การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
18340
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2553/10/11
 
รหัสในเว็บไซต์ fa310 รหัสสำเนา 10182
คำถามอย่างย่อ
อัล-กุรอาน, คือปาฏิหาริย์สุดท้ายที่พระเจ้าทรงประทานมา และความมหัศจรรย์ของ อัลกุรอานคืออะไร ?
คำถาม
อัล-กุรอาน, คือปาฏิหาริย์สุดท้ายที่พระเจ้าทรงประทานมา และความมหัศจรรย์ของ อัลกุรอานคืออะไร ?
คำตอบโดยสังเขป

สำหรับความมหัศจรรย์ของกุรอาน ถูกอธิบายไว้ 3 ลักษณะ : มหัศจรรย์ด้านวาจา, มหัศจรรย์ในแง่ของเนื้อหา และมหัศจรรย์ในทัศนะของผู้นำอัลกุรอานมา

1) มหัศจรรย์ด้านวาจาของกุรอานถูกแบ่งเป็น 2 ส่วน

. มหัศจรรย์ด้านวาทศาสตร์ :

วิธีการสาธยายของอัลกุรอาน เป็นไปในลักษณะที่ไม่มีมนุษย์คนใด แม้แต่ท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อล ฯ) ก็ไม่อาจเทียบเท่าได้ ด้วยเหตุนี้บรรดานักวิชาการจึงกล่าวว่า จากการแสดงความเป็นห่วงเป็นใย ของบางคนที่ห้ามไม่ให้มีการบันทึกฮะดีซของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) เนื่องจากเกรงว่าจะสับสนกับอัลกุรอานนั้น เป็นเหตุผลที่ไม่อาจยอมรับได้

. มหัศจรรย์ด้านตัวเลข :

ทุกวันนี้, เนื่องจากความก้าวหน้าทางวิชาการ และการพัฒนาการด้านคอมพิวเตอร์ในระดับสูง ได้พยายามแสดงความสัมพันธ์กัน ระหว่างาเลขหลักพิเศษกับคำและตัวอักษรของอัลกุรอาน ซึ่งสิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าเป็นไปไม่ได้ในความสัมพันธ์ดังกล่าว ที่จะเกิดขึ้นในคำพูดของมนุษย์

2) มหัศจรรย์ในแง่ของเนื้อหาสามารถอธิบายได้หลายลักษณะกล่าวคือ :

. ไม่มีความขัดแย้งกันในอัลกุรอาน

. ข่าวลึกลับที่เกี่ยวข้องกับบางคน หรือบางเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง

ค. วิทยาการและความรู้ของอัล-กุรอาน ซึ่งอัลกุรอานโอบอุ้มเอาความรู้และวิชาการศาสตร์ต่างๆ เอาไว้ ซึ่งอย่างน้อยที่สุดผู้คนในสมัยนั้นก็ไร้ความสามารถในการกระทำดังกล่าว ศาสตร์เหล่านั้นครอบคลุมประเด็นที่ลุ่มลึกด้านเอรฟาน ปรัชญา วิทยปัญญา เหตุผลนิยม และอื่นๆ ...

จ. ความไร้สามารถในการสร้างความเสียหายวิชาการในอัลกุรอาน จริงอยู่แม้ว่าวิชาการของอัลกุรอาน จะผ่านมาหลายศตวรรษแล้วก็ตาม แต่ก็ยังคงยืนหยัดอยู่ในที่ของตนอย่างมั่นคง

3) มหัศจรรย์ในทัศนะของผู้นำอัลกุรอานมา

ท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อล ฯ) เป็นผู้ที่อ่านหนังสือไม่ออกและเขียนไม่เป็น ดังนั้น ท่านจะสามารถนำเอาอัลกุรอาน มาสอนคนบนคราบสมุทรอาหรับ ซึ่งไร้วัฒนธรรมและการศึกษาด้วยตัวของท่านเองได้อย่างไร

คำตอบเชิงรายละเอียด

ความมหัศจรรย์ของอัลกุรอาน ด้านต่างๆ ได้ถูกอธิบายไว้แล้ว[1] ซึ่งสามารถจัดแบ่งออกเป็น 3 ประเภทได้ดังนี้

1) มหัศจรรย์ด้านวาจาของกุรอาน

2) ความมหัศจรรย์ด้านเนื้อหาของอัลกุรอาน

3) ความมหัศจรรย์ของกุรอาน ด้านผู้นำมาเผยแผ่

1-1 ความมหัศจรรย์ด้านวาจาของอาน :

ความมหัศจรรย์ด้านวาจาของกุรอาน สามารนำเสนอได้ 2 วิธี กล่าวคือ: ความมหัศจรรย์ด้านวาทศาสตร์ และความมหัศจรรย์ด้านตัวเลข

