ่ายหนี้ในกรณีที่เขายอมรับว่าเขาเป็นหนี้เราสามารถชดเชยสิ่งนี้ด้วยการริบทรัพย์สินของเขาที่พบเห็น”ท่านอายาตุลลอฮ์อัลอุซมามะการิมชีรอซี“เราไม่ทราบถึงเรื่องส่วนตัวดังกล่าวแต่โดยทั่วไปแล้วหากผู้ใดลิดรอนสิทธิผู้อื่น
  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60464 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • เป็นไปได้ไหมที่จะอธิบาย อัรบะอีน, อิมามฮุซัยนฺ ให้ชัดเจน?
    9127 تاريخ بزرگان 2555/05/20
    เกี่ยวกับพิธีกรรมอัรบะอีน, สิ่งที่ปรากฏอยู่ในวัฒนธรรฒศาสนาของเรา, คือการรำลึกถึงช่วง 40 วัน แห่งการเป็นชะฮาดัตของท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) ซัยยิดุชชุฮะดา ซึ่งตรงกับวันที่ 20 เดือนเซาะฟัร, ท่านอิมามฮะซันอัสการียฺ (อ.) ได้กล่าวถึงสัญลักษณ์ของผู้ศรัทธา »มุอฺมิน« ไว้ 5 ประการด้วยกัน กล่าวคือ : การดำรงนมาซวันละ 51 เราะกะอัต, ซิยารัตอัรบะอีน, สวมแหวนทางนิ้วมือข้างขวา, เอาหน้าซัจญฺดะฮฺแนบกับพื้น และอ่านบิสมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม ในนมาซด้วยเสียงดัง[1] ทำนองเดียวกันนักประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่า ท่านญาบิร บิน อับดุลลอฮฺ อันซอรียฺ,พร้อมกับอุฏ็อยยะฮฺ เอาฟีย์ ประสบความสำเร็จต่อการเดินทางไปซิยาเราะฮฺอิมามฮุซัยนฺ (อ.) หลังจากถูกทำชะฮาดัตในช่วง 40 วันแรก
  • อาริสโตเติลเป็นศาสดาแห่งพระเจ้าหรือไม่?
    9575 تاريخ بزرگان 2554/09/25
    อาริสโตเติล, เป็นนักฟิสิกส์ปราชญ์และนักปรัชญากรีกโบราณเป็นลูกศิษย์ของเพลโตและเป็นอาจารย์ของอเล็กซานเดอร์มหาราชท่านและเพลโตได้รับยกย่องให้เป็นหนึ่งในนักปรัชญาที่มีอิทธิพลสูงที่สุดท่านหนึ่งในโลกตะวันตก

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60464 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    58051 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42571 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    39913 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    39215 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    34324 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    28374 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    28299 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    28234 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    26175 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...