การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
6185
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2553/10/21
 
รหัสในเว็บไซต์ fa1878 รหัสสำเนา 10192
คำถามอย่างย่อ
ความรุ่งเรืองและความสมบูรณ์แบบของมนุษย์อยู่ในอะไร
คำถาม
ความรุ่งเรืองและความสมบูรณ์แบบของมนุษย์อยู่ในอะไร
คำตอบโดยสังเขป

คำตอบที่ครอบคลุมสำหรับคำถามนี้ขึ้นอยู่กับการตอบคำถาม 2 ข้ออันเป็นพื้นฐานสำคัญ

1) ความรุ่งเรืองคืออะไร ความรุ่งเรืองแยกออกจากความสมบูรณ์หรือไม่

2) มนุษย์คือสิ่งมีชีวิตแบบไหน? มนุษย์เป็นวัตถุบริสุทธิ์ หรือ ... ?

ดูเหมือนว่าความเจริญรุ่งเรืองจะไม่แยกออกจากความสมบูรณ์แบบ มนุษย์ไม่ว่าเขาจะได้รับประโยชน์จากความสมบูรณ์มากเท่าใดเขาก็จะได้รับความรุ่งเรืองไปด้วย มนุษย์คือสรรพสิ่งที่ประกอบด้วยจิตวิญญาณและร่างกาย ซึ่งจิตวิญญาณนั้นเปรียบเสมือนหัวใจของมนุษย์ ความรุ่งเรื่องของจิตวิญญาณและร่างกาย ทั้งสองเป็นความสมบูรณ์แบบของมนุษย์ ความรุ่งเรืองของจิตวิญญาณคือบันไดที่โน้มนำไปสู่ความใกล้ชิดกับพระเจ้า ในกรณีนี้เองที่บ่งบอกว่ามนุษย์ได้บรรลุถึงความสมบูรณ์ขั้นสุดท้ายของตน แน่นอน การได้รับประโยชน์จากความสมบูรณ์แข็งแรงของร่างกาย และภารกิจทางโลกในรายงานของอิสลามถือว่า เป็นความรุ่งเรืองของมนุษย์ด้วยเช่นกัน

ในประเด็นนี้มีบางทัศนะมีความคิดเห็นว่า ความรุ่งเรืองนั้นแยกออกต่างหากจากความสมบูรณ์ หรือในเรื่องมนุษย์วิทยานั้นเขามีทัศนะอย่างอื่น ซึ่งแต่ละประเด็นนั้นได้รับการวิพากษ์วิเคราะห์ในที่ของมัน เช่น บางคนถือว่ามนุษย์คือการมีอยู่ในสภาพของวัตถุ แน่นอน ความรุ่งเรื่องของเขาคือการได้รับประโยชน์จากความสุขทางวัตถุ บางกลุ่มชนของนักปรัชญามีความเชื่อมั่นว่า สติปัญญาคือแก่นแท้ของความเป็นมนุษย์ ส่วนนักปราชญ์ฝ่ายเอรฟาน เชื่อว่าความรักคือ หลักเกณฑ์ของความเป็นมนุษย์ และทั้งหมดเป็นเพราะไม่เคยเห็น ความจริง, พวกเขาจึงสร้างตำนานขึ้นมา