การวิพากษ์เกี่ยวกับความมหัศจรรย์ด้านวาทศาสตร์ของอัลกุรอาน เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่อาหรับนับตั้งแต่อดีตที่ผ่านมา ซึ่งได้รับความสนใจและความเห็นพร้องต้องกัน เกือบจะทุกนิกายในอิสลาม แน่นอน บางคนนั้น ถือว่าความมหัศจรรย์ของ อัลกุรอานอยู่ในภารกิจ เช่น ; ความเป็นระเบียบ รูปแบบ และวิธีการสาธยายของอัลกุรอาน พวกเขากล่าวว่า หนึ่งในสาเหตุสำคัญของความมหัศจรรย์คือ ความมหัศจรรย์ด้านวาทศาสตร์ ส่วนอีกด้านหนึ่งคือ ความเป็นระเบียบและรูปแบบในการสาธยายของอัลกุรอาน บางคนกล่าวว่า ความมหัศจรรย์ของกุรอานครอบคลุมทั้งด้านวาทศาสตร์ ความเป็นระเบียบ และรูปแบบของกุรอาน[2] อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาแล้วจะเห็นว่าตัวอย่างเหล่านี้ เป็นเพียงการขยายตัวอย่างให้มากขึ้น และทุกกรณีล้วนเกี่ยวข้องและย้อนกลับไปหา วิธีการสาธยายของอัลกุรอานในความมหัศจรรย์ ด้านวาทศาสตร์ทั้งสิ้น

รูปแบบและวิธีสาธยายของอัลกุรอาน, เป็นวิธีการที่ไม่มีมนุษย์ใด แม้แต่บุรุษผู้สูงส่งเฉกเช่นท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ก็ไม่สามารถพูดได้ในเช่นนี้

คำอธิบายว่า : เกี่ยวกับประวัติฮะดีซ อะฮฺลิซซุนนะฮฺมักกล่าวอ้างว่า ท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อล ฯ) เป็นผู้ห้ามการเขียนฮะดีซ และคำกล่าวเหล่านั้น ดังนั้น เกี่ยวกับประเด็นนี้จะขอหยิบยกรายงานฮะดีซจากพวกเขา[3]  เวลานั้นเราจะประสบกับคำถามหนึ่งว่า ทำไมท่านนบีจึงได้ห้ามการบันทึกฮะดีซ ?

หนึ่งในคำตอบที่ได้ตอบเอาไว้ในหมู่ซุนนี ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีกล่าวคือ สาเหตุที่ต้องห้ามไว้ก็คือ เพื่อมิให้อัลกุรอานถูกผสมปนเปกับสิ่งที่ไม่ใช่อัลกุรอาน; หนึ่งในนักวิชาการฝ่ายซุนนีได้หักล้างเหตุผลที่มีชื่อเสียงดังกล่าว โดยกล่าวว่า ความมหัศจรรย์ของอัลกุรอานด้านวาทศาสตร์ คือ ปัจจัยสำคัญที่กีดขวางไม่ให้อัลกุรอานผสมผสานกับสิ่งอื่นที่ไม่ใช่อัลกุรอาน[4] แล้วเกี่ยวกับปัญหาที่กล่าวว่า บางที่ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) อาจมีวาทศาสตร์สูงส่ง พอที่จะกล่าวคำพูดเทียบเคียงอัล-กุรอานได้ เขาตอบว่า : สิ่งสำคัญยิ่งสำหรับคำพูดนี้คือ ต้องปฏิเสธความมหัศจรรย์ด้านวาทศาสตร์ของอัลกุรอาน[5]

แต่อย่างไรก็ตาม ปัญหาเรืองการห้ามของของนบี (ซ็อล ฯ) ที่มิให้มีการจดบันทึกฮะดีซ – ทั้งที่ฮะดีซของศาสดามิใช่คำพูดธรรมดาทั่วไปเป็นคำพูดที่เป็นนูร (รัศมี) ทว่าเป็นรัศมีและได้รับการชี้นำจากพระเจ้าจากโลกที่เร้นลับ และยังสามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ ของประชาชาติอิสลามได้อีกต่างหาก –ซึ่งสิ่งนี้ถือเป็นปัญหาพื้นฐานสำคัญของฝ่ายซุนนี ด้วยเหตุนี้เอง นักวิชาการฝ่ายชีอะฮฺ นับจากอดีตจนถึงปัจจุบัน ถือวาข้อกล่าวอ้างที่ว่าท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ห้ามไม่ให้มีการเขียนหรือจดบันทึกฮะดีซนั้นไม่ถูกต้องและไม่เป็นความจริง

อีกมุมมองหนึ่งปาฏิหาริย์ด้านวาจาของอัลกุรอานและตัวเลข ซึ่งมุมมองดังกล่าวเพิ่งจะได้รับการอธิบายเมื่อเร็ว ๆ นี้ ประกอบกับมีการใช้คอมพิวเตอร์ เกี่ยวกับประเด็นนี้จึงได้รับความสนใจมาก และการพัฒนาการด้านคอมพิวเตอร์ในระดับสูง ได้พยายามแสดงความสัมพันธ์กัน ระหว่างาเลขหลักพิเศษกับคำและตัวอักษรของอัลกุรอาน ซึ่งสิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าเป็นไปไม่ได้ในความสัมพันธ์ดังกล่าว ที่จะเกิดขึ้นในคำพูดของมนุษย์[6]

1-2 ความมหัศจรรย์ด้านเนื้อหาของอัลกุรอาน :

มีการอธิบายในทิศทางที่แตกต่างกัน เกี่ยวกับความมหัศจรรย์ด้านเนื้อหาของอัลกุรอาน ซึ่งพอที่จะกล่าวได้ดังต่อไปนี :

. ไม่มีความขัดแย้งกันในอัลกุรอาน :

โองการอัลกุรอาน กล่าวว่า

أ فلا یتدبرون القرآن و لو کان من عند غیر الله لوجدوا فیه اختلافاً کثیرا[7]

ซึ่งวัตถุประสงค์ของโองการคือประเด็นของความมหัศจรรย์

. ข่าวลึกลับ :

ในอัลกุรอาน มีการกล่าวถึงบางคนหรือบางเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต กล่าวคือ ช่วงเวลาหลังจากที่โองการได้ถูกประทานลงมาแล้ว ประหนึ่งว่าเป็นการพยากรณ์เอาไว้ แล้วเหตุการณ์นั้นก็ได้เกิดขึ้นจริง เช่น โองการที่กล่าวว่า

"ا لم* غلبت الروم فى أدنى الارض و هم من بعد غلبهم سیغلبون[8]

ค.ความรู้และวิทยาการของอัลกุรอาน

เนื้อหาสาระของอัลกุรอาน อย่างน้อยที่สุดในเวลานั้นไม่มีมนุษย์คนใดไม่สามารถกระทำได้ แน่นอน แม้แต่ในตอนนี้ยังมีวิชาการและความรู้อันสูส่งที่บรรจุอยู่ในอัลกุรอานแต่มนุษย์ยังไม่รู้จัก และเป็นที่ชัดเจนว่าสิ่งที่มนุษย์ค้นพบนั้นได้ผ่านกระบวนการของท่านนนี (ซ็อล ฯ) และบรรดาอิมาม (อ.) และการชี้นำอย่างต่อเนื่องของพวกเขา ในลักษณะที่ว่าวันนี้บางส่วนที่น่าทึ่งใจจากรายงานฮะดีซคือ รายงานเกี่ยวกับความเชื่อ การวิพากษ์ทางปัญญา เคล็ดลับด้านปรัชญาและเทววิทยา ตลอดจนประเด็นเกี่ยวกับเอรฟาน (การเดินจิตด้านใน) อย่างไรก็ตามสมมุติว่าวันนี้อาจมีผู้รู้จักความรู้และวิชาการทั้งหมดของอัลกุรอานแล้ว และพร้อมอยู่ในมือของมนุษย์ ซึ่งในอดีตที่ผ่านมาไม่สามารถเข้าใจความรู้เหล่านี้ได้ กระนั้นสิ่งนี้ก็ไม่ได้ทำให้ความมหัศจรรย์ของอัลกุรอานลดน้อยอะไรลงไปแม้แต่น้อย สำคัญที่สุดคือ การพิสูจน์ความมหัศจรรย์ของอัลกุรอานก็ไม่ได้ใช้วิธีของผู้นำมา ทว่าสามารถกล่าวได้ว่าวิชาการและความรู้อันสูงส่งและลุ่มลึกของอัลกุรอาน มีความยิ่งใหญ่เหนือความคิดของมนุษย์และนักปราชญ์ทุกคนในสมัยนั้น จึงสามารถกล่าวสรุปได้ว่า อัลกุรอาน ไม่ได้มาจากความคิดของมนุษย์อย่างแน่นอน สิ่งนี้เป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกว่า อัลกุรอาน เป็นวะฮฺยูที่ถูกประทานมาจากพระเจ้า

จ. ความไร้สามารถในการสร้างความเสียหายด้านวิชาการในกุรอาน :

หลังจากเวลาได้ผ่านไปแล้วหลายศตวรรษ และหลังจากความก้าวหน้าทางวิชาการของมนุษย์ ตลอดจนการแลกเปลี่ยนความรู้และวัฒนธรรมของมนุษย์ ก็ยังไม่มีวิชาการและเรื่องราวอันใดในอัลกุรอาน ถูกยกเลิกหรือถูกทำให้เสียหายแต่อย่างใด แน่นอนว่าสิ่งนี้คือบทพิสูจน์ความจริงที่ว่าอัลกุรอานคือ คัมภีร์แห่งฟากฟ้าไม่ได้มาจากมนุษย์