คำตอบเชิงรายละเอียด

คำตอบที่ถูกต้องและครอบคลุมสำหรับคำถามในแง่ของคำอธิบายที่ชัดเจน และความเข้าใจที่แท้จริงเกี่ยวกับความรุ่งเรือง และการรู้จักที่ถูกต้องของมนุษย์และป้าหมายจึงจะประสบความสำเร็จ ขณะที่บางคน เช่น Kant เชื่อในเรื่องการแยกของความสมบูรณ์และความเจริญรุ่งเรือง และเขาได้กล่าวเช่นนี้ว่า โลกทั้งโลกมีความสมบูรณ์แบบและสิ่งที่ดีเพียงเหนึ่งเดียวเท่านั้น และสิ่งนั้นคือความประสงค์ดี ซึ่งความประสงค์ดีนั้นหมายถึงการเชื่อฟังปฏิบัติตาม เมื่อเปรียบเทียบกับคำสั่งที่เป็นมโนธรรม ซึ่งไม่ว่าการติดตามสิ่งนั้นจะมีความสุขหรือไม่ก็ตาม แต่ความรุ่งเรืองคือความสุขและความปิติ ที่ไม่มีความเจ็บปวดใด ๆ แอบแฝงอยู่เลย ขณะที่จริยธรรมนั้นขึ้นอยู่กับความสมบูรณ์ไม่ใช่ความรุ่งเรือง[1] แต่นักวิชาการ นักปรัชญา และจริยศาสตร์อิสลามต่างกล่าวว่า ไม่ว่ามนุษย์จะได้รับประโยชน์จากความสมบูรณ์แบบมากน้อยเพียงใด และมีบั้นปลายสุดท้ายทีดีเท่ากับเขาได้ไปถึงความสุขและความรุ่งเรืองแล้ว[2] บุคคลเหล่านี้มีความคิดเหมือนกับ Kant ในแง่ที่ว่าความเจริญรุ่งเรืองนั้นไม่แยกออกจากความสมบูรณ์แบบ แน่นอน พวกเขายอมรับว่าถ้าจุดประสงค์ของความรุ่งเรื่องหมายถึงความรุ่งเรืองทางประสาทสัมผัส (ความสุขทางโลกและวัตถุ) แน่นอน ความรุ่งเรืองเหล่านี้จะแยกออกจากความสมบูรณ์แบบตามธรรมชาติ[3] ในทางกลับกันทัศนคติของสำนักคิดต่างๆ เกี่ยวกับมนุษย์นั้นแตกต่างกัน จึงเป็นสาเหตุทำให้การพัฒนาด้านความรุ่งเรืองของพวกเขาแตกต่างกัน

สำนักคิดที่เชื่อว่า มนุษย์คือการมีอยู่ในแง่ของวัตถุ ดังนั้น ความรุ่งเรืองของเขาจัดอยู่ในกลุ่มอันเป็นความต้องการด้านวัตถุ ในกลุ่มเหล่านี้มีบางคนเชื่อว่า ความสมบูรณ์แบบของมนุษย์ขึ้นอยู่กับการเผชิญกับความสุขแห่งโลกวัตถุ (ไม่ว่าจะเป็นการเผชิญแบบปัจเจกบุคคลคือสังคมส่วนรวมก็ตาม) ในที่นั้นสติปัญญาคือมาตรฐานของความเป็นมนุษย์ ฉะนั้น ความรุ่งเรืองของเขาจึงขึ้นอยู่กับกับการเติบโตของสติปัญญา โดยผ่านวิชาการและสัจพจน์แห่งพระเจ้า พวกเขาเช่นพวกที่ล่วงรู้การเดินจิตด้านใน พวกเขาเชื่อว่ามนุษย์คือ สรรพสิ่งมีชีวิตหนึ่งที่ต้องเผชิญหน้ากับปัญญา และอยู่ในบริเวณจำกัดห่างไกลจากหลักของความสมดุลและบ้านเกิด ความรุ่งเรืองของเขาขึ้นอยู่กับการได้รับประโยชน์จากความรักมากน้อยเพียงใด และบางกลุ่มที่เป็นกลุ่ม Nietzsche ถือว่าฐานของอำนาจขึ้นกับการทำงาน, ดังนั้น มนุษย์ผู้มีความเจริญรุ่งเรืองคือ มนุษย์ผู้มีความสามารถมีอำนาจ แต่ถ้าพิจารณาตามทฤษฎีของศาสนาอิสลาม (โดยการยอมรับภูมิปัญญาและความรัก) ได้แนะนำมนุษย์ว่าเป็น สรรพสิ่งมีอยู่ที่มีศักยภาพและความสามารถที่แตกต่างกัน จากชีวิตและร่างกาย (จิตวิญญาณและร่างกาย) ถูกประกอบเข้าด้วยกัน ไม่ใช่วัตถุเพียงประการเดียว[4] ชีวิตที่แท้จริงนั้นอยู่ในอีกโลกหนึ่งซึ่งชีวิตได้ถูกสร้างขึ้นมาสำหรับโลกนั้น ความคิด การกระทำ และพฤติกรรมต่างๆของเขา คือปัจจัยสำคัญที่สร้างเนื้อและร่างกายใหม่สำหรับเขา