ประเด็นสำคัญ อันเป็นประโยชน์ที่ควรทราบ บางทีอาจจะเป็นไปได้ที่ความรู้บางอย่างของมนุษย์ – เช่น ตรรกะและคณิตศาสตร์ – ซึ่งได้รับการเก็บรวบรวมเอาไว้ และมีเก็บรวบรวมมาตั้งแต่สมัยอดีตจนกระทั่งเป็นมรดกตกทอดมาถึงเรา ก็ยังไม่ได้รับการยกเลิกหรือถูกทำให้เสียหายแต่อย่างใด แต่สิ่งที่น่าสังเกตคือ ประการแรก : ความรู้นี้อยู่ในกรอบของความรู้แรก หรือเป็นธรรมชาติที่แฝงอยู่ในภูมิปัญญาของผู้มีความอัจฉริยะอยู่แล้ว และมีผู้เก็บรวบรวมสิ่งเหล่านี้เข้าด้วยกัน ซึ่งในความเป็นจริงเขาไม่ได้เป็นผู้นำมา ประการที่สอง : หนังสือต่างๆ ที่มนุษย์ได้เขียนขึ้นมาส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับความรู้อันเฉพาะเจาะจงเพียงด้านเดียว หรือประเด็นพิเศษอันเฉพาะเท่านั้น ขณะที่คุณลักษณะพิเศษที่สำคัญที่สุดในความบรรเจิดแห่งวิชาการและความรู้ของอัลกุรอานคือ ความกว้างไกลและความหลากหลายของประประเด็นต่างๆ บางครั้งคำพูดเดียวแต่แฝงไว้ด้วยเรื่องราวหลายสิบเรื่องด้วยกัน[9]

โดยทั่วไปแล้วสิ่งนี้เป็นอีกหนึ่งในความมหัศจรรย์ ซึ่งความรู้ต่างๆ เหล่านั้นอยู่ในสถานภาพของตน มนุษย์คนใดหรือที่นอกจากจะมีความรู้ในศาสตร์ต่างสาขาที่มีความต่างกันโดยสมบูรณ์ ประกอบกับมีความละเอียดอ่อน และมีการพิจารณาพิเศษด้วยความแม่นยำในการสาธยาย และความหลากหลายของประเด็น –และยังสามารถผสมผสานประเด็นเข้าด้วยกันได้เป็นอย่างดี และยังได้รับผลที่แตกต่างกันจากความรู้อันหลากหลายนั้น ในลักษณะที่ว่าทั้งเป้าหมายก็ไม่เสียหาย ความต่อเนื่องก็ไม่ได้สูญเสียไป และที่สำคัญไม่มีผิดพลาดซึ่งได้ดำเนินผ่านมาหลายศตวรรษ นอกจากนั้นยังบริสุทธิ์จากการถูกทำลายอีกต่างหาก สิ่งนี้ไม่ได้ยืนยันถึงความมหัศจรรย์ดอกหรือ

3 ความมหัศจรรย์ในทัศนะของผู้นำอัลกุรอานมา :

ประเด็นนี้ได้รับการวิพากษ์มาตั้งแต่ในอดีตที่ว่า ท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อล ฯ) เป็นผู้ที่อ่านหนังสือไม่ออกและเขียนไม่เป็น ดังนั้น ท่านจะสามารถนำเอาอัลกุรอาน มาสอนคนบนคราบสมุทรอาหรับ ซึ่งไร้วัฒนธรรมและการศึกษาด้วยตัวของท่านเองได้อย่างไร[10]

สิ่งจำเป็นต้องทราบคือ บทวิพากษ์เกี่ยวกับความหัศจรรย์ของอัลกุรอาน แม้ว่าจะเป็นบทวิพากษ์ในวิชาความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับอัลกุรอานก็ตาม ซึ่งในความเป็นจริงเป็นบทหนึ่งในวิชาเทววิทยาด้วย ด้วยเหตุนี้จะเห็นว่าประเด็นนี้มีวิพากษ์อยู่ในวิชา เทววิทยาด้วย[11]

แหล่ง ศึกษาเพิ่มเติม :

Hadavi เตหะราน Mehdi  มะบานีกะลามีอิจญฺติฮาด, มุอัซซะซะฮฺฟังฮังกี คอเนะฮฺ เครัด กุม พิมพ์ครั้งแรก 1377



[1] ศีกษาเพิ่มเติมได้จาก ซามินี ซัยยิดมุซเฏาะฟา วุญูฮ์ อิฮฺญาซกุรอาน (รวมบทความงามสัมมนาครั้งที่ 2 วิจัยความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับอัล-กุรอาน, ดารุลกุรอาน กุม หน้า 138-178

[2] อ้างแล้วเล่มเดิม

[3] มะฮฺมูด อบูร็อยยะฮฺ, อัฎวาอ์ อะลัซซุนนะฮฺ อัลมุฮัมมะดียะฮฺ หน้า 42

[4] อ้างแล้วเล่มเดิม หน้า 46

[5] อ้างแล้วเล่มเดิม หน้า 47

[6] ,เกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวนี้ ซีดี ในหัวข้อ “ก็อดร์” ได้ถูกจัดทำขึ้นแล้วโดย ซัยยิดอะลี กอเดรี

[7] “พวกเขาไม่พิจารณาดูอัล-กุรอานบ้างหรือว่า หากอัล-กุรอานมาจากผู้ที่ไม่ใช่อัลลอฮฺแล้ว แน่นอน พวกเขาก็จะพบว่าในนั้นมีความ ขัดแย้งกันมากมาย” (อัลกุรอานบทนิซาอ์ 82)

[8] อะลิฟ ลาม มีม พวกโรมันถูกพิชิตแล้ว ในดินแดนอันใกล้นี้ แต่หลังจากการปราชัยของพวกเขาแล้วพวกเขาจะได้รับชัยชนะ

[9] อัลลามะฮฺ เฏาะบาเฏาะบาอี กล่าวว่า วิชาการของอัลกุรอานนั้น สามารถนำออกมาได้จากทุกบทของกุรอาน ถ้าเป็นเช่นนั้น นั่นก็หมายความว่าทุกกลุ่มที่อยู่ภายในหนึ่งบท ครอบคลุมความรู้ทั้งหมดของอัลกุรอาน หมายถึงวิชาการทั้งหมดเหล่านั้นได้ถูกอธิบายถึง 114 ครั้งในรูปลักษณ์ที่แตกต่างกัน และนี่เป็นความมหัศจรรย์อีกประการหนึ่งของอัลกุรอาน

[10] นักบูรพาคดีบางคนเกี่ยวกับประเด็นนี้กล่าวว่า ท่านศาสดามีความรู้ ท่านไปมาหาสู่ระหว่างนักปราชญ์แห่งศาสนาในอดีต และท่านได้ศึกษากับบุคคลเหล่านั้น ซึ่งเขาได้เขียนอัลกุรอานขึ้นมาบนพื้นฐานของศักยภาพและภูมิปัญญาดังกล่าว แม้ว่าในอัลกุราอนจะกล่าวเรียกเขาว่า อุมมี หมายถึงอ่านไม่ออกเขียนไม่เป็น เนื่องจากเขาไม่มีความคุ้นเคยกับวิชาการของพระเจ้า ไม่ได้หมายความว่าท่านไร้การศึกษา บนคราบสมุทรอาหรับในสมัยนั้นมีบุคคลที่มีความรู้ และข้อมูลต่างๆอยู่มากมายหลายคน ดังนั้น ถ้าเรียกศาสดาว่า อุมมี จึงไม่ได้หมายความว่าท่านไร้การศึกษา หรือไม่มีความรู้ในวิชาการของพระเจ้า และไม่เคยศึกษากับผู้ใดมาก่อน ทว่าจุดประสงค์คือ ท่านเป็นศาสดาของประชาชาติที่อ่านไม่ออกเขียนไม่เป็นต่างหาก หมายถึงไม่มีความรู้ในวิชาการของพระเจ้า อย่างไรก็ตามนักวิชาการทั้งหลายต่างกล่าวว่า นี้เป็นความรู้ที่ไม่มีรากที่มาแต่อย่างใด ทั้งที่กล่าวมา เพื่อต้องการปฏิเสธความมหัศจรรย์ของอัลกุรอานเท่านั้นเอง (ดร. ซุบฮิซอลิฮฺ, อุลูมฮะดีซ วะมุซฏะละฮะฮฺ หน้า 2-3)