ด้วยความคิดทำนองนี้กับความรุ่งเรืองของมนุษย์ พร้อมกับการเปล่งบาน การร่วมมือและศักยภาพของมนุษย์ จะให้คำตอบที่เหมาะสมเป็นจริงกับความต้องการของจิตวิญญาณและร่างกาย ท่านอัลลามะฮฺเฎาะบาเฎาะบาอี กล่าวเกี่ยวกับประเด็นนี้ว่า : ความรุ่งเรืองของทุกสิ่งนั้นขึ้นอยู่กับ การไปถึงยังความดีงามของการมีอยู่ของเขา ความรุ่งเรืองของมนุษย์ในฐานะที่เป็นสรรพสิ่งที่มีอยู่ ซึ่งประกอบด้วยร่างกายและจิตวิญญาณคือการไปถึงยังความดีงามทั้งทางร่างกายและจิตวิญญาณ และการได้ครอบคลุมสิ่งเหล่านั้น[5]

จิตวิญญาณนั้นเป็นของพระเจ้า "และข้าได้เป่าจิตวิญญาณจากข้าไปบนเขา”[6] ความรุ่งเรืองของเขาอยู่ในความใกล้ชิดกับพระเจ้า หมายถึงการกลับไปสู่แหล่งเริ่มต้นเดิมที่ตนได้รับมาจากสิ่งนั้น อีกนัยหนึ่งคือ จิตวิญญาณคือแก่นแท้ของมนุษย์และมาจากพระเจ้าว่า "แท้จริงเราเป็นของอัลลอฮฺ" ด้วยการพัฒนาไปตามระดับขั้นในโลกแห่งธรรมชาติ ซึ่งได้อาศัยอยู่ในนั้น และความรุ่งเรืองของเขาผสมผสานอยู่ในความรักและความตายตามเจตนารมณ์เสรี[7] เขาได้อพยพจากไปจากโลกแห่งธรรมชาติ จนไปถึงยังสถานที่ซึ่งเขาต้องพำนักอยู่ในนั้น (แท้จริงเราต้องย้อนกลับไปหาพระองค์) มนุษย์เช่นนี้แม้จะมีร่างกายอยู่บนโลกนี้ แต่จิตใจของเขาผูกพันอยู่กับอีกโลกหนึ่ง[8] แน่นอนว่า สิ่งนี้มิได้หมายความว่า เป็นการปล่อยว่างภารกิจทางโลกทั้งหมด เพราะอะไร ก็เพราะว่าการมีร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง ถือเป็นหนึ่งในความรุ่งเรืองของมนุษย์ ซึ่งได้รับการแนะนำเอาไว้ว่า ถ้าหากมนุษย์เอาใจใส่เรื่องความสะอาด และมั่นรักษาร่างกายให้สะอาดเสมอ เนื่องจากร่างกายที่สะอาดและแข็งแรงนั้น เท่ากับเป็นการเตรียมพร้อมไว้สำหรับจิตวิญญาณที่สมบูรณ์[9] ทว่าจุดประสงค์หมายถึง จิตวิญญาณคือแก่นแท้ของความเป็นมนุษย์ ซึ่งได้ก่อให้เกิดชีวิต ประกอบกับจุดประสงค์ของการสร้างมนุษย์ก็เพื่อความใกล้ชิดกับพระองค์ อัลกุรอานกล่าวว่า “โอ้ ดวงชีวิตที่สงบมั่นเอ๋ย จงกลับมายังพระผู้อภิบาลของเจ้า ขณะที่เจ้ามีความยินดี (ในพระองค์) และเป็นที่ปิติ (ของพระองค์) ฉะนั้น จงเข้ามาอยู่ในหมู่ปวงบ่าวของข้าเถิด และจงเข้ามาอยู่ในสรวงสวรรค์ของข้าเถิด[10]  บางโองการกล่าวว่า “โอ้ มนุษย์เอ๋ย แท้จริงเจ้าต้องพากเพียรไปสู่พระผู้อภิบาลของเจ้าอย่างทรหดอดทน แล้วเจ้าจะได้พบพระองค์”[11] บางโองการกล่าวว่า “ในสถานที่อันทรงเกียรติ ณ พระเจ้าผู้ทรงอานุภาพ”[12] บางโองการกล่าวว่า “ข้ามิได้สร้างญินและ มนุษย์เพื่อการใด นอกเสียจากเพื่อแสดงความเคารพภักดีต่อข้า”[13] ดังนั้น การอิบาดะฮฺคือหนึ่งในสื่อที่จะทำให้เราเข้าใกล้ชิดกับพระเจ้า อัลกุรอานกล่าวว่า “จงแสวงความช่วยเหลือด้วยการนมาซและความอดทน”[14] ด้วยเหตุนี้ สามารถกล่าวได้ว่า สิ่งที่สามารถช่วยเหลือมนุษย์ให้ใกล้ชิดกับพระเจ้าได้ก็เป็นสิ่งที่ทำให้เขาพบกับความรุ่งเรืองได้เช่นกัน ตรงนี้เองที่จะเห็นว่า ไม่เพียงนมาซเท่านั้นที่จะเป็นสื่อสร้างให้มนุษย์ใกล้ชิดพระเจ้า ทว่าการรับใช้ปวงบ่าวของพระเจ้าก็ถือเป็นอิบาดะฮฺและเป็นสือหนึ่งที่จำนำมนุษย์เข้าใกล้ชิดกับพระเจ้า