[11] ฮาดะวี เตหรานี มะฮฺดี, มะบานีกะลามี อิจญ์ติฮาด หน้า 47-51

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • การนอนในศาสนสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เช่นบริเวณฮะร็อมมีฮุกุมอย่างไร?
    5764 สิทธิและกฎหมาย 2554/11/19
    ฮะร็อม(บริเวณสุสาน)ของบรรดาอิมามตลอดจนศาสนสถานถือเป็นสถานที่ที่มุสลิมให้เกียรติมาโดยตลอดเนื่องจากการแสดงความเคารพสถานที่เหล่านี้ถือเป็นการให้เกียรติบรรดาอิมามและบุคคลสำคัญต่างๆที่ฝังอยู่ณสุสานดังกล่าวฉะนั้นควรหลีกเลี่ยงการกระทำที่ส่อไปในทางลบหลู่ดูหมิ่นสถานที่เหล่านี้เท่าที่จะทำได้แต่ทว่าในแง่ของฟิกฮ์การนอนในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เช่นมัสยิด, ฮะร็อมฯลฯถือว่าไม่เป็นที่ต้องห้ามนอกจากคนทั่วไปจะมองว่าการนอนในสถานที่ดังกล่าวเป็นการไม่ให้เกียรติสถานที่ซึ่งในกรณีนี้เนื่องจากวิถีประชาเห็นว่าการกระทำนี้เป็นสิ่งที่ไม่บังควรก็จะถึอว่าไม่ควรกระทำไม่ว่าสถานที่เหล่านั้นจะเป็นมัสยิดหรือฮะร็อมของบรรดาอาอิมมะฮ์ฯลฯก็ตาม
  • คำว่า “ฮุจซะฮ์”ในฮะดีษของมุฮัมมัด บิน ฮะนะฟียะฮ์ หมายความว่าอย่างไร?
    7730 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2555/02/12
    คำว่าฮุจซะฮ์ที่ปรากฏในฮะดีษบทต่างๆแปลว่าการยึดเหนี่ยวสื่อกลางในโลกนี้ระหว่างเรากับอัลลอฮ์ท่านนบีและบรรดาอิมาม(อ.) ซึ่งก็หมายถึงศาสนาจริยธรรมและความประพฤติที่ดีงามหากบุคคลยึดถืออิสลาม
  • เพราะสาเหตุใดที่ ปรัชญาอันเป็นแบบฉบับของอิสลาม ไม่สามารถยกสถานภาพของตนให้กับ ปรัชญาใหม่แห่งตะวันตกได้ พร้อมกันนั้นปรัชญาอิสลาม ยังคงดำเนินต่อไปตามแบบอย่างของตน?
    9219 آراء شناسی 2557/05/20
    การยอมรับทุกทฤษฎีความรู้นั้นสิ่งจำเป็นคือ ต้องมีพื้นฐานของเหตุผลเป็นหลัก ดังนั้น บนพื้นฐานดังกล่าวนี้ ถ้าหากว่าสมมติฐานต่างๆ ในอดีตบางอย่าง ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า ไม่ถูกต้องหรือเป็นโมฆะนั่นก็มิได้หมายความว่า ทฤษฎีความรู้ทั้งหมดเหล่านั้น จะโมฆะไปด้วย แต่ปรัชญาอิสลามนั้นแตกต่างไปจากทฤษฎีความรู้ดังกล่าวมา ตรงที่ว่าปรัชญาอิสลามมีความเชื่อ ที่วางอยู่บนเหตุผลในเชิงตรรกะ และสติปัญญา ดังนั้น เมื่อถูกปรัชญาตะวันตกเข้าโจมตี นอกจากจะไม่ยอมสิโรราบแล้ว ยังสามารถใช้เหตุผลโต้ตอบปรัชญาตะวันตกได้อย่างองอาจ นักปรัชญาอิสลามส่วนใหญ่มีการศึกษาปรัชญาตะวันตก และนักปรัชญาตะวันตก พร้อมกับมีการหักล้างอย่างจริงจัง ...
  • ฮะดีษร็อฟอ์ (เพิกถอน) คืออะไร?
    7705 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2555/02/04
    ฮะดีษร็อฟอ์เป็นชื่อเรียกของฮะดีษสองบทจากท่านนบี(ซ.ล.) ซึ่งหนึ่งในสองบทกล่าวถึงการผ่อนผันข้อบังคับหรือสถานะนานาประเภทรวมทั้งผลต่อเนื่องต่างๆในอิสลามให้พ้นจากผู้บรรลุนิติภาวะในลักษณะบทเฉพาะกาล อีกบทหนึ่งกล่าวถึงการผ่อนผันข้อบังคับบางประการเฉพาะสำหรับบุคคลบางกลุ่มฮะดีษแรกแม้จะมีข้อแตกต่างเกี่ยวกับรายละเอียดของภาระที่ผ่อนผันอยู่บ้างแต่ก็ปรากฏอยู่ในตำราที่มีชื่อเสียงส่วนใหญ่ของชีอะฮ์ทั้งยุคแรกและยุคหลังโดยอิมามศอดิก(อ.) และอิมามริฎอ(อ.)รายงานจากท่านนบี(ซ.ล.) และถือว่ามีสายรายงานที่เศาะฮี้ห์เนื้อหาเบื้องต้นของฮะดีษที่คัดเฉพาะบทที่มีรายละเอียดสมบูรณ์ที่สุดมีดังนี้ “ประชาชาติมุสลิมได้รับการผ่อนผันเก้าสิ่งต่อไปนี้หนึ่ง. ความผิดพลาดสอง.