อัลลามะฮฺ เฏาะบาเฏาะบาอี กล่าวว่า และนี่คือสิ่งที่นำพาความโปรดปรานมายังสูเจ้า แน่นอนว่าสรรพสิ่งเหล่านั้นได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ดังกล่าว และเป็นความช่วยเหลือจากพระเจ้าที่มีมายังมนุษย์ เพื่อให้เขาได้ไปถึงยังความรุ่งเรืองอันแท้จริง อันได้แก่ความใกล้ชิดต่อพระเจ้า ที่เกิดจากการอิบาดะฮฺ และความอ่อนน้อมถ่อมตน ณ เบื้องพระพักต์ของพระเจ้า ดังที่อัลกุรอานกล่าวว่า “เราไม่ได้สร้างมนุษย์และญินขึ้นมาเพื้อการใดยกเว้น เพื่ออิบาดะฮฺต่อข้า”



[1]  มุเฏาะฮะรี มุรตะฎอ, ฟัลสะฟะฮฺ อัคลาก หน้า 70-71

[2]  ความเข้าใจคำว่า คำรุ่งเรือง ในหนังสือจริยธรรมทั้งหลาย ซึ่งถือว่าเป็นหลักการของจริยธรรม ศึกษาเพิมเติมได้จากหนังสือ “มอ์รอจญ์สะอาดะฮฺ” หน้า 18 และ 23

[3] มุเฏาะฮะรี มุรตะฎอ, ฟัลสะฟะฮฺ อัคลาก หน้า 72

[4] อัล-กุรอาน บทฮิจญร์ 29,มุอ์มินูน 12-14

[5] เฎาะบาเฎาะบาอี มุฮัมมัด ฮุเซน, ตัฟซีรอัลมีซาน เล่ม 11 หน้า 28

[6] อัลกุรอานบทฮิจญร์ 29

[7] ความตายตามเจตนารมณ์เสรีคือ การต่อสู้กับอำนาจฝ่ายต่ำ ดังคำเรียกของท่านอิมามอะลี (อ.) ว่า แน่นอนเขาได้ฟื้นฟูสติปัญญาของเขา และคร่าอำนาจฝ่ายต่ำของเขา” (นะฮฺญุลบะลาเฆาะฮฺ คำเทศนาที่ 220)