การหลงลืมสาม. สิ่งที่ไม่รู้สี่. สิ่งที่ไม่สามารถกระทำได้ห้า. สิ่งที่กระทำโดยไม่มีทางเลือกหก. สิ่งที่ถูกบังคับให้กระทำเจ็ด. การกระทำที่ฤกษ์ไม่ดีแปด. ความคิดฟุ้งซ่านเกี่ยวกับการสร้างโลกเก้า. ความริษยาตราบเท่าที่ยังไม่สำแดงออก”[i]ฮะดีษชุดนี้นอกจากจะได้รับการอรรถาธิบายโดยผู้เชี่ยวชาญด้านวิชาอุศูลุลฟิกห์แล้ว (เกี่ยวกับหลักมุจมั้ลและมุบัยยันในตำราของพี่น้องซุนนะฮ์ยุคแรก) ยังได้รับการศึกษาอย่างละเอียดถี่ถ้วนโดยผู้เชี่ยวชาญวิชาอุศู้ลในสายอิมามียะฮ์อีกด้วย (ใช้ตัวบทที่ว่าمالایعلمون เพื่อพิสูจน์หลักบะรออะฮ์ในข้อสงสัยเชิงฮุก่มหักห้าม)ฮะดีษอีกบทหนึ่งที่เป็นที่รู้จักในนาม (ร็อฟอุ้ลเกาะลัม) เป็นสายรายงานของฝ่ายอะฮ์ลิสซุนนะฮ์ที่รายงานจากท่านนบีผ่านท่านอิมามอลี(อ.) และอาอิชะฮ์
  • ตัฟซีรอิมามฮะซัน อัสการีย์ (อ.) »อัลฮัมดุลลิลฮิร็อบบิลอาละมีน« หมายถึงอะไร?
    11592 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/05/17
    ตัฟซีรอิมามฮะซัน อัสการียฺ (อ.) เป็นหนึ่งในตัฟซีรที่กล่าวว่าเป็นของท่านอิมาม ซึ่งมีเหตุผลบางประการพาดพิงว่าตัฟซีรดังกล่าวเป็นของท่านอิมาม แต่เป็นเหตุผลที่เชื่อถือไม่ได้แน่นอน ตัฟซีรชุดนี้ได้มีการตีความอัลกุรอาน บทฟาติฮะฮฺ (ฮัม) และบทบะเกาะเราะฮฺ โองการ 282 โดยรายงานฮะดีซ ซึ่งในวิชาอุลูมกุรอานเรียกว่าตัฟซีร »มะอฺซูเราะฮฺ« อย่างไรก็ตาม, ท่านอิมามฮะซันอัสการียฺ (อ.) ได้อธิบายถึงประโยคที่ว่า «اَلْحَمْدُ لِلَّهِ رَبِّ الْعالَمِين» ไว้ในหลายประเด็น, เนื่องจาการขอบคุณอัลลอฮฺ เพราะความโปรดปรานต่างๆ อันไม่อาจคำนวณนับได้, การสนับสนุนสรรพสิ่งถูกสร้าง, ความประเสริฐ และความดีกว่าของชีอะฮฺ เนื่องจากการยอมรับวิลายะฮฺ และอิมามะฮฺของท่านอิมามอะลี (อ.) และกล่าวว่า เนื่องจากจำเป็นต้องขอบคุณอัลลอฮฺ เพราะความโปรดปรานของพระองค์ จึงได้กล่าวว่า «اَلْحَمْدُ لِلَّهِ رَبِّ الْعالَمِين» ...
  • โปรดอธิบาย ปรัชญาของการกล่าวข้อผูกมัดนิกาห์ คืออะไร?
    9025 จริยศาสตร์ 2555/06/30
    ตามคำสอนของอิสลามการแต่งงานถือเป็นข้อตกลงที่ศักดิ์สิทธิ์ สำหรับการจัดตั้งครอบครัวและสิ่งที่ติดตามมาคือ, ระบบสังคม ซึ่งแน่นอนว่าย่อมมีผลสะท้อนและบทสรุปอย่างมากมาย เช่น : เพื่อตอบสนองความต้องการทางกามรมย์, ผลิตสายเลือดและรักษาเผ่าพันธุ์, สร้างความสมบูรณ์ในความเป็นมนุษย์, สร้างความสงบมั่นแก่จิตใจ, เป็นการรักษาความสะอาดบริสุทธิ์, เป็นการส่งเสริมความผูกพันให้มั่นคง และประเด็นอื่นๆ อีกมากมาย, ดังนั้น การจัดการข้อตกลงศักดิ์สิทธิ์นี้ให้สมประสงค์ได้, มีเพียงการปฏิบัติไปตามกฎเกณฑ์พื้นฐาน และเงื่อนไขอันเฉพาะที่อัลลอฮฺ ทรงกำหนดไว้เท่านั้น จึงจะเป็นไปได้. เช่น เงื่อนที่ว่านั้นได้แก่การกล่าวข้อผูกมัดนิกาห์ ด้วยคำพูดเฉพาะ (ดังกล่าวไว้ในหนังสือริซาละฮฺต่างๆ) พระผู้อภิบาลผู้ทรงเกรียงไกรในฐานะของ พระเจ้าผู้ทรงกำหนดกฎระเบียบ พระองค์คือผู้ทรงกำหนดคำพูดอันทรงเกียรติยิ่งนี้ และให้ความน่าเชื่อถือ พร้อมกับการเกิดขึ้นของคำพูดดังกล่าวในฐานะ อักดฺนิกาห์, จึงเป็นสาเหตุทำให้เกิดการเป็นสามีภรรยา ระหว่างชายกับหญิงขึ้น. การแต่งงานมิได้หมายถึง ความพอใจของสองฝ่ายเท่านั้น ทว่าเป็นความพึงพอใจและการยินยอมของทั้งสองฝ่าย อันถือว่าเป็นเงื่อนไขสำคัญยิ่งสำหรับการแต่งงาน ที่จะเกิดขึ้นพร้อมกับการอ่านอักดฺนิกาห์ปัจจุบันนี้ เพื่อให้การแต่งงานนั้นถูกต้องสมบูรณ์ตามหลักการชัรอียฺ. การแต่งงาน มิได้หมายถึงความพอใจของสองฝ่ายเท่านั้น ทว่าเป็นความพึงพอใจและยินยอมของทั้งสองฝ่าย อันถือว่าเป็นเงื่อนไขสำคัญสำหรับการแต่งงาน ...
  • การนำเอาเด็กเล็กไปร่วมงานอ่านฟาติฮะฮฺ ณ กุบูร เป็นมักรูฮฺหรือไม่?
    6845 จริยธรรมปฏิบัติ 2555/05/17