[8] ท่านอิมามอะลี (อ.) กล่าวแก่โกเมลบุตรของซิยาดว่า โลกคือสถานที่อยู่อาศัยของร่างกาย ส่วนจิตวิญญาณนั้นขึ้นอยู่กับสถานที่สูงส่งกว่า (นะฮฺญุลบะลาเฆาะฮฺ จดหมายที่ 147)

[9]  อุซูลกาฟี เล่ม 2 หน้า 550

[10]  อัลกุรอาน บทอัลฟัจญฺร์ 27

[11]  อัลกุรอาน อิลชิก๊อก 6

[12] อัลกุรอาน บทอัลเกาะมัร 55

[13] อัลกุรอาน บทอัซซาริยาต 56

[14] อัลกุรอาน บทอัลบะเกาะเราะฮฺ 45

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • อิมามผู้บริสุทธิ์ (อ.) ท่านใดที่อ่านดุอาอฺฟะรัจญฺ?
    9016 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2555/05/20
    คำว่า “ฟะรัจญฺ” (อ่านโดยให้ฟาเป็นฟัตตะฮฺ) ตามรากศัพท์หมายถึง »การหลุดพ้นจากความทุกข์โศกและความหม่นหมอง«[1] ตำราฮะดีซจำนวนมากที่กล่าวถึงดุอาอฺ และการกระทำสำหรับการ ฟะรัจญฺ และการขยายภารกิจให้กว้างออกไป ตามความหมายในเชิงภาษาตามกล่าวมา ในที่นี้ จะขอกล่าวสักสามตัวอย่างจากดุอาอฺนามว่า ดุอาอฺฟะรัจญฺ หรือนมาซซึ่งมีนามว่า นมาซฟะรัจญฺ เพื่อเป็นตัวอย่างดังต่อไปนี้ : หนึ่ง. ดุอาอฺกล่าวโดย ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ชื่อว่าดุอาอฺ ฟะรัจญฺ [2]«اللَّهُمَّ إِنِّي أَسْأَلُكَ يَا اللَّهُ ...
  • มุสลิมะฮ์ท่านใดที่พูดคุยด้วยโองการกุรอานนานหลายปี?
    7062 تاريخ بزرگان 2554/06/11
    มุสลิมะฮ์ท่านนี้ก็คือฟิฎเฎาะฮ์ทาสีของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ซึ่งตำราชั้นนำต่างระบุว่านางพูดคุยด้วยโองการกุรอานนานหลายปี. ...
  • ขณะวุฎูอฺ แต่ไม่ได้อยู่ในสภาพที่จำเป็น, โดยมีบุคคลอื่นราดน้ำลงบนมือและแขนให้เรา ถือว่ามีปัญหาทางชัรอียฺหรือไม่?
    6222 สิทธิและกฎหมาย 2555/05/17
    วุฎูอฺ มีเงื่อนไขเฉพาะตัว ดังนั้น การไม่ใส่ใจต่อเงื่อนไขข้อใดข้อหนึ่ง เป็นสาเหตุให้วุฎูอฺบาฏิล หนึ่งในเงื่อนไขของวุฎูอฺคือ การล้างหน้า มือทั้งสองข้าง การเช็ดศีรษะ และหลังเท้าทั้งสองข้าง ผู้วุฎูอฺ ต้องทำด้วยตัวเอง ถ้าหากมีบุคคลอื่น วุฎูอฺ ให้แก่เขา, หรือช่วยเขาราดน้ำที่ใบหน้า มือทั้งสองข้างแก่เขา หรือช่วยเช็ดศีรษะและหลังเท้าทั้งสองแก่เขา วุฎูอฺ บาฏิล[1] มีคำกล่าวว่า บรรดานักปราชญ์แสดงความเห็นเกี่ยวกับเงื่อนไขนี้ ต่างกัน : 1.บางท่านแสดงทัศนะว่า : บุคคลต้อง วุฏูอฺ ด้วยตัวเอง ถ้าหากมีบุคคลอื่นช่วยเขาวุฎูอฺ ในลักษณะที่ว่าถ้าคนอื่นเห็นจะไม่พูดว่า บุคคลดังกล่าวกำลังวุฎูอฺ ถือว่าวุฏูอฺ บาฏิล
  • เพราะเหตุใดจึงต้องคลุมฮิญาบ และทำไมอิสลามจำกัดสิทธิสตรี?
    14991 ปรัชญาของศาสนา 2554/06/21
    สุภาพบุรุษและสุภาพสตรีมีความคล้ายคลึงกันในแง่ของการที่มีต้นกำเนิดเดียวกันและการที่ควรได้รับความเสมอภาคทางสังคมอาทิเช่นการศึกษา, การแสดงความเห็น...ฯลฯอย่างไรก็ดีในแง่สรีระและอารมณ์กลับมีข้อแตกต่างหลายประการข้อแตกต่างเหล่านี้เองที่ส่งผลให้เกิดบทบัญญัติพิเศษอย่างเช่นการสวมฮิญาบในสังคมทั้งนี้ก็เนื่องจากสุภาพสตรีมีความโดดเด่นในแง่ความวิจิตรสวยงามแต่สุภาพบุรุษมีความโดดเด่นในแง่ผู้แสวงหาด้วยเหตุนี้จึงมีการเน้นย้ำให้สุภาพสตรีสงวนตนในที่สาธารณะมากกว่าสุภาพบุรุษทั้งนี้และทั้งนั้นหาได้หมายความว่าจะมีข้อจำกัดด้านการแต่งกายเพียงสุภาพสตรีโดยที่สุภาพบุรุษไม่ต้องระมัดระวังใดๆไม่. ...
  • เนื่องจากชาวสวรรค์ล้วนอยู่ในวัยหนุ่มสาว เหตุใดท่านอิมามฮะซันและอิมามฮุเซน(อ.)จึงได้เป็นประมุขทั้งที่ยังมีบรรดานบีและบรรดาอิมามท่านอื่นๆอยู่?
    8715 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/12/01
    ท่านอิมามฮะซันและอิมามฮุเซน(อ.) ผู้เป็นหลานรักของท่านนบี(ซ.ล.)นั้นมีสถานะภาพสูงกว่าชาวสวรรค์ทั่วไปอย่างไรก็ดีเนื่องจากชาวสวรรค์ทุกท่านล้วนอยู่ในวัยหนุ่มสาวบารมีดังกล่าวจึงเจาะจงชาวสวรรค์ที่เป็นชะฮีดหรือเสียชีวิตในวัยหนุ่มสาวเป็นพิเศษซึ่งแน่นอนว่าย่อมไม่ขัดกับบารมีของบรรดานบีและบรรดาเอาลิยาอ์ของอัลลอฮ์ท่านอื่นๆอย่างแน่นอนอนึ่งเมื่อพิจารณาเบาะแสต่างๆจะพบว่าฮะดีษดังกล่าวสื่อถึงความเป็นประมุขที่มีต่อชาวสวรรค์ทั่วไปมิได้เป็นประมุขของอิมามท่านอื่นๆหรือบรรดานบี ...
  • การส่งยิ้มเมื่อเวลาพูดกับนามะฮฺรัม มีกฎเป็นอย่างไร?
    5874 สิทธิและกฎหมาย 2554/11/21
    การส่งยิ้มและล้อเล่นกับนามะฮฺรัมถ้าหากมีเจตนาเพื่อเพลิดเพลินไปสู่การมีเพศสัมพันธ์หรือเกรงว่าจะเกิดข้อครหานินทาหรือเกรงว่าจะนำไปสู่ความผิดแล้วละก็ถือว่าไม่อนุญาต
  • การทำหมันแมวเพื่อป้องกันมิให้จรจัด แต่ก็มีผลกระทบไม่ดีด้านความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม ฮุกุ่มเป็นอย่างไรบ้าง?
    8377 สิทธิและกฎหมาย 2555/01/23
    สำนักฯพณฯท่านผู้นำอายะตุลลอฮฺอัลอุซมาคอเมเนอี (ขออัลลอฮฺทรงคุ้มครองท่าน):
  • การที่ฝ่ายชีอะฮฺกล่าวว่า เซาะฮาบะฮฺของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) เป็นมุรตัด หรือพวกเขาได้กลับสภาพเดิมหลังจากศาสดาได้จากไปหมายความว่าอะไร? คำกล่าวอ้างเช่นนี้ยอมรับได้หรือไม่?