    การนำเด็กๆ เข้าร่วมในมัจญฺลิซ งานประชุมศาสนา พิธีกรรมทางศาสนา, การนำเด็กๆ ไปมัสญิด, หรือพิธีกรรมรำลึกถึงท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) ในเดือนมุฮัรรอม หรืองานเทศกาลอื่นๆ ทางศาสนา, เช่น เข้าร่วมนมาซอีดฟิฏร์ อีดกุรบาน หรือพิธีกรรมต่างๆ ทางศาสนา เพื่อเป็นการกระตุ้นความรักผูกพันกับศาสนาของพวกเขา ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีมีประโยชน์อย่างยิ่ง ส่วนการนำเด็กๆ ไปร่วมพิธีอ่านฟาติฮะฮฺ ณ สถานฝังศพ ซึ่งได้ค้นหารายงานจากตำราต่างๆ ด้านฟิกฮฺอิสลามแล้ว ไม่พบรายงานที่ระบุว่าการกระทำดังกล่าวเป็นมักรูฮฺ ถ้าหากมีรายงานหรือเหตุผลอันเฉพาะเจาะจงจากสามีหรือภรรยาของคุณ กรุณาชี้แจงรายละเอียดมากกว่านี้แก่เราเพื่อเป็นประโยชน์สำหรับการค้นคว้าต่อไป ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับคำถามของคุณ สามารถกล่าวสรุปได้ดังนี้ : 1.รายงานที่กล่าวถึงผลบุญในการกล่าวแสดงความเสียใจกับเจ้าของงาน และการไปยังสถานฝังศพ เป็นรายงานทั่วไปกว้างๆ แน่นอนย่อมครอบคลุมถึงเด็กและเยาวชนด้วย 2.จากแนวทางการปฏิบัติของรรดาอิมามมะอฺซูม (อ.) ...
  • นามอันเป็นมักนูนและมุสตะอ์ษิ้รของอัลลอฮ์หมายความว่าอย่างไร?
    7190 รหัสยทฤษฎี 2554/10/23
    จากฮะดีษและบทดุอาทำให้ทราบว่าอัลลอฮ์มีพระนามที่ทรงคัดสรรด้วยพระองค์เองโดยที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้พระนามเหล่านี้เรียกว่า"อัสมาอ์มุสตะอ์ษิเราะฮ์" ซึ่งตามคำบอกเล่าของฮะดีษพระนามเหล่านี้คือมิติเร้นลับของอิสมุลอะอ์ซ็อมอันเป็นพระนามแรกของพระองค์พระนามประเภทนี้ยังเรียกขานกันว่าอิสมุ้ลมักนูนหรืออิสมุ้ลมัคซูนอีกด้วย ...
  • เมื่อสามีและภรรยาหย่าขาดจากกัน ใครคือผู้มีสิทธิในการเลี้ยงดูบุตร?
    13370 สิทธิและกฎหมาย 2554/08/17
    ในทัศนะของอิสลามบิดามีหน้าที่จะต้องจ่ายนะฟาเกาะฮ์ (ค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดู) แก่บุตรทุกคนแต่ทว่าสิทธิในการดูแลและอบรมเลี้ยงดูบุตรนั้นแตกต่างกันไปตามอายุและเพศของลูกๆท่านอิมามโคมัยนีได้ให้คำตอบเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวว่า “มารดาถือครองสิทธิในการดูแลเลี้ยงดูบุตรชายจนถึงอายุ๒
  • ตามทัศนะของท่านอายะตุลลอฮฺ อัลอุซมา อะลี คอเมเนอี การปรากฏตัวของสตรีที่เสริมสวยแล้ว (ถอนคิว,เขียนตาและอื่นๆ) ต่อหน้าสาธารณชน ท่ามกลางนามะฮฺรัมทั้งหลาย ถือว่าอนุญาตหรือไม่? และถ้าเสริมสวยเพียงเล็กน้อย มีกฎเกณฑ์ว่าอย่างไรบ้าง?
    11160 หลักกฎหมาย 2556/01/24
    คำถามข้อ 1, และ 2. ถือว่าไม่อนุญาต ซึ่งกรณีนี้ไม่มีความแตกต่างกันในเรื่องอุปกรณ์ที่ใช้เสริมสวย คำถามข้อ 3. ถ้าหากสาธารณถือว่านั่นเป็นการเสริมสวย ถือว่าไม่อนุญาต[1] [1] อิสติฟตาอาต จากสำนักฯพณฯท่านอายะตุลลอฮฺ อัลอุซมา คอเมเนอี (ขออัลลอฮฺทรงปกป้อง) ...

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60602 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    58215 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42718 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    40168 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    39345 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    34453 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    28529 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    28438 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    28375 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    26313 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...