    9327 เทววิทยาดั้งเดิม 2555/09/08
    เหตุการณ์การบิดเบือน, โดยหลักการถือว่าเป็น บิดอะฮฺหรือเอรติดอด ซึ่งในหมู่สหายของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) หลังจากที่ท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ได้จากไป หนึ่ง, จากแหล่งอ้างอิงแน่นอนของอิสลาม ซึ่งจัดอยู่ในลำดับต้นๆ ของอิสลามนั้นเป็นเหตุผลที่ยืนยันว่า เหตุการณ์ดังกล่าวที่เกิดขึ้นนั้นเป็นความจริงอันไม่อาจปฏิเสธได้ ซึ่งมิได้มีกล่าวไว้แค่ตำราของฝ่ายชีอะฮฺเท่านั้น รายงานประเภท มุตะวาติร จำนวนมากมายที่กล่าวว่า พวกเขาได้ละทิ้งท่านศาสดา (ซ็อลฯ) มีกล่าวไว้มากมายในหนังสือ ซิฮะฮฺ ทั้ง 6 เล่มของฝ่ายซุนนียฺ และตำราที่เชื่อถือได้เล่มอื่นของพวกเขา โดยมีการกล่าวอ้างสายรายงานที่แตกต่างกัน อีกนัยหนึ่ง มีคำกล่าวยืนยันที่สมควรพิจารณาเป็นอย่างยิ่งที่ว่า หลังจากท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ได้จากไป มีเหล่าสหายจำนวนไม่น้อยได้ละเลยต่อแบบอย่าง และซุนนะฮฺของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) โดยหันไปสู่ศาสนาดั้งเดิมของต้นเอง และเนื่องด้วยการบิดเบือนดังกล่าวของพวกเขานั้นเอง ได้กลายเป็นสาเหตุสำคัญ ทำให้พวกเขาถูกกีดกันมิให้ดื่มน้ำจากสระน้ำเกาษัร และอีกถูกขับไล่ออกจากสระน้ำดังกล่าวอีกด้วย บรรดามะลาอิกะฮฺแห่งการลงโทษจะลากพวกเขาไปยังขุมนรกของการลงโทษ สอง, เอรติดาด ได้ถูกกล่าวถึงในรายงานลักษณะอย่างนี้ ...
  • เข้ากันได้อย่างไร ระหว่างความดีและชั่ว กับความเป็นเอกะและความเมตตาของพระเจ้า?
    7073 เทววิทยาดั้งเดิม 2555/04/07
    1. โลกใบนี้ได้ถูกสร้างขึ้นมาในลักษณะที่ว่า สรรพสิ่งทั้งหลายที่มีอยู่ไม่อาจอยู่เป็นเอกเทศหรืออยู่ตามลำพังได้, องค์ประกอบและสัดส่วนต่างๆ บนโลกนี้ ถ้าหากพิจารณาให้รอบคอบจะพบว่าทุกสรรพสิ่ง เปรียบเสมือนโซ่ที่ร้อยเรียงติดเป็นเส้นเดียวกัน ซึ่งทั้งหมดเหล่านั้นรวมเรียกว่า ระบบการสร้างสรรค์อันสวยงาม, ด้วยเหตุนี้ ไม่สามารถกล่าวได้ว่าในโลกนี้มีพระเจ้า 2 องค์ เช่น พูดว่าน้ำและน้ำฝนมีพระเจ้าองค์หนึ่ง น้ำท่วมและแผ่นดินไหวมีพระเจ้าอีกองค์หนึ่ง, แน่นอน ถ้าหากน้ำท่วมและแผ่นดินไหวมาจากระบบหนึ่ง และน้ำฝน แสงแดด การโคจร และ ...ได้ตามอีกระบบหนึ่ง เท่ากับว่าโลกใบนี้มี 2 ระบบ เวลานั้นเราจึงสามารถกล่าวได้เช่นนี้ว่า โลกมีพระเจ้า 2 องค์ ด้วยเหตุนี้ เนื่องจากความจำกัดของโลกมีเพียงแค่ระบบเดียวที่เข้ากันและมีความสวยงาม ซึ่งทั้งหมดสามารถเจริญเติบโตไปสู่ความสมบูรณ์ของตนได้อย่างเสรี สรุปแล้วโลกใบนี้ต้องมีพระเจ้าองค์เดียว ผู้ทรงเมตตาปรานียิ่ง 2.ความเมตตาปรานีของพระเจ้า วางอยู่บนพื้นฐานแห่งวิทยปัญญาของพระองค์ ซึ่งสิ่งนี้ได้กำหนดว่ามนุษย์และสรรพสิ่งทั้งหลายต่างได้รับการชี้นำทางไปสู่การพัฒนา และความสมบูรณ์แต่ก็มิได้หมายความว่าจะเป็นไปได้ทุกหนทางในการบริการ หรือทุกหนทางที่จะก้าวเดินไป ทว่าการไปถึงยังความสมบูรณ์นั้นได้เป็นตัวกำหนดว่า มนุษย์ต้องผ่านหนทางที่ยากลำบากไปให้ได้ เขาต้องเผชิญกับความยากลำบาก และการต่อสู้ในชีวิตเพื่อก้าวไปสู่ความสมบูรณ์ อีกนัยหนึ่งศักยภาพต่างๆ ...
  • ผมได้หมั้นหมายกับคู่หมั้นมานานเกือบ 10 ปี แล้วเราสามารถอ่านอักด์ชัรอียฺก่อนแต่งงานตามกฎหมายได้หรือไม่?
    6273 สิทธิและกฎหมาย 2555/04/07
    คำตอบจากบรรดามัรญิอฺตักลีดเกี่ยวกับปัญหาดังกล่าว ตามที่มีผู้ถามมา[1] ฯพณฯท่านอายะตุลลอฮฺ .. : 1. ฯพณฯ ท่านอายะตุลลอฮฺ คอเมเนอี : ด้วยการใส่ใจและตรวจสอบเงื่อนไขทางชัรอียฺแล้ว, โดยตัวของมันไม่มีปัญหาแต่อย่างใด 2.ฯพณฯ ท่านอายะตุลลอฮฺ ซิตตานียฺ : การอ่านอักด์นิกาห์กับหญิงสาวบริสุทธิ์ต้องขออนุญาตบิดาของเธอก่อน 3.ฯพณฯ ท่านอายะตุลลอฮฺ ซอฟฟี ฆุลภัยฆอนียฺ : การแต่งงานของชายผู้ศรัทธากับหญิงผู้ศรัทธา มีเงื่อนไขหลักหลายประการ (เช่น การได้รับอนุญาตจากผู้ปกครองของฝ่ายหญิงเป็นต้น) โดยตัวของมันแล้วไม่มีปัญหา แต่ถ้มีปัญหาอื่นจงเขียนคำถามมาให้ชัดเจน เพื่อจะได้ตอบไปตามความเหมาะสม 4.ฯพณฯ ท่านอายะตุลลอฮฺ มะการิม ชีรอซียฺ : ตามตัวบทกฎหมายของรัฐอิสลาม, การแต่งงานลักษณะนี้ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด ...

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60080 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    57470 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42162 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    39260 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    38906 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    33967 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    27980 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    27902 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    27728 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    25741 